[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51

มูลนิธินักบุญเซเลน

 

 

   ในช่วงเวลาหลังจากผู้สาปแช่งถูกสังหาร ชินนิใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายเดือน เธอไม่ได้เข้าเรียนตามปรกติ แต่ใช้เวลาทั้งหมดวิจัยเกี่ยวกับเวทมนตร์และคำสาปอยู่ในห้องของเธอที่หอพักสำหรับนักเรียนภายในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้

 

“ภารกิจที่ท่านผู้สาปแช่งทำไม่สำเร็จ ฉันจะเป็นคนจบมันเอง!”

 

   ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ชินนิไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องอื่นใดนอกจากคำสาป เธอจึงมั่นใจว่าสามารถสร้างแมลงดับสงสุริยาขึ้นมาได้อีกครั้ง เพื่อสานต่องานที่อาจารย์ของเธอทำไม่สำเร็จ เธอหมกมุ่นกับความเชื่อเช่นนี้

 

   ชินนิเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทำการทดลองอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนอื่นๆตีตัวออกห่างเธอจนหมด เหลือเพียงคนเดียวที่ยังพยายามให้คำแนะนำเธอ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเท่านั้น และเพราะคนผู้นี้ ที่ทำให้ชินนิไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ปรกติ

 

   อีกหนึ่งคน หรือเรียกให้ถูกว่า นกอีกหนึ่งตัว วันนี้ก็พูดคุยกับชินนิเหมือนเช่นเคย

 

[“เฮ้ย วันนี้ก็ไม่ออกไหนอีกเหรอ? คิดจะเน่าตายอยู่ตรงนี้หรือไง?”]

“หุบปาก ตอนนี้ไม่ว่างมาคุยกับแก”

[“เออเออ กลัวแล้วกลัวแล้ว”]

 

   โคคุมารุพูดกับชินนิราวกับโต้เถียง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสัตว์อสูรที่คอยรับคำสั่งจากผู้สาปแช่ง หลังจากโคคุมารุใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีมังกรที่โผล่มาอาละวาดอย่างกะทันหัน เขาได้พบกับชินนิก่อนพลังเวทที่สะสมไว้จะหมดลง

 

   ในฐานะที่เป็นมรดกชิ้นหนึ่งจากผู้สาปแช่ง ชินนิเก็บโคคุมารุไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น และทำให้กลายเป็นสัตว์อสูรของตนเอง แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชินนิไม่เคยทำมาก่อน แทนที่เธอจะมอบพลังเวทอย่างพอเหมาะจนทำให้มันเชื่อฟังได้ระดับหนึ่งเหมือนอย่างที่ผู้สาปแช่งทำ เธอใช้พลังเวทกับมันมากเกินไปจนพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นอีกาปากเสียผู้รอบรู้

 

   แต่การที่ชินนิเป็นผู้ใช้คำสาปที่เหลือเพียงตัวคนเดียว โคคุมารุจึงเป็นเพื่อนที่ดีซึ่งสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องสำหรับเธอ อีกทั้งปรกติก็มักจะจะทำตัวน่ารำคาญและไม่ยอมทำตามคำสั่ง จึงใกล้เคียงกับคู่หูจอมวายร้ายมากกว่าเป็นคนรับใช้

 

  เธอให้เวลานานเกือบสองปีในการวิจัยเพื่อคิดค้นเวทมนตร์หิ่งห้อยเงา และในตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์ ชินนิเรียกใช้งานเวทมนตร์ดังกล่าวแต่ก็ผิดหวัง

 

“ไอ้นี่ ไม่มีคุณสมบัติของแมลงดับแสงสุริยา…”

 

  การสร้างสรรค์ผลงานระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวภายในเวลาเพียงแค่สองปีนั้น แสดงให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ความพากเพียร และความพยายามของชินนิ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่พอใจกับผลที่ได้มา

 

  เวทมนตร์ที่ก่อรูปร่างขึ้นมาจากเงาและยังเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ความปรารถนาของชินนิคือการทำให้ระเบียบของทวีปนี้พังพินาศ และให้ผู้คำสาปกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมแล้วมันคือความปรารถนาของผู้สาปแช่ง

 

   ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ยังไม่หมดหวังกับหิ่งห้อยเงา หิ่งห้อยเงาคือสิ่งที่ก่อร่างจากเวทมนตร์อีกทั้งยังควบคุมได้ง่าย ถึงจะอ่อนแอแต่ก็ยังพอประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่าง

 

   อย่างน้อย ถ้าใช้มันขโมยอาหารเล็กๆน้อยตามร้านต่างๆในเมืองก็พอทำให้ไม่อดตาย หรือหากถูกจับได้ขึ้นมาก็ใช้ความสามารในการย้อมสีเพื่อปลอมตัวหลบหนี

 

   เมื่อครบกำหนด ค่าเล่าเรียนที่ถูกชำระไว้ล่วงหน้าได้หมดลง ชินนิก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนนี้ เพราะแหล่งหาเงินขององค์กร เจ้าหญิงเอนเต้ ถูกเนรเทศไปยังดินแดนตะวันออกนอกทวีป หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น วัลเบิร์ตก็อยู่ในสภาพขาดแคลนเงินทุนเนื่องจากงานซ่อมแซมบูรณะเมืองหลวง

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งในทวีปที่มีผู้ต้องการเข้าสมัครมากมาย ไม่ใช่สถานที่สำหรับบุตรสาวขุนนางจอมปลอมจะเข้ามาเอ้อระเหย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการอยู่ภายใต้ความรุ่งเรื่องที่เจ้าหญิงแสงจันทร์หลงเหลือไว้ให้

 

[“มีที่ให้นอน อาหารสามมื้อ ดีจะตาย”]

“ดีสำหรับแกน่ะสิ ฉันไม่เอาด้วยหรอก แล้วอีกอย่าง นักเรียนสอบตก ค่าเทอมไม่จ่าย ใครเขาจะเอาไว้”

 

   ขินนิเก็บสัมภาระต่อไป เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็จะออกจากโรงเรียนนี้ในทันที แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องไปพบกับผู้อำนวยการ เธอเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ใช่คนที่เธอจะเข้าไปคุยด้วยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องมาเข้าพบ

 

“ถ้าเป็นนักเรียนไร้มารยาทคนหนึ่ง จะปล่อยให้ลาออกง่ายขึ้นหรือเปล่านะ”

 

   หลังจากเคาะประตูอย่างหยาบๆ ชินนิก็ผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่รอคำตอบรับ

 

“อ๊ะ”

 

  เมื่อบุกรุกเข้ามาในห้องได้สำเร็จ จากที่คิดไว้ว่าจะได้พบกับผู้อำนวยการ กลับกลายเป็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน ทำให้ชินนิได้แต่ยืนตัวแข็ง

 

“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา!”

 

   ผู้อำนวยการสูงอายุผมหงอกขาวแต่งตัวเรียบร้อย อีกฝั่งหนึ่งคือเด็กสาวที่กำลังนั่งดื่มชา เธออยู่ในชุดสีแดงเหมือนดอกกุหลาบ ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ตัดสั้นเสมอบ่า หน้าตาสะสวย ไม่ใครในเฮลิฟาลเต้ที่ไม่รู้จักเธอ

 

“(มารีเบล เฮลิฟาลเต้)”

 

  ไม่ใช่แค่เข้ามารบกวนผู้อำนวยการด้วยเรื่องส่วนตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจถูกไล่ออกก่อนขอลาออกได้เลยด้วยซ้ำ แต่ชินนิก็ยังประหลาดใจกับแขกที่คาดไม่ถึงคนนี้ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งของเฮลิฟาลเต้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาเฉยๆแน่

 

“ฉันกำลังคุยเรื่องแนวทางการใช้จ่ายเงินทุนกับผู้อำนวยการอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้ามา”

“อ-เอ่อ ทราบแล้วค่ะ…”

 

   จากคำพูดของมารี ทำให้ชินนิพอจะเดาเหตุผลได้ เมื่อสองปีก่อน ในตอนที่เจ้าหญิงแสงจันทร์ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึงรายได้ทั้งหมดนับจากนั้น ให้กับสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และเป็นที่รู้กันว่าเธอสนิทสนมกับเจ้าหญิงมารีเบลเป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงได้รับหน้าที่นั้นมาทำแทนต่อไป

 

   มารีในตอนนี้มีอายุสิบสองปี เธอคนนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ‘ของเหลือจากองค์ชายศักดิ์สิทธิ์’ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมถึงเงินสนับสนุนระบบสาธารณสุขอีกหลายด้าน

 

   สมัยก่อน เธอเป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เย่อหยิ่ง การที่เธอตัดผมที่เคยไว้ยาวถึงกลางหลังให้สั้นลง หมายถึงการละทิ้งความหยิ่งผยองในอดีต และแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของเพื่อนคนสำคัญของเธอ เซเลน

 

   ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับมารีที่นี่ อันที่จริงก็เรียกได้ว่าโอกาสเหมาะเลยทีเดียว ต่อหน้าคนที่แม้แต่ผู้อำนวยการยังต้องเกรงใจ การอนุมัติเอกสารใบลาออกก็จะถูกดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  ในขณะที่ชินนิยังยืนอยู่เฉยๆตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร มารีวางถ้วยชาลงและหันมาพูดกับชินนิตรงๆ

 

“จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก แต่เธอน่ะ ระวังเรื่องมารยาทเอาไว้หน่อยก็ดี”

“ต้องขอโทษด้วย ทางบ้านไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? ถ้าจำไม่ผิด เธอคือ… ชินนิ จากตระกูลขุนนางจากวัลเบิร์ตไม่ใช่เหรอ?”

 

   คำพูดนั้นทำให้ชินนิประหลาดใจ ตำแหน่งขุนนางของเธอมีแค่ชื่อเท่านั้น ไม่เคยมีผลงานและไม่โดดเด่น จึงไม่คิดว่าจะมีคนรู้จัก

 

“นักเรียนของที่นี่ส่วนใหญ่ฉันจำได้หมดแหละ โดยเฉพาะชนขั้นสูง”

“อ่า ค่ะ”

 

  มารีตอบกลับราวกับรู้ว่าชินนิคิดอะไรอยู่ในใจ ทำให้ชินนิเริ่มหวาดระแวงเด็กสาวที่อายุเท่ากับเธอ

 

  แต่สิ่งที่เธอจะทำก็ยังไม่เปลี่ยน ชินนิต้องการหนีออกห่างจากสถานที่แห่งความดีงามอันน่ารังเกียจสำหรับเธอแห่งนี้ ชินนิจึงมองตรงมาที่มารีและทำในสิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วต่อไป

 

“ฉันมาขอลาออกค่ะ เก็บของเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทางภายในวันนี้”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่อยากเสียเงินเรียนต่อค่ะ ถึงจะอยู่ต่อไปก็คงเรียนไม่จบอยู่ดี”

 

   ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอไม่ต้องการประกาศนียบัตรจากโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรก และเงินของเธอก็หมดลงแล้ว หากมีเหลืออยู่ก็ขอเลือกใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันดีกว่า เพราะเธอไม่ใช่นักเรียนที่ดี เพียงเท่านี้ พวกเขาก็จะโบกมือลาพร้อมหัวเราะไล่หลังกันได้แล้ว

 

“คุณผู้อำนวยการ ถ้ามีประวัติของนักเรียนคนนี้เก็บเอาไว้ ฉันขอดูหน่อยได้ไหมคะ?”

 

   ผู้อำนวยการพยักหน้าให้กับคำขอของมารี จากนั้นก็ลุกไปทางชั้นวางเอกสารที่เรียงอยู่บนผนังห้อง หลังจากมองหาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบเอกสารขนาดเท่าหนังสือเล่มหนึ่งออกมา 

 

  ชินนิเข้าใจว่ามันคือรายงานหรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ มารีเปิดอ่านเอกสารที่รับมาจากผู้อำนวยการ พลิกดูทีละหน้าสลับกับหันมามองทางชินนิ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

 

“นี่มัน… เลวร้ายจริงๆ”

“ค่ะ เลวร้ายสุดๆเลย”

 

   ชินนิยิ้มแหยๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เข้าเรียนแทบจะนับครั้งได้ ผลการเรียนที่เคยอยู่ระดับกลางๆ ตอนนี้คงรั้งท้ายไปไกล

 

   ในใจของชินนิกลับร่าเริง หากเจ้าหญิงมารีเบลเป็นผู้ที่อนุมัติการลาออกของเธอก็จะไม่ใครกล้าคัดค้าน ถึงจะต่างจากที่วางแผนเอาไว้แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี

 

   ―แต่ความจริงก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด

 

“เลวร้ายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก… ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าวัลเบิร์ตถูกมังกรโจมตี แต่ถึงขั้นที่ไม่เหลือบ้าน ไม่เหลือครอบครัว หมดสิ้นทั้งตระกูล… ไม่คิดเลยว่ายังมีผู้เคราะห์ร้ายแบบเธออยู่อีก…”

“อะ? อ่า? เอ๋?”

 

  บนหัวของชินนิตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามมากมาย สิ่งที่มารีกำลังอ่านคือรายงานความความประพฤติกับผลการเรียนของชินนิ และในรายงานนั้นก็ประเมินให้ชินนิอยู่ระดับต่ำสุดอย่างที่เธอคาดไว้

 

  แต่ในเอกสารเหล่านั้นก็ยังรวมถึงประวัติของเธอ ซึ่งมันได้บอกเอาไว้ว่า

 

   ‘ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลขุนนางระดับสูงจากวัลเบิร์ต จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่จากเฮลิฟาลเต้ที่ถูกส่งไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมังกร ระบุว่าไม่พบคฤหาสน์บ้านตระกูลของเธอ และนอกจากชินนิแล้ว ในรายชื่อผู้รอดชีวิต ไม่มีคนในครอบครัวของเธอแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้กระทั้งคนรับใช้ที่รู้จักเธอ กรณีที่เลวร้ายที่สุด คาดว่าทั้งหมดถูกทำลายและทุกคนได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความพิโรธของมังกรแดง ซึ่งนับเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับผลกระทบจากคำสาปของแม่มด’

 

“เอ๋!? เรื่องนั้น มัน….”

 

   ชินนิยิ่งรู้สึกแปลกใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องที่อยู่ในรายงานนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเธอมีแต่ชื่อ การที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้รอดชีวิตก็เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก ทั้งบ้าน ตระกูล ครอบครัว แม้กระทั่งคนรับใช้ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นความลับสำหรับคนอื่นๆ

 

   ด้วยเหตุนั้น หน่วยข่าวกรองของเฮลิฟาลเต้จึงสรุปว่า เธอเป็น ‘หนึ่งในผู้เสียหายที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินทั้งหมดจากมังกร’ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มี

 

   คำพูดที่ว่า ‘เลวร้าย’ ของมารี หมายถึงความสูญเสียที่ชินนิต้องเผชิญ โดยไม่เกี่ยวกับผลการเรียนของชินนิ แม้อยากอธิบายก็พูดไม่ได้ว่า ‘อ๋อ ขุนนางอะไรนั่นไม่มีอยู่จริงหรอก จริงๆแล้วฉันอยู่ฝั่งเดียวกับแม่มดที่ก่อเรื่องต่างหาก’ นั่นจะทำให้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ ชินนิจึงได้แต่ฟังต่อไปอย่างเงียบๆ

 

“เพราะเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากพวกผู้ใช้คำสาป จนต้องทนทุกข์เพราะโดยลูกหลงจากมังกร ถึงจะไม่มีทั้งบ้านและครอบครับ แต่ก็อย่างเพิ่งหมดหวังล่ะ”

“เรื่องพวกนั้น ฉันไม่คิดถึงมันแล้วค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงมารีเบล ด้วยเกียรตินั้น ฉันสามารถลาออกจากโรงเรียนนี้ได้อย่างภาคภูมิใจแล้วค่ะ”

“เข็มแข็งดีนี่นา คนแบบเธอฉันก็ชอบนะ”

 

   ชินนิพูดประชด แต่มารีก็มองมาด้วยความเห็นใจ จริงๆแล้วเธอแค่มายื่นใบลาออกเท่านั้น หวังว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้จะจบลงเสียที จะได้ออกจากที่นี่ไปให้พ้นๆ

 

“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่ฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้เธอ”

“ข่าวดี อะไรหรือคะ?”

 

   แม้สังหรณ์ใจว่ามันจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเธอเสียมากกว่า แต่ชินนิก็ถามกลับไป

 

“ยินดีด้วย! ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้ คนนี้ ขออนุมัติให้ชินนิได้เรียนต่อจนกว่าจะจบหลักสูตรการศึกษา”

“…ห๊ะ?”

 

  ชินนิที่พยายามอดกลั้นทำตัวนิ่งเฉยถึงกับเผลอส่งเสียงแปลกๆออกมา เธอไม่รู้ว่ามารีคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“แต่ว่า! ไม่มีเงินชำระค่าเทอมแล้วนะคะ!”

 

   ข้ออ้างสุดท้ายของชินนิเพื่อปฏิเสธกับมารี เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานศึกษานี้อีกแล้ว ถึงจะอยู่ต่อก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนอยู่ดี ในตอนนั้นเอง ผู้อำนวยการที่นั่งฟังเด็กสาวทั้งสองคุยกันมาตลอดก็เอ่ยปากพูดออกมาบ้าง

 

“หมายความว่า ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ รับเธอเข้ามาเป็นนักเรียนทุนแล้วยังไงล่ะ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้อีกต่อไป”

“มูลนิธินักบุญเซเลน?”

 

   ชินนิพูดทวนคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหู

 

“เรียกง่ายๆว่าเป็นหน่วยงานไว้ดูแลเงินบริจาคที่ท่านเซเลนหลงเหลือเอาไว้ ท่านมารีเบลก็มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนี้แหละ”

“ท่านเซเลน… เหรอ?”

“ถูกต้อง ท่านเซเลน หรือที่เรียกกันว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าขายกับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นเงินจำนวนมหาศาล เธอบริจาคมันทั้งหมดเพื่อการศึกษา และท่านมารีเบลได้ใช้ความสามารถทั้งหมดจัดตั้งมูลนิธิเข้ามาดูแลเงินทุนสำรองเหล่านั้น เพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ และผู้ที่โชคร้ายจนสูญเสียโอกาส”

“ทำไม… ถึงเป็นฉันล่ะคะ!?”

“การที่บ้านของเธอตกเป็นเหยื่อของมังกรจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็เท่ากับว่าตรงตามเงื่อนไขแล้ว”

“…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ?”

 

  ตัวเธอนั้นตรงข้ามกับการเป็นเหยื่อของแม่มด เธอคือหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าความจริงในข้อนี้เล็ดลอดออกไปจะต้องถูกหมายหัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็สารภาพออกไปไม่ได้

 

“ฉันไม่ใจร้ายขนาดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกน่า และเซเลนก็เคยขอร้องผู้อำนวยการเอาไว้ว่า อย่าปล่อยให้เด็กผู้หญิงต้องลาออก”

“เอ่อ…”

“ผมเองก็เข้าใจเจตนาของท่านเซเลนดี เด็กสาวผู้ด้อยโอกาสมักตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง”

 

   ทั้งมารี ผู้อำนวยการ และครูบาอาจารย์ทุกคนของเฮลิฟาลเต้ ล้วนเชื่อว่านั่นคือความคิดของเธอ แต่สำหรับเซเลน มันคือสินบนเพื่ออนุญาตให้เธอเข้าออกสถานศึกษาแห่งนี้ จะได้มาเข้าพบพี่สาว อาลัว ได้อย่างเปิดเผยทุกเวลา

 

   ถึงอย่างนั้น เซเลนก็ยังไม่เคยลืมเป้าหมายเดิม นั่นคือการลงทุนสร้างสถานบันเทิงที่มีแต่ผู้หญิง สำหรับผู้หญิง และให้เด็กแปดขวบใช้บริการได้(ข้อนี้สำคัญมาก) จึงพยายามดัดแปลงแก้ไขให้กลายเป็น ‘ฮาเร็มในรั้วโรงเรียน’ เหมือนฉากจบของเกมสำหรับผู้ใหญ่หลายๆเกม

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นที่ที่รวบรวมเด็กสาวจากครอบครัวผู้ดีมาจากทั่วทั้งทวีป ซึ่งมีแนวโน้มว่าหน้าตาน่ารักสวยงามทุกคน โดยแผนการของเธอคือ ใช้เงินหลอกล่อสาวน้อยวัยแรกรุ่นเหล่านั้นเอาไว้สร้างฮาเร็มขนาดย่อม เป็นอีกหนึ่งในแผนการสิ้นคิดของเธอ

 

   ทุกครั้งที่เซเลนมาเยี่ยมอาลัวก็ต้องได้พบกับผู้อำนวยการอย่างช่วยไม่ได้  จึงพูดย้ำอยู่เป็นประจำว่า ‘นักเรียนหญิงที่ต้องการลาออก ให้ช่วยห้ามเอาไว้ให้ได้มากที่สุด’ เพราะไม่ยอมให้อัตราส่วนของนักเรียนหญิงลดลงไป

 

   มูลนิธินักบุญเซเลนได้นำความตั้งใจของเธอมาตั้งเป็นข้อปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับผู้หญิงก่อน ผู้ชายจะได้รับทุนก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เกิดเป็นคำขวัญ ‘เงินมีจำกัด ลูกผู้ชายต้องขยันอดทน ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ อย่ามัวแต่รอโอกาส’ ที่ถูกตีความบิดเบือนจากคำพูดของเซเลน

 

   ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคิดของเซเลนนัก เนื่องจากเซเลนเป็นอดีตชายวัยกลางคนฐานะไม่สู้ดี จึงถือคติว่า ‘หากเป็นผู้ชายด้วยกันเดือดร้อนเงินทอง แม้เป็นญาติก็ยังต้องลังเล’ จะให้ได้ก็มีเพียงความรู้สึกเห็นใจเท่านั้น 

 

   กลับมาที่ชินนิ เธอเป็นผู้ต้องหาที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้เสียหาย แต่ด้วยนโยบายของเซเลน เธอจึงโชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจริงๆ และจะถูกขังไว้ในสถานศึกษาแห่งนี้ต่อไปอีกนาน

 

   เงินทุนนั้น ครอบคลุมถึงค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น น้ำหนักของคำประกาศ ‘ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้’ หนักหนาจนทำให้ชินนิไม่กล้าปฏิเสธ

 

   ชินนิจึงต้องติดอยู่ในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ สำหรับเธอมันเป็นเสมือนคุกที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในทวีป

 

   ชินนิคิดหาคำพูดไม่ได้ ในใจได้ตระหนักแล้วว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนเป็นคนที่มองการณ์ไกล ห่วงใยผู้อื่น ความคิดลึกซึ้งเกินเด็กวัยแปดขวบจริงอย่างที่คนอื่นๆลือกัน อันที่จริง อีกฝ่ายเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว แต่ความจริงนั้นก็ถูกกลบจนมิด

 

   การได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงแสงจันทร์ ทำให้ชินนิไม่พอใจมากขึ้น ต้องใช้ชีวิตโดยเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการจากศัตรู อีกทั้งเธอก็ยังโมโหตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์กับพรรคพวกของแก…! ฉันไม่มีวันโอนอ่อนไปกับความเมตตานั่นหรอก!”

 

   สุดท้าย ชินนิก็ไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนตามที่ตั้งใจไว้ เธอกลับมาที่ห้อง เคาะไม้เท้ากับพื้นอย่างแรงขณะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นให้โคคุมารุได้ฟัง และผลก็คือ ถูกหัวเราะเยอะสมน้ำหน้า เธอจึงใช้ไม้เท้านั้นไล่ตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

   หลังจากนี้อีกหลายวัน ชินนิที่จมอยู่กับความแค้นต่อเจ้าหญิงแสงจันทร์จะหลบหนีไปยังโลกที่ไม่มีใครเคยเห็น

 

   ― และเมื่อถึงวันนั้น มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51

มูลนิธินักบุญเซเลน

 

 

   ในช่วงเวลาหลังจากผู้สาปแช่งถูกสังหาร ชินนิใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายเดือน เธอไม่ได้เข้าเรียนตามปรกติ แต่ใช้เวลาทั้งหมดวิจัยเกี่ยวกับเวทมนตร์และคำสาปอยู่ในห้องของเธอที่หอพักสำหรับนักเรียนภายในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้

 

“ภารกิจที่ท่านผู้สาปแช่งทำไม่สำเร็จ ฉันจะเป็นคนจบมันเอง!”

 

   ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ชินนิไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องอื่นใดนอกจากคำสาป เธอจึงมั่นใจว่าสามารถสร้างแมลงดับสงสุริยาขึ้นมาได้อีกครั้ง เพื่อสานต่องานที่อาจารย์ของเธอทำไม่สำเร็จ เธอหมกมุ่นกับความเชื่อเช่นนี้

 

   ชินนิเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทำการทดลองอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนอื่นๆตีตัวออกห่างเธอจนหมด เหลือเพียงคนเดียวที่ยังพยายามให้คำแนะนำเธอ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเท่านั้น และเพราะคนผู้นี้ ที่ทำให้ชินนิไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ปรกติ

 

   อีกหนึ่งคน หรือเรียกให้ถูกว่า นกอีกหนึ่งตัว วันนี้ก็พูดคุยกับชินนิเหมือนเช่นเคย

 

[“เฮ้ย วันนี้ก็ไม่ออกไหนอีกเหรอ? คิดจะเน่าตายอยู่ตรงนี้หรือไง?”]

“หุบปาก ตอนนี้ไม่ว่างมาคุยกับแก”

[“เออเออ กลัวแล้วกลัวแล้ว”]

 

   โคคุมารุพูดกับชินนิราวกับโต้เถียง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสัตว์อสูรที่คอยรับคำสั่งจากผู้สาปแช่ง หลังจากโคคุมารุใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีมังกรที่โผล่มาอาละวาดอย่างกะทันหัน เขาได้พบกับชินนิก่อนพลังเวทที่สะสมไว้จะหมดลง

 

   ในฐานะที่เป็นมรดกชิ้นหนึ่งจากผู้สาปแช่ง ชินนิเก็บโคคุมารุไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น และทำให้กลายเป็นสัตว์อสูรของตนเอง แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชินนิไม่เคยทำมาก่อน แทนที่เธอจะมอบพลังเวทอย่างพอเหมาะจนทำให้มันเชื่อฟังได้ระดับหนึ่งเหมือนอย่างที่ผู้สาปแช่งทำ เธอใช้พลังเวทกับมันมากเกินไปจนพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นอีกาปากเสียผู้รอบรู้

 

   แต่การที่ชินนิเป็นผู้ใช้คำสาปที่เหลือเพียงตัวคนเดียว โคคุมารุจึงเป็นเพื่อนที่ดีซึ่งสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องสำหรับเธอ อีกทั้งปรกติก็มักจะจะทำตัวน่ารำคาญและไม่ยอมทำตามคำสั่ง จึงใกล้เคียงกับคู่หูจอมวายร้ายมากกว่าเป็นคนรับใช้

 

  เธอให้เวลานานเกือบสองปีในการวิจัยเพื่อคิดค้นเวทมนตร์หิ่งห้อยเงา และในตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์ ชินนิเรียกใช้งานเวทมนตร์ดังกล่าวแต่ก็ผิดหวัง

 

“ไอ้นี่ ไม่มีคุณสมบัติของแมลงดับแสงสุริยา…”

 

  การสร้างสรรค์ผลงานระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวภายในเวลาเพียงแค่สองปีนั้น แสดงให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ความพากเพียร และความพยายามของชินนิ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่พอใจกับผลที่ได้มา

 

  เวทมนตร์ที่ก่อรูปร่างขึ้นมาจากเงาและยังเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ความปรารถนาของชินนิคือการทำให้ระเบียบของทวีปนี้พังพินาศ และให้ผู้คำสาปกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมแล้วมันคือความปรารถนาของผู้สาปแช่ง

 

   ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ยังไม่หมดหวังกับหิ่งห้อยเงา หิ่งห้อยเงาคือสิ่งที่ก่อร่างจากเวทมนตร์อีกทั้งยังควบคุมได้ง่าย ถึงจะอ่อนแอแต่ก็ยังพอประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่าง

 

   อย่างน้อย ถ้าใช้มันขโมยอาหารเล็กๆน้อยตามร้านต่างๆในเมืองก็พอทำให้ไม่อดตาย หรือหากถูกจับได้ขึ้นมาก็ใช้ความสามารในการย้อมสีเพื่อปลอมตัวหลบหนี

 

   เมื่อครบกำหนด ค่าเล่าเรียนที่ถูกชำระไว้ล่วงหน้าได้หมดลง ชินนิก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนนี้ เพราะแหล่งหาเงินขององค์กร เจ้าหญิงเอนเต้ ถูกเนรเทศไปยังดินแดนตะวันออกนอกทวีป หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น วัลเบิร์ตก็อยู่ในสภาพขาดแคลนเงินทุนเนื่องจากงานซ่อมแซมบูรณะเมืองหลวง

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งในทวีปที่มีผู้ต้องการเข้าสมัครมากมาย ไม่ใช่สถานที่สำหรับบุตรสาวขุนนางจอมปลอมจะเข้ามาเอ้อระเหย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการอยู่ภายใต้ความรุ่งเรื่องที่เจ้าหญิงแสงจันทร์หลงเหลือไว้ให้

 

[“มีที่ให้นอน อาหารสามมื้อ ดีจะตาย”]

“ดีสำหรับแกน่ะสิ ฉันไม่เอาด้วยหรอก แล้วอีกอย่าง นักเรียนสอบตก ค่าเทอมไม่จ่าย ใครเขาจะเอาไว้”

 

   ขินนิเก็บสัมภาระต่อไป เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็จะออกจากโรงเรียนนี้ในทันที แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องไปพบกับผู้อำนวยการ เธอเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ใช่คนที่เธอจะเข้าไปคุยด้วยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องมาเข้าพบ

 

“ถ้าเป็นนักเรียนไร้มารยาทคนหนึ่ง จะปล่อยให้ลาออกง่ายขึ้นหรือเปล่านะ”

 

   หลังจากเคาะประตูอย่างหยาบๆ ชินนิก็ผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่รอคำตอบรับ

 

“อ๊ะ”

 

  เมื่อบุกรุกเข้ามาในห้องได้สำเร็จ จากที่คิดไว้ว่าจะได้พบกับผู้อำนวยการ กลับกลายเป็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน ทำให้ชินนิได้แต่ยืนตัวแข็ง

 

“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา!”

 

   ผู้อำนวยการสูงอายุผมหงอกขาวแต่งตัวเรียบร้อย อีกฝั่งหนึ่งคือเด็กสาวที่กำลังนั่งดื่มชา เธออยู่ในชุดสีแดงเหมือนดอกกุหลาบ ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ตัดสั้นเสมอบ่า หน้าตาสะสวย ไม่ใครในเฮลิฟาลเต้ที่ไม่รู้จักเธอ

 

“(มารีเบล เฮลิฟาลเต้)”

 

  ไม่ใช่แค่เข้ามารบกวนผู้อำนวยการด้วยเรื่องส่วนตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจถูกไล่ออกก่อนขอลาออกได้เลยด้วยซ้ำ แต่ชินนิก็ยังประหลาดใจกับแขกที่คาดไม่ถึงคนนี้ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งของเฮลิฟาลเต้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาเฉยๆแน่

 

“ฉันกำลังคุยเรื่องแนวทางการใช้จ่ายเงินทุนกับผู้อำนวยการอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้ามา”

“อ-เอ่อ ทราบแล้วค่ะ…”

 

   จากคำพูดของมารี ทำให้ชินนิพอจะเดาเหตุผลได้ เมื่อสองปีก่อน ในตอนที่เจ้าหญิงแสงจันทร์ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึงรายได้ทั้งหมดนับจากนั้น ให้กับสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และเป็นที่รู้กันว่าเธอสนิทสนมกับเจ้าหญิงมารีเบลเป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงได้รับหน้าที่นั้นมาทำแทนต่อไป

 

   มารีในตอนนี้มีอายุสิบสองปี เธอคนนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ‘ของเหลือจากองค์ชายศักดิ์สิทธิ์’ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมถึงเงินสนับสนุนระบบสาธารณสุขอีกหลายด้าน

 

   สมัยก่อน เธอเป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เย่อหยิ่ง การที่เธอตัดผมที่เคยไว้ยาวถึงกลางหลังให้สั้นลง หมายถึงการละทิ้งความหยิ่งผยองในอดีต และแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของเพื่อนคนสำคัญของเธอ เซเลน

 

   ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับมารีที่นี่ อันที่จริงก็เรียกได้ว่าโอกาสเหมาะเลยทีเดียว ต่อหน้าคนที่แม้แต่ผู้อำนวยการยังต้องเกรงใจ การอนุมัติเอกสารใบลาออกก็จะถูกดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  ในขณะที่ชินนิยังยืนอยู่เฉยๆตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร มารีวางถ้วยชาลงและหันมาพูดกับชินนิตรงๆ

 

“จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก แต่เธอน่ะ ระวังเรื่องมารยาทเอาไว้หน่อยก็ดี”

“ต้องขอโทษด้วย ทางบ้านไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? ถ้าจำไม่ผิด เธอคือ… ชินนิ จากตระกูลขุนนางจากวัลเบิร์ตไม่ใช่เหรอ?”

 

   คำพูดนั้นทำให้ชินนิประหลาดใจ ตำแหน่งขุนนางของเธอมีแค่ชื่อเท่านั้น ไม่เคยมีผลงานและไม่โดดเด่น จึงไม่คิดว่าจะมีคนรู้จัก

 

“นักเรียนของที่นี่ส่วนใหญ่ฉันจำได้หมดแหละ โดยเฉพาะชนขั้นสูง”

“อ่า ค่ะ”

 

  มารีตอบกลับราวกับรู้ว่าชินนิคิดอะไรอยู่ในใจ ทำให้ชินนิเริ่มหวาดระแวงเด็กสาวที่อายุเท่ากับเธอ

 

  แต่สิ่งที่เธอจะทำก็ยังไม่เปลี่ยน ชินนิต้องการหนีออกห่างจากสถานที่แห่งความดีงามอันน่ารังเกียจสำหรับเธอแห่งนี้ ชินนิจึงมองตรงมาที่มารีและทำในสิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วต่อไป

 

“ฉันมาขอลาออกค่ะ เก็บของเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทางภายในวันนี้”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่อยากเสียเงินเรียนต่อค่ะ ถึงจะอยู่ต่อไปก็คงเรียนไม่จบอยู่ดี”

 

   ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอไม่ต้องการประกาศนียบัตรจากโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรก และเงินของเธอก็หมดลงแล้ว หากมีเหลืออยู่ก็ขอเลือกใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันดีกว่า เพราะเธอไม่ใช่นักเรียนที่ดี เพียงเท่านี้ พวกเขาก็จะโบกมือลาพร้อมหัวเราะไล่หลังกันได้แล้ว

 

“คุณผู้อำนวยการ ถ้ามีประวัติของนักเรียนคนนี้เก็บเอาไว้ ฉันขอดูหน่อยได้ไหมคะ?”

 

   ผู้อำนวยการพยักหน้าให้กับคำขอของมารี จากนั้นก็ลุกไปทางชั้นวางเอกสารที่เรียงอยู่บนผนังห้อง หลังจากมองหาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบเอกสารขนาดเท่าหนังสือเล่มหนึ่งออกมา 

 

  ชินนิเข้าใจว่ามันคือรายงานหรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ มารีเปิดอ่านเอกสารที่รับมาจากผู้อำนวยการ พลิกดูทีละหน้าสลับกับหันมามองทางชินนิ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

 

“นี่มัน… เลวร้ายจริงๆ”

“ค่ะ เลวร้ายสุดๆเลย”

 

   ชินนิยิ้มแหยๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เข้าเรียนแทบจะนับครั้งได้ ผลการเรียนที่เคยอยู่ระดับกลางๆ ตอนนี้คงรั้งท้ายไปไกล

 

   ในใจของชินนิกลับร่าเริง หากเจ้าหญิงมารีเบลเป็นผู้ที่อนุมัติการลาออกของเธอก็จะไม่ใครกล้าคัดค้าน ถึงจะต่างจากที่วางแผนเอาไว้แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี

 

   ―แต่ความจริงก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด

 

“เลวร้ายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก… ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าวัลเบิร์ตถูกมังกรโจมตี แต่ถึงขั้นที่ไม่เหลือบ้าน ไม่เหลือครอบครัว หมดสิ้นทั้งตระกูล… ไม่คิดเลยว่ายังมีผู้เคราะห์ร้ายแบบเธออยู่อีก…”

“อะ? อ่า? เอ๋?”

 

  บนหัวของชินนิตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามมากมาย สิ่งที่มารีกำลังอ่านคือรายงานความความประพฤติกับผลการเรียนของชินนิ และในรายงานนั้นก็ประเมินให้ชินนิอยู่ระดับต่ำสุดอย่างที่เธอคาดไว้

 

  แต่ในเอกสารเหล่านั้นก็ยังรวมถึงประวัติของเธอ ซึ่งมันได้บอกเอาไว้ว่า

 

   ‘ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลขุนนางระดับสูงจากวัลเบิร์ต จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่จากเฮลิฟาลเต้ที่ถูกส่งไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมังกร ระบุว่าไม่พบคฤหาสน์บ้านตระกูลของเธอ และนอกจากชินนิแล้ว ในรายชื่อผู้รอดชีวิต ไม่มีคนในครอบครัวของเธอแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้กระทั้งคนรับใช้ที่รู้จักเธอ กรณีที่เลวร้ายที่สุด คาดว่าทั้งหมดถูกทำลายและทุกคนได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความพิโรธของมังกรแดง ซึ่งนับเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับผลกระทบจากคำสาปของแม่มด’

 

“เอ๋!? เรื่องนั้น มัน….”

 

   ชินนิยิ่งรู้สึกแปลกใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องที่อยู่ในรายงานนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเธอมีแต่ชื่อ การที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้รอดชีวิตก็เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก ทั้งบ้าน ตระกูล ครอบครัว แม้กระทั่งคนรับใช้ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นความลับสำหรับคนอื่นๆ

 

   ด้วยเหตุนั้น หน่วยข่าวกรองของเฮลิฟาลเต้จึงสรุปว่า เธอเป็น ‘หนึ่งในผู้เสียหายที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินทั้งหมดจากมังกร’ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มี

 

   คำพูดที่ว่า ‘เลวร้าย’ ของมารี หมายถึงความสูญเสียที่ชินนิต้องเผชิญ โดยไม่เกี่ยวกับผลการเรียนของชินนิ แม้อยากอธิบายก็พูดไม่ได้ว่า ‘อ๋อ ขุนนางอะไรนั่นไม่มีอยู่จริงหรอก จริงๆแล้วฉันอยู่ฝั่งเดียวกับแม่มดที่ก่อเรื่องต่างหาก’ นั่นจะทำให้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ ชินนิจึงได้แต่ฟังต่อไปอย่างเงียบๆ

 

“เพราะเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากพวกผู้ใช้คำสาป จนต้องทนทุกข์เพราะโดยลูกหลงจากมังกร ถึงจะไม่มีทั้งบ้านและครอบครับ แต่ก็อย่างเพิ่งหมดหวังล่ะ”

“เรื่องพวกนั้น ฉันไม่คิดถึงมันแล้วค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงมารีเบล ด้วยเกียรตินั้น ฉันสามารถลาออกจากโรงเรียนนี้ได้อย่างภาคภูมิใจแล้วค่ะ”

“เข็มแข็งดีนี่นา คนแบบเธอฉันก็ชอบนะ”

 

   ชินนิพูดประชด แต่มารีก็มองมาด้วยความเห็นใจ จริงๆแล้วเธอแค่มายื่นใบลาออกเท่านั้น หวังว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้จะจบลงเสียที จะได้ออกจากที่นี่ไปให้พ้นๆ

 

“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่ฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้เธอ”

“ข่าวดี อะไรหรือคะ?”

 

   แม้สังหรณ์ใจว่ามันจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเธอเสียมากกว่า แต่ชินนิก็ถามกลับไป

 

“ยินดีด้วย! ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้ คนนี้ ขออนุมัติให้ชินนิได้เรียนต่อจนกว่าจะจบหลักสูตรการศึกษา”

“…ห๊ะ?”

 

  ชินนิที่พยายามอดกลั้นทำตัวนิ่งเฉยถึงกับเผลอส่งเสียงแปลกๆออกมา เธอไม่รู้ว่ามารีคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“แต่ว่า! ไม่มีเงินชำระค่าเทอมแล้วนะคะ!”

 

   ข้ออ้างสุดท้ายของชินนิเพื่อปฏิเสธกับมารี เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานศึกษานี้อีกแล้ว ถึงจะอยู่ต่อก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนอยู่ดี ในตอนนั้นเอง ผู้อำนวยการที่นั่งฟังเด็กสาวทั้งสองคุยกันมาตลอดก็เอ่ยปากพูดออกมาบ้าง

 

“หมายความว่า ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ รับเธอเข้ามาเป็นนักเรียนทุนแล้วยังไงล่ะ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้อีกต่อไป”

“มูลนิธินักบุญเซเลน?”

 

   ชินนิพูดทวนคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหู

 

“เรียกง่ายๆว่าเป็นหน่วยงานไว้ดูแลเงินบริจาคที่ท่านเซเลนหลงเหลือเอาไว้ ท่านมารีเบลก็มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนี้แหละ”

“ท่านเซเลน… เหรอ?”

“ถูกต้อง ท่านเซเลน หรือที่เรียกกันว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าขายกับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นเงินจำนวนมหาศาล เธอบริจาคมันทั้งหมดเพื่อการศึกษา และท่านมารีเบลได้ใช้ความสามารถทั้งหมดจัดตั้งมูลนิธิเข้ามาดูแลเงินทุนสำรองเหล่านั้น เพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ และผู้ที่โชคร้ายจนสูญเสียโอกาส”

“ทำไม… ถึงเป็นฉันล่ะคะ!?”

“การที่บ้านของเธอตกเป็นเหยื่อของมังกรจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็เท่ากับว่าตรงตามเงื่อนไขแล้ว”

“…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ?”

 

  ตัวเธอนั้นตรงข้ามกับการเป็นเหยื่อของแม่มด เธอคือหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าความจริงในข้อนี้เล็ดลอดออกไปจะต้องถูกหมายหัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็สารภาพออกไปไม่ได้

 

“ฉันไม่ใจร้ายขนาดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกน่า และเซเลนก็เคยขอร้องผู้อำนวยการเอาไว้ว่า อย่าปล่อยให้เด็กผู้หญิงต้องลาออก”

“เอ่อ…”

“ผมเองก็เข้าใจเจตนาของท่านเซเลนดี เด็กสาวผู้ด้อยโอกาสมักตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง”

 

   ทั้งมารี ผู้อำนวยการ และครูบาอาจารย์ทุกคนของเฮลิฟาลเต้ ล้วนเชื่อว่านั่นคือความคิดของเธอ แต่สำหรับเซเลน มันคือสินบนเพื่ออนุญาตให้เธอเข้าออกสถานศึกษาแห่งนี้ จะได้มาเข้าพบพี่สาว อาลัว ได้อย่างเปิดเผยทุกเวลา

 

   ถึงอย่างนั้น เซเลนก็ยังไม่เคยลืมเป้าหมายเดิม นั่นคือการลงทุนสร้างสถานบันเทิงที่มีแต่ผู้หญิง สำหรับผู้หญิง และให้เด็กแปดขวบใช้บริการได้(ข้อนี้สำคัญมาก) จึงพยายามดัดแปลงแก้ไขให้กลายเป็น ‘ฮาเร็มในรั้วโรงเรียน’ เหมือนฉากจบของเกมสำหรับผู้ใหญ่หลายๆเกม

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นที่ที่รวบรวมเด็กสาวจากครอบครัวผู้ดีมาจากทั่วทั้งทวีป ซึ่งมีแนวโน้มว่าหน้าตาน่ารักสวยงามทุกคน โดยแผนการของเธอคือ ใช้เงินหลอกล่อสาวน้อยวัยแรกรุ่นเหล่านั้นเอาไว้สร้างฮาเร็มขนาดย่อม เป็นอีกหนึ่งในแผนการสิ้นคิดของเธอ

 

   ทุกครั้งที่เซเลนมาเยี่ยมอาลัวก็ต้องได้พบกับผู้อำนวยการอย่างช่วยไม่ได้  จึงพูดย้ำอยู่เป็นประจำว่า ‘นักเรียนหญิงที่ต้องการลาออก ให้ช่วยห้ามเอาไว้ให้ได้มากที่สุด’ เพราะไม่ยอมให้อัตราส่วนของนักเรียนหญิงลดลงไป

 

   มูลนิธินักบุญเซเลนได้นำความตั้งใจของเธอมาตั้งเป็นข้อปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับผู้หญิงก่อน ผู้ชายจะได้รับทุนก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เกิดเป็นคำขวัญ ‘เงินมีจำกัด ลูกผู้ชายต้องขยันอดทน ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ อย่ามัวแต่รอโอกาส’ ที่ถูกตีความบิดเบือนจากคำพูดของเซเลน

 

   ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคิดของเซเลนนัก เนื่องจากเซเลนเป็นอดีตชายวัยกลางคนฐานะไม่สู้ดี จึงถือคติว่า ‘หากเป็นผู้ชายด้วยกันเดือดร้อนเงินทอง แม้เป็นญาติก็ยังต้องลังเล’ จะให้ได้ก็มีเพียงความรู้สึกเห็นใจเท่านั้น 

 

   กลับมาที่ชินนิ เธอเป็นผู้ต้องหาที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้เสียหาย แต่ด้วยนโยบายของเซเลน เธอจึงโชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจริงๆ และจะถูกขังไว้ในสถานศึกษาแห่งนี้ต่อไปอีกนาน

 

   เงินทุนนั้น ครอบคลุมถึงค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น น้ำหนักของคำประกาศ ‘ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้’ หนักหนาจนทำให้ชินนิไม่กล้าปฏิเสธ

 

   ชินนิจึงต้องติดอยู่ในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ สำหรับเธอมันเป็นเสมือนคุกที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในทวีป

 

   ชินนิคิดหาคำพูดไม่ได้ ในใจได้ตระหนักแล้วว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนเป็นคนที่มองการณ์ไกล ห่วงใยผู้อื่น ความคิดลึกซึ้งเกินเด็กวัยแปดขวบจริงอย่างที่คนอื่นๆลือกัน อันที่จริง อีกฝ่ายเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว แต่ความจริงนั้นก็ถูกกลบจนมิด

 

   การได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงแสงจันทร์ ทำให้ชินนิไม่พอใจมากขึ้น ต้องใช้ชีวิตโดยเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการจากศัตรู อีกทั้งเธอก็ยังโมโหตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์กับพรรคพวกของแก…! ฉันไม่มีวันโอนอ่อนไปกับความเมตตานั่นหรอก!”

 

   สุดท้าย ชินนิก็ไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนตามที่ตั้งใจไว้ เธอกลับมาที่ห้อง เคาะไม้เท้ากับพื้นอย่างแรงขณะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นให้โคคุมารุได้ฟัง และผลก็คือ ถูกหัวเราะเยอะสมน้ำหน้า เธอจึงใช้ไม้เท้านั้นไล่ตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

   หลังจากนี้อีกหลายวัน ชินนิที่จมอยู่กับความแค้นต่อเจ้าหญิงแสงจันทร์จะหลบหนีไปยังโลกที่ไม่มีใครเคยเห็น

 

   ― และเมื่อถึงวันนั้น มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51

มูลนิธินักบุญเซเลน

 

 

   ในช่วงเวลาหลังจากผู้สาปแช่งถูกสังหาร ชินนิใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายเดือน เธอไม่ได้เข้าเรียนตามปรกติ แต่ใช้เวลาทั้งหมดวิจัยเกี่ยวกับเวทมนตร์และคำสาปอยู่ในห้องของเธอที่หอพักสำหรับนักเรียนภายในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้

 

“ภารกิจที่ท่านผู้สาปแช่งทำไม่สำเร็จ ฉันจะเป็นคนจบมันเอง!”

 

   ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ชินนิไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องอื่นใดนอกจากคำสาป เธอจึงมั่นใจว่าสามารถสร้างแมลงดับสงสุริยาขึ้นมาได้อีกครั้ง เพื่อสานต่องานที่อาจารย์ของเธอทำไม่สำเร็จ เธอหมกมุ่นกับความเชื่อเช่นนี้

 

   ชินนิเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทำการทดลองอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนอื่นๆตีตัวออกห่างเธอจนหมด เหลือเพียงคนเดียวที่ยังพยายามให้คำแนะนำเธอ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเท่านั้น และเพราะคนผู้นี้ ที่ทำให้ชินนิไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ปรกติ

 

   อีกหนึ่งคน หรือเรียกให้ถูกว่า นกอีกหนึ่งตัว วันนี้ก็พูดคุยกับชินนิเหมือนเช่นเคย

 

[“เฮ้ย วันนี้ก็ไม่ออกไหนอีกเหรอ? คิดจะเน่าตายอยู่ตรงนี้หรือไง?”]

“หุบปาก ตอนนี้ไม่ว่างมาคุยกับแก”

[“เออเออ กลัวแล้วกลัวแล้ว”]

 

   โคคุมารุพูดกับชินนิราวกับโต้เถียง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสัตว์อสูรที่คอยรับคำสั่งจากผู้สาปแช่ง หลังจากโคคุมารุใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีมังกรที่โผล่มาอาละวาดอย่างกะทันหัน เขาได้พบกับชินนิก่อนพลังเวทที่สะสมไว้จะหมดลง

 

   ในฐานะที่เป็นมรดกชิ้นหนึ่งจากผู้สาปแช่ง ชินนิเก็บโคคุมารุไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น และทำให้กลายเป็นสัตว์อสูรของตนเอง แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชินนิไม่เคยทำมาก่อน แทนที่เธอจะมอบพลังเวทอย่างพอเหมาะจนทำให้มันเชื่อฟังได้ระดับหนึ่งเหมือนอย่างที่ผู้สาปแช่งทำ เธอใช้พลังเวทกับมันมากเกินไปจนพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นอีกาปากเสียผู้รอบรู้

 

   แต่การที่ชินนิเป็นผู้ใช้คำสาปที่เหลือเพียงตัวคนเดียว โคคุมารุจึงเป็นเพื่อนที่ดีซึ่งสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องสำหรับเธอ อีกทั้งปรกติก็มักจะจะทำตัวน่ารำคาญและไม่ยอมทำตามคำสั่ง จึงใกล้เคียงกับคู่หูจอมวายร้ายมากกว่าเป็นคนรับใช้

 

  เธอให้เวลานานเกือบสองปีในการวิจัยเพื่อคิดค้นเวทมนตร์หิ่งห้อยเงา และในตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์ ชินนิเรียกใช้งานเวทมนตร์ดังกล่าวแต่ก็ผิดหวัง

 

“ไอ้นี่ ไม่มีคุณสมบัติของแมลงดับแสงสุริยา…”

 

  การสร้างสรรค์ผลงานระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวภายในเวลาเพียงแค่สองปีนั้น แสดงให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ความพากเพียร และความพยายามของชินนิ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่พอใจกับผลที่ได้มา

 

  เวทมนตร์ที่ก่อรูปร่างขึ้นมาจากเงาและยังเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ความปรารถนาของชินนิคือการทำให้ระเบียบของทวีปนี้พังพินาศ และให้ผู้คำสาปกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมแล้วมันคือความปรารถนาของผู้สาปแช่ง

 

   ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ยังไม่หมดหวังกับหิ่งห้อยเงา หิ่งห้อยเงาคือสิ่งที่ก่อร่างจากเวทมนตร์อีกทั้งยังควบคุมได้ง่าย ถึงจะอ่อนแอแต่ก็ยังพอประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่าง

 

   อย่างน้อย ถ้าใช้มันขโมยอาหารเล็กๆน้อยตามร้านต่างๆในเมืองก็พอทำให้ไม่อดตาย หรือหากถูกจับได้ขึ้นมาก็ใช้ความสามารในการย้อมสีเพื่อปลอมตัวหลบหนี

 

   เมื่อครบกำหนด ค่าเล่าเรียนที่ถูกชำระไว้ล่วงหน้าได้หมดลง ชินนิก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนนี้ เพราะแหล่งหาเงินขององค์กร เจ้าหญิงเอนเต้ ถูกเนรเทศไปยังดินแดนตะวันออกนอกทวีป หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น วัลเบิร์ตก็อยู่ในสภาพขาดแคลนเงินทุนเนื่องจากงานซ่อมแซมบูรณะเมืองหลวง

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งในทวีปที่มีผู้ต้องการเข้าสมัครมากมาย ไม่ใช่สถานที่สำหรับบุตรสาวขุนนางจอมปลอมจะเข้ามาเอ้อระเหย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการอยู่ภายใต้ความรุ่งเรื่องที่เจ้าหญิงแสงจันทร์หลงเหลือไว้ให้

 

[“มีที่ให้นอน อาหารสามมื้อ ดีจะตาย”]

“ดีสำหรับแกน่ะสิ ฉันไม่เอาด้วยหรอก แล้วอีกอย่าง นักเรียนสอบตก ค่าเทอมไม่จ่าย ใครเขาจะเอาไว้”

 

   ขินนิเก็บสัมภาระต่อไป เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็จะออกจากโรงเรียนนี้ในทันที แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องไปพบกับผู้อำนวยการ เธอเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ใช่คนที่เธอจะเข้าไปคุยด้วยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องมาเข้าพบ

 

“ถ้าเป็นนักเรียนไร้มารยาทคนหนึ่ง จะปล่อยให้ลาออกง่ายขึ้นหรือเปล่านะ”

 

   หลังจากเคาะประตูอย่างหยาบๆ ชินนิก็ผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่รอคำตอบรับ

 

“อ๊ะ”

 

  เมื่อบุกรุกเข้ามาในห้องได้สำเร็จ จากที่คิดไว้ว่าจะได้พบกับผู้อำนวยการ กลับกลายเป็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน ทำให้ชินนิได้แต่ยืนตัวแข็ง

 

“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา!”

 

   ผู้อำนวยการสูงอายุผมหงอกขาวแต่งตัวเรียบร้อย อีกฝั่งหนึ่งคือเด็กสาวที่กำลังนั่งดื่มชา เธออยู่ในชุดสีแดงเหมือนดอกกุหลาบ ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ตัดสั้นเสมอบ่า หน้าตาสะสวย ไม่ใครในเฮลิฟาลเต้ที่ไม่รู้จักเธอ

 

“(มารีเบล เฮลิฟาลเต้)”

 

  ไม่ใช่แค่เข้ามารบกวนผู้อำนวยการด้วยเรื่องส่วนตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจถูกไล่ออกก่อนขอลาออกได้เลยด้วยซ้ำ แต่ชินนิก็ยังประหลาดใจกับแขกที่คาดไม่ถึงคนนี้ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งของเฮลิฟาลเต้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาเฉยๆแน่

 

“ฉันกำลังคุยเรื่องแนวทางการใช้จ่ายเงินทุนกับผู้อำนวยการอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้ามา”

“อ-เอ่อ ทราบแล้วค่ะ…”

 

   จากคำพูดของมารี ทำให้ชินนิพอจะเดาเหตุผลได้ เมื่อสองปีก่อน ในตอนที่เจ้าหญิงแสงจันทร์ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึงรายได้ทั้งหมดนับจากนั้น ให้กับสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และเป็นที่รู้กันว่าเธอสนิทสนมกับเจ้าหญิงมารีเบลเป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงได้รับหน้าที่นั้นมาทำแทนต่อไป

 

   มารีในตอนนี้มีอายุสิบสองปี เธอคนนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ‘ของเหลือจากองค์ชายศักดิ์สิทธิ์’ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมถึงเงินสนับสนุนระบบสาธารณสุขอีกหลายด้าน

 

   สมัยก่อน เธอเป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เย่อหยิ่ง การที่เธอตัดผมที่เคยไว้ยาวถึงกลางหลังให้สั้นลง หมายถึงการละทิ้งความหยิ่งผยองในอดีต และแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของเพื่อนคนสำคัญของเธอ เซเลน

 

   ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับมารีที่นี่ อันที่จริงก็เรียกได้ว่าโอกาสเหมาะเลยทีเดียว ต่อหน้าคนที่แม้แต่ผู้อำนวยการยังต้องเกรงใจ การอนุมัติเอกสารใบลาออกก็จะถูกดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  ในขณะที่ชินนิยังยืนอยู่เฉยๆตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร มารีวางถ้วยชาลงและหันมาพูดกับชินนิตรงๆ

 

“จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก แต่เธอน่ะ ระวังเรื่องมารยาทเอาไว้หน่อยก็ดี”

“ต้องขอโทษด้วย ทางบ้านไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? ถ้าจำไม่ผิด เธอคือ… ชินนิ จากตระกูลขุนนางจากวัลเบิร์ตไม่ใช่เหรอ?”

 

   คำพูดนั้นทำให้ชินนิประหลาดใจ ตำแหน่งขุนนางของเธอมีแค่ชื่อเท่านั้น ไม่เคยมีผลงานและไม่โดดเด่น จึงไม่คิดว่าจะมีคนรู้จัก

 

“นักเรียนของที่นี่ส่วนใหญ่ฉันจำได้หมดแหละ โดยเฉพาะชนขั้นสูง”

“อ่า ค่ะ”

 

  มารีตอบกลับราวกับรู้ว่าชินนิคิดอะไรอยู่ในใจ ทำให้ชินนิเริ่มหวาดระแวงเด็กสาวที่อายุเท่ากับเธอ

 

  แต่สิ่งที่เธอจะทำก็ยังไม่เปลี่ยน ชินนิต้องการหนีออกห่างจากสถานที่แห่งความดีงามอันน่ารังเกียจสำหรับเธอแห่งนี้ ชินนิจึงมองตรงมาที่มารีและทำในสิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วต่อไป

 

“ฉันมาขอลาออกค่ะ เก็บของเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทางภายในวันนี้”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่อยากเสียเงินเรียนต่อค่ะ ถึงจะอยู่ต่อไปก็คงเรียนไม่จบอยู่ดี”

 

   ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอไม่ต้องการประกาศนียบัตรจากโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรก และเงินของเธอก็หมดลงแล้ว หากมีเหลืออยู่ก็ขอเลือกใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันดีกว่า เพราะเธอไม่ใช่นักเรียนที่ดี เพียงเท่านี้ พวกเขาก็จะโบกมือลาพร้อมหัวเราะไล่หลังกันได้แล้ว

 

“คุณผู้อำนวยการ ถ้ามีประวัติของนักเรียนคนนี้เก็บเอาไว้ ฉันขอดูหน่อยได้ไหมคะ?”

 

   ผู้อำนวยการพยักหน้าให้กับคำขอของมารี จากนั้นก็ลุกไปทางชั้นวางเอกสารที่เรียงอยู่บนผนังห้อง หลังจากมองหาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบเอกสารขนาดเท่าหนังสือเล่มหนึ่งออกมา 

 

  ชินนิเข้าใจว่ามันคือรายงานหรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ มารีเปิดอ่านเอกสารที่รับมาจากผู้อำนวยการ พลิกดูทีละหน้าสลับกับหันมามองทางชินนิ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

 

“นี่มัน… เลวร้ายจริงๆ”

“ค่ะ เลวร้ายสุดๆเลย”

 

   ชินนิยิ้มแหยๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เข้าเรียนแทบจะนับครั้งได้ ผลการเรียนที่เคยอยู่ระดับกลางๆ ตอนนี้คงรั้งท้ายไปไกล

 

   ในใจของชินนิกลับร่าเริง หากเจ้าหญิงมารีเบลเป็นผู้ที่อนุมัติการลาออกของเธอก็จะไม่ใครกล้าคัดค้าน ถึงจะต่างจากที่วางแผนเอาไว้แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี

 

   ―แต่ความจริงก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด

 

“เลวร้ายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก… ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าวัลเบิร์ตถูกมังกรโจมตี แต่ถึงขั้นที่ไม่เหลือบ้าน ไม่เหลือครอบครัว หมดสิ้นทั้งตระกูล… ไม่คิดเลยว่ายังมีผู้เคราะห์ร้ายแบบเธออยู่อีก…”

“อะ? อ่า? เอ๋?”

 

  บนหัวของชินนิตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามมากมาย สิ่งที่มารีกำลังอ่านคือรายงานความความประพฤติกับผลการเรียนของชินนิ และในรายงานนั้นก็ประเมินให้ชินนิอยู่ระดับต่ำสุดอย่างที่เธอคาดไว้

 

  แต่ในเอกสารเหล่านั้นก็ยังรวมถึงประวัติของเธอ ซึ่งมันได้บอกเอาไว้ว่า

 

   ‘ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลขุนนางระดับสูงจากวัลเบิร์ต จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่จากเฮลิฟาลเต้ที่ถูกส่งไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมังกร ระบุว่าไม่พบคฤหาสน์บ้านตระกูลของเธอ และนอกจากชินนิแล้ว ในรายชื่อผู้รอดชีวิต ไม่มีคนในครอบครัวของเธอแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้กระทั้งคนรับใช้ที่รู้จักเธอ กรณีที่เลวร้ายที่สุด คาดว่าทั้งหมดถูกทำลายและทุกคนได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความพิโรธของมังกรแดง ซึ่งนับเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับผลกระทบจากคำสาปของแม่มด’

 

“เอ๋!? เรื่องนั้น มัน….”

 

   ชินนิยิ่งรู้สึกแปลกใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องที่อยู่ในรายงานนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเธอมีแต่ชื่อ การที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้รอดชีวิตก็เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก ทั้งบ้าน ตระกูล ครอบครัว แม้กระทั่งคนรับใช้ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นความลับสำหรับคนอื่นๆ

 

   ด้วยเหตุนั้น หน่วยข่าวกรองของเฮลิฟาลเต้จึงสรุปว่า เธอเป็น ‘หนึ่งในผู้เสียหายที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินทั้งหมดจากมังกร’ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มี

 

   คำพูดที่ว่า ‘เลวร้าย’ ของมารี หมายถึงความสูญเสียที่ชินนิต้องเผชิญ โดยไม่เกี่ยวกับผลการเรียนของชินนิ แม้อยากอธิบายก็พูดไม่ได้ว่า ‘อ๋อ ขุนนางอะไรนั่นไม่มีอยู่จริงหรอก จริงๆแล้วฉันอยู่ฝั่งเดียวกับแม่มดที่ก่อเรื่องต่างหาก’ นั่นจะทำให้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ ชินนิจึงได้แต่ฟังต่อไปอย่างเงียบๆ

 

“เพราะเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากพวกผู้ใช้คำสาป จนต้องทนทุกข์เพราะโดยลูกหลงจากมังกร ถึงจะไม่มีทั้งบ้านและครอบครับ แต่ก็อย่างเพิ่งหมดหวังล่ะ”

“เรื่องพวกนั้น ฉันไม่คิดถึงมันแล้วค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงมารีเบล ด้วยเกียรตินั้น ฉันสามารถลาออกจากโรงเรียนนี้ได้อย่างภาคภูมิใจแล้วค่ะ”

“เข็มแข็งดีนี่นา คนแบบเธอฉันก็ชอบนะ”

 

   ชินนิพูดประชด แต่มารีก็มองมาด้วยความเห็นใจ จริงๆแล้วเธอแค่มายื่นใบลาออกเท่านั้น หวังว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้จะจบลงเสียที จะได้ออกจากที่นี่ไปให้พ้นๆ

 

“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่ฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้เธอ”

“ข่าวดี อะไรหรือคะ?”

 

   แม้สังหรณ์ใจว่ามันจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเธอเสียมากกว่า แต่ชินนิก็ถามกลับไป

 

“ยินดีด้วย! ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้ คนนี้ ขออนุมัติให้ชินนิได้เรียนต่อจนกว่าจะจบหลักสูตรการศึกษา”

“…ห๊ะ?”

 

  ชินนิที่พยายามอดกลั้นทำตัวนิ่งเฉยถึงกับเผลอส่งเสียงแปลกๆออกมา เธอไม่รู้ว่ามารีคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“แต่ว่า! ไม่มีเงินชำระค่าเทอมแล้วนะคะ!”

 

   ข้ออ้างสุดท้ายของชินนิเพื่อปฏิเสธกับมารี เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานศึกษานี้อีกแล้ว ถึงจะอยู่ต่อก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนอยู่ดี ในตอนนั้นเอง ผู้อำนวยการที่นั่งฟังเด็กสาวทั้งสองคุยกันมาตลอดก็เอ่ยปากพูดออกมาบ้าง

 

“หมายความว่า ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ รับเธอเข้ามาเป็นนักเรียนทุนแล้วยังไงล่ะ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้อีกต่อไป”

“มูลนิธินักบุญเซเลน?”

 

   ชินนิพูดทวนคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหู

 

“เรียกง่ายๆว่าเป็นหน่วยงานไว้ดูแลเงินบริจาคที่ท่านเซเลนหลงเหลือเอาไว้ ท่านมารีเบลก็มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนี้แหละ”

“ท่านเซเลน… เหรอ?”

“ถูกต้อง ท่านเซเลน หรือที่เรียกกันว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าขายกับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นเงินจำนวนมหาศาล เธอบริจาคมันทั้งหมดเพื่อการศึกษา และท่านมารีเบลได้ใช้ความสามารถทั้งหมดจัดตั้งมูลนิธิเข้ามาดูแลเงินทุนสำรองเหล่านั้น เพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ และผู้ที่โชคร้ายจนสูญเสียโอกาส”

“ทำไม… ถึงเป็นฉันล่ะคะ!?”

“การที่บ้านของเธอตกเป็นเหยื่อของมังกรจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็เท่ากับว่าตรงตามเงื่อนไขแล้ว”

“…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ?”

 

  ตัวเธอนั้นตรงข้ามกับการเป็นเหยื่อของแม่มด เธอคือหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าความจริงในข้อนี้เล็ดลอดออกไปจะต้องถูกหมายหัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็สารภาพออกไปไม่ได้

 

“ฉันไม่ใจร้ายขนาดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกน่า และเซเลนก็เคยขอร้องผู้อำนวยการเอาไว้ว่า อย่าปล่อยให้เด็กผู้หญิงต้องลาออก”

“เอ่อ…”

“ผมเองก็เข้าใจเจตนาของท่านเซเลนดี เด็กสาวผู้ด้อยโอกาสมักตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง”

 

   ทั้งมารี ผู้อำนวยการ และครูบาอาจารย์ทุกคนของเฮลิฟาลเต้ ล้วนเชื่อว่านั่นคือความคิดของเธอ แต่สำหรับเซเลน มันคือสินบนเพื่ออนุญาตให้เธอเข้าออกสถานศึกษาแห่งนี้ จะได้มาเข้าพบพี่สาว อาลัว ได้อย่างเปิดเผยทุกเวลา

 

   ถึงอย่างนั้น เซเลนก็ยังไม่เคยลืมเป้าหมายเดิม นั่นคือการลงทุนสร้างสถานบันเทิงที่มีแต่ผู้หญิง สำหรับผู้หญิง และให้เด็กแปดขวบใช้บริการได้(ข้อนี้สำคัญมาก) จึงพยายามดัดแปลงแก้ไขให้กลายเป็น ‘ฮาเร็มในรั้วโรงเรียน’ เหมือนฉากจบของเกมสำหรับผู้ใหญ่หลายๆเกม

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นที่ที่รวบรวมเด็กสาวจากครอบครัวผู้ดีมาจากทั่วทั้งทวีป ซึ่งมีแนวโน้มว่าหน้าตาน่ารักสวยงามทุกคน โดยแผนการของเธอคือ ใช้เงินหลอกล่อสาวน้อยวัยแรกรุ่นเหล่านั้นเอาไว้สร้างฮาเร็มขนาดย่อม เป็นอีกหนึ่งในแผนการสิ้นคิดของเธอ

 

   ทุกครั้งที่เซเลนมาเยี่ยมอาลัวก็ต้องได้พบกับผู้อำนวยการอย่างช่วยไม่ได้  จึงพูดย้ำอยู่เป็นประจำว่า ‘นักเรียนหญิงที่ต้องการลาออก ให้ช่วยห้ามเอาไว้ให้ได้มากที่สุด’ เพราะไม่ยอมให้อัตราส่วนของนักเรียนหญิงลดลงไป

 

   มูลนิธินักบุญเซเลนได้นำความตั้งใจของเธอมาตั้งเป็นข้อปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับผู้หญิงก่อน ผู้ชายจะได้รับทุนก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เกิดเป็นคำขวัญ ‘เงินมีจำกัด ลูกผู้ชายต้องขยันอดทน ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ อย่ามัวแต่รอโอกาส’ ที่ถูกตีความบิดเบือนจากคำพูดของเซเลน

 

   ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคิดของเซเลนนัก เนื่องจากเซเลนเป็นอดีตชายวัยกลางคนฐานะไม่สู้ดี จึงถือคติว่า ‘หากเป็นผู้ชายด้วยกันเดือดร้อนเงินทอง แม้เป็นญาติก็ยังต้องลังเล’ จะให้ได้ก็มีเพียงความรู้สึกเห็นใจเท่านั้น 

 

   กลับมาที่ชินนิ เธอเป็นผู้ต้องหาที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้เสียหาย แต่ด้วยนโยบายของเซเลน เธอจึงโชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจริงๆ และจะถูกขังไว้ในสถานศึกษาแห่งนี้ต่อไปอีกนาน

 

   เงินทุนนั้น ครอบคลุมถึงค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น น้ำหนักของคำประกาศ ‘ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้’ หนักหนาจนทำให้ชินนิไม่กล้าปฏิเสธ

 

   ชินนิจึงต้องติดอยู่ในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ สำหรับเธอมันเป็นเสมือนคุกที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในทวีป

 

   ชินนิคิดหาคำพูดไม่ได้ ในใจได้ตระหนักแล้วว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนเป็นคนที่มองการณ์ไกล ห่วงใยผู้อื่น ความคิดลึกซึ้งเกินเด็กวัยแปดขวบจริงอย่างที่คนอื่นๆลือกัน อันที่จริง อีกฝ่ายเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว แต่ความจริงนั้นก็ถูกกลบจนมิด

 

   การได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงแสงจันทร์ ทำให้ชินนิไม่พอใจมากขึ้น ต้องใช้ชีวิตโดยเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการจากศัตรู อีกทั้งเธอก็ยังโมโหตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์กับพรรคพวกของแก…! ฉันไม่มีวันโอนอ่อนไปกับความเมตตานั่นหรอก!”

 

   สุดท้าย ชินนิก็ไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนตามที่ตั้งใจไว้ เธอกลับมาที่ห้อง เคาะไม้เท้ากับพื้นอย่างแรงขณะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นให้โคคุมารุได้ฟัง และผลก็คือ ถูกหัวเราะเยอะสมน้ำหน้า เธอจึงใช้ไม้เท้านั้นไล่ตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

   หลังจากนี้อีกหลายวัน ชินนิที่จมอยู่กับความแค้นต่อเจ้าหญิงแสงจันทร์จะหลบหนีไปยังโลกที่ไม่มีใครเคยเห็น

 

   ― และเมื่อถึงวันนั้น มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์

Now you are reading [นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 51

มูลนิธินักบุญเซเลน

 

 

   ในช่วงเวลาหลังจากผู้สาปแช่งถูกสังหาร ชินนิใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายเดือน เธอไม่ได้เข้าเรียนตามปรกติ แต่ใช้เวลาทั้งหมดวิจัยเกี่ยวกับเวทมนตร์และคำสาปอยู่ในห้องของเธอที่หอพักสำหรับนักเรียนภายในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้

 

“ภารกิจที่ท่านผู้สาปแช่งทำไม่สำเร็จ ฉันจะเป็นคนจบมันเอง!”

 

   ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ชินนิไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องอื่นใดนอกจากคำสาป เธอจึงมั่นใจว่าสามารถสร้างแมลงดับสงสุริยาขึ้นมาได้อีกครั้ง เพื่อสานต่องานที่อาจารย์ของเธอทำไม่สำเร็จ เธอหมกมุ่นกับความเชื่อเช่นนี้

 

   ชินนิเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทำการทดลองอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนอื่นๆตีตัวออกห่างเธอจนหมด เหลือเพียงคนเดียวที่ยังพยายามให้คำแนะนำเธอ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเท่านั้น และเพราะคนผู้นี้ ที่ทำให้ชินนิไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ปรกติ

 

   อีกหนึ่งคน หรือเรียกให้ถูกว่า นกอีกหนึ่งตัว วันนี้ก็พูดคุยกับชินนิเหมือนเช่นเคย

 

[“เฮ้ย วันนี้ก็ไม่ออกไหนอีกเหรอ? คิดจะเน่าตายอยู่ตรงนี้หรือไง?”]

“หุบปาก ตอนนี้ไม่ว่างมาคุยกับแก”

[“เออเออ กลัวแล้วกลัวแล้ว”]

 

   โคคุมารุพูดกับชินนิราวกับโต้เถียง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสัตว์อสูรที่คอยรับคำสั่งจากผู้สาปแช่ง หลังจากโคคุมารุใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีมังกรที่โผล่มาอาละวาดอย่างกะทันหัน เขาได้พบกับชินนิก่อนพลังเวทที่สะสมไว้จะหมดลง

 

   ในฐานะที่เป็นมรดกชิ้นหนึ่งจากผู้สาปแช่ง ชินนิเก็บโคคุมารุไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น และทำให้กลายเป็นสัตว์อสูรของตนเอง แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชินนิไม่เคยทำมาก่อน แทนที่เธอจะมอบพลังเวทอย่างพอเหมาะจนทำให้มันเชื่อฟังได้ระดับหนึ่งเหมือนอย่างที่ผู้สาปแช่งทำ เธอใช้พลังเวทกับมันมากเกินไปจนพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นอีกาปากเสียผู้รอบรู้

 

   แต่การที่ชินนิเป็นผู้ใช้คำสาปที่เหลือเพียงตัวคนเดียว โคคุมารุจึงเป็นเพื่อนที่ดีซึ่งสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องสำหรับเธอ อีกทั้งปรกติก็มักจะจะทำตัวน่ารำคาญและไม่ยอมทำตามคำสั่ง จึงใกล้เคียงกับคู่หูจอมวายร้ายมากกว่าเป็นคนรับใช้

 

  เธอให้เวลานานเกือบสองปีในการวิจัยเพื่อคิดค้นเวทมนตร์หิ่งห้อยเงา และในตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์ ชินนิเรียกใช้งานเวทมนตร์ดังกล่าวแต่ก็ผิดหวัง

 

“ไอ้นี่ ไม่มีคุณสมบัติของแมลงดับแสงสุริยา…”

 

  การสร้างสรรค์ผลงานระดับนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวภายในเวลาเพียงแค่สองปีนั้น แสดงให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ความพากเพียร และความพยายามของชินนิ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่พอใจกับผลที่ได้มา

 

  เวทมนตร์ที่ก่อรูปร่างขึ้นมาจากเงาและยังเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ความปรารถนาของชินนิคือการทำให้ระเบียบของทวีปนี้พังพินาศ และให้ผู้คำสาปกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งแต่เดิมแล้วมันคือความปรารถนาของผู้สาปแช่ง

 

   ถึงอย่างนั้น ชินนิก็ยังไม่หมดหวังกับหิ่งห้อยเงา หิ่งห้อยเงาคือสิ่งที่ก่อร่างจากเวทมนตร์อีกทั้งยังควบคุมได้ง่าย ถึงจะอ่อนแอแต่ก็ยังพอประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่าง

 

   อย่างน้อย ถ้าใช้มันขโมยอาหารเล็กๆน้อยตามร้านต่างๆในเมืองก็พอทำให้ไม่อดตาย หรือหากถูกจับได้ขึ้นมาก็ใช้ความสามารในการย้อมสีเพื่อปลอมตัวหลบหนี

 

   เมื่อครบกำหนด ค่าเล่าเรียนที่ถูกชำระไว้ล่วงหน้าได้หมดลง ชินนิก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนนี้ เพราะแหล่งหาเงินขององค์กร เจ้าหญิงเอนเต้ ถูกเนรเทศไปยังดินแดนตะวันออกนอกทวีป หรือต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น วัลเบิร์ตก็อยู่ในสภาพขาดแคลนเงินทุนเนื่องจากงานซ่อมแซมบูรณะเมืองหลวง

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งในทวีปที่มีผู้ต้องการเข้าสมัครมากมาย ไม่ใช่สถานที่สำหรับบุตรสาวขุนนางจอมปลอมจะเข้ามาเอ้อระเหย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการอยู่ภายใต้ความรุ่งเรื่องที่เจ้าหญิงแสงจันทร์หลงเหลือไว้ให้

 

[“มีที่ให้นอน อาหารสามมื้อ ดีจะตาย”]

“ดีสำหรับแกน่ะสิ ฉันไม่เอาด้วยหรอก แล้วอีกอย่าง นักเรียนสอบตก ค่าเทอมไม่จ่าย ใครเขาจะเอาไว้”

 

   ขินนิเก็บสัมภาระต่อไป เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็จะออกจากโรงเรียนนี้ในทันที แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องไปพบกับผู้อำนวยการ เธอเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ใช่คนที่เธอจะเข้าไปคุยด้วยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องมาเข้าพบ

 

“ถ้าเป็นนักเรียนไร้มารยาทคนหนึ่ง จะปล่อยให้ลาออกง่ายขึ้นหรือเปล่านะ”

 

   หลังจากเคาะประตูอย่างหยาบๆ ชินนิก็ผลักประตูเข้าไปทันทีโดยไม่รอคำตอบรับ

 

“อ๊ะ”

 

  เมื่อบุกรุกเข้ามาในห้องได้สำเร็จ จากที่คิดไว้ว่าจะได้พบกับผู้อำนวยการ กลับกลายเป็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน ทำให้ชินนิได้แต่ยืนตัวแข็ง

 

“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา!”

 

   ผู้อำนวยการสูงอายุผมหงอกขาวแต่งตัวเรียบร้อย อีกฝั่งหนึ่งคือเด็กสาวที่กำลังนั่งดื่มชา เธออยู่ในชุดสีแดงเหมือนดอกกุหลาบ ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ตัดสั้นเสมอบ่า หน้าตาสะสวย ไม่ใครในเฮลิฟาลเต้ที่ไม่รู้จักเธอ

 

“(มารีเบล เฮลิฟาลเต้)”

 

  ไม่ใช่แค่เข้ามารบกวนผู้อำนวยการด้วยเรื่องส่วนตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจถูกไล่ออกก่อนขอลาออกได้เลยด้วยซ้ำ แต่ชินนิก็ยังประหลาดใจกับแขกที่คาดไม่ถึงคนนี้ เจ้าหญิงลำดับหนึ่งของเฮลิฟาลเต้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาเฉยๆแน่

 

“ฉันกำลังคุยเรื่องแนวทางการใช้จ่ายเงินทุนกับผู้อำนวยการอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ควรเข้ามา”

“อ-เอ่อ ทราบแล้วค่ะ…”

 

   จากคำพูดของมารี ทำให้ชินนิพอจะเดาเหตุผลได้ เมื่อสองปีก่อน ในตอนที่เจ้าหญิงแสงจันทร์ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึงรายได้ทั้งหมดนับจากนั้น ให้กับสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และเป็นที่รู้กันว่าเธอสนิทสนมกับเจ้าหญิงมารีเบลเป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงได้รับหน้าที่นั้นมาทำแทนต่อไป

 

   มารีในตอนนี้มีอายุสิบสองปี เธอคนนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ‘ของเหลือจากองค์ชายศักดิ์สิทธิ์’ ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ และยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า รวมถึงเงินสนับสนุนระบบสาธารณสุขอีกหลายด้าน

 

   สมัยก่อน เธอเป็นเพียงเจ้าหญิงผู้เย่อหยิ่ง การที่เธอตัดผมที่เคยไว้ยาวถึงกลางหลังให้สั้นลง หมายถึงการละทิ้งความหยิ่งผยองในอดีต และแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของเพื่อนคนสำคัญของเธอ เซเลน

 

   ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับมารีที่นี่ อันที่จริงก็เรียกได้ว่าโอกาสเหมาะเลยทีเดียว ต่อหน้าคนที่แม้แต่ผู้อำนวยการยังต้องเกรงใจ การอนุมัติเอกสารใบลาออกก็จะถูกดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  ในขณะที่ชินนิยังยืนอยู่เฉยๆตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร มารีวางถ้วยชาลงและหันมาพูดกับชินนิตรงๆ

 

“จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก แต่เธอน่ะ ระวังเรื่องมารยาทเอาไว้หน่อยก็ดี”

“ต้องขอโทษด้วย ทางบ้านไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? ถ้าจำไม่ผิด เธอคือ… ชินนิ จากตระกูลขุนนางจากวัลเบิร์ตไม่ใช่เหรอ?”

 

   คำพูดนั้นทำให้ชินนิประหลาดใจ ตำแหน่งขุนนางของเธอมีแค่ชื่อเท่านั้น ไม่เคยมีผลงานและไม่โดดเด่น จึงไม่คิดว่าจะมีคนรู้จัก

 

“นักเรียนของที่นี่ส่วนใหญ่ฉันจำได้หมดแหละ โดยเฉพาะชนขั้นสูง”

“อ่า ค่ะ”

 

  มารีตอบกลับราวกับรู้ว่าชินนิคิดอะไรอยู่ในใจ ทำให้ชินนิเริ่มหวาดระแวงเด็กสาวที่อายุเท่ากับเธอ

 

  แต่สิ่งที่เธอจะทำก็ยังไม่เปลี่ยน ชินนิต้องการหนีออกห่างจากสถานที่แห่งความดีงามอันน่ารังเกียจสำหรับเธอแห่งนี้ ชินนิจึงมองตรงมาที่มารีและทำในสิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วต่อไป

 

“ฉันมาขอลาออกค่ะ เก็บของเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทางภายในวันนี้”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่อยากเสียเงินเรียนต่อค่ะ ถึงจะอยู่ต่อไปก็คงเรียนไม่จบอยู่ดี”

 

   ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอไม่ต้องการประกาศนียบัตรจากโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรก และเงินของเธอก็หมดลงแล้ว หากมีเหลืออยู่ก็ขอเลือกใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันดีกว่า เพราะเธอไม่ใช่นักเรียนที่ดี เพียงเท่านี้ พวกเขาก็จะโบกมือลาพร้อมหัวเราะไล่หลังกันได้แล้ว

 

“คุณผู้อำนวยการ ถ้ามีประวัติของนักเรียนคนนี้เก็บเอาไว้ ฉันขอดูหน่อยได้ไหมคะ?”

 

   ผู้อำนวยการพยักหน้าให้กับคำขอของมารี จากนั้นก็ลุกไปทางชั้นวางเอกสารที่เรียงอยู่บนผนังห้อง หลังจากมองหาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบเอกสารขนาดเท่าหนังสือเล่มหนึ่งออกมา 

 

  ชินนิเข้าใจว่ามันคือรายงานหรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ มารีเปิดอ่านเอกสารที่รับมาจากผู้อำนวยการ พลิกดูทีละหน้าสลับกับหันมามองทางชินนิ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

 

“นี่มัน… เลวร้ายจริงๆ”

“ค่ะ เลวร้ายสุดๆเลย”

 

   ชินนิยิ้มแหยๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เข้าเรียนแทบจะนับครั้งได้ ผลการเรียนที่เคยอยู่ระดับกลางๆ ตอนนี้คงรั้งท้ายไปไกล

 

   ในใจของชินนิกลับร่าเริง หากเจ้าหญิงมารีเบลเป็นผู้ที่อนุมัติการลาออกของเธอก็จะไม่ใครกล้าคัดค้าน ถึงจะต่างจากที่วางแผนเอาไว้แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี

 

   ―แต่ความจริงก็ไม่ง่ายอย่างที่เธอคิด

 

“เลวร้ายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก… ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าวัลเบิร์ตถูกมังกรโจมตี แต่ถึงขั้นที่ไม่เหลือบ้าน ไม่เหลือครอบครัว หมดสิ้นทั้งตระกูล… ไม่คิดเลยว่ายังมีผู้เคราะห์ร้ายแบบเธออยู่อีก…”

“อะ? อ่า? เอ๋?”

 

  บนหัวของชินนิตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามมากมาย สิ่งที่มารีกำลังอ่านคือรายงานความความประพฤติกับผลการเรียนของชินนิ และในรายงานนั้นก็ประเมินให้ชินนิอยู่ระดับต่ำสุดอย่างที่เธอคาดไว้

 

  แต่ในเอกสารเหล่านั้นก็ยังรวมถึงประวัติของเธอ ซึ่งมันได้บอกเอาไว้ว่า

 

   ‘ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลขุนนางระดับสูงจากวัลเบิร์ต จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่จากเฮลิฟาลเต้ที่ถูกส่งไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมังกร ระบุว่าไม่พบคฤหาสน์บ้านตระกูลของเธอ และนอกจากชินนิแล้ว ในรายชื่อผู้รอดชีวิต ไม่มีคนในครอบครัวของเธอแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้กระทั้งคนรับใช้ที่รู้จักเธอ กรณีที่เลวร้ายที่สุด คาดว่าทั้งหมดถูกทำลายและทุกคนได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความพิโรธของมังกรแดง ซึ่งนับเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับผลกระทบจากคำสาปของแม่มด’

 

“เอ๋!? เรื่องนั้น มัน….”

 

   ชินนิยิ่งรู้สึกแปลกใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องที่อยู่ในรายงานนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเธอมีแต่ชื่อ การที่ไม่อยู่ในรายชื่อผู้รอดชีวิตก็เพราะมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก ทั้งบ้าน ตระกูล ครอบครัว แม้กระทั่งคนรับใช้ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นความลับสำหรับคนอื่นๆ

 

   ด้วยเหตุนั้น หน่วยข่าวกรองของเฮลิฟาลเต้จึงสรุปว่า เธอเป็น ‘หนึ่งในผู้เสียหายที่สูญเสียครอบครัวและทรัพย์สินทั้งหมดจากมังกร’ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มี

 

   คำพูดที่ว่า ‘เลวร้าย’ ของมารี หมายถึงความสูญเสียที่ชินนิต้องเผชิญ โดยไม่เกี่ยวกับผลการเรียนของชินนิ แม้อยากอธิบายก็พูดไม่ได้ว่า ‘อ๋อ ขุนนางอะไรนั่นไม่มีอยู่จริงหรอก จริงๆแล้วฉันอยู่ฝั่งเดียวกับแม่มดที่ก่อเรื่องต่างหาก’ นั่นจะทำให้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายขึ้นมาจริงๆ ชินนิจึงได้แต่ฟังต่อไปอย่างเงียบๆ

 

“เพราะเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากพวกผู้ใช้คำสาป จนต้องทนทุกข์เพราะโดยลูกหลงจากมังกร ถึงจะไม่มีทั้งบ้านและครอบครับ แต่ก็อย่างเพิ่งหมดหวังล่ะ”

“เรื่องพวกนั้น ฉันไม่คิดถึงมันแล้วค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงมารีเบล ด้วยเกียรตินั้น ฉันสามารถลาออกจากโรงเรียนนี้ได้อย่างภาคภูมิใจแล้วค่ะ”

“เข็มแข็งดีนี่นา คนแบบเธอฉันก็ชอบนะ”

 

   ชินนิพูดประชด แต่มารีก็มองมาด้วยความเห็นใจ จริงๆแล้วเธอแค่มายื่นใบลาออกเท่านั้น หวังว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้จะจบลงเสียที จะได้ออกจากที่นี่ไปให้พ้นๆ

 

“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่ฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้เธอ”

“ข่าวดี อะไรหรือคะ?”

 

   แม้สังหรณ์ใจว่ามันจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเธอเสียมากกว่า แต่ชินนิก็ถามกลับไป

 

“ยินดีด้วย! ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้ คนนี้ ขออนุมัติให้ชินนิได้เรียนต่อจนกว่าจะจบหลักสูตรการศึกษา”

“…ห๊ะ?”

 

  ชินนิที่พยายามอดกลั้นทำตัวนิ่งเฉยถึงกับเผลอส่งเสียงแปลกๆออกมา เธอไม่รู้ว่ามารีคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“แต่ว่า! ไม่มีเงินชำระค่าเทอมแล้วนะคะ!”

 

   ข้ออ้างสุดท้ายของชินนิเพื่อปฏิเสธกับมารี เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานศึกษานี้อีกแล้ว ถึงจะอยู่ต่อก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนอยู่ดี ในตอนนั้นเอง ผู้อำนวยการที่นั่งฟังเด็กสาวทั้งสองคุยกันมาตลอดก็เอ่ยปากพูดออกมาบ้าง

 

“หมายความว่า ‘มูลนิธินักบุญเซเลน’ รับเธอเข้ามาเป็นนักเรียนทุนแล้วยังไงล่ะ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้อีกต่อไป”

“มูลนิธินักบุญเซเลน?”

 

   ชินนิพูดทวนคำศัพท์ที่ไม่คุ้นหู

 

“เรียกง่ายๆว่าเป็นหน่วยงานไว้ดูแลเงินบริจาคที่ท่านเซเลนหลงเหลือเอาไว้ ท่านมารีเบลก็มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนี้แหละ”

“ท่านเซเลน… เหรอ?”

“ถูกต้อง ท่านเซเลน หรือที่เรียกกันว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าขายกับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นเงินจำนวนมหาศาล เธอบริจาคมันทั้งหมดเพื่อการศึกษา และท่านมารีเบลได้ใช้ความสามารถทั้งหมดจัดตั้งมูลนิธิเข้ามาดูแลเงินทุนสำรองเหล่านั้น เพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ และผู้ที่โชคร้ายจนสูญเสียโอกาส”

“ทำไม… ถึงเป็นฉันล่ะคะ!?”

“การที่บ้านของเธอตกเป็นเหยื่อของมังกรจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็เท่ากับว่าตรงตามเงื่อนไขแล้ว”

“…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ?”

 

  ตัวเธอนั้นตรงข้ามกับการเป็นเหยื่อของแม่มด เธอคือหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าความจริงในข้อนี้เล็ดลอดออกไปจะต้องถูกหมายหัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็สารภาพออกไปไม่ได้

 

“ฉันไม่ใจร้ายขนาดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกน่า และเซเลนก็เคยขอร้องผู้อำนวยการเอาไว้ว่า อย่าปล่อยให้เด็กผู้หญิงต้องลาออก”

“เอ่อ…”

“ผมเองก็เข้าใจเจตนาของท่านเซเลนดี เด็กสาวผู้ด้อยโอกาสมักตกเป็นเหยื่อของการล่อลวง”

 

   ทั้งมารี ผู้อำนวยการ และครูบาอาจารย์ทุกคนของเฮลิฟาลเต้ ล้วนเชื่อว่านั่นคือความคิดของเธอ แต่สำหรับเซเลน มันคือสินบนเพื่ออนุญาตให้เธอเข้าออกสถานศึกษาแห่งนี้ จะได้มาเข้าพบพี่สาว อาลัว ได้อย่างเปิดเผยทุกเวลา

 

   ถึงอย่างนั้น เซเลนก็ยังไม่เคยลืมเป้าหมายเดิม นั่นคือการลงทุนสร้างสถานบันเทิงที่มีแต่ผู้หญิง สำหรับผู้หญิง และให้เด็กแปดขวบใช้บริการได้(ข้อนี้สำคัญมาก) จึงพยายามดัดแปลงแก้ไขให้กลายเป็น ‘ฮาเร็มในรั้วโรงเรียน’ เหมือนฉากจบของเกมสำหรับผู้ใหญ่หลายๆเกม

 

  สถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้เป็นที่ที่รวบรวมเด็กสาวจากครอบครัวผู้ดีมาจากทั่วทั้งทวีป ซึ่งมีแนวโน้มว่าหน้าตาน่ารักสวยงามทุกคน โดยแผนการของเธอคือ ใช้เงินหลอกล่อสาวน้อยวัยแรกรุ่นเหล่านั้นเอาไว้สร้างฮาเร็มขนาดย่อม เป็นอีกหนึ่งในแผนการสิ้นคิดของเธอ

 

   ทุกครั้งที่เซเลนมาเยี่ยมอาลัวก็ต้องได้พบกับผู้อำนวยการอย่างช่วยไม่ได้  จึงพูดย้ำอยู่เป็นประจำว่า ‘นักเรียนหญิงที่ต้องการลาออก ให้ช่วยห้ามเอาไว้ให้ได้มากที่สุด’ เพราะไม่ยอมให้อัตราส่วนของนักเรียนหญิงลดลงไป

 

   มูลนิธินักบุญเซเลนได้นำความตั้งใจของเธอมาตั้งเป็นข้อปฏิบัติ และให้ความสำคัญกับผู้หญิงก่อน ผู้ชายจะได้รับทุนก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เกิดเป็นคำขวัญ ‘เงินมีจำกัด ลูกผู้ชายต้องขยันอดทน ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ อย่ามัวแต่รอโอกาส’ ที่ถูกตีความบิดเบือนจากคำพูดของเซเลน

 

   ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคิดของเซเลนนัก เนื่องจากเซเลนเป็นอดีตชายวัยกลางคนฐานะไม่สู้ดี จึงถือคติว่า ‘หากเป็นผู้ชายด้วยกันเดือดร้อนเงินทอง แม้เป็นญาติก็ยังต้องลังเล’ จะให้ได้ก็มีเพียงความรู้สึกเห็นใจเท่านั้น 

 

   กลับมาที่ชินนิ เธอเป็นผู้ต้องหาที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้เสียหาย แต่ด้วยนโยบายของเซเลน เธอจึงโชคร้ายกลายเป็นเหยื่อจริงๆ และจะถูกขังไว้ในสถานศึกษาแห่งนี้ต่อไปอีกนาน

 

   เงินทุนนั้น ครอบคลุมถึงค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น น้ำหนักของคำประกาศ ‘ในนามของ มารีเบล เฮลิฟาลเต้’ หนักหนาจนทำให้ชินนิไม่กล้าปฏิเสธ

 

   ชินนิจึงต้องติดอยู่ในสถานศึกษาแห่งชาติเฮลิฟาลเต้ สำหรับเธอมันเป็นเสมือนคุกที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในทวีป

 

   ชินนิคิดหาคำพูดไม่ได้ ในใจได้ตระหนักแล้วว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนเป็นคนที่มองการณ์ไกล ห่วงใยผู้อื่น ความคิดลึกซึ้งเกินเด็กวัยแปดขวบจริงอย่างที่คนอื่นๆลือกัน อันที่จริง อีกฝ่ายเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว แต่ความจริงนั้นก็ถูกกลบจนมิด

 

   การได้รับความเห็นใจจากเจ้าหญิงแสงจันทร์ ทำให้ชินนิไม่พอใจมากขึ้น ต้องใช้ชีวิตโดยเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการจากศัตรู อีกทั้งเธอก็ยังโมโหตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้

 

“เจ้าหญิงแสงจันทร์กับพรรคพวกของแก…! ฉันไม่มีวันโอนอ่อนไปกับความเมตตานั่นหรอก!”

 

   สุดท้าย ชินนิก็ไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนตามที่ตั้งใจไว้ เธอกลับมาที่ห้อง เคาะไม้เท้ากับพื้นอย่างแรงขณะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นให้โคคุมารุได้ฟัง และผลก็คือ ถูกหัวเราะเยอะสมน้ำหน้า เธอจึงใช้ไม้เท้านั้นไล่ตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

   หลังจากนี้อีกหลายวัน ชินนิที่จมอยู่กับความแค้นต่อเจ้าหญิงแสงจันทร์จะหลบหนีไปยังโลกที่ไม่มีใครเคยเห็น

 

   ― และเมื่อถึงวันนั้น มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+