ปล้นสวรรค์ 304 พิสูจน์

Now you are reading ปล้นสวรรค์ Chapter 304 พิสูจน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 304 พิสูจน์

 

ภายในลานสนามอันเรียบง่าย หลี่อี้เฉิน เย่หยูและซิงเหมิงต่างมองกันและกันแล้วนั่งลง ส่วนฉีชิง เฉินตง และฉีหยู พวกเขาก็ออกไปนานแล้วเพราะไม่อาจทนกับความตกตะลึงอันหนักอึ้งนี้ได้

 

“ศิษย์น้อง สํานักเราเรียกว่า”ดาบปณิธาน!”

 

หลี่อี้เฉินมองเย่หยูแล้วค่อยๆเล่าถึงแก่นแท้ของการฝึกดาบ

 

“ปณิธานแห่งดาบคือหนักและเบา! สิ่งที่สําคัญก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ยึดเจตจํานงของดาบรวมกับกระบวนดาบ จากนั้นแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดทําลายไม่ได้!”

 

“และเหตุผลว่าทําไมถึงเรียกดาบแห่งสวรรค์เพราะฉันย่อความหมายของสวรรค์และโลกเอาไว้ในกระบวนดาบ เมื่อดาบถูกปลดปล่อยออกมาทั้งโลกและสวรรค์จะพากันล่มสลาย!”

 

เย่หยูพยักหน้าแล้วคิดตามไปด้วย เขาพูดอย่างนุ่มนวลว่า

 

“ผมเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขั้นแรกคือกลั่นจิตวิญญาณก่อนใช่หรือไม่?”

 

“ใช่แล้ว!”

 

หลี่อี้เฉินพยักหน้า

 

“พลังจิตเป็นขั้นแรกสุดในส่วนของดาบปณิธาน!แล้วยังเป็นส่วนที่ยากที่สุดอีกด้วย!”

 

เมื่อกลัวว่าเย่หยูจะหมดกําลังใจ หลี่อี้เฉินจึงรีบพูด

 

“ศิษย์น้อง ความสามารถของนายนั้นโดดเด่นและมีญาณสูงส่ง ฉันเชื่อว่านายจะรวบรวมพลังจิตวิญญาณได้ในเร็วๆนี้”

 

“ไม่ได้ง่ายนะสิ!”

 

ซิงเหมิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมโอดครวญออกมา

 

“นายรู้ไหมว่าฉันห่างจากการรวมพลังจิตเพียงครึ่งก้าวหลังจากที่ทํางานอย่างหนักมามากว่าสิบปี! ใครๆก็รู้ว่าการรวมพลังจิตนั้นยากเพียงใด!”

 

เย่หยูมองตาซิงเหมิงอย่างสงสัย

 

“ศิษย์หลาน คุณฝึกฝนสุดยอดแปดหมัด คุณยังต้องรวมพลังจิตวิญญาณด้วยหรอ?”

 

“ศิษย์หลาน.. งั้นหรอ…”

 

ซิงเหมิงแสดงออกอย่างทุกข์ใจ

 

“เอาหละ ยังไงก็ถือเป็นอาจารย์อา!”

 

“เราทั้งหมดมาจากสํานักเดียวกัน ถึงแม้ว่าวิธีการพัฒนาจะแตกต่างกัน แต่เราก็มีพื้นฐานเดียวกัน! สิ่งที่ส่าคัญก็คือรวมจิตวิญญาณและเชื่อมเข้ากันกับเจตจํานงในการโจมตี!”

 

ความปรารถนาปรากฏขึ้นในแววตาของซิงเหมิงขณะพูดจบ

 

“หากกลั่นพลังจิตได้ จากนั้นพลังการต่อสู้ของฉันก็จะทะยานสูงขึ้นทันทีหลายเท่า!”

 

“พยัคฆ์จะแข็งแกร่ง ต้องล้างกระดูกก่อน! หลังจากที่รวมพลังจิตและควบคุมความต้องการตัวเองได้ ฉันก็สามารถเรียกว่าเป็นสุดยอดพยัคฆ์ได้!”

 

“กลั่นพลังจิตงั้นหรอ?!”

 

เย่หยูจมอยู่ในความคิดขณะพึมพํากับตัวเอง

 

หลังจากหลี่อี้เฉินเห็นเย่หยูกําลังใช้ความคิดเขาจึงกล่าวขึ้นว่า

 

“ศิษย์น้องฉะนจะสอนวิธีการกลั่นพลังจิตให้ เพียงคุณพยายามฝึกฝน..”

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

เย่หยูโบกมือห้ามหล่อี้เฉิน

 

“ทําไม?”

 

หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างงงๆ

 

“ศิษย์น้อง พลังจิตวิญญาณสําคัญมากเลยนะ โปรดอย่าเมินเฉยเลย!”

 

เย่หยูพยักหน้าและพูดอย่างเฉยชาว่า

 

“ศิษย์พี่ แน่นอนว่าผมรู้ว่าพลังจิตวิญญาณนั้นสาคัญแค่ไหน!”

 

“สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมเหมือนจะกลั่นพลังจิตวิญญาณได้แล้ว!”

 

ทันทีที่เย่หยูพูดจบ หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างตะลึงทั้งคู่ หลี่อี้เฉินมองเย่หยอย่างไม่เชื่อและตําหนิเขา

 

“ศิษย์น้อง อย่าพูดเล่นไป! นี่มันเกี่ยวกับการฝึกตนเลยนะ นายอย่ามาทําเป็นเล่น!”

 

ซิงเหมิงมองเย่หยูด้วยสีหน้าที่ไว้วางใจขณะพูด

 

“เย่…แค่ก แค่ก!”

 

“อาจารย์อา ผมต้องฝึกมากกว่าสิบปีและผมก็มาไกลกว่าครึ่งทางจากการรวมพลังจิตแล้ว การกลั่นพลังจิตจะเป็นเรื่องง่ายได้ยังไง?”

 

“อ้า ท่านอาจารย์อาเย่ อย่ามาล้อเล่นกับผมสิครับ!”

 

“ผมมาที่นี่เพียงแค่อยากจะดูว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน มาลองดูกัน ว่าใครจะกลั่นพลังจิตได้ก่อนกัน”

 

เย่หยูมองหลี่อี้เฉินและซิงเหมิงอย่างเคร่งขรึม เขาพูดด้วยน้ําเสียงนิ่งสงบ

 

“ผมกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆ!”

 

หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างมองกันและกัน แววตาพวกเขาฉายให้เห็นถึงความคิดถึงงงงวย

 

“ศิษย์น้อง เป็นไปได้ที่นายจะกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆหรอ?”

 

“แน่นอน!”

 

หลี่อี้เฉินหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มลึก

 

“เอาหละ งั้น! คุณพูดว่าคุณมีพลังจิตที่กลั่นมาแล้ว งั้นพิสูจน์สิ!”

 

“อาจารย์ลุง พลังจิตวิญญาณนี้ไม่มีรูปร่างแน่นอน เราจะทดสอบกันยังไง?”

 

ซิงเหมิงมองหลี่อี้เฉินอย่างต้องการค่าตอบ

 

หลี่อี้เฉินค่อยๆลูบเคราขณะตอบอย่างนุ่มนวลว่า

 

“ตราบใดที่นายกลั่นพลังจิตได้แล้ว นายก็สามารถปลดปล่อยมันออกมาจากจิตและสัมผัสรู้โลกจากพลังจิตวิญญาณ!”

 

“ในเวลาเดียวกัน นายยังสามารถรวมปณิธานของวิทยายุทธและเชื่อมกับการโจมตีจนเพิ่มพลังได้หลายเท่า!”

 

ซิงเหมิงพยักหน้าคิดตาม หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างไม่สนใจและแสดงสีหน้าอาการงง เป็นไปได้ว่าศิษย์น้องเย่หยูจะพูดเรื่องจริง? เขากลั่นพลังจิตไว้ได้แล้วหรอ?

 

“ศิษย์น้อง ลองปล่อยพลังจิตออกมา! ฉันถึงจะตรวจสอบมันได้!”

 

เย่หยูพยักหน้า ในเมื่อคนพวกนี้ไม่มีใครเชื่อ งั้นฉันจะให้พวกคุณได้ดู

 

กระบวนการฝึกตน: เมล็ดพลังจิตวิญญาณ!

 

วิ้ง! *

 

ทันใดนั้น เส้นรอบวงในระยะสิบเมตรปรากฏขึ้นในใจเย่หยู

 

มีคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากจิตเย่หยู เย่หยูรู้สึกได้ว่าพลังงานจิตวิญญาณของเขาทําให้โลกดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่โลกตามธรรมชาติที่สามารถมองด้วยได้เปล่าได้อีกต่อไป แต่กลับเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากพลังงาน!

 

ลมโชยอ่อน แสงแดด ลมปราณและโลหิต สิ่งเหล่านี้ที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่ากลับปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในจิตของเย่หยู ลมโชยอ่อนเป็นเหมือนริบบิ้นสีเขียวลอยอยู่รอบๆจากญาณของเย่หยู แสงอาทิตย์เป็นเหมือนเส้นสีทองกระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย พลังงานและโลหิตของร่างกายเป็นเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเปล่งประกายแวววาว

 

สีแดงอันโชติช่วงเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งของโลหิต ส่วนสีขาวเงินเป็นอารมณ์ของโครงกระดูก และสีเขียวอ่อนเป็นเส้นชีพจร

 

เย่หยูสามารถเห็นความผันผวนของพลังงานที่มาจากซิงเหมิงผ่านพลังจิตวิญญาณของเขา ในสายตาเย่หยู การกระทําทั้งหมดของซิงเหมิงนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนสายตาเย่หยู

 

แต่เมื่อเย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณมองผ่านหลี่อี้เฉิน เขาก็พบกับความประหลาดใจเพราะรัศมีของพลังงานนั้นเบาบางมาก

 

ดูเหมือนว่ามันจะหายไปในความว่างเปล่าได้ตลอดเวลาและหลอมรวมเข้ากับโลกภายนอก

 

เย่หยูรู้ว่าผู้นี้คือนักรบขอบเขตดินแดนเทพเจ้าขั้น 7 ที่รวมสวรรค์และโลกอยู่ตลอดเวลา

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณเพื่อมองสังเกตโลกซึ่งมันดูเหมือนจะแปลกใหม่เป็นอย่างมากทันใดนั้น

 

จากที่เย่หยูสังเกตมอง เขาพบว่าพลังของหลี่อี้เฉินแข็งแกร่งขึ้น ร่างหลี่อี้เฉินสั่นเทา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงอาการตะลึง

 

“ศิษย์น้อง นายทําให้ศิษย์พี่ผู้นี้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง!”

 

ซิงเหมิงเกิดอาการสับสน เกาหัวแล้วถามหลี่อี้เฉินว่า

 

“ท่านอาจารย์ลุง เย่หยู…เขาสร้างพลังจิตวิญญาณได้จริงๆงั้นหรือ?”

 

หลี่อี้เฉินถามซิงเหมิง

 

“แล้วตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรบ้างหละ?”

 

ซิงเหมิงครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า

 

“ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าราวกับอยู่ก็มีบางคนแอบตรวจสอบผม ความรู้สึกนี้แปลกมาก รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถมองผ่านผมอย่างปราศจากความลับ!”

 

“จําความรู้สึกนี้ไว้!”

 

หลี่อี้เฉินพูดเสียงทุ้ม

 

“นี่คือความรู้สึกของการถูกตรวจสอบและหยั่งรู้จากพลังจิตวิญญาณ!”

 

เมื่อได้ยิน ซิงเหมิงก็ก็รู้สึกช็อค เขามองเย่หยูอย่างไม่เชื่อและตะโกนออกมาว่า

 

“งั้น ที่นายพูดว่านายกลั่นพลังจิตได้ก็เป็นเรื่องจริง?”

 

เย่หยูมองซิงเหมิงแล้วหัวเราะเบาๆ

 

“คุณก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ห้าของการชําระล้างไขกระดูกแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

ความตกใจในดวงตาซิงเหมิงมีมากขึ้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะถามเย่หยูต่อ

 

“นายรู้ได้ยังไง? ฉันเพิ่งผ่านมันมาได้เมื่อวานเอง!”

 

เย่หยูเผยรอยยิ้ม

 

“แน่นอน ผมเห็นมัน ในกระดูกสันหลังคุณ ของเหลวที่เป็นเหมือนปรอทและตะกั่วเปล่งประกายสีเทาเงินนี้ เป็นลักษญะของจอมยุทธ์ชําระล้างไขกระดูกขั้นที่ห้า!”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปล้นสวรรค์ 304 พิสูจน์

Now you are reading ปล้นสวรรค์ Chapter 304 พิสูจน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 304 พิสูจน์

 

ภายในลานสนามอันเรียบง่าย หลี่อี้เฉิน เย่หยูและซิงเหมิงต่างมองกันและกันแล้วนั่งลง ส่วนฉีชิง เฉินตง และฉีหยู พวกเขาก็ออกไปนานแล้วเพราะไม่อาจทนกับความตกตะลึงอันหนักอึ้งนี้ได้

 

“ศิษย์น้อง สํานักเราเรียกว่า”ดาบปณิธาน!”

 

หลี่อี้เฉินมองเย่หยูแล้วค่อยๆเล่าถึงแก่นแท้ของการฝึกดาบ

 

“ปณิธานแห่งดาบคือหนักและเบา! สิ่งที่สําคัญก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ยึดเจตจํานงของดาบรวมกับกระบวนดาบ จากนั้นแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดทําลายไม่ได้!”

 

“และเหตุผลว่าทําไมถึงเรียกดาบแห่งสวรรค์เพราะฉันย่อความหมายของสวรรค์และโลกเอาไว้ในกระบวนดาบ เมื่อดาบถูกปลดปล่อยออกมาทั้งโลกและสวรรค์จะพากันล่มสลาย!”

 

เย่หยูพยักหน้าแล้วคิดตามไปด้วย เขาพูดอย่างนุ่มนวลว่า

 

“ผมเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขั้นแรกคือกลั่นจิตวิญญาณก่อนใช่หรือไม่?”

 

“ใช่แล้ว!”

 

หลี่อี้เฉินพยักหน้า

 

“พลังจิตเป็นขั้นแรกสุดในส่วนของดาบปณิธาน!แล้วยังเป็นส่วนที่ยากที่สุดอีกด้วย!”

 

เมื่อกลัวว่าเย่หยูจะหมดกําลังใจ หลี่อี้เฉินจึงรีบพูด

 

“ศิษย์น้อง ความสามารถของนายนั้นโดดเด่นและมีญาณสูงส่ง ฉันเชื่อว่านายจะรวบรวมพลังจิตวิญญาณได้ในเร็วๆนี้”

 

“ไม่ได้ง่ายนะสิ!”

 

ซิงเหมิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมโอดครวญออกมา

 

“นายรู้ไหมว่าฉันห่างจากการรวมพลังจิตเพียงครึ่งก้าวหลังจากที่ทํางานอย่างหนักมามากว่าสิบปี! ใครๆก็รู้ว่าการรวมพลังจิตนั้นยากเพียงใด!”

 

เย่หยูมองตาซิงเหมิงอย่างสงสัย

 

“ศิษย์หลาน คุณฝึกฝนสุดยอดแปดหมัด คุณยังต้องรวมพลังจิตวิญญาณด้วยหรอ?”

 

“ศิษย์หลาน.. งั้นหรอ…”

 

ซิงเหมิงแสดงออกอย่างทุกข์ใจ

 

“เอาหละ ยังไงก็ถือเป็นอาจารย์อา!”

 

“เราทั้งหมดมาจากสํานักเดียวกัน ถึงแม้ว่าวิธีการพัฒนาจะแตกต่างกัน แต่เราก็มีพื้นฐานเดียวกัน! สิ่งที่ส่าคัญก็คือรวมจิตวิญญาณและเชื่อมเข้ากันกับเจตจํานงในการโจมตี!”

 

ความปรารถนาปรากฏขึ้นในแววตาของซิงเหมิงขณะพูดจบ

 

“หากกลั่นพลังจิตได้ จากนั้นพลังการต่อสู้ของฉันก็จะทะยานสูงขึ้นทันทีหลายเท่า!”

 

“พยัคฆ์จะแข็งแกร่ง ต้องล้างกระดูกก่อน! หลังจากที่รวมพลังจิตและควบคุมความต้องการตัวเองได้ ฉันก็สามารถเรียกว่าเป็นสุดยอดพยัคฆ์ได้!”

 

“กลั่นพลังจิตงั้นหรอ?!”

 

เย่หยูจมอยู่ในความคิดขณะพึมพํากับตัวเอง

 

หลังจากหลี่อี้เฉินเห็นเย่หยูกําลังใช้ความคิดเขาจึงกล่าวขึ้นว่า

 

“ศิษย์น้องฉะนจะสอนวิธีการกลั่นพลังจิตให้ เพียงคุณพยายามฝึกฝน..”

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

เย่หยูโบกมือห้ามหล่อี้เฉิน

 

“ทําไม?”

 

หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างงงๆ

 

“ศิษย์น้อง พลังจิตวิญญาณสําคัญมากเลยนะ โปรดอย่าเมินเฉยเลย!”

 

เย่หยูพยักหน้าและพูดอย่างเฉยชาว่า

 

“ศิษย์พี่ แน่นอนว่าผมรู้ว่าพลังจิตวิญญาณนั้นสาคัญแค่ไหน!”

 

“สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมเหมือนจะกลั่นพลังจิตวิญญาณได้แล้ว!”

 

ทันทีที่เย่หยูพูดจบ หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างตะลึงทั้งคู่ หลี่อี้เฉินมองเย่หยอย่างไม่เชื่อและตําหนิเขา

 

“ศิษย์น้อง อย่าพูดเล่นไป! นี่มันเกี่ยวกับการฝึกตนเลยนะ นายอย่ามาทําเป็นเล่น!”

 

ซิงเหมิงมองเย่หยูด้วยสีหน้าที่ไว้วางใจขณะพูด

 

“เย่…แค่ก แค่ก!”

 

“อาจารย์อา ผมต้องฝึกมากกว่าสิบปีและผมก็มาไกลกว่าครึ่งทางจากการรวมพลังจิตแล้ว การกลั่นพลังจิตจะเป็นเรื่องง่ายได้ยังไง?”

 

“อ้า ท่านอาจารย์อาเย่ อย่ามาล้อเล่นกับผมสิครับ!”

 

“ผมมาที่นี่เพียงแค่อยากจะดูว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน มาลองดูกัน ว่าใครจะกลั่นพลังจิตได้ก่อนกัน”

 

เย่หยูมองหลี่อี้เฉินและซิงเหมิงอย่างเคร่งขรึม เขาพูดด้วยน้ําเสียงนิ่งสงบ

 

“ผมกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆ!”

 

หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างมองกันและกัน แววตาพวกเขาฉายให้เห็นถึงความคิดถึงงงงวย

 

“ศิษย์น้อง เป็นไปได้ที่นายจะกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆหรอ?”

 

“แน่นอน!”

 

หลี่อี้เฉินหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มลึก

 

“เอาหละ งั้น! คุณพูดว่าคุณมีพลังจิตที่กลั่นมาแล้ว งั้นพิสูจน์สิ!”

 

“อาจารย์ลุง พลังจิตวิญญาณนี้ไม่มีรูปร่างแน่นอน เราจะทดสอบกันยังไง?”

 

ซิงเหมิงมองหลี่อี้เฉินอย่างต้องการค่าตอบ

 

หลี่อี้เฉินค่อยๆลูบเคราขณะตอบอย่างนุ่มนวลว่า

 

“ตราบใดที่นายกลั่นพลังจิตได้แล้ว นายก็สามารถปลดปล่อยมันออกมาจากจิตและสัมผัสรู้โลกจากพลังจิตวิญญาณ!”

 

“ในเวลาเดียวกัน นายยังสามารถรวมปณิธานของวิทยายุทธและเชื่อมกับการโจมตีจนเพิ่มพลังได้หลายเท่า!”

 

ซิงเหมิงพยักหน้าคิดตาม หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างไม่สนใจและแสดงสีหน้าอาการงง เป็นไปได้ว่าศิษย์น้องเย่หยูจะพูดเรื่องจริง? เขากลั่นพลังจิตไว้ได้แล้วหรอ?

 

“ศิษย์น้อง ลองปล่อยพลังจิตออกมา! ฉันถึงจะตรวจสอบมันได้!”

 

เย่หยูพยักหน้า ในเมื่อคนพวกนี้ไม่มีใครเชื่อ งั้นฉันจะให้พวกคุณได้ดู

 

กระบวนการฝึกตน: เมล็ดพลังจิตวิญญาณ!

 

วิ้ง! *

 

ทันใดนั้น เส้นรอบวงในระยะสิบเมตรปรากฏขึ้นในใจเย่หยู

 

มีคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากจิตเย่หยู เย่หยูรู้สึกได้ว่าพลังงานจิตวิญญาณของเขาทําให้โลกดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่โลกตามธรรมชาติที่สามารถมองด้วยได้เปล่าได้อีกต่อไป แต่กลับเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากพลังงาน!

 

ลมโชยอ่อน แสงแดด ลมปราณและโลหิต สิ่งเหล่านี้ที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่ากลับปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในจิตของเย่หยู ลมโชยอ่อนเป็นเหมือนริบบิ้นสีเขียวลอยอยู่รอบๆจากญาณของเย่หยู แสงอาทิตย์เป็นเหมือนเส้นสีทองกระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย พลังงานและโลหิตของร่างกายเป็นเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเปล่งประกายแวววาว

 

สีแดงอันโชติช่วงเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งของโลหิต ส่วนสีขาวเงินเป็นอารมณ์ของโครงกระดูก และสีเขียวอ่อนเป็นเส้นชีพจร

 

เย่หยูสามารถเห็นความผันผวนของพลังงานที่มาจากซิงเหมิงผ่านพลังจิตวิญญาณของเขา ในสายตาเย่หยู การกระทําทั้งหมดของซิงเหมิงนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนสายตาเย่หยู

 

แต่เมื่อเย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณมองผ่านหลี่อี้เฉิน เขาก็พบกับความประหลาดใจเพราะรัศมีของพลังงานนั้นเบาบางมาก

 

ดูเหมือนว่ามันจะหายไปในความว่างเปล่าได้ตลอดเวลาและหลอมรวมเข้ากับโลกภายนอก

 

เย่หยูรู้ว่าผู้นี้คือนักรบขอบเขตดินแดนเทพเจ้าขั้น 7 ที่รวมสวรรค์และโลกอยู่ตลอดเวลา

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณเพื่อมองสังเกตโลกซึ่งมันดูเหมือนจะแปลกใหม่เป็นอย่างมากทันใดนั้น

 

จากที่เย่หยูสังเกตมอง เขาพบว่าพลังของหลี่อี้เฉินแข็งแกร่งขึ้น ร่างหลี่อี้เฉินสั่นเทา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงอาการตะลึง

 

“ศิษย์น้อง นายทําให้ศิษย์พี่ผู้นี้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง!”

 

ซิงเหมิงเกิดอาการสับสน เกาหัวแล้วถามหลี่อี้เฉินว่า

 

“ท่านอาจารย์ลุง เย่หยู…เขาสร้างพลังจิตวิญญาณได้จริงๆงั้นหรือ?”

 

หลี่อี้เฉินถามซิงเหมิง

 

“แล้วตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรบ้างหละ?”

 

ซิงเหมิงครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า

 

“ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าราวกับอยู่ก็มีบางคนแอบตรวจสอบผม ความรู้สึกนี้แปลกมาก รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถมองผ่านผมอย่างปราศจากความลับ!”

 

“จําความรู้สึกนี้ไว้!”

 

หลี่อี้เฉินพูดเสียงทุ้ม

 

“นี่คือความรู้สึกของการถูกตรวจสอบและหยั่งรู้จากพลังจิตวิญญาณ!”

 

เมื่อได้ยิน ซิงเหมิงก็ก็รู้สึกช็อค เขามองเย่หยูอย่างไม่เชื่อและตะโกนออกมาว่า

 

“งั้น ที่นายพูดว่านายกลั่นพลังจิตได้ก็เป็นเรื่องจริง?”

 

เย่หยูมองซิงเหมิงแล้วหัวเราะเบาๆ

 

“คุณก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ห้าของการชําระล้างไขกระดูกแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

ความตกใจในดวงตาซิงเหมิงมีมากขึ้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะถามเย่หยูต่อ

 

“นายรู้ได้ยังไง? ฉันเพิ่งผ่านมันมาได้เมื่อวานเอง!”

 

เย่หยูเผยรอยยิ้ม

 

“แน่นอน ผมเห็นมัน ในกระดูกสันหลังคุณ ของเหลวที่เป็นเหมือนปรอทและตะกั่วเปล่งประกายสีเทาเงินนี้ เป็นลักษญะของจอมยุทธ์ชําระล้างไขกระดูกขั้นที่ห้า!”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+