I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 133 ประลองแลกเปลี่ยนความรู้!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 133 ประลองแลกเปลี่ยนความรู้! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถึงแม้ว่าจะเสียนายพลในสนามรบไปหนึ่งคน แต่สหพันธรัฐกลับได้พลังต่อต้านมากขึ้น ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์ของพลตรีหลิงเซียวเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว” เหล่าเหลียนกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่า ทำไมต้องส่งหุ่นรบ IN อาวุธสุดยอดของสหพันธรัฐไปยังสนามรบที่ไม่สลักสำคัญแห่งนั้นอย่างไร้เหตุผลด้วย? สิ่งที่น่าขบขันยิ่งกว่าคือ ไม่นึกเลยว่าผู้ควบคุมขั้นเทวะที่สำคัญต่อสหพันธรัฐขนาดนี้กลับถูกประเทศศัตรูวางแผนลอบทำร้ายได้ง่ายดายขนาดนั้น….เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของพวกเขาไปกินขี้กันหมดแล้วหรือไง?

ทุกครั้งที่คิดถึงตรงนี้ หัวใจเขาก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ อยากจัดการพวกโง่เง่าที่วางแผนนี้ขึ้นมาจริงๆ…ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำสูงสุดของประเทศจับคนพวกนั้นมาสืบสวนทันทีแล้วละก็ เกรงว่าเวลานั้นทหารสหพันธรัฐที่ถูกความโกรธครอบงำจะต้องพุ่งเข้ามาที่กองทัพแล้วจับพวกเขามากินลูกปืนของทุกคนก่อนถึงจะค่อยหยุดแน่นอน

“อย่าพูดเรื่องน่าเศร้านั้นเลย เรื่องของพลตรีหลิงเซียวคือความแค้นในใจทุกคนในสหพันธรัฐ” สีหน้าของเฉิงหย่วนหังหม่นหมองตาม ต่อให้ผ่านไปแล้วสิบปี ประชาชนของสหพันธรัฐยังคงไม่สามารถยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้ได้

เฉิงหย่วนหังมองไปยังหลิงหลานที่อยู่ไกลๆ สีหน้าเขาดีขึ้นเล็กน้อย เขาปลุกจิตใจตัวเองและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเด็กสองคนเมื่อตะกี้นี้จะมีพรสวรรค์ดีมาก ความสามารถก็เพียงพอ แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องฉัน…” คนนี้คืออัจฉริยะที่ยากจะเจอสักครั้ง บางทีอาจจะมีโอกาสชดเชยความเจ็บปวดของพวกเขาได้

คำพูดของเฉิงหย่วนหังทำให้เหล่าเหลียนตื่นตะลึง “เอ่อ….เมื่อตะกี้นี้ยังไม่ได้ดีที่สุดเหรอ?” เขาตบบ่าเฉิงหย่วนหังแรงๆ กล่าวด้วยความอิจฉาว่า “ไอ้หนู ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้? ไม่นึกเลยว่าพาห้องเรียนมาครั้งแรกก็มีเด็กอัจฉริยะที่มีความสามารถโดดเด่นเยอะขนาดนี้”

เฉิงหย่วนหังกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า “นายไม่เห็นหรือไงว่าห้องที่ฉันพามาคือห้องอะไร….นั่นเป็นห้องสเปเชียลเอที่สามารถรวบรวมอัจฉริยะระดับสุดยอดทั้งหมดของสหพันธรัฐมาได้นะ” แววตาเขาเปล่งประกายแวววับ นึกถึงตอนที่ผู้อำนวยการแจ้งข่าวนี้แก่เขา ตัวเขาถูกความตื่นเต้นยินดีนี้กระแทกใส่จนเซ่อซ่าไปเลย

“บอกแล้วไง นายนี่มันโชคดีชิบหายเลย” เหล่าเหลียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

เฉิงหย่วนหังทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาชี้ไปที่หลิงหลานซึ่งตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบสังเกตเค้าโครงของยานอวกาศอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “นั่นไง ก็คือคนๆ นั้นเนี่ยแหละ เขาคือคนที่ฉันพูดถึง ชื่อว่าหลิงหลาน เป็นยังไง? ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

เหล่าเหลียนมองไปที่หลิงหลานด้วยความจริงจังครู่หนึ่ง ก่อนจะอดลูบคางอย่างตื่นเต้นไม่ได้ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “อืม ไม่เลวเลย ฉันชอบแววตาน้อยๆ ที่ระมัดระวังนั้น เจ้าหนูนี่เยือกเย็นมาก ไม่ว่าจะอยากรู้อยากเย็นและตื่นเต้นอีกสักแค่ไหน ก็ยังคงเอาความปลอดภัยของตัวเองไว้เป็นอันดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจดจำรูปแบบขบวนทัพของฉันอยู่”

“ไม่เพียงแค่นั้นนะ ความสามารถด้านการต่อสู้ของเจ้าหนูนี่ก็เหนือกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจละก็ นอกจากพละกำลังที่ยังขาดอยู่เล็กน้อยแล้ว ด้านอื่นๆ ของเจ้าหนูนี่ เกรงว่าพวกลูกน้องของนาย…อาจจะไม่ใช่คู่มือของเขา” เฉิงหย่วนหังวางใจเรื่องความสามารถของหลิงหลานอยู่แล้ว เขากล่าวคำพูดประโยคนี้ด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งยวด

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” เหล่าเหลียนเชื่อว่าหลิงหลานมีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดประโยคนี้ของเฉิงหย่วนหังแน่นอน เขาคิดว่าเฉิงหย่วนหังยกหางตัวเอง ลองคิดดูสิเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบคนหนึ่ง ต่อให้มีพรสวรรค์ร้ายกาจ เรียนรู้การต่อสู้ได้ดีอีกแค่ไหน ก็ไม่สามารถเหนือกว่าพวกคนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มานับร้อยศึกที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาได้

“ไม่เชื่อเหรอ? ถ้ามีโอกาสก็ให้ลูกน้องของนายทดสอบเขาดูก็ได้” เฉิงหย่วนหังเอ่ยแนะนำคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม บอกเหล่าเหลียนชัดเจนว่าพวกเขาเป็นทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟจริงๆ

เหล่าเหลียนเงียบไป เขาบีบคางตัวเอง มองหลิงหลานด้วยความใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง…

…..

ห้องบนยานอวกาศแบ่งเป็นหกคนต่อหนึ่งห้อง ดังนั้นทีมของหลิงหลานเลยยื่นขอเข้าพักด้วยกันทันที ไม่เพียงแค่ทีมของหลิงหลานเท่านั้น ทีมอื่นๆ ก็เลือกแบบนี้เช่นกัน

ไม่นาน ยานอวกาศก็หลุดออกจากการนำร่อง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเป็นทางการ พวกเขาแล่นออกจากท่าอวกาศมุ่งไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว การเดินทางในอวกาศครั้งนี้ต้องใช้เวลาเจ็ดวันถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ตอนเริ่มเดินทางพวกนักเรียนยังอยู่ในสภาวะตื่นเต้น พอมองดูทิวทัศน์งดงามของอวกาศด้านนอกก็รู้สึกว่าผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ทว่าหลังจากที่ผ่านไปติดกันสองวัน ความตื่นเต้นนี้ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ทิวทัศน์ของอวกาศที่เป็นแบบเดียวกันหมดไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเด็กๆ ได้แล้ว นี่ทำให้พวกนักเรียนที่ใช้ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันในสถาบันลูกเสือรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง

กัปตันของยานอวกาศเหมือนสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายของพวกเด็กๆ ทันใดนั้นเขาก็ประกาศว่าจะทำการแข่งขันประลองแลกเปลี่ยนความรู้ของลูกเรือกับนักเรียน นี่ทำให้พวกนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ควรรู้ไว้ว่า นอกจากการประลองระหว่างนักเรียนด้วยกันรวมไปถึงแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์แล้ว พวกเขายังไม่เคยต่อสู้กับผู้ใหญ่ข้างนอกมาก่อนเลยจริงๆ

เด็กทุกคนต่างมีความฝันว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของตัวเอง พวกเขาเองก็อยากรู้มากๆ ว่า ความสามารถในการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับผู้ใหญ่แตกต่างกันมากเท่าไหร่กันแน่

ฉีหลงเป็นคนบ้าการต่อสู้ เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็ตื่นเต้นพลางลากพวกหลิงหลานไปชมการต่อสู้ที่ห้องประลองด้วยกันทันที แน่นอนว่าเขาเองก็ตั้งใจจะลงไปประลองสักยกเหมือนกัน

ในยานอวกาศมีห้องประลองขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง หลิงหลานสังเกตเห็นว่าห้องประลองแห่งนี้ใช้แผ่นโลหะผสมที่มีประสิทธิภาพและการต้านทานสูงสร้างขึ้นมา พละกำลังที่น้อยกว่าหนึ่งตันย่อมไม่สามารถทิ้งร่องรอยไว้ในนี้ได้ ทำให้นักสู้โจมตีได้อย่างเต็มที่แน่นอน…

หน้าผากของหลิงหลานหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเล็กน้อย ดูท่าลูกเรือในยานอวกาศลำนี้จะเป็นพวกบ้าการต่อสู้กันหมดเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางใช้ โลหะล้ำค่าราคาแพงพวกนี้มาสร้างห้องประลองโดยเฉพาะหรอก

พอหลิงหลานมาถึง ในห้องประลองก็มีนักเรียนและลูกเรือยานอวกาศแลกเปลี่ยนความรู้กันหลายคนแล้ว ถึงแม้ว่าเด็กห้องเอจะนับว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าเด็กในชั้นปีเดียวกันของสถาบัน แต่เมื่อเทียบกับพวกลูกเรือที่เป็นผู้ใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่านองเลือดแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนอ่อนหัดที่ไม่อาจอ่อนหัดได้อีกจริงๆ ต่อสู้กันไม่กี่กระบวนท่าก็พ่ายแพ้แล้ว นักเรียนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดก็ยังทนได้ไม่เกินสิบกระบวนท่าเช่นกัน

การต่อสู้เพียงฝ่ายเดียวที่ไม่มีความตื่นเต้นเลยสักนิดเดียวแบบนี้ทำให้พวกลูกเรือที่ชมการต่อสู้อ้าปากหาวติดต่อกัน “กัปตันก็อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ให้พวกเรามาเล่นเกมเป็นเพื่อนเด็กพวกนีเนี่ยนะ เห็นพวกเสี่ยวจินสู้แบบนี้แล้วรู้สึกอึดอัดจริงๆ เลยว่าไหม?” ลูกเรือทุกคนที่เข้าไปต่อสู้จำเป็นต้องควบคุมพละกำลังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากกลัวว่าจะลงมือทำร้ายเด็กสาหัสเกินไป ทำให้คนที่ชมดูอย่างพวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

พวกลูกเรือที่คุ้นชินกับการใช้ดาบจริงปืนจริงต่างรับการประลองเด็กเล่นแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงขนาดที่ไม่สนใจแม้กระทั่งเล่นเป็นเพื่อนด้วยเลย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจที่กัปตันออกคำสั่งบังคับพวกเขาอย่างยิ่ง

คำพูดเหล่านี้ทำให้พวกเด็กนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่พอใจอย่างมาก แต่หลังจากที่ประลองมาหลายรอบ พวกเขาก็รู้ว่าความสามารถของพวกเขากับพวกลูกเรือห่างชั้นกันมากเกินไป ต่อให้พวกเขาเข้าไปสู้ก็เป็นการส่งตัวเองไปให้พวกลูกเรือทารุณ

พวกเด็กๆ ห้องสเปเชียลเอคือพวกเด็กกิตติมศักดิ์ในสถาบันมาตลอด ทางสถาบันอัดความคิดให้พวกเขาว่า พวกเขาคือกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นความหยิ่งในศักดิ์ศรีจึงมีเยอะว่านักเรียนคนอื่นๆ มากนัก พอเผชิญหน้ากับการพ่ายแพ้ย่อยยับแบบนี้ พวกเขาย่อมยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ได้แน่นอน พวกเขาอยากจะโต้กลับคืนสักรอบ

“คนที่พวกคุณเอาชนะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องเรา รอพวกคุณเอาชนะพวกคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเราก่อนแล้วค่อยพูด” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

คำพูดนี้ได้รับความเห็นชอบจากนักเรียนทุกคนที่อยู่ในนี้ “ถูกต้อง คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องเรายังไม่มาเลย อย่าดูถูกพวกเรานะ”

“เอาชนะเขาแล้วค่อยว่ากัน…”

คำพูดแค้นเคืองของพวกเด็กๆ ทำให้พวกลูกเรือหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยิ่งไปกว่านั้นมีลูกเรือคนหนึ่งชี้ไปยังหนึ่งในลูกเรือที่ผอมกะหร่องแล้วเอ่ยอย่างขบขันว่า “อาฉวน อีกเดี๋ยวก็ให้นายเจอกับคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาละกัน”

“ฉัน? ฉันเป็น JMC นะ ไม่เก่งเรื่องต่อสู้สักหน่อย” อาฉวนขยุ้มศีรษะด้วยความกระอักกระอ่วน ทุกคนต่างรู้ว่า JMC คือลูกเรือที่มีพลังรบด้อยที่สุดในยานอวกาศ

“ก็เพราะแบบนี้ไง นายถึงเหมาะสม อย่างน้อยที่สุดเราก็ให้เขาต้านทานได้สักห้าสิบกว่ากระบวนท่า กู้หน้าขึ้นมาได้บ้าง” ลูกเรือพวกนี้ต่างก็เป็นลูกเรือเก่าที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด คำพูดจาย่อมไม่ค่อยน่าฟังอยู่แล้ว นักเรียนลูกเสือที่อยู่ตรงนี้ต่างโกรธจนควันออกหูทันที

หลิงหลานที่กำลังชมดูเรื่องราวทั้งหมดพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูว่า “จนถึงตอนนี้นายยังอดทนไหวอีกเหรอ?”

ที่แท้อู่จย่งก็พาพวกเยี่ยซวี่มาถึงแล้ว และบังเอิญได้ยินคำพูดพวกนี้พอดี หน้าผากเขามีเส้นเลือดปูดโปน ความโกรธเกรี้ยวลุกโชนขึ้นมาในแววตา ดูท่าเขาจะโมโหไม่น้อยแล้ว

“นายขึ้นไปลองดูได้นะ” หลิงหลานแนะนำ เธอไม่ได้หุนหันพลันแล่นขนาดนั้น โดนคนพูดใส่ไม่กี่ประโยคก็อดทนไม่ไหวแล้ว เส้นผมก็ไม่ได้หลุดร่วงลงมากมายเพราะเรื่องนี้เสียหน่อย

อู่จย่งกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “นายคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราไม่ใช่เหรอไง?” ขนาดนี้ก็ยังอดทนไหว? เขาไม่มีหัวใจของผู้แข็งแกร่งเลยหรือไง? อู่จย่งคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ

“ขนาดไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเอาชนะพวกเขาได้ แบบนี้ไม่น่าตื่นเต้นมากกว่าเหรอ?” หลิงหลานเลิกคิ้วพลางเอ่ยขึ้นมา

อู่จย่งมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะขึ้นมาและกล่าวว่า “ก็ถูก!” เขาพูดจบก็เตรียมตัวจะก้าวออกไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งคว้าตัวเขาเข้ามา

อู่จย่งกำลังจะหลบออกตามจิตใต้สำนึก แต่เขาก็พบว่าตัวเองไม่มีโอกาสแล้ว มือข้างนั้นปิดช่องว่างในการหลบของเขาทั้งหมด…

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่นายจะออกไป” คนที่คว้าตัวอู่จย่งไว้ก็คือหลิงหลานนี่เอง

“หลินจงชิง” หลิงหลานพลันหันหน้ากลับไปแล้วตะโกนขึ้นมา

หลินจงชิงอึ้งไปก่อนจะรีบตอบกลับว่า “ลูกพี่ มีเรื่องอะไร”

“นายไปทดสอบคนๆ นั้นก่อน” หลิงหลานสั่ง “ใช้แค่ทักษะการต่อสู้พื้นฐานของสถาบันลูกเสือเท่านั้นนะ”

“ได้…” ถึงแม้หลินจงชิงไม่รู้ว่าทำไมหลิงหลานไม่ให้เขาใช้ท่าไม้ตายลับด้วย แต่เมื่อลูกพี่สั่งแล้ว ต่อให้เขาไม่เข้าใจก็ยังต้องทำตาม

“อยากจะสู้กับอันดับท็อปที่แข็งแกร่งที่สุดของเรา JMC คนเดียวยังไม่มีคุณสมบัติพอ” เสียงคำกล่าวของหลินจงชิงดังออกมาจากฝูงชน ทำให้คนของห้องเอตกตะลึงไปก่อนจะส่งเสียงเชียร์ขึ้นมา เพราะว่าพวกเขาเห็นพวกหลิงหลาน ฉีหลง อู่จย่ง มาแล้ว ส่วนหลินจงชิงคือคนของทีมหลิงหลาน การที่เขาออกหน้า แสดงว่าต้องได้รับการอนุญาตจากหลิงหลานอย่างไม่ต้องสงสัย

อู่จย่งมองหลินจงชิงเดินเข้าไปในสนามประลอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “เขาไหวเหรอ?”

“การจัดการกับ JMC ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ขอเพียงหลินจงชิงตั้งสติตัวเองไว้ให้มั่นก็ไม่แพ้แล้ว” หลิงหลานมองแวบเดียวก็ดูออกว่าอาฉวนคนนั้นไม่ใช่ยอดฝีมือด้านการต่อสู้จริงๆ ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมีทักษะการต่อสู้ท่าไม้ตายที่ธรรมดามาก แต่ว่าทักษะการต่อสู้พื้นฐานกลับแน่นปึกอย่างยิ่ง จัดการกับคนที่อ่อนด้อยเรื่องการต่อสู้พื้นฐานสุดขีดแบบนี้ น่าจะไม่มีปัญหามากนัก

“เอาตามที่นายพูดละกัน” อู่จย่งเชื่อมั่นในการตัดสินใจของหลิงหลานอย่างยิ่งยวด ถึงยังไงในด้านการต่อสู้ของห้องพวกเขา ถ้าเกิดหลิงหลานบอกว่าตัวเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง

“โอ๊ะๆๆๆ…อาฉวนไปสิ” พวกลูกเรือยานอวกาศเริ่มหัวเราะเฮฮา

ในที่สุดอาฉวนก็เดินเข้าไปภายใต้การยุยงของพวกเพื่อนๆ เขาคิดว่าถึงแม้เขาจะสู้กับพวกสหายร่วมรบของเขาไม่ไหว แต่ไม่มีปัญหาเรื่องจัดการกับพวกเด็กๆ

………………………….

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 133 ประลองแลกเปลี่ยนความรู้!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 133 ประลองแลกเปลี่ยนความรู้! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถึงแม้ว่าจะเสียนายพลในสนามรบไปหนึ่งคน แต่สหพันธรัฐกลับได้พลังต่อต้านมากขึ้น ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์ของพลตรีหลิงเซียวเกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว” เหล่าเหลียนกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่า ทำไมต้องส่งหุ่นรบ IN อาวุธสุดยอดของสหพันธรัฐไปยังสนามรบที่ไม่สลักสำคัญแห่งนั้นอย่างไร้เหตุผลด้วย? สิ่งที่น่าขบขันยิ่งกว่าคือ ไม่นึกเลยว่าผู้ควบคุมขั้นเทวะที่สำคัญต่อสหพันธรัฐขนาดนี้กลับถูกประเทศศัตรูวางแผนลอบทำร้ายได้ง่ายดายขนาดนั้น….เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของพวกเขาไปกินขี้กันหมดแล้วหรือไง?

ทุกครั้งที่คิดถึงตรงนี้ หัวใจเขาก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ อยากจัดการพวกโง่เง่าที่วางแผนนี้ขึ้นมาจริงๆ…ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำสูงสุดของประเทศจับคนพวกนั้นมาสืบสวนทันทีแล้วละก็ เกรงว่าเวลานั้นทหารสหพันธรัฐที่ถูกความโกรธครอบงำจะต้องพุ่งเข้ามาที่กองทัพแล้วจับพวกเขามากินลูกปืนของทุกคนก่อนถึงจะค่อยหยุดแน่นอน

“อย่าพูดเรื่องน่าเศร้านั้นเลย เรื่องของพลตรีหลิงเซียวคือความแค้นในใจทุกคนในสหพันธรัฐ” สีหน้าของเฉิงหย่วนหังหม่นหมองตาม ต่อให้ผ่านไปแล้วสิบปี ประชาชนของสหพันธรัฐยังคงไม่สามารถยอมรับความจริงที่โหดร้ายนี้ได้

เฉิงหย่วนหังมองไปยังหลิงหลานที่อยู่ไกลๆ สีหน้าเขาดีขึ้นเล็กน้อย เขาปลุกจิตใจตัวเองและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเด็กสองคนเมื่อตะกี้นี้จะมีพรสวรรค์ดีมาก ความสามารถก็เพียงพอ แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องฉัน…” คนนี้คืออัจฉริยะที่ยากจะเจอสักครั้ง บางทีอาจจะมีโอกาสชดเชยความเจ็บปวดของพวกเขาได้

คำพูดของเฉิงหย่วนหังทำให้เหล่าเหลียนตื่นตะลึง “เอ่อ….เมื่อตะกี้นี้ยังไม่ได้ดีที่สุดเหรอ?” เขาตบบ่าเฉิงหย่วนหังแรงๆ กล่าวด้วยความอิจฉาว่า “ไอ้หนู ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้? ไม่นึกเลยว่าพาห้องเรียนมาครั้งแรกก็มีเด็กอัจฉริยะที่มีความสามารถโดดเด่นเยอะขนาดนี้”

เฉิงหย่วนหังกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า “นายไม่เห็นหรือไงว่าห้องที่ฉันพามาคือห้องอะไร….นั่นเป็นห้องสเปเชียลเอที่สามารถรวบรวมอัจฉริยะระดับสุดยอดทั้งหมดของสหพันธรัฐมาได้นะ” แววตาเขาเปล่งประกายแวววับ นึกถึงตอนที่ผู้อำนวยการแจ้งข่าวนี้แก่เขา ตัวเขาถูกความตื่นเต้นยินดีนี้กระแทกใส่จนเซ่อซ่าไปเลย

“บอกแล้วไง นายนี่มันโชคดีชิบหายเลย” เหล่าเหลียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

เฉิงหย่วนหังทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาชี้ไปที่หลิงหลานซึ่งตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบสังเกตเค้าโครงของยานอวกาศอย่างเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “นั่นไง ก็คือคนๆ นั้นเนี่ยแหละ เขาคือคนที่ฉันพูดถึง ชื่อว่าหลิงหลาน เป็นยังไง? ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

เหล่าเหลียนมองไปที่หลิงหลานด้วยความจริงจังครู่หนึ่ง ก่อนจะอดลูบคางอย่างตื่นเต้นไม่ได้ เขาพยักหน้ากล่าวว่า “อืม ไม่เลวเลย ฉันชอบแววตาน้อยๆ ที่ระมัดระวังนั้น เจ้าหนูนี่เยือกเย็นมาก ไม่ว่าจะอยากรู้อยากเย็นและตื่นเต้นอีกสักแค่ไหน ก็ยังคงเอาความปลอดภัยของตัวเองไว้เป็นอันดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจดจำรูปแบบขบวนทัพของฉันอยู่”

“ไม่เพียงแค่นั้นนะ ความสามารถด้านการต่อสู้ของเจ้าหนูนี่ก็เหนือกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจละก็ นอกจากพละกำลังที่ยังขาดอยู่เล็กน้อยแล้ว ด้านอื่นๆ ของเจ้าหนูนี่ เกรงว่าพวกลูกน้องของนาย…อาจจะไม่ใช่คู่มือของเขา” เฉิงหย่วนหังวางใจเรื่องความสามารถของหลิงหลานอยู่แล้ว เขากล่าวคำพูดประโยคนี้ด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งยวด

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” เหล่าเหลียนเชื่อว่าหลิงหลานมีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดประโยคนี้ของเฉิงหย่วนหังแน่นอน เขาคิดว่าเฉิงหย่วนหังยกหางตัวเอง ลองคิดดูสิเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบคนหนึ่ง ต่อให้มีพรสวรรค์ร้ายกาจ เรียนรู้การต่อสู้ได้ดีอีกแค่ไหน ก็ไม่สามารถเหนือกว่าพวกคนที่มีประสบการณ์ต่อสู้มานับร้อยศึกที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาได้

“ไม่เชื่อเหรอ? ถ้ามีโอกาสก็ให้ลูกน้องของนายทดสอบเขาดูก็ได้” เฉิงหย่วนหังเอ่ยแนะนำคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม บอกเหล่าเหลียนชัดเจนว่าพวกเขาเป็นทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟจริงๆ

เหล่าเหลียนเงียบไป เขาบีบคางตัวเอง มองหลิงหลานด้วยความใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง…

…..

ห้องบนยานอวกาศแบ่งเป็นหกคนต่อหนึ่งห้อง ดังนั้นทีมของหลิงหลานเลยยื่นขอเข้าพักด้วยกันทันที ไม่เพียงแค่ทีมของหลิงหลานเท่านั้น ทีมอื่นๆ ก็เลือกแบบนี้เช่นกัน

ไม่นาน ยานอวกาศก็หลุดออกจากการนำร่อง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเป็นทางการ พวกเขาแล่นออกจากท่าอวกาศมุ่งไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว การเดินทางในอวกาศครั้งนี้ต้องใช้เวลาเจ็ดวันถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ตอนเริ่มเดินทางพวกนักเรียนยังอยู่ในสภาวะตื่นเต้น พอมองดูทิวทัศน์งดงามของอวกาศด้านนอกก็รู้สึกว่าผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ทว่าหลังจากที่ผ่านไปติดกันสองวัน ความตื่นเต้นนี้ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ทิวทัศน์ของอวกาศที่เป็นแบบเดียวกันหมดไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเด็กๆ ได้แล้ว นี่ทำให้พวกนักเรียนที่ใช้ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันในสถาบันลูกเสือรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง

กัปตันของยานอวกาศเหมือนสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายของพวกเด็กๆ ทันใดนั้นเขาก็ประกาศว่าจะทำการแข่งขันประลองแลกเปลี่ยนความรู้ของลูกเรือกับนักเรียน นี่ทำให้พวกนักเรียนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ควรรู้ไว้ว่า นอกจากการประลองระหว่างนักเรียนด้วยกันรวมไปถึงแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์แล้ว พวกเขายังไม่เคยต่อสู้กับผู้ใหญ่ข้างนอกมาก่อนเลยจริงๆ

เด็กทุกคนต่างมีความฝันว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของตัวเอง พวกเขาเองก็อยากรู้มากๆ ว่า ความสามารถในการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับผู้ใหญ่แตกต่างกันมากเท่าไหร่กันแน่

ฉีหลงเป็นคนบ้าการต่อสู้ เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็ตื่นเต้นพลางลากพวกหลิงหลานไปชมการต่อสู้ที่ห้องประลองด้วยกันทันที แน่นอนว่าเขาเองก็ตั้งใจจะลงไปประลองสักยกเหมือนกัน

ในยานอวกาศมีห้องประลองขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง หลิงหลานสังเกตเห็นว่าห้องประลองแห่งนี้ใช้แผ่นโลหะผสมที่มีประสิทธิภาพและการต้านทานสูงสร้างขึ้นมา พละกำลังที่น้อยกว่าหนึ่งตันย่อมไม่สามารถทิ้งร่องรอยไว้ในนี้ได้ ทำให้นักสู้โจมตีได้อย่างเต็มที่แน่นอน…

หน้าผากของหลิงหลานหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเล็กน้อย ดูท่าลูกเรือในยานอวกาศลำนี้จะเป็นพวกบ้าการต่อสู้กันหมดเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางใช้ โลหะล้ำค่าราคาแพงพวกนี้มาสร้างห้องประลองโดยเฉพาะหรอก

พอหลิงหลานมาถึง ในห้องประลองก็มีนักเรียนและลูกเรือยานอวกาศแลกเปลี่ยนความรู้กันหลายคนแล้ว ถึงแม้ว่าเด็กห้องเอจะนับว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าเด็กในชั้นปีเดียวกันของสถาบัน แต่เมื่อเทียบกับพวกลูกเรือที่เป็นผู้ใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่านองเลือดแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนอ่อนหัดที่ไม่อาจอ่อนหัดได้อีกจริงๆ ต่อสู้กันไม่กี่กระบวนท่าก็พ่ายแพ้แล้ว นักเรียนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดก็ยังทนได้ไม่เกินสิบกระบวนท่าเช่นกัน

การต่อสู้เพียงฝ่ายเดียวที่ไม่มีความตื่นเต้นเลยสักนิดเดียวแบบนี้ทำให้พวกลูกเรือที่ชมการต่อสู้อ้าปากหาวติดต่อกัน “กัปตันก็อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ให้พวกเรามาเล่นเกมเป็นเพื่อนเด็กพวกนีเนี่ยนะ เห็นพวกเสี่ยวจินสู้แบบนี้แล้วรู้สึกอึดอัดจริงๆ เลยว่าไหม?” ลูกเรือทุกคนที่เข้าไปต่อสู้จำเป็นต้องควบคุมพละกำลังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากกลัวว่าจะลงมือทำร้ายเด็กสาหัสเกินไป ทำให้คนที่ชมดูอย่างพวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

พวกลูกเรือที่คุ้นชินกับการใช้ดาบจริงปืนจริงต่างรับการประลองเด็กเล่นแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงขนาดที่ไม่สนใจแม้กระทั่งเล่นเป็นเพื่อนด้วยเลย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจที่กัปตันออกคำสั่งบังคับพวกเขาอย่างยิ่ง

คำพูดเหล่านี้ทำให้พวกเด็กนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่พอใจอย่างมาก แต่หลังจากที่ประลองมาหลายรอบ พวกเขาก็รู้ว่าความสามารถของพวกเขากับพวกลูกเรือห่างชั้นกันมากเกินไป ต่อให้พวกเขาเข้าไปสู้ก็เป็นการส่งตัวเองไปให้พวกลูกเรือทารุณ

พวกเด็กๆ ห้องสเปเชียลเอคือพวกเด็กกิตติมศักดิ์ในสถาบันมาตลอด ทางสถาบันอัดความคิดให้พวกเขาว่า พวกเขาคือกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นความหยิ่งในศักดิ์ศรีจึงมีเยอะว่านักเรียนคนอื่นๆ มากนัก พอเผชิญหน้ากับการพ่ายแพ้ย่อยยับแบบนี้ พวกเขาย่อมยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ได้แน่นอน พวกเขาอยากจะโต้กลับคืนสักรอบ

“คนที่พวกคุณเอาชนะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องเรา รอพวกคุณเอาชนะพวกคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเราก่อนแล้วค่อยพูด” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

คำพูดนี้ได้รับความเห็นชอบจากนักเรียนทุกคนที่อยู่ในนี้ “ถูกต้อง คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องเรายังไม่มาเลย อย่าดูถูกพวกเรานะ”

“เอาชนะเขาแล้วค่อยว่ากัน…”

คำพูดแค้นเคืองของพวกเด็กๆ ทำให้พวกลูกเรือหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยิ่งไปกว่านั้นมีลูกเรือคนหนึ่งชี้ไปยังหนึ่งในลูกเรือที่ผอมกะหร่องแล้วเอ่ยอย่างขบขันว่า “อาฉวน อีกเดี๋ยวก็ให้นายเจอกับคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาละกัน”

“ฉัน? ฉันเป็น JMC นะ ไม่เก่งเรื่องต่อสู้สักหน่อย” อาฉวนขยุ้มศีรษะด้วยความกระอักกระอ่วน ทุกคนต่างรู้ว่า JMC คือลูกเรือที่มีพลังรบด้อยที่สุดในยานอวกาศ

“ก็เพราะแบบนี้ไง นายถึงเหมาะสม อย่างน้อยที่สุดเราก็ให้เขาต้านทานได้สักห้าสิบกว่ากระบวนท่า กู้หน้าขึ้นมาได้บ้าง” ลูกเรือพวกนี้ต่างก็เป็นลูกเรือเก่าที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด คำพูดจาย่อมไม่ค่อยน่าฟังอยู่แล้ว นักเรียนลูกเสือที่อยู่ตรงนี้ต่างโกรธจนควันออกหูทันที

หลิงหลานที่กำลังชมดูเรื่องราวทั้งหมดพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูว่า “จนถึงตอนนี้นายยังอดทนไหวอีกเหรอ?”

ที่แท้อู่จย่งก็พาพวกเยี่ยซวี่มาถึงแล้ว และบังเอิญได้ยินคำพูดพวกนี้พอดี หน้าผากเขามีเส้นเลือดปูดโปน ความโกรธเกรี้ยวลุกโชนขึ้นมาในแววตา ดูท่าเขาจะโมโหไม่น้อยแล้ว

“นายขึ้นไปลองดูได้นะ” หลิงหลานแนะนำ เธอไม่ได้หุนหันพลันแล่นขนาดนั้น โดนคนพูดใส่ไม่กี่ประโยคก็อดทนไม่ไหวแล้ว เส้นผมก็ไม่ได้หลุดร่วงลงมากมายเพราะเรื่องนี้เสียหน่อย

อู่จย่งกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “นายคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราไม่ใช่เหรอไง?” ขนาดนี้ก็ยังอดทนไหว? เขาไม่มีหัวใจของผู้แข็งแกร่งเลยหรือไง? อู่จย่งคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ

“ขนาดไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเอาชนะพวกเขาได้ แบบนี้ไม่น่าตื่นเต้นมากกว่าเหรอ?” หลิงหลานเลิกคิ้วพลางเอ่ยขึ้นมา

อู่จย่งมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะขึ้นมาและกล่าวว่า “ก็ถูก!” เขาพูดจบก็เตรียมตัวจะก้าวออกไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งคว้าตัวเขาเข้ามา

อู่จย่งกำลังจะหลบออกตามจิตใต้สำนึก แต่เขาก็พบว่าตัวเองไม่มีโอกาสแล้ว มือข้างนั้นปิดช่องว่างในการหลบของเขาทั้งหมด…

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่นายจะออกไป” คนที่คว้าตัวอู่จย่งไว้ก็คือหลิงหลานนี่เอง

“หลินจงชิง” หลิงหลานพลันหันหน้ากลับไปแล้วตะโกนขึ้นมา

หลินจงชิงอึ้งไปก่อนจะรีบตอบกลับว่า “ลูกพี่ มีเรื่องอะไร”

“นายไปทดสอบคนๆ นั้นก่อน” หลิงหลานสั่ง “ใช้แค่ทักษะการต่อสู้พื้นฐานของสถาบันลูกเสือเท่านั้นนะ”

“ได้…” ถึงแม้หลินจงชิงไม่รู้ว่าทำไมหลิงหลานไม่ให้เขาใช้ท่าไม้ตายลับด้วย แต่เมื่อลูกพี่สั่งแล้ว ต่อให้เขาไม่เข้าใจก็ยังต้องทำตาม

“อยากจะสู้กับอันดับท็อปที่แข็งแกร่งที่สุดของเรา JMC คนเดียวยังไม่มีคุณสมบัติพอ” เสียงคำกล่าวของหลินจงชิงดังออกมาจากฝูงชน ทำให้คนของห้องเอตกตะลึงไปก่อนจะส่งเสียงเชียร์ขึ้นมา เพราะว่าพวกเขาเห็นพวกหลิงหลาน ฉีหลง อู่จย่ง มาแล้ว ส่วนหลินจงชิงคือคนของทีมหลิงหลาน การที่เขาออกหน้า แสดงว่าต้องได้รับการอนุญาตจากหลิงหลานอย่างไม่ต้องสงสัย

อู่จย่งมองหลินจงชิงเดินเข้าไปในสนามประลอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “เขาไหวเหรอ?”

“การจัดการกับ JMC ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ขอเพียงหลินจงชิงตั้งสติตัวเองไว้ให้มั่นก็ไม่แพ้แล้ว” หลิงหลานมองแวบเดียวก็ดูออกว่าอาฉวนคนนั้นไม่ใช่ยอดฝีมือด้านการต่อสู้จริงๆ ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมีทักษะการต่อสู้ท่าไม้ตายที่ธรรมดามาก แต่ว่าทักษะการต่อสู้พื้นฐานกลับแน่นปึกอย่างยิ่ง จัดการกับคนที่อ่อนด้อยเรื่องการต่อสู้พื้นฐานสุดขีดแบบนี้ น่าจะไม่มีปัญหามากนัก

“เอาตามที่นายพูดละกัน” อู่จย่งเชื่อมั่นในการตัดสินใจของหลิงหลานอย่างยิ่งยวด ถึงยังไงในด้านการต่อสู้ของห้องพวกเขา ถ้าเกิดหลิงหลานบอกว่าตัวเองเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง

“โอ๊ะๆๆๆ…อาฉวนไปสิ” พวกลูกเรือยานอวกาศเริ่มหัวเราะเฮฮา

ในที่สุดอาฉวนก็เดินเข้าไปภายใต้การยุยงของพวกเพื่อนๆ เขาคิดว่าถึงแม้เขาจะสู้กับพวกสหายร่วมรบของเขาไม่ไหว แต่ไม่มีปัญหาเรื่องจัดการกับพวกเด็กๆ

………………………….

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+