I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 109 มุมมองพระเจ้า!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 109 มุมมองพระเจ้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลูกพี่อยากรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายไหม? ฉันไปตรวจสอบให้ได้นะ” ดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวซื่อเปล่งประกาย ราวกับหาของเล่นอะไรบางอย่างที่น่าสนุกเจอ

หลิงหลานกำลังคิดจะตอบว่าดี ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าระมัดระวังว่า “นายจะตรวจสอบยังไง?”

เสี่ยวซื่อพูดด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นว่า “แน่นอนว่าต้องแทรกซึมเข้าไปในร่างจิตของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ฉันก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้”

“ไม่อนุญาต!” หลิงหลานตวาดเสียงสูงอย่างเฉียบขาดในห้วงสติ

หลิงหลานไม่ได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในมิติภารกิจของพ่อเธอ เสี่ยวซื่อเคยบอกว่าร่างจิตของผู้แข็งแกร่งสามารถสังเกตเห็นเขาได้ ถึงขนาดที่สามารถควบคุมเสี่ยวซื่อ สร้างความเสียหายให้กับเสี่ยวซื่อได้โดยตรง ใครจะไปรู้ว่าแฮคเกอร์ที่พัฒนาเป็นผีซวีตรงหน้านี้จะสร้างความเสียหายร้ายแรงอะไรต่อเสี่ยวซื่อหรือไม่

“ทำไมล่ะ?” เสี่ยวซื่อตกใจเสียงตวาดอย่างเด็ดขาดของหลิงหลาน ควรรู้ไว้ว่าต่อให้หลิงหลานจะใช้ความรุนแรงในบ้าน แต่เธอก็ไม่เคยทำหน้าเคร่งขรึมใส่เขาเลย สีหน้าน้ำเสียงที่ดูเคร่งเครียดนั้นทำให้เสี่ยวซื่อตกใจ ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดมากเช่นกัน ทั่วทั้งใบหน้าเขาแสดงความคับแค้นใจ เริ่มสงสัยว่าหลิงหลานไม่ชอบเขาแล้วใช่ไหม ถึงได้ทำกับเขาแบบนี้

“ข้อแรก พวกเราไม่มีความแค้นกับเขา ทำไมต้องไปแหย่เขาด้วย ถ้าเกิดกระตุ้นโทสะอีกฝ่ายจนเขาไม่ยอมปล่อยขึ้นมา พวกเราก็จะเจอปัญหามากเหมือนกัน….”

ในตอนที่เสี่ยวซื่อกำลังคิดจะพูดว่าเขาไม่กลัวเรื่องพวกนี้ สามารถจัดการได้หมดทุกเรื่อง หลิงหลานกลับกดบ่าน้อยๆ ของเสี่ยวซื่อไว้ก่อนล่วงหน้าก้าวหนึ่ง พูดด้วยความจริงจังว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือ ฉันไม่อยากให้นายมีอันตราย ถ้าเกิดนายเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา ฉันคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต ดังนั้น เสี่ยวซื่อ นายต้องรับปากฉันว่าจะปกป้องตัวเองไว้ให้ดี จะอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดไป จนกว่าฉันจะจากโลกนี้ไป…”

เสี่ยวซื่อได้ยินคำพูดของหลิงหลานก็ไม่โศกเศร้าแล้ว ความขุ่นเคืองก็หายไปแล้วเช่นกัน…เขารู้สึกว่า CPU ของตัวเองทำงานไม่ค่อยไหวแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ชิปของเขาก็เริ่มร้อนขึ้นมา หลังจากนั้นอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเครื่องค้าง เขาควรจะเครียด ตื่นตระหนก หลังจากนั้นก็พยายามคิดวิธีทำให้ชิปของตัวเองเย็นลงอย่างรวดเร็ว…แต่ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากทำแบบนี้เลยสักนิดเดียว ถึงขนาดที่รู้สึกว่าการคงอยู่ของความร้อนแบบนี้มันดีมากเกินไปจริงๆ เขารักความรู้สึกแบบนี้มากจริงๆ

หลิงหลานเห็นเสี่ยวซื่อทำหน้าเซ่อซ่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็กลัวว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นเธอเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้นอีกครั้งว่า “เสี่ยวซื่อ ฟังนะ ต่อไปฉันไม่อนุญาตให้นายไปตรวจสอบร่างจิตของพวกคนที่แข็งแกร่งหรือว่าอันตรายเองโดยเด็ดขาด ขอเพียงอีกฝ่ายไม่หาเรื่องพวกเรา พวกเราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา จำไว้นะ ต้องปกป้องตัวเองดีๆ นายอยากเป็นลูกน้องหมายเลขหนึ่งของฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้านายไม่ฟังที่ฉันพูด ฉันก็จะปลดตำแหน่งลูกน้องหมายเลขหนึ่งของนายซะ” หลิงหลานตัดสินใจขู่เตือนขึ้นมา

ตอนนี้เสี่ยวซื่อไม่มีความสามารถไตร่ตรองอะไรแล้ว แต่ว่าลูกน้องหมายเลขหนึ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเป้าหมายที่เขาจำมั่นขึ้นใจมาตลอด พอได้ยินคำขู่เตือนของหลิงหลาน เขาก็รีบพยักหน้าเชื่อฟัง ทิ้งความคิดที่จะสืบเรื่องผู้ชายคนนั้นไป

ไม่ว่าอะไรก็สูญเสียได้ แต่ว่าตำแหน่งลูกน้องหมายเลขหนึ่งจะเสียไปไม่ได้ นี่เป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวหลังจากที่เสี่ยวซื่อได้สติคืนมา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คราวนี้ก็จะปล่อยเขาไป อย่างไรก็ตาม…ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็กลับมาเป็นปกติ CPU ไม่ได้ทำงานเต็มกำลังอีกต่อไป ชิปเองก็ผ่านวิกฤติเครื่องค้างไปแล้วเช่นกัน เขามองจุดที่ชายคนนั้นหายตัวไป แล้วก็กวัดแกว่งหมัดของตัวเองอย่างรุนแรง ตัดสินใจว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายลูกพี่ของตัวเองโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องฝ่าฝืนคำพูดของลูกพี่ เขาก็จะเอาเรื่องอีกฝ่ายเหมือนกัน

หลังจากที่ได้รับคำมั่นสัญญาของเสี่ยวซื่อ หลิงหลานก็วางใจในที่สุด เธอรออยู่หลายนาทีถึงค่อยๆ เดินไปยังโซนที่นั่งด้านหน้า หาที่นั่งของตัวเอง

ควรบอกว่าการหาที่นั่งในโลกเสมือนจริงนั้นง่ายดายมาก เมื่อเข้าไปที่โซนที่นั่งแล้ว เบื้องหน้าของหลิงหลานก็ปรากฏแผนผังที่นั่งขึ้นมาอัตโนมัติ แสงสีแดงส่องกระพริบขึ้นมาบนที่นั่งแห่งหนึ่ง ส่วนจุดสีเขียวด้านล่างกำลังเคลื่อนไปทางด้านหน้า อืม จุดสีเขียวนั้นก็คือตัวเธอเอง

ไม่นานหลิงหลานก็หาที่นั่งของตัวเองเจอตามการแจ้งเตือนของแผนที่ หลังจากนั้นที่เธอนั่งลง แผนที่ตรงหน้าก็หายไป ทัศนวิสัยกลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง

หลิงหลานมองดูผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความใคร่รู้ เสื้อผ้าที่ดู้คุ้นตาทำให้หน้าผากเธอขึ้นขีดดำเต็มไปหมดทันที คำว่าเย็ดแม่งมากมายนับไม่ถ้วนแล่นผ่านขึ้นมาในใจ…ทำไมเธอถึงโชคร้ายขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าต้องมาเจอไอ้ตัวอันตรายนี้อีกครั้ง

ที่แท้คนที่นั่งข้างหลิงหลานก็คือผู้ชายอันตรายที่มีการกลายพันธุ์ทางจิตจนพัฒนามาเป็นผีซวีคนนั้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ท่าทีของชายคนนั้นดูไม่เลวเลย เมื่อเขาเห็นหลิงหลานมองเข้ามาก็พยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ

“เอ่อ…สวัสดี!” หลิงหลานฉีกยิ้มน้อยๆ อย่างสุดความสามารถก่อนจะหันหน้าหนีด้วยความกลุ้มใจ

อย่างไรก็ตาม ในใจหลิงหลานไม่ได้หวาดกลัวมากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอันตรายมาก แต่เดิมทีพวกเขาสองคนก็เป็นคนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน เธอเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่มีทางทำร้ายเธออย่างไร้เหตุผลหรอก

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่ให้เสี่ยวซื่อลงมือตรวจสอบ แต่เธอก็เชื่อว่าถ้าหากอีกฝ่ายคิดจะทำไม่ดีต่อเธอละก็ เสี่ยวซื่อจะต้องตอบโต้กลับและปกป้องเธอไม่ให้ถูกทำร้ายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหลิงหลานก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก ขอเพียงเธอทนรับการลอบโจมตีของอีกฝ่ายได้หนึ่งครั้ง ต่อให้เขาอยากจะทำร้ายเธออีกก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว เธอต่อสู้จนไร้คู่ต่อกรในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอในโลกเสมือนจริงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอจนถึงขั้นไม่มีแรงสู้กลับเลยสักนิด สรุปแล้วหลิงหลานยังคงมั่นใจอยู่บ้าง

ด้วยเหตุนี้เอง สภาพจิตใจของหลิงหลานจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอใจเย็นมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในสนามประลองคร่าวๆ

สนามประลองใหญ่มาก มันใหญ่จนน่าตกใจกลัวอยู่บ้าง มันเหมือนกับสนามบาสเวอร์ชั่นขยายใหญ่ในชาติก่อน เพียงแต่พื้นที่ตรงกลางเปลี่ยนจากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์แทน รอบด้านต่างเป็นที่นั่งผู้ชมเรียงชิดกันเป็นชั้นๆ หลิงหลานนับอย่างละเอียดแล้วจากด้านล่างขึ้นมาข้างบนมีอยู่ 12 ชั้น คาดว่าสนามต่อสู้นี้สามารถรองรับผู้ชมได้ห้าแสนคน เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว นี่ย่อมเป็นสังเวียนยักษ์แน่นอน ถ้าหากอยู่ในโลกความจริง มันจะเป็นอาคารที่ใหญ่โตขนาดไหนนะ

หลิงหลานถอนหายใจ สิ่งปลูกสร้างในโลกอนาคตจะขยายใหญ่มากขึ้นไปทุกที ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าสนามประลองหุ่นรบที่เธอคิดว่าใหญ่โตมโหราฬนี้จะเป็นแค่สนามขนาดเล็กเท่านั้น ดาวเว่ยหลานเป็นดาวระดับสาม เมืองหลวงของมันก็เป็นเมืองหลวงชั้นสามเช่นกัน ดังนั้นมันเลยได้แต่มีสนามประลองหุ่นรบขนาดเล็กแบบนี้เท่านั้น

เมืองหลวงชั้นสองสามารถมีสนามประลองขนาดกลางได้ ซึ่งสนามขนาดกลางสามารถบรรจุคนได้แปดแสนคน ส่วนเมืองหลวงระดับหนึ่งสามารถมีสนามประลองขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้หนึ่งล้านคน ก็เหมือนกับเมืองหลวงของโดฮาซึ่งเป็นดาวเมืองหลวงที่สามารถมีสนามประลองขนาดใหญ่ยักษ์ได้ สนามประลองแบบนี้สามารถบรรจุคนได้สองล้านคน นั่นถึงจะเป็นอาคารขนาดยักษ์อย่างแท้จริง ตอนนี้พูดได้แค่ว่าหลิงหลานยังเป็นแค่คนบ้านนอกคอกนาเท่านั้น ไม่เคยเห็นโลกกว้างที่แท้จริงมาก่อน

ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งสนามประลองก็มีคนนั่งเต็มไปหมด ผู้คนรวมกลุ่มกันอย่างแน่นหนา จากนั้นเสียงกริ่งดังขึ้นที่ข้างหูอย่างรวดเร็ว เสียงกริ่งนี้ไพเราะมาก ไม่เหมือนกับเสียงที่ดังออกมาจากการเคาะโลหะ มันเหมือนกับเสียงน้ำพุที่ดังติ๋งๆ

หลังจากเสียงนี้ สนามประลองก็มีเสียงปรบมืออย่างคึกคักดังขึ้นมาฉับพลัน ในเวลาเดียวกัน หุ่นรบสองตัวค่อยๆ ร่อนลงมาจากกลางอากาศ แล้วตกลงสู่พื้นอย่างช้าๆ

หนึ่งในหุ่นรบของพวกเขามีสีแดงฉานทั่วทั้งตัว ส่วนอีกตัวกลับมีแสงสีเงิน เมื่อหลิงหลานมองจดจ่อไปที่หุ่นรบตัวหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฎข้อมูลพื้นฐานของหุ่นรบตัวนั้น หลิงหลานค่อยรู้ว่าหุ่นรบสีแดงฉานคือผู้ท้าประลอง J6 คนนั้นนั่นเอง ส่วนหุ่นรบแสงสีเงินก็เป็นผู้รับคำท้า J8

หุ่นรบทั้งสองตัวมาจากประเภทของหุ่นรบที่แตกต่างกันไป หุ่นรบสีแดงเป็นหุ่นรบเปลี่ยนรูปแบบบิน ข้อดีคือเคลื่อนไหวได้อย่างปราดเปรียบสุดขีดเมื่อบินอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังสามารถสับเปลี่ยนเป็นร่างฮิวแมนนอยด์กับยานบินได้ตามใจชอบ นับว่าเป็นหุ่นรบที่ใช้ได้ทั้งบนบกและในอากาศ มือขวาของมันติดตั้งปืนเลเซอร์ไว้ มือซ้ายว่างเปล่าเตรียมไว้ใช้สำรอง ด้านข้างขาทั้งสองข้างใส่กริชเหล็กอัลลอยด์สูงไว้หนึ่งเล่ม ข้างใต้ปีกยังติดตั้งจรวดติดตามประสิทธิภาพสูงไว้หลายลูก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการติดอาวุธตามปกติเท่านั้น ส่วนเรื่องที่มันซ่อนอาวุธลับอะไรไว้ นั่นก็ไม่อาจทราบได้แล้ว

อาวุธลับก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของการแข่งขันประลองหุ่นรบเช่นกัน หุ่นรบทั้งหมดต่างก็ปกปิดความสามารถบางอย่างไว้

ส่วนหุ่นรบแสงสีเงินก็เป็นหุ่นรบฮิวแมนนอยด์ที่ใช้บนบก มันเคลื่อนไหวปราดเปรียวอย่างหาใดเปรียบเมื่อโลดแล่นอยู่บนพื้น ด้านหลังติดตั้งปืนใหญ่รังสีไว้หนึ่งกระบอก ปืนใหญ่รังสีเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับการโจมตีทางอากาศโดยเฉพาะ มือขวาของหุ่นรบแสงสีเงินกุมดาบเลเซอร์ไว้เล่มหนึ่ง มือซ้ายก็ปล่อยว่างเพื่อเตรียมไว้ใช้สำรองเช่นเดียวกัน อุปกรณ์อื่นๆ ก็เป็นอาวุธตามมาตรฐานเหมือนกับหุ่นรบสีแดง

หุ่นรบสองตัวเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ พวกมันขยับแขนขาตัวเองราวกับกำลังอุ่นเครื่องปรับตัวอยู่

และตอนนี้เอง บนพื้นสนามประลองก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ทำให้หลิงหลานอดร้องตกใจขึ้นมาไม่ได้

ที่แท้ฉากบนลานประลองก็เปลี่ยนไปฉับพลัน พื้นธรรมดากลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ชมอย่างพวกเธอก็ออกจากสนามประลองมาอยู่ท่ามกลางทะเลทราย…หลิงหลานถึงขนาดสัมผัสได้ถึงแสงแดดที่แผดเผาบนร่างกาย รวมไปถึงความร้อนอันไร้ที่สิ้นสุดที่สะท้อนออกมาจากทะเลทรายข้างใต้เท้า

หลิงหลานเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า นี่น่าจะเป็นวิธีการจำลองอย่างหนึ่ง มันจำลองเขตทะเลทรายออกมาในชั่วพริบตา หลิงหลานยังไม่ทันได้สติกลับมาจากทะเลทราย สิ่งที่ตามมาก็ทำให้หลิงหลานรู้สึกเซ่อซ่าอีกครั้ง ที่แท้หุ่นรบเปลี่ยนรูปแบบบิน สีแดงได้เปลี่ยนเป็นหุ่นรบรูปแบบยานบินในตอนที่เปลี่ยนฉากเป็นทะเลทราย มันบินไปไกลอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดสีดำก่อนจะหายวับไป ส่วนความเร็วของหุ่นรบแสงสีเงินก็รวดเร็วสุดขีด มันกระโดดไม่กี่ทีก็หายไปในเนินทราย…

จะให้เธอดูการแข่งขันยังไงถ้าไม่มีภาพหุ่นรบแล้ว?

เธอถามเสี่ยวซื่อ เสี่ยวซื่อเองก็ไม่รู้ เขารีบวิ่งไปตรวจสอบหาวิธีแก้ไข ในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นมาจากข้างกายเธอ แทบจะทำให้หลิงหลานตกใจกลัว “ดูการประลองครั้งแรกเหรอ?”

หลิงหลานหันหน้าไป เป็นชายลึกลับที่มองไม่เห็นหูตาจมูกกำลังพูดอยู่อย่างที่คาดไว้จริงๆ หลิงหลานประหลาดใจเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเย็นชามาก ทำไมเขาถึงพูดคุยกับเธอก่อนล่ะ?

เมื่อมีคนยินดีให้ความช่วยเหลือ หลิงหลานย่อมไม่โง่ปฏิเสธมันไปแน่นอน “ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันดูการแข่งขันแบบนี้”

“คิดในใจว่าตัวเลือก ก็จะมีรายการตัวเลือกโผล่ขึ้นมา” ชายคนนี้สอนหลิงหลานจริงๆ

หลิงหลานทำตาม เบื้องหน้าก็ปรากฏตัวอักษรท่อนหนึ่ง ‘เลือกมุมมองที่คุณต้องการ: หนึ่ง: มุมมองพระเจ้า สอง: มุมมองผู้ท้าประลอง สาม: มุมมองผู้รับคำท้า’

หลิงหลานไม่รู้ว่ามุมมองแบบไหนถึงจะดีกว่ากันเลยตัดสินใจถามผู้มีประสบการณ์ดูจะเหมาะสมกว่า ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามชายข้างกายโดยไม่มีความเกรงใจสักนิดเดียวว่า “ควรเลือกมุมมองแบบไหนดีละ?”

“อยากดูการต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็เลือกมุมมองพระเจ้า อยากรู้ว่าจะควบคุมหุ่นรบและเลือกรับมือยังไงก็สามารถเลือกอีกสองตัวเลือกได้” ชายคนนี้ไม่ได้คบหายากอย่างที่เธอจินตนาการไว้ขนาดนั้น เขายังคงอธิบายด้วยความอดทน

หลิงหลานครุ่นคิดสักพัก เธอควบคุมหุ่นรบไม่เป็น ดูไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้ดูการประลองของหุ่นรบสองตัวดีกว่า บางทีมันอาจจะชี้แนะทักษะการต่อสู้บางอย่างให้เธอได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกมุมมองพระเจ้าโดยไม่ลังเล

“ขอบใจนะ” หลิงหลานกล่าวขอบคุณชายข้างกายอย่างมีมารยาทก่อนที่จะทำการเลือก

…………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 109 มุมมองพระเจ้า!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 109 มุมมองพระเจ้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลูกพี่อยากรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายไหม? ฉันไปตรวจสอบให้ได้นะ” ดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวซื่อเปล่งประกาย ราวกับหาของเล่นอะไรบางอย่างที่น่าสนุกเจอ

หลิงหลานกำลังคิดจะตอบว่าดี ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าระมัดระวังว่า “นายจะตรวจสอบยังไง?”

เสี่ยวซื่อพูดด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นว่า “แน่นอนว่าต้องแทรกซึมเข้าไปในร่างจิตของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ฉันก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้”

“ไม่อนุญาต!” หลิงหลานตวาดเสียงสูงอย่างเฉียบขาดในห้วงสติ

หลิงหลานไม่ได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในมิติภารกิจของพ่อเธอ เสี่ยวซื่อเคยบอกว่าร่างจิตของผู้แข็งแกร่งสามารถสังเกตเห็นเขาได้ ถึงขนาดที่สามารถควบคุมเสี่ยวซื่อ สร้างความเสียหายให้กับเสี่ยวซื่อได้โดยตรง ใครจะไปรู้ว่าแฮคเกอร์ที่พัฒนาเป็นผีซวีตรงหน้านี้จะสร้างความเสียหายร้ายแรงอะไรต่อเสี่ยวซื่อหรือไม่

“ทำไมล่ะ?” เสี่ยวซื่อตกใจเสียงตวาดอย่างเด็ดขาดของหลิงหลาน ควรรู้ไว้ว่าต่อให้หลิงหลานจะใช้ความรุนแรงในบ้าน แต่เธอก็ไม่เคยทำหน้าเคร่งขรึมใส่เขาเลย สีหน้าน้ำเสียงที่ดูเคร่งเครียดนั้นทำให้เสี่ยวซื่อตกใจ ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดมากเช่นกัน ทั่วทั้งใบหน้าเขาแสดงความคับแค้นใจ เริ่มสงสัยว่าหลิงหลานไม่ชอบเขาแล้วใช่ไหม ถึงได้ทำกับเขาแบบนี้

“ข้อแรก พวกเราไม่มีความแค้นกับเขา ทำไมต้องไปแหย่เขาด้วย ถ้าเกิดกระตุ้นโทสะอีกฝ่ายจนเขาไม่ยอมปล่อยขึ้นมา พวกเราก็จะเจอปัญหามากเหมือนกัน….”

ในตอนที่เสี่ยวซื่อกำลังคิดจะพูดว่าเขาไม่กลัวเรื่องพวกนี้ สามารถจัดการได้หมดทุกเรื่อง หลิงหลานกลับกดบ่าน้อยๆ ของเสี่ยวซื่อไว้ก่อนล่วงหน้าก้าวหนึ่ง พูดด้วยความจริงจังว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือ ฉันไม่อยากให้นายมีอันตราย ถ้าเกิดนายเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา ฉันคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต ดังนั้น เสี่ยวซื่อ นายต้องรับปากฉันว่าจะปกป้องตัวเองไว้ให้ดี จะอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดไป จนกว่าฉันจะจากโลกนี้ไป…”

เสี่ยวซื่อได้ยินคำพูดของหลิงหลานก็ไม่โศกเศร้าแล้ว ความขุ่นเคืองก็หายไปแล้วเช่นกัน…เขารู้สึกว่า CPU ของตัวเองทำงานไม่ค่อยไหวแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ชิปของเขาก็เริ่มร้อนขึ้นมา หลังจากนั้นอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเครื่องค้าง เขาควรจะเครียด ตื่นตระหนก หลังจากนั้นก็พยายามคิดวิธีทำให้ชิปของตัวเองเย็นลงอย่างรวดเร็ว…แต่ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากทำแบบนี้เลยสักนิดเดียว ถึงขนาดที่รู้สึกว่าการคงอยู่ของความร้อนแบบนี้มันดีมากเกินไปจริงๆ เขารักความรู้สึกแบบนี้มากจริงๆ

หลิงหลานเห็นเสี่ยวซื่อทำหน้าเซ่อซ่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็กลัวว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นเธอเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้นอีกครั้งว่า “เสี่ยวซื่อ ฟังนะ ต่อไปฉันไม่อนุญาตให้นายไปตรวจสอบร่างจิตของพวกคนที่แข็งแกร่งหรือว่าอันตรายเองโดยเด็ดขาด ขอเพียงอีกฝ่ายไม่หาเรื่องพวกเรา พวกเราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา จำไว้นะ ต้องปกป้องตัวเองดีๆ นายอยากเป็นลูกน้องหมายเลขหนึ่งของฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้านายไม่ฟังที่ฉันพูด ฉันก็จะปลดตำแหน่งลูกน้องหมายเลขหนึ่งของนายซะ” หลิงหลานตัดสินใจขู่เตือนขึ้นมา

ตอนนี้เสี่ยวซื่อไม่มีความสามารถไตร่ตรองอะไรแล้ว แต่ว่าลูกน้องหมายเลขหนึ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเป้าหมายที่เขาจำมั่นขึ้นใจมาตลอด พอได้ยินคำขู่เตือนของหลิงหลาน เขาก็รีบพยักหน้าเชื่อฟัง ทิ้งความคิดที่จะสืบเรื่องผู้ชายคนนั้นไป

ไม่ว่าอะไรก็สูญเสียได้ แต่ว่าตำแหน่งลูกน้องหมายเลขหนึ่งจะเสียไปไม่ได้ นี่เป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวหลังจากที่เสี่ยวซื่อได้สติคืนมา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คราวนี้ก็จะปล่อยเขาไป อย่างไรก็ตาม…ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็กลับมาเป็นปกติ CPU ไม่ได้ทำงานเต็มกำลังอีกต่อไป ชิปเองก็ผ่านวิกฤติเครื่องค้างไปแล้วเช่นกัน เขามองจุดที่ชายคนนั้นหายตัวไป แล้วก็กวัดแกว่งหมัดของตัวเองอย่างรุนแรง ตัดสินใจว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายลูกพี่ของตัวเองโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องฝ่าฝืนคำพูดของลูกพี่ เขาก็จะเอาเรื่องอีกฝ่ายเหมือนกัน

หลังจากที่ได้รับคำมั่นสัญญาของเสี่ยวซื่อ หลิงหลานก็วางใจในที่สุด เธอรออยู่หลายนาทีถึงค่อยๆ เดินไปยังโซนที่นั่งด้านหน้า หาที่นั่งของตัวเอง

ควรบอกว่าการหาที่นั่งในโลกเสมือนจริงนั้นง่ายดายมาก เมื่อเข้าไปที่โซนที่นั่งแล้ว เบื้องหน้าของหลิงหลานก็ปรากฏแผนผังที่นั่งขึ้นมาอัตโนมัติ แสงสีแดงส่องกระพริบขึ้นมาบนที่นั่งแห่งหนึ่ง ส่วนจุดสีเขียวด้านล่างกำลังเคลื่อนไปทางด้านหน้า อืม จุดสีเขียวนั้นก็คือตัวเธอเอง

ไม่นานหลิงหลานก็หาที่นั่งของตัวเองเจอตามการแจ้งเตือนของแผนที่ หลังจากนั้นที่เธอนั่งลง แผนที่ตรงหน้าก็หายไป ทัศนวิสัยกลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง

หลิงหลานมองดูผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความใคร่รู้ เสื้อผ้าที่ดู้คุ้นตาทำให้หน้าผากเธอขึ้นขีดดำเต็มไปหมดทันที คำว่าเย็ดแม่งมากมายนับไม่ถ้วนแล่นผ่านขึ้นมาในใจ…ทำไมเธอถึงโชคร้ายขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าต้องมาเจอไอ้ตัวอันตรายนี้อีกครั้ง

ที่แท้คนที่นั่งข้างหลิงหลานก็คือผู้ชายอันตรายที่มีการกลายพันธุ์ทางจิตจนพัฒนามาเป็นผีซวีคนนั้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ท่าทีของชายคนนั้นดูไม่เลวเลย เมื่อเขาเห็นหลิงหลานมองเข้ามาก็พยักหน้าน้อยๆ ตอบรับ

“เอ่อ…สวัสดี!” หลิงหลานฉีกยิ้มน้อยๆ อย่างสุดความสามารถก่อนจะหันหน้าหนีด้วยความกลุ้มใจ

อย่างไรก็ตาม ในใจหลิงหลานไม่ได้หวาดกลัวมากเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอันตรายมาก แต่เดิมทีพวกเขาสองคนก็เป็นคนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน เธอเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่มีทางทำร้ายเธออย่างไร้เหตุผลหรอก

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่ให้เสี่ยวซื่อลงมือตรวจสอบ แต่เธอก็เชื่อว่าถ้าหากอีกฝ่ายคิดจะทำไม่ดีต่อเธอละก็ เสี่ยวซื่อจะต้องตอบโต้กลับและปกป้องเธอไม่ให้ถูกทำร้ายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหลิงหลานก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก ขอเพียงเธอทนรับการลอบโจมตีของอีกฝ่ายได้หนึ่งครั้ง ต่อให้เขาอยากจะทำร้ายเธออีกก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว เธอต่อสู้จนไร้คู่ต่อกรในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอในโลกเสมือนจริงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอจนถึงขั้นไม่มีแรงสู้กลับเลยสักนิด สรุปแล้วหลิงหลานยังคงมั่นใจอยู่บ้าง

ด้วยเหตุนี้เอง สภาพจิตใจของหลิงหลานจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอใจเย็นมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในสนามประลองคร่าวๆ

สนามประลองใหญ่มาก มันใหญ่จนน่าตกใจกลัวอยู่บ้าง มันเหมือนกับสนามบาสเวอร์ชั่นขยายใหญ่ในชาติก่อน เพียงแต่พื้นที่ตรงกลางเปลี่ยนจากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์แทน รอบด้านต่างเป็นที่นั่งผู้ชมเรียงชิดกันเป็นชั้นๆ หลิงหลานนับอย่างละเอียดแล้วจากด้านล่างขึ้นมาข้างบนมีอยู่ 12 ชั้น คาดว่าสนามต่อสู้นี้สามารถรองรับผู้ชมได้ห้าแสนคน เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว นี่ย่อมเป็นสังเวียนยักษ์แน่นอน ถ้าหากอยู่ในโลกความจริง มันจะเป็นอาคารที่ใหญ่โตขนาดไหนนะ

หลิงหลานถอนหายใจ สิ่งปลูกสร้างในโลกอนาคตจะขยายใหญ่มากขึ้นไปทุกที ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าสนามประลองหุ่นรบที่เธอคิดว่าใหญ่โตมโหราฬนี้จะเป็นแค่สนามขนาดเล็กเท่านั้น ดาวเว่ยหลานเป็นดาวระดับสาม เมืองหลวงของมันก็เป็นเมืองหลวงชั้นสามเช่นกัน ดังนั้นมันเลยได้แต่มีสนามประลองหุ่นรบขนาดเล็กแบบนี้เท่านั้น

เมืองหลวงชั้นสองสามารถมีสนามประลองขนาดกลางได้ ซึ่งสนามขนาดกลางสามารถบรรจุคนได้แปดแสนคน ส่วนเมืองหลวงระดับหนึ่งสามารถมีสนามประลองขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้หนึ่งล้านคน ก็เหมือนกับเมืองหลวงของโดฮาซึ่งเป็นดาวเมืองหลวงที่สามารถมีสนามประลองขนาดใหญ่ยักษ์ได้ สนามประลองแบบนี้สามารถบรรจุคนได้สองล้านคน นั่นถึงจะเป็นอาคารขนาดยักษ์อย่างแท้จริง ตอนนี้พูดได้แค่ว่าหลิงหลานยังเป็นแค่คนบ้านนอกคอกนาเท่านั้น ไม่เคยเห็นโลกกว้างที่แท้จริงมาก่อน

ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งสนามประลองก็มีคนนั่งเต็มไปหมด ผู้คนรวมกลุ่มกันอย่างแน่นหนา จากนั้นเสียงกริ่งดังขึ้นที่ข้างหูอย่างรวดเร็ว เสียงกริ่งนี้ไพเราะมาก ไม่เหมือนกับเสียงที่ดังออกมาจากการเคาะโลหะ มันเหมือนกับเสียงน้ำพุที่ดังติ๋งๆ

หลังจากเสียงนี้ สนามประลองก็มีเสียงปรบมืออย่างคึกคักดังขึ้นมาฉับพลัน ในเวลาเดียวกัน หุ่นรบสองตัวค่อยๆ ร่อนลงมาจากกลางอากาศ แล้วตกลงสู่พื้นอย่างช้าๆ

หนึ่งในหุ่นรบของพวกเขามีสีแดงฉานทั่วทั้งตัว ส่วนอีกตัวกลับมีแสงสีเงิน เมื่อหลิงหลานมองจดจ่อไปที่หุ่นรบตัวหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฎข้อมูลพื้นฐานของหุ่นรบตัวนั้น หลิงหลานค่อยรู้ว่าหุ่นรบสีแดงฉานคือผู้ท้าประลอง J6 คนนั้นนั่นเอง ส่วนหุ่นรบแสงสีเงินก็เป็นผู้รับคำท้า J8

หุ่นรบทั้งสองตัวมาจากประเภทของหุ่นรบที่แตกต่างกันไป หุ่นรบสีแดงเป็นหุ่นรบเปลี่ยนรูปแบบบิน ข้อดีคือเคลื่อนไหวได้อย่างปราดเปรียบสุดขีดเมื่อบินอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังสามารถสับเปลี่ยนเป็นร่างฮิวแมนนอยด์กับยานบินได้ตามใจชอบ นับว่าเป็นหุ่นรบที่ใช้ได้ทั้งบนบกและในอากาศ มือขวาของมันติดตั้งปืนเลเซอร์ไว้ มือซ้ายว่างเปล่าเตรียมไว้ใช้สำรอง ด้านข้างขาทั้งสองข้างใส่กริชเหล็กอัลลอยด์สูงไว้หนึ่งเล่ม ข้างใต้ปีกยังติดตั้งจรวดติดตามประสิทธิภาพสูงไว้หลายลูก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการติดอาวุธตามปกติเท่านั้น ส่วนเรื่องที่มันซ่อนอาวุธลับอะไรไว้ นั่นก็ไม่อาจทราบได้แล้ว

อาวุธลับก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของการแข่งขันประลองหุ่นรบเช่นกัน หุ่นรบทั้งหมดต่างก็ปกปิดความสามารถบางอย่างไว้

ส่วนหุ่นรบแสงสีเงินก็เป็นหุ่นรบฮิวแมนนอยด์ที่ใช้บนบก มันเคลื่อนไหวปราดเปรียวอย่างหาใดเปรียบเมื่อโลดแล่นอยู่บนพื้น ด้านหลังติดตั้งปืนใหญ่รังสีไว้หนึ่งกระบอก ปืนใหญ่รังสีเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับการโจมตีทางอากาศโดยเฉพาะ มือขวาของหุ่นรบแสงสีเงินกุมดาบเลเซอร์ไว้เล่มหนึ่ง มือซ้ายก็ปล่อยว่างเพื่อเตรียมไว้ใช้สำรองเช่นเดียวกัน อุปกรณ์อื่นๆ ก็เป็นอาวุธตามมาตรฐานเหมือนกับหุ่นรบสีแดง

หุ่นรบสองตัวเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ พวกมันขยับแขนขาตัวเองราวกับกำลังอุ่นเครื่องปรับตัวอยู่

และตอนนี้เอง บนพื้นสนามประลองก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ทำให้หลิงหลานอดร้องตกใจขึ้นมาไม่ได้

ที่แท้ฉากบนลานประลองก็เปลี่ยนไปฉับพลัน พื้นธรรมดากลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ชมอย่างพวกเธอก็ออกจากสนามประลองมาอยู่ท่ามกลางทะเลทราย…หลิงหลานถึงขนาดสัมผัสได้ถึงแสงแดดที่แผดเผาบนร่างกาย รวมไปถึงความร้อนอันไร้ที่สิ้นสุดที่สะท้อนออกมาจากทะเลทรายข้างใต้เท้า

หลิงหลานเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า นี่น่าจะเป็นวิธีการจำลองอย่างหนึ่ง มันจำลองเขตทะเลทรายออกมาในชั่วพริบตา หลิงหลานยังไม่ทันได้สติกลับมาจากทะเลทราย สิ่งที่ตามมาก็ทำให้หลิงหลานรู้สึกเซ่อซ่าอีกครั้ง ที่แท้หุ่นรบเปลี่ยนรูปแบบบิน สีแดงได้เปลี่ยนเป็นหุ่นรบรูปแบบยานบินในตอนที่เปลี่ยนฉากเป็นทะเลทราย มันบินไปไกลอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดสีดำก่อนจะหายวับไป ส่วนความเร็วของหุ่นรบแสงสีเงินก็รวดเร็วสุดขีด มันกระโดดไม่กี่ทีก็หายไปในเนินทราย…

จะให้เธอดูการแข่งขันยังไงถ้าไม่มีภาพหุ่นรบแล้ว?

เธอถามเสี่ยวซื่อ เสี่ยวซื่อเองก็ไม่รู้ เขารีบวิ่งไปตรวจสอบหาวิธีแก้ไข ในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นมาจากข้างกายเธอ แทบจะทำให้หลิงหลานตกใจกลัว “ดูการประลองครั้งแรกเหรอ?”

หลิงหลานหันหน้าไป เป็นชายลึกลับที่มองไม่เห็นหูตาจมูกกำลังพูดอยู่อย่างที่คาดไว้จริงๆ หลิงหลานประหลาดใจเล็กน้อย เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเย็นชามาก ทำไมเขาถึงพูดคุยกับเธอก่อนล่ะ?

เมื่อมีคนยินดีให้ความช่วยเหลือ หลิงหลานย่อมไม่โง่ปฏิเสธมันไปแน่นอน “ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันดูการแข่งขันแบบนี้”

“คิดในใจว่าตัวเลือก ก็จะมีรายการตัวเลือกโผล่ขึ้นมา” ชายคนนี้สอนหลิงหลานจริงๆ

หลิงหลานทำตาม เบื้องหน้าก็ปรากฏตัวอักษรท่อนหนึ่ง ‘เลือกมุมมองที่คุณต้องการ: หนึ่ง: มุมมองพระเจ้า สอง: มุมมองผู้ท้าประลอง สาม: มุมมองผู้รับคำท้า’

หลิงหลานไม่รู้ว่ามุมมองแบบไหนถึงจะดีกว่ากันเลยตัดสินใจถามผู้มีประสบการณ์ดูจะเหมาะสมกว่า ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามชายข้างกายโดยไม่มีความเกรงใจสักนิดเดียวว่า “ควรเลือกมุมมองแบบไหนดีละ?”

“อยากดูการต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็เลือกมุมมองพระเจ้า อยากรู้ว่าจะควบคุมหุ่นรบและเลือกรับมือยังไงก็สามารถเลือกอีกสองตัวเลือกได้” ชายคนนี้ไม่ได้คบหายากอย่างที่เธอจินตนาการไว้ขนาดนั้น เขายังคงอธิบายด้วยความอดทน

หลิงหลานครุ่นคิดสักพัก เธอควบคุมหุ่นรบไม่เป็น ดูไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้ดูการประลองของหุ่นรบสองตัวดีกว่า บางทีมันอาจจะชี้แนะทักษะการต่อสู้บางอย่างให้เธอได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกมุมมองพระเจ้าโดยไม่ลังเล

“ขอบใจนะ” หลิงหลานกล่าวขอบคุณชายข้างกายอย่างมีมารยาทก่อนที่จะทำการเลือก

…………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+