I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 221 วันทยหัตถ์!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 221 วันทยหัตถ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พันตรีเห็นหลิงหลานเดินทอดน่องออกมาจากห้องกัปตัน ส่วนกัปตันของตัวเองกลับยืนอึ้งอยู่ในนั้นคนเดียว เขาก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรแล้วก็ผลักเพื่อนสนิทตัวเอง “ยื่นเซ่อทำไมเนี่ย?”

พันเอกเทียนฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “เราแพ้อย่างยุติธรรมแล้ว”

“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” พันตรีถามด้วยความสงสัย

“หลิงหลานเป็นลูกชายของนายพลหลิงเซียว…” พันเอกเทียนฟางพึมพำ เมื่อสักครู่นี้เขาพูดว่าจะไปสั่งสอนนายพลหลิงเซียว นี่ต้องเป็นจังหวะรนหาที่ตายแน่นอน…

พันตรีได้ยินคำพูดก็ตกใจมาก “ว่าไงนะ?” แต่เขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อใคร่ครวญการกระทำของหลิงหลานในช่วงเวลานี้ให้ละเอียด รวมไปถึงความโหดร้ายและความเด็ดขาดที่คุกคามเทียนฟางนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนธรรมดาสามารถทำได้เลย…

เขาถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “มีแค่นายพลหลิงเซียวเท่านั้นถึงจะเลี้ยงดูลูกที่เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจแบบนี้ออกมาได้…พ่อเป็นพยัคฆ์ลูกย่อมไม่ใช่สุนัขอย่างที่คาดไว้จริงๆ” เขากล่าวจบก็สบตากับพันเอกเทียนฟางแวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตื่นเต้นและความยินดีในแววตาของฝ่ายตรงข้าม พอรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่พวกเขาเคารพเลื่อมใสมีผู้สืบทอดแล้วทำให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งยวด ความรู้สึกคับข้องใจแต่เดิมลดลงไปมากแล้วเช่นกัน

…………

ในตอนนี้เอง หลิงหลานมาถึงห้องควบคุมหลักแล้ว เวลานี้หานจี้จวินรับผิดชอบห้องควบคุมหลักชั่วคราว เมื่อเขาเห็นหลิงหลานมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับและเอ่ยถามว่า “ลูกพี่หลาน มีคำสั่งอะไรเหรอ?”

“ถ้าเกิดพวกนายเล่นสนุกกันพอแล้ว ฉันหวังว่าครั้งหน้าจะร่อนลงแท่นลงจอดได้ตามกำหนดนะ” น้ำเสียงของหลิงหลานราบเรียบสุดขีดราวกับแค่มาบอกเท่านั้น

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินหน้าแดงขึ้นมาทันที เขารีบตอบกลับว่า “เข้าใจแล้ว ลูกพี่หลาน ครั้งหน้าจะร่อนลงสำเร็จแน่นอน!”

ก็เป็นอย่างที่หลิงหลานว่าไว้ นักเรียนทหารใหม่ใต้การนำของหานจี้จวินที่นี่เล่นจนบ้าไปแล้วจริงๆ เพราะว่าการควบคุมยานบินให้ร่อนลงอย่างแม่นยำเป็นการฝึกฝนที่หายากสุดขีด ทำให้พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องควบคุมหลักไม่อยากรีบจบ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ยานบินร่อนลงมาหลายครั้งแต่ว่าไม่สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะว่าพวกเขายังอยากลองกันอีกรอบ

พันเอกเทียนฟางกับพันตรีไม่อาจรู้บทสนทนาของหลิงหลานกับหานจี้จวินได้เลย เพราะว่าเสี่ยวซื่อกันภาพฉากนี้ไว้นานแล้ว ความจริงแล้วตอนที่อยู่ในห้องกัปตัน หลิงหลานมีความเห็นมากมายต่อการที่ยานบินร่อนลงไปไม่ถึงตำแหน่งอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่สามารถไล่ลูกน้องตัวเองออกจากตำแหน่งลงได้ ดังนั้นจึงทำหน้าหนาแสร้งทำท่าไม่สนใจและพูดเกทับสองคนนั้น

…………

เวลานี้เอง ในหอคอยบังคับการของป้อมปราการ เจ้าหน้าที่นำทางที่นำทางแตรที่เจ็ดอดไม่ไหวปิดอุปกรณ์สื่อสารกับแตรที่เจ็ดด้วยความเดือดดาล “เชี่ยเอ๊ย แตรที่เจ็ดทำบ้าอะไรเนี่ย คนขับเมาเหล้าจนเบลอกันไปหมดแล้วหรือไง ไม่นึกเลยว่าจะร่อนลงผิดพลาดหลายครั้งขนาดนี้…” ก่อนหน้านี้แตรที่เจ็ดไม่เคยมีปัญหาขนาดนี้ เมื่อระบุพิกัดไป พวกเขาก็ร่อนลงอย่างราบรื่นทันทีแล้วเรื่องก็จบ นี่จำเป็นต้องให้เขาตะโกนพิกัดด้วยความโมโหครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้เหรอ?

“อดทนหน่อยพันเอกเทียนฟางของแตรที่เจ็ดไม่ใช่คนที่จะยั่วโมโหได้ง่ายๆ นะ เขาเป็นคนถือหางพวกตัวเองมากที่สุด” เพื่อนข้างๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่นำทางเหมือนกันเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา

“ฉันรู้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วด่าตรงๆ หรอก” เจ้าหน้าที่นำทางกล่าวด้วยความหงุดหงิด

“เอาเถอะ นายดูสิ ดูเหมือนแตรที่เจ็ดจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องเจอแล้วนะ…” เพื่อนอีกคนเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของแตรที่เจ็ดโดยไม่ได้ตั้งใจก็เอ่ยเตือนขึ้นมาทันที

“แม่งเอ๊ย ในที่สุดก็ได้สักที ฉันแทบจะโมโหตายเพราะพวกเขาแล้วจริงๆ ยังไม่เคยเห็นคนขับยานบินที่โง่เง่าแบบนี้มาก่อนเลย เขาเคยได้ใบรับรองไหมเนี่ย?” เจ้าหน้าที่นำทางแตรที่เจ็ดบ่นอุบอิบขณะเปิดอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง ทำการนำทางขั้นต่อไป แน่นอนว่าตอนที่เปิดไมค์ เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นใจเย็นอดทน ราวกับว่าความขุ่นเคืองเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา

“แจ้งให้ทราบ ที่ทำการเฝ้าระวังส่งข้อมูลว่ามียานบินมาอีกลำแล้ว…” เจ้าหน้าที่รับข้อมูลในหอคอยบังคับการเตือนเจ้าหน้าที่นำทางที่ว่างอยู่ให้นำทางยานบินที่มาใหม่

“ฉันทำเอง!” เจ้าหน้าที่นำทางที่เอ่ยเตือนเพื่อนในตอนแรกรับภารกิจนี้ หลังจากนั้นก็เชื่อมต่อกับสัญญาณติดต่อของอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมคือหมายเลข 72 เจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการฉี่หยวน…”

……..

ครั้งนี้แตรที่เจ็ดร่อนลงบนแท่นลงจอดของท่ายานบินป้อมปราการได้อย่างเรียบร้อยเหมาะเจาะ เนื่องจากหานจี้จวินใช้คำพูดดั้งเดิมของหลิงหลานมาเตือนพวกนักเรียนทหารใหม่ที่ตื่นเต้นกันมากเกินไป ทำให้พวกเขาเก็บอาการลงทันที แล้วเชื่อฟังคำสั่งของหานจี้จวิน ไม่กล้าเล่นมั่วซั่วอีก

นี่ทำให้เจ้าหน้าที่ของยานบินที่เรื่องสนุกมาตลอดผิดหวังอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ลอบนับถือหลิงหลานที่มีตำแหน่งสูงส่งในหมู่นักเรียนทหารใหม่ แน่นอนว่าพวกเขาก็ชื่นชมการกระทำของหานจี้จวินอย่างยิ่งเช่นกันที่ใช้ประโยชน์จากบารมีของหลิงหลานมาควบคุมห้องควบคุมหลักอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันยังมียานบินขนาดเล็กกว่าแตรที่เจ็ดหนึ่งรุ่นลงจอดพร้อมกับแตรที่เจ็ด มันจอดลงติดกับท่าของพวกเขา บางทีนักเรียนใหม่บนยานยินลำนั้นอาจจะค่อนข้างน้อย ตอนเปิดประตูยานจึงเร็วกว่าแตรที่เจ็ดนิดหน่อย จากนั้นนักเรียนทหารใหม่หลายสิบคนก็ทยอยลงมาจากด้านบน

เหล่านักเรียนใหม่เดินตัวสั่นลงมาที่ชานชาลาโดยที่ก้มหน้าไม่กล้าเปล่งเสียงพูดออกมาเหมือนกับยานบินหลายลำก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากที่นี่แล้วไปยังสถานที่ที่พวกเขาควรไปอย่างรวดเร็วภายใต้การชี้นำของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ ความเร็วนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังวิ่งหนีออกจากถ้ำเสือแดนมังกร ฝีเท้าดูอลหม่านอย่างชัดเจน

ทหารที่คุ้มกันความปลอดภัยบนชานชาลามองดูเหล่าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าหดหู่และตื่นตระหนกหวาดกลัวโผล่ออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มีเพียงคนที่มีสายตาแหลมคมเท่านั้นถึงมองเห็นร่องรอยความดูถูกในแววตาของพวกเขา พวกเขาไม่ชอบพวกเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีหางจุกตูดพวกนี้เลย คิดว่านี่เป็นการทำให้ทหารขายหน้า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็คุ้นเคยแล้วเหมือนกัน แทบจะไม่มีนักเรียนใหม่คนไหนที่ไม่ได้แสดงท่าทีแบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนซึ่งน้อยเอามากๆ ทำหน้าไม่ยอมศิโรราบ พอมาถึงที่นี่แล้วก็ฝืนข่มกลั้นความอัปยศอดสูในใจ กัดฟันเดินเข้าไปในป้อมปราการ ถ้าหากมีเด็กหนุ่มสักคนลงมาจากยานบินด้วยสีหน้าหยิ่งทระนงสิ นั่นถึงค่อยทำให้พวกเขาชำเลืองมองด้วยความตกตะลึง

เดิมทีพวกเขาคิดว่าฉากนี้ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาตลอดกาล แต่ความเป็นจริงกลับพิสูจน์ว่าทุกอย่างต่างมีความเป็นไปได้

ในที่สุดประตูของยานบินแตรที่เจ็ดก็เปิดออก เหล่านักเรียนทหารใหม่ที่จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วเดินลงจากยานบินด้วยสีหน้าตื่นเต้น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ถึงขนาดที่พูดคุยกันเสียงเบาอย่างใจกล้าอยู่บ้างว่าอาวุธบนตัวพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยคืออะไร การกระทำผิดปกติเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยมองหน้ากันเองก่อนจะเริ่มสงสัยว่าคนของยานบินลำนี้เป็นนักเรียนทหารใหม่รุ่นนี้จริงๆ หรือเปล่า? หรือว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการ?

แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว ป้อมปราการฉี่หยวนคือป้อมปราการลับของสหพันธรัฐ มันไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคนเข้ามาเยี่ยมชมแน่นอน สาเหตุที่ทำให้ทหารคุ้มกันความปลอดภัยเข้าใจผิดเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนักเรียนทหารเหล่านี้ ในแววตาของพวกเขาไม่มีความหวาดหวั่น ไม่มีความเกรงกลัว ไม่มีความอัปยศอดสู ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความเดือดดาลและไม่ยอมศิโรราบ พวกเขามีเพียงความตื่นเต้น สงสัยใคร่รู้ รวมไปถึงความมั่นใจและความทระนง

หลังจากที่นักเรียนใหม่เหล่านี้ลงจากยานก็ไม่ได้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ หากแต่ยืนอยู่บนชานชาลาอดทนรอคอยนักเรียนทางด้านหลัง นี่ทำให้เจ้าหน้าที่นำทางหงุดหงิดอยู่บ้าง เริ่มตำหนิสหายร่วมรบในยานบินว่าห่วยแตกมากเกินไปแล้ว ถึงไม่ได้อบรมสั่งสอนนักเรียนพวกนี้ให้ดี

เมื่อทุกคนเดินลงจากยานบินแล้ว หลิงหลานที่ลงจากยานแล้วก็ทอดสายตามองไปที่ฉีหลงแวบหนึ่ง

ฉีหลงตะโกนเสียงสูงทันทีว่า “เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของแตรที่เจ็ด วันทยหัตถ์!”

นักเรียนทหารทุกคนต่างยืนตัวตรง ร่วมกันทำความเคารพของลูกเสือพวกเขาให้กับลูกเรือแตรที่เจ็ดที่ไม่ได้เดินลงมาจากยานบิน! นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันดีแล้วก่อนที่จะลงจากยาน หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เจ้าหน้าที่ในแตรที่เจ็ดให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างมหาศาล ทุกคนต่างได้เรียนรู้เรื่องบางอย่างที่พวกเขาต้องการไม่มากก็น้อย ทำให้พวกนักเรียนซาบซึ้งใจมาก

“วันทยหัตถ์!” เสียงแข็งแกร่งของพันเอกเทียนฟางดังออกมาจากด้านในยานบิน จากนั้นก็เห็นทหารตรงหน้าประตูยานรวมถึงภายในยานบินตรงจุดที่เหล่านักเรียนทหารใหม่มองไม่เห็น บรรดาทหารทุกคนเห็นเหล่านักเรียนใหม่วันทยหัตถ์ของลูกเสือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมในหน้าจอ พวกเขาก็วันทยหัตถ์เฉพาะของสหพันธรัฐกลับไปด้วยขึงขังเช่นเดียวกัน!

“ขอบคุณครับ!”

การวันทยหัตถ์ที่เคร่งขรึมจริงจังแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึง!

นักเรียนใหม่หลายคนของยานอีกลำที่ยังไม่ได้จากไปเห็นฉากนี้เข้าก็แสดงความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดำทะมึนลงอย่างรวดเร็ว เป็นนักเรียนทหารใหม่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงล่ะ?

“นั่นเป็นนักเรียนใหม่ของที่ไหนเหรอครับ?” นักเรียนใหม่หนึ่งในนั้นเอ่ยถามทหารนำทางข้างกายด้วยความใจกล้า

“มาจากโดฮา” เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว ดังนั้นทหารนำทางจึงตอบกลับโดยไม่กังวลเลยสักนิดเดียว

“โดฮา? สถานที่ที่เรียกว่าเป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะของสหพันธรัฐเหรอ?” นักเรียนใหม่กัดฟันกล่าว เพราะว่าพรสวรรค์ของคนพวกนั้นดีกว่าพวกเขาก็เลยปฏิบัติแตกต่างกันได้เหรอ? แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง….

เวลานี้พวกหลิงหลานไม่รู้เลยว่าเพราะการกระทำเหล่านี้ของพวกเขาได้ดึงดูดความเกลียดชังจากนักเรียนดาวอื่นๆ และพากันลอบวางแผนว่าจะสั่งสอนพวกเขาตอนอยู่ในโรงเรียนทหารสักหน่อย…

…………..

ในศูนย์บัญชาการของป้อมปราการฉี่หยวน พลตรีจิ่งเริ่นผู้บัญชาการสูงสุดของป้อมปราการกำลังนั่งมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่แตรที่เจ็ดเทียบท่า จากนั้นก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “แปลกจริงๆ เทียนฟางไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้นนี่นา…”

ในตอนนี้เอง ประตูก็ถูกเปิดออกฉับพลัน ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว หลังจากนั้นก็ทรุดตัวนั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาตัวใหญ่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของพลตรีโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์อะไรเลย

พลตรีจิ่งเริ่นอดไม่ไหวส่ายหน้ากล่าวว่า “เทียนฟาง รบกวนรักษาภาพลักษณ์ของนายสักนิดได้หรือเปล่า? ถึงยังไงนายก็เป็นหนึ่งในโปรเจคภาพลักษณ์ของทหารสหพันธรัฐเรานะ”

“ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!” พันเอกเทียนฟางพูดโดยไม่ยี่หระ ไม่สำรวมตัวเลยสักนิดเดียว

พลตรีจิ่งเริ่นคุ้นชินกับนิสัยของเพื่อนเก่าตัวเองก็ไม่พูดหัวย้ำข้อนี้อีก เขาชี้ไปที่หน้าจอเบื้องหน้าตัวเองซึ่งเป็นภาพที่ทั้งสองฝ่ายแสดงความเคารพกันก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่านายเกิดใจอ่อนที่หาได้ยากขึ้นมา?”

เทียนฟางเห็นภาพนั้นก็พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ไม่งั้นฉันคงหงุดหงิดตาย”

พลตรีจิ่งเริ่นตกใจรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เทียนฟางอดไม่ไหวเอามือขนาดใหญ่ปิดหน้าตัวเองและพูดว่า “ฉันไม่อยากพูดเรื่องน่าขายหน้านี้จริงๆ…”

เวลานี้เองเสียงกระจ่างใสหนึ่งดังมาจากตรงหน้าประตูอีกครั้ง “เขาไม่อยากพูดอยู่แล้ว คราวนี้พวกเราพ่ายแพ้ยับเยินเลย” พันตรีของแตรที่เจ็ดมานี่เอง

“ลั่วหย่าง นายก็มาด้วย” พลตรีจิ่งเริ่นลุกขึ้นมาฉับพลันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

พันตรีลั่วหย่างปิดประตูห้องก่อนจะยิ้มแย้มเดินขึ้นมาข้างหน้า เขาชนหมัดกับพลตรีจิ่งเริ่นเบาๆ นี่เป็นการทักทายระหว่างพวกเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 221 วันทยหัตถ์!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 221 วันทยหัตถ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พันตรีเห็นหลิงหลานเดินทอดน่องออกมาจากห้องกัปตัน ส่วนกัปตันของตัวเองกลับยืนอึ้งอยู่ในนั้นคนเดียว เขาก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรแล้วก็ผลักเพื่อนสนิทตัวเอง “ยื่นเซ่อทำไมเนี่ย?”

พันเอกเทียนฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “เราแพ้อย่างยุติธรรมแล้ว”

“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” พันตรีถามด้วยความสงสัย

“หลิงหลานเป็นลูกชายของนายพลหลิงเซียว…” พันเอกเทียนฟางพึมพำ เมื่อสักครู่นี้เขาพูดว่าจะไปสั่งสอนนายพลหลิงเซียว นี่ต้องเป็นจังหวะรนหาที่ตายแน่นอน…

พันตรีได้ยินคำพูดก็ตกใจมาก “ว่าไงนะ?” แต่เขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อใคร่ครวญการกระทำของหลิงหลานในช่วงเวลานี้ให้ละเอียด รวมไปถึงความโหดร้ายและความเด็ดขาดที่คุกคามเทียนฟางนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนธรรมดาสามารถทำได้เลย…

เขาถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “มีแค่นายพลหลิงเซียวเท่านั้นถึงจะเลี้ยงดูลูกที่เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจแบบนี้ออกมาได้…พ่อเป็นพยัคฆ์ลูกย่อมไม่ใช่สุนัขอย่างที่คาดไว้จริงๆ” เขากล่าวจบก็สบตากับพันเอกเทียนฟางแวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตื่นเต้นและความยินดีในแววตาของฝ่ายตรงข้าม พอรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่พวกเขาเคารพเลื่อมใสมีผู้สืบทอดแล้วทำให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งยวด ความรู้สึกคับข้องใจแต่เดิมลดลงไปมากแล้วเช่นกัน

…………

ในตอนนี้เอง หลิงหลานมาถึงห้องควบคุมหลักแล้ว เวลานี้หานจี้จวินรับผิดชอบห้องควบคุมหลักชั่วคราว เมื่อเขาเห็นหลิงหลานมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับและเอ่ยถามว่า “ลูกพี่หลาน มีคำสั่งอะไรเหรอ?”

“ถ้าเกิดพวกนายเล่นสนุกกันพอแล้ว ฉันหวังว่าครั้งหน้าจะร่อนลงแท่นลงจอดได้ตามกำหนดนะ” น้ำเสียงของหลิงหลานราบเรียบสุดขีดราวกับแค่มาบอกเท่านั้น

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินหน้าแดงขึ้นมาทันที เขารีบตอบกลับว่า “เข้าใจแล้ว ลูกพี่หลาน ครั้งหน้าจะร่อนลงสำเร็จแน่นอน!”

ก็เป็นอย่างที่หลิงหลานว่าไว้ นักเรียนทหารใหม่ใต้การนำของหานจี้จวินที่นี่เล่นจนบ้าไปแล้วจริงๆ เพราะว่าการควบคุมยานบินให้ร่อนลงอย่างแม่นยำเป็นการฝึกฝนที่หายากสุดขีด ทำให้พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องควบคุมหลักไม่อยากรีบจบ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ยานบินร่อนลงมาหลายครั้งแต่ว่าไม่สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะว่าพวกเขายังอยากลองกันอีกรอบ

พันเอกเทียนฟางกับพันตรีไม่อาจรู้บทสนทนาของหลิงหลานกับหานจี้จวินได้เลย เพราะว่าเสี่ยวซื่อกันภาพฉากนี้ไว้นานแล้ว ความจริงแล้วตอนที่อยู่ในห้องกัปตัน หลิงหลานมีความเห็นมากมายต่อการที่ยานบินร่อนลงไปไม่ถึงตำแหน่งอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่สามารถไล่ลูกน้องตัวเองออกจากตำแหน่งลงได้ ดังนั้นจึงทำหน้าหนาแสร้งทำท่าไม่สนใจและพูดเกทับสองคนนั้น

…………

เวลานี้เอง ในหอคอยบังคับการของป้อมปราการ เจ้าหน้าที่นำทางที่นำทางแตรที่เจ็ดอดไม่ไหวปิดอุปกรณ์สื่อสารกับแตรที่เจ็ดด้วยความเดือดดาล “เชี่ยเอ๊ย แตรที่เจ็ดทำบ้าอะไรเนี่ย คนขับเมาเหล้าจนเบลอกันไปหมดแล้วหรือไง ไม่นึกเลยว่าจะร่อนลงผิดพลาดหลายครั้งขนาดนี้…” ก่อนหน้านี้แตรที่เจ็ดไม่เคยมีปัญหาขนาดนี้ เมื่อระบุพิกัดไป พวกเขาก็ร่อนลงอย่างราบรื่นทันทีแล้วเรื่องก็จบ นี่จำเป็นต้องให้เขาตะโกนพิกัดด้วยความโมโหครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้เหรอ?

“อดทนหน่อยพันเอกเทียนฟางของแตรที่เจ็ดไม่ใช่คนที่จะยั่วโมโหได้ง่ายๆ นะ เขาเป็นคนถือหางพวกตัวเองมากที่สุด” เพื่อนข้างๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่นำทางเหมือนกันเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา

“ฉันรู้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วด่าตรงๆ หรอก” เจ้าหน้าที่นำทางกล่าวด้วยความหงุดหงิด

“เอาเถอะ นายดูสิ ดูเหมือนแตรที่เจ็ดจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องเจอแล้วนะ…” เพื่อนอีกคนเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของแตรที่เจ็ดโดยไม่ได้ตั้งใจก็เอ่ยเตือนขึ้นมาทันที

“แม่งเอ๊ย ในที่สุดก็ได้สักที ฉันแทบจะโมโหตายเพราะพวกเขาแล้วจริงๆ ยังไม่เคยเห็นคนขับยานบินที่โง่เง่าแบบนี้มาก่อนเลย เขาเคยได้ใบรับรองไหมเนี่ย?” เจ้าหน้าที่นำทางแตรที่เจ็ดบ่นอุบอิบขณะเปิดอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง ทำการนำทางขั้นต่อไป แน่นอนว่าตอนที่เปิดไมค์ เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นใจเย็นอดทน ราวกับว่าความขุ่นเคืองเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา

“แจ้งให้ทราบ ที่ทำการเฝ้าระวังส่งข้อมูลว่ามียานบินมาอีกลำแล้ว…” เจ้าหน้าที่รับข้อมูลในหอคอยบังคับการเตือนเจ้าหน้าที่นำทางที่ว่างอยู่ให้นำทางยานบินที่มาใหม่

“ฉันทำเอง!” เจ้าหน้าที่นำทางที่เอ่ยเตือนเพื่อนในตอนแรกรับภารกิจนี้ หลังจากนั้นก็เชื่อมต่อกับสัญญาณติดต่อของอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมคือหมายเลข 72 เจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการฉี่หยวน…”

……..

ครั้งนี้แตรที่เจ็ดร่อนลงบนแท่นลงจอดของท่ายานบินป้อมปราการได้อย่างเรียบร้อยเหมาะเจาะ เนื่องจากหานจี้จวินใช้คำพูดดั้งเดิมของหลิงหลานมาเตือนพวกนักเรียนทหารใหม่ที่ตื่นเต้นกันมากเกินไป ทำให้พวกเขาเก็บอาการลงทันที แล้วเชื่อฟังคำสั่งของหานจี้จวิน ไม่กล้าเล่นมั่วซั่วอีก

นี่ทำให้เจ้าหน้าที่ของยานบินที่เรื่องสนุกมาตลอดผิดหวังอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ลอบนับถือหลิงหลานที่มีตำแหน่งสูงส่งในหมู่นักเรียนทหารใหม่ แน่นอนว่าพวกเขาก็ชื่นชมการกระทำของหานจี้จวินอย่างยิ่งเช่นกันที่ใช้ประโยชน์จากบารมีของหลิงหลานมาควบคุมห้องควบคุมหลักอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันยังมียานบินขนาดเล็กกว่าแตรที่เจ็ดหนึ่งรุ่นลงจอดพร้อมกับแตรที่เจ็ด มันจอดลงติดกับท่าของพวกเขา บางทีนักเรียนใหม่บนยานยินลำนั้นอาจจะค่อนข้างน้อย ตอนเปิดประตูยานจึงเร็วกว่าแตรที่เจ็ดนิดหน่อย จากนั้นนักเรียนทหารใหม่หลายสิบคนก็ทยอยลงมาจากด้านบน

เหล่านักเรียนใหม่เดินตัวสั่นลงมาที่ชานชาลาโดยที่ก้มหน้าไม่กล้าเปล่งเสียงพูดออกมาเหมือนกับยานบินหลายลำก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากที่นี่แล้วไปยังสถานที่ที่พวกเขาควรไปอย่างรวดเร็วภายใต้การชี้นำของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ ความเร็วนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังวิ่งหนีออกจากถ้ำเสือแดนมังกร ฝีเท้าดูอลหม่านอย่างชัดเจน

ทหารที่คุ้มกันความปลอดภัยบนชานชาลามองดูเหล่าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าหดหู่และตื่นตระหนกหวาดกลัวโผล่ออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มีเพียงคนที่มีสายตาแหลมคมเท่านั้นถึงมองเห็นร่องรอยความดูถูกในแววตาของพวกเขา พวกเขาไม่ชอบพวกเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีหางจุกตูดพวกนี้เลย คิดว่านี่เป็นการทำให้ทหารขายหน้า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็คุ้นเคยแล้วเหมือนกัน แทบจะไม่มีนักเรียนใหม่คนไหนที่ไม่ได้แสดงท่าทีแบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนซึ่งน้อยเอามากๆ ทำหน้าไม่ยอมศิโรราบ พอมาถึงที่นี่แล้วก็ฝืนข่มกลั้นความอัปยศอดสูในใจ กัดฟันเดินเข้าไปในป้อมปราการ ถ้าหากมีเด็กหนุ่มสักคนลงมาจากยานบินด้วยสีหน้าหยิ่งทระนงสิ นั่นถึงค่อยทำให้พวกเขาชำเลืองมองด้วยความตกตะลึง

เดิมทีพวกเขาคิดว่าฉากนี้ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาตลอดกาล แต่ความเป็นจริงกลับพิสูจน์ว่าทุกอย่างต่างมีความเป็นไปได้

ในที่สุดประตูของยานบินแตรที่เจ็ดก็เปิดออก เหล่านักเรียนทหารใหม่ที่จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วเดินลงจากยานบินด้วยสีหน้าตื่นเต้น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ถึงขนาดที่พูดคุยกันเสียงเบาอย่างใจกล้าอยู่บ้างว่าอาวุธบนตัวพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยคืออะไร การกระทำผิดปกติเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยมองหน้ากันเองก่อนจะเริ่มสงสัยว่าคนของยานบินลำนี้เป็นนักเรียนทหารใหม่รุ่นนี้จริงๆ หรือเปล่า? หรือว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการ?

แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว ป้อมปราการฉี่หยวนคือป้อมปราการลับของสหพันธรัฐ มันไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคนเข้ามาเยี่ยมชมแน่นอน สาเหตุที่ทำให้ทหารคุ้มกันความปลอดภัยเข้าใจผิดเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนักเรียนทหารเหล่านี้ ในแววตาของพวกเขาไม่มีความหวาดหวั่น ไม่มีความเกรงกลัว ไม่มีความอัปยศอดสู ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความเดือดดาลและไม่ยอมศิโรราบ พวกเขามีเพียงความตื่นเต้น สงสัยใคร่รู้ รวมไปถึงความมั่นใจและความทระนง

หลังจากที่นักเรียนใหม่เหล่านี้ลงจากยานก็ไม่ได้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ หากแต่ยืนอยู่บนชานชาลาอดทนรอคอยนักเรียนทางด้านหลัง นี่ทำให้เจ้าหน้าที่นำทางหงุดหงิดอยู่บ้าง เริ่มตำหนิสหายร่วมรบในยานบินว่าห่วยแตกมากเกินไปแล้ว ถึงไม่ได้อบรมสั่งสอนนักเรียนพวกนี้ให้ดี

เมื่อทุกคนเดินลงจากยานบินแล้ว หลิงหลานที่ลงจากยานแล้วก็ทอดสายตามองไปที่ฉีหลงแวบหนึ่ง

ฉีหลงตะโกนเสียงสูงทันทีว่า “เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของแตรที่เจ็ด วันทยหัตถ์!”

นักเรียนทหารทุกคนต่างยืนตัวตรง ร่วมกันทำความเคารพของลูกเสือพวกเขาให้กับลูกเรือแตรที่เจ็ดที่ไม่ได้เดินลงมาจากยานบิน! นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันดีแล้วก่อนที่จะลงจากยาน หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เจ้าหน้าที่ในแตรที่เจ็ดให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างมหาศาล ทุกคนต่างได้เรียนรู้เรื่องบางอย่างที่พวกเขาต้องการไม่มากก็น้อย ทำให้พวกนักเรียนซาบซึ้งใจมาก

“วันทยหัตถ์!” เสียงแข็งแกร่งของพันเอกเทียนฟางดังออกมาจากด้านในยานบิน จากนั้นก็เห็นทหารตรงหน้าประตูยานรวมถึงภายในยานบินตรงจุดที่เหล่านักเรียนทหารใหม่มองไม่เห็น บรรดาทหารทุกคนเห็นเหล่านักเรียนใหม่วันทยหัตถ์ของลูกเสือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมในหน้าจอ พวกเขาก็วันทยหัตถ์เฉพาะของสหพันธรัฐกลับไปด้วยขึงขังเช่นเดียวกัน!

“ขอบคุณครับ!”

การวันทยหัตถ์ที่เคร่งขรึมจริงจังแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึง!

นักเรียนใหม่หลายคนของยานอีกลำที่ยังไม่ได้จากไปเห็นฉากนี้เข้าก็แสดงความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดำทะมึนลงอย่างรวดเร็ว เป็นนักเรียนทหารใหม่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงล่ะ?

“นั่นเป็นนักเรียนใหม่ของที่ไหนเหรอครับ?” นักเรียนใหม่หนึ่งในนั้นเอ่ยถามทหารนำทางข้างกายด้วยความใจกล้า

“มาจากโดฮา” เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว ดังนั้นทหารนำทางจึงตอบกลับโดยไม่กังวลเลยสักนิดเดียว

“โดฮา? สถานที่ที่เรียกว่าเป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะของสหพันธรัฐเหรอ?” นักเรียนใหม่กัดฟันกล่าว เพราะว่าพรสวรรค์ของคนพวกนั้นดีกว่าพวกเขาก็เลยปฏิบัติแตกต่างกันได้เหรอ? แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง….

เวลานี้พวกหลิงหลานไม่รู้เลยว่าเพราะการกระทำเหล่านี้ของพวกเขาได้ดึงดูดความเกลียดชังจากนักเรียนดาวอื่นๆ และพากันลอบวางแผนว่าจะสั่งสอนพวกเขาตอนอยู่ในโรงเรียนทหารสักหน่อย…

…………..

ในศูนย์บัญชาการของป้อมปราการฉี่หยวน พลตรีจิ่งเริ่นผู้บัญชาการสูงสุดของป้อมปราการกำลังนั่งมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่แตรที่เจ็ดเทียบท่า จากนั้นก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “แปลกจริงๆ เทียนฟางไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้นนี่นา…”

ในตอนนี้เอง ประตูก็ถูกเปิดออกฉับพลัน ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว หลังจากนั้นก็ทรุดตัวนั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาตัวใหญ่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของพลตรีโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์อะไรเลย

พลตรีจิ่งเริ่นอดไม่ไหวส่ายหน้ากล่าวว่า “เทียนฟาง รบกวนรักษาภาพลักษณ์ของนายสักนิดได้หรือเปล่า? ถึงยังไงนายก็เป็นหนึ่งในโปรเจคภาพลักษณ์ของทหารสหพันธรัฐเรานะ”

“ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!” พันเอกเทียนฟางพูดโดยไม่ยี่หระ ไม่สำรวมตัวเลยสักนิดเดียว

พลตรีจิ่งเริ่นคุ้นชินกับนิสัยของเพื่อนเก่าตัวเองก็ไม่พูดหัวย้ำข้อนี้อีก เขาชี้ไปที่หน้าจอเบื้องหน้าตัวเองซึ่งเป็นภาพที่ทั้งสองฝ่ายแสดงความเคารพกันก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่านายเกิดใจอ่อนที่หาได้ยากขึ้นมา?”

เทียนฟางเห็นภาพนั้นก็พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ไม่งั้นฉันคงหงุดหงิดตาย”

พลตรีจิ่งเริ่นตกใจรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เทียนฟางอดไม่ไหวเอามือขนาดใหญ่ปิดหน้าตัวเองและพูดว่า “ฉันไม่อยากพูดเรื่องน่าขายหน้านี้จริงๆ…”

เวลานี้เองเสียงกระจ่างใสหนึ่งดังมาจากตรงหน้าประตูอีกครั้ง “เขาไม่อยากพูดอยู่แล้ว คราวนี้พวกเราพ่ายแพ้ยับเยินเลย” พันตรีของแตรที่เจ็ดมานี่เอง

“ลั่วหย่าง นายก็มาด้วย” พลตรีจิ่งเริ่นลุกขึ้นมาฉับพลันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

พันตรีลั่วหย่างปิดประตูห้องก่อนจะยิ้มแย้มเดินขึ้นมาข้างหน้า เขาชนหมัดกับพลตรีจิ่งเริ่นเบาๆ นี่เป็นการทักทายระหว่างพวกเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 221 วันทยหัตถ์!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 221 วันทยหัตถ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พันตรีเห็นหลิงหลานเดินทอดน่องออกมาจากห้องกัปตัน ส่วนกัปตันของตัวเองกลับยืนอึ้งอยู่ในนั้นคนเดียว เขาก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรแล้วก็ผลักเพื่อนสนิทตัวเอง “ยื่นเซ่อทำไมเนี่ย?”

พันเอกเทียนฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “เราแพ้อย่างยุติธรรมแล้ว”

“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” พันตรีถามด้วยความสงสัย

“หลิงหลานเป็นลูกชายของนายพลหลิงเซียว…” พันเอกเทียนฟางพึมพำ เมื่อสักครู่นี้เขาพูดว่าจะไปสั่งสอนนายพลหลิงเซียว นี่ต้องเป็นจังหวะรนหาที่ตายแน่นอน…

พันตรีได้ยินคำพูดก็ตกใจมาก “ว่าไงนะ?” แต่เขาใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อใคร่ครวญการกระทำของหลิงหลานในช่วงเวลานี้ให้ละเอียด รวมไปถึงความโหดร้ายและความเด็ดขาดที่คุกคามเทียนฟางนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนธรรมดาสามารถทำได้เลย…

เขาถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “มีแค่นายพลหลิงเซียวเท่านั้นถึงจะเลี้ยงดูลูกที่เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจแบบนี้ออกมาได้…พ่อเป็นพยัคฆ์ลูกย่อมไม่ใช่สุนัขอย่างที่คาดไว้จริงๆ” เขากล่าวจบก็สบตากับพันเอกเทียนฟางแวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตื่นเต้นและความยินดีในแววตาของฝ่ายตรงข้าม พอรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่พวกเขาเคารพเลื่อมใสมีผู้สืบทอดแล้วทำให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งยวด ความรู้สึกคับข้องใจแต่เดิมลดลงไปมากแล้วเช่นกัน

…………

ในตอนนี้เอง หลิงหลานมาถึงห้องควบคุมหลักแล้ว เวลานี้หานจี้จวินรับผิดชอบห้องควบคุมหลักชั่วคราว เมื่อเขาเห็นหลิงหลานมาถึงก็รีบเข้ามาต้อนรับและเอ่ยถามว่า “ลูกพี่หลาน มีคำสั่งอะไรเหรอ?”

“ถ้าเกิดพวกนายเล่นสนุกกันพอแล้ว ฉันหวังว่าครั้งหน้าจะร่อนลงแท่นลงจอดได้ตามกำหนดนะ” น้ำเสียงของหลิงหลานราบเรียบสุดขีดราวกับแค่มาบอกเท่านั้น

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินหน้าแดงขึ้นมาทันที เขารีบตอบกลับว่า “เข้าใจแล้ว ลูกพี่หลาน ครั้งหน้าจะร่อนลงสำเร็จแน่นอน!”

ก็เป็นอย่างที่หลิงหลานว่าไว้ นักเรียนทหารใหม่ใต้การนำของหานจี้จวินที่นี่เล่นจนบ้าไปแล้วจริงๆ เพราะว่าการควบคุมยานบินให้ร่อนลงอย่างแม่นยำเป็นการฝึกฝนที่หายากสุดขีด ทำให้พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องควบคุมหลักไม่อยากรีบจบ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ยานบินร่อนลงมาหลายครั้งแต่ว่าไม่สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะว่าพวกเขายังอยากลองกันอีกรอบ

พันเอกเทียนฟางกับพันตรีไม่อาจรู้บทสนทนาของหลิงหลานกับหานจี้จวินได้เลย เพราะว่าเสี่ยวซื่อกันภาพฉากนี้ไว้นานแล้ว ความจริงแล้วตอนที่อยู่ในห้องกัปตัน หลิงหลานมีความเห็นมากมายต่อการที่ยานบินร่อนลงไปไม่ถึงตำแหน่งอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่สามารถไล่ลูกน้องตัวเองออกจากตำแหน่งลงได้ ดังนั้นจึงทำหน้าหนาแสร้งทำท่าไม่สนใจและพูดเกทับสองคนนั้น

…………

เวลานี้เอง ในหอคอยบังคับการของป้อมปราการ เจ้าหน้าที่นำทางที่นำทางแตรที่เจ็ดอดไม่ไหวปิดอุปกรณ์สื่อสารกับแตรที่เจ็ดด้วยความเดือดดาล “เชี่ยเอ๊ย แตรที่เจ็ดทำบ้าอะไรเนี่ย คนขับเมาเหล้าจนเบลอกันไปหมดแล้วหรือไง ไม่นึกเลยว่าจะร่อนลงผิดพลาดหลายครั้งขนาดนี้…” ก่อนหน้านี้แตรที่เจ็ดไม่เคยมีปัญหาขนาดนี้ เมื่อระบุพิกัดไป พวกเขาก็ร่อนลงอย่างราบรื่นทันทีแล้วเรื่องก็จบ นี่จำเป็นต้องให้เขาตะโกนพิกัดด้วยความโมโหครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้เหรอ?

“อดทนหน่อยพันเอกเทียนฟางของแตรที่เจ็ดไม่ใช่คนที่จะยั่วโมโหได้ง่ายๆ นะ เขาเป็นคนถือหางพวกตัวเองมากที่สุด” เพื่อนข้างๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่นำทางเหมือนกันเอ่ยเตือนเขาเสียงเบา

“ฉันรู้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วด่าตรงๆ หรอก” เจ้าหน้าที่นำทางกล่าวด้วยความหงุดหงิด

“เอาเถอะ นายดูสิ ดูเหมือนแตรที่เจ็ดจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องเจอแล้วนะ…” เพื่อนอีกคนเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของแตรที่เจ็ดโดยไม่ได้ตั้งใจก็เอ่ยเตือนขึ้นมาทันที

“แม่งเอ๊ย ในที่สุดก็ได้สักที ฉันแทบจะโมโหตายเพราะพวกเขาแล้วจริงๆ ยังไม่เคยเห็นคนขับยานบินที่โง่เง่าแบบนี้มาก่อนเลย เขาเคยได้ใบรับรองไหมเนี่ย?” เจ้าหน้าที่นำทางแตรที่เจ็ดบ่นอุบอิบขณะเปิดอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง ทำการนำทางขั้นต่อไป แน่นอนว่าตอนที่เปิดไมค์ เสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นใจเย็นอดทน ราวกับว่าความขุ่นเคืองเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา

“แจ้งให้ทราบ ที่ทำการเฝ้าระวังส่งข้อมูลว่ามียานบินมาอีกลำแล้ว…” เจ้าหน้าที่รับข้อมูลในหอคอยบังคับการเตือนเจ้าหน้าที่นำทางที่ว่างอยู่ให้นำทางยานบินที่มาใหม่

“ฉันทำเอง!” เจ้าหน้าที่นำทางที่เอ่ยเตือนเพื่อนในตอนแรกรับภารกิจนี้ หลังจากนั้นก็เชื่อมต่อกับสัญญาณติดต่อของอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมคือหมายเลข 72 เจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการฉี่หยวน…”

……..

ครั้งนี้แตรที่เจ็ดร่อนลงบนแท่นลงจอดของท่ายานบินป้อมปราการได้อย่างเรียบร้อยเหมาะเจาะ เนื่องจากหานจี้จวินใช้คำพูดดั้งเดิมของหลิงหลานมาเตือนพวกนักเรียนทหารใหม่ที่ตื่นเต้นกันมากเกินไป ทำให้พวกเขาเก็บอาการลงทันที แล้วเชื่อฟังคำสั่งของหานจี้จวิน ไม่กล้าเล่นมั่วซั่วอีก

นี่ทำให้เจ้าหน้าที่ของยานบินที่เรื่องสนุกมาตลอดผิดหวังอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ลอบนับถือหลิงหลานที่มีตำแหน่งสูงส่งในหมู่นักเรียนทหารใหม่ แน่นอนว่าพวกเขาก็ชื่นชมการกระทำของหานจี้จวินอย่างยิ่งเช่นกันที่ใช้ประโยชน์จากบารมีของหลิงหลานมาควบคุมห้องควบคุมหลักอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันยังมียานบินขนาดเล็กกว่าแตรที่เจ็ดหนึ่งรุ่นลงจอดพร้อมกับแตรที่เจ็ด มันจอดลงติดกับท่าของพวกเขา บางทีนักเรียนใหม่บนยานยินลำนั้นอาจจะค่อนข้างน้อย ตอนเปิดประตูยานจึงเร็วกว่าแตรที่เจ็ดนิดหน่อย จากนั้นนักเรียนทหารใหม่หลายสิบคนก็ทยอยลงมาจากด้านบน

เหล่านักเรียนใหม่เดินตัวสั่นลงมาที่ชานชาลาโดยที่ก้มหน้าไม่กล้าเปล่งเสียงพูดออกมาเหมือนกับยานบินหลายลำก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากที่นี่แล้วไปยังสถานที่ที่พวกเขาควรไปอย่างรวดเร็วภายใต้การชี้นำของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ ความเร็วนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังวิ่งหนีออกจากถ้ำเสือแดนมังกร ฝีเท้าดูอลหม่านอย่างชัดเจน

ทหารที่คุ้มกันความปลอดภัยบนชานชาลามองดูเหล่าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าหดหู่และตื่นตระหนกหวาดกลัวโผล่ออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มีเพียงคนที่มีสายตาแหลมคมเท่านั้นถึงมองเห็นร่องรอยความดูถูกในแววตาของพวกเขา พวกเขาไม่ชอบพวกเด็กหนุ่มที่วิ่งหนีหางจุกตูดพวกนี้เลย คิดว่านี่เป็นการทำให้ทหารขายหน้า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็คุ้นเคยแล้วเหมือนกัน แทบจะไม่มีนักเรียนใหม่คนไหนที่ไม่ได้แสดงท่าทีแบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนซึ่งน้อยเอามากๆ ทำหน้าไม่ยอมศิโรราบ พอมาถึงที่นี่แล้วก็ฝืนข่มกลั้นความอัปยศอดสูในใจ กัดฟันเดินเข้าไปในป้อมปราการ ถ้าหากมีเด็กหนุ่มสักคนลงมาจากยานบินด้วยสีหน้าหยิ่งทระนงสิ นั่นถึงค่อยทำให้พวกเขาชำเลืองมองด้วยความตกตะลึง

เดิมทีพวกเขาคิดว่าฉากนี้ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาตลอดกาล แต่ความเป็นจริงกลับพิสูจน์ว่าทุกอย่างต่างมีความเป็นไปได้

ในที่สุดประตูของยานบินแตรที่เจ็ดก็เปิดออก เหล่านักเรียนทหารใหม่ที่จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วเดินลงจากยานบินด้วยสีหน้าตื่นเต้น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ถึงขนาดที่พูดคุยกันเสียงเบาอย่างใจกล้าอยู่บ้างว่าอาวุธบนตัวพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยคืออะไร การกระทำผิดปกติเช่นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยมองหน้ากันเองก่อนจะเริ่มสงสัยว่าคนของยานบินลำนี้เป็นนักเรียนทหารใหม่รุ่นนี้จริงๆ หรือเปล่า? หรือว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการ?

แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว ป้อมปราการฉี่หยวนคือป้อมปราการลับของสหพันธรัฐ มันไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคนเข้ามาเยี่ยมชมแน่นอน สาเหตุที่ทำให้ทหารคุ้มกันความปลอดภัยเข้าใจผิดเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนักเรียนทหารเหล่านี้ ในแววตาของพวกเขาไม่มีความหวาดหวั่น ไม่มีความเกรงกลัว ไม่มีความอัปยศอดสู ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความเดือดดาลและไม่ยอมศิโรราบ พวกเขามีเพียงความตื่นเต้น สงสัยใคร่รู้ รวมไปถึงความมั่นใจและความทระนง

หลังจากที่นักเรียนใหม่เหล่านี้ลงจากยานก็ไม่ได้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นำทางของป้อมปราการ หากแต่ยืนอยู่บนชานชาลาอดทนรอคอยนักเรียนทางด้านหลัง นี่ทำให้เจ้าหน้าที่นำทางหงุดหงิดอยู่บ้าง เริ่มตำหนิสหายร่วมรบในยานบินว่าห่วยแตกมากเกินไปแล้ว ถึงไม่ได้อบรมสั่งสอนนักเรียนพวกนี้ให้ดี

เมื่อทุกคนเดินลงจากยานบินแล้ว หลิงหลานที่ลงจากยานแล้วก็ทอดสายตามองไปที่ฉีหลงแวบหนึ่ง

ฉีหลงตะโกนเสียงสูงทันทีว่า “เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของแตรที่เจ็ด วันทยหัตถ์!”

นักเรียนทหารทุกคนต่างยืนตัวตรง ร่วมกันทำความเคารพของลูกเสือพวกเขาให้กับลูกเรือแตรที่เจ็ดที่ไม่ได้เดินลงมาจากยานบิน! นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันดีแล้วก่อนที่จะลงจากยาน หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เจ้าหน้าที่ในแตรที่เจ็ดให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างมหาศาล ทุกคนต่างได้เรียนรู้เรื่องบางอย่างที่พวกเขาต้องการไม่มากก็น้อย ทำให้พวกนักเรียนซาบซึ้งใจมาก

“วันทยหัตถ์!” เสียงแข็งแกร่งของพันเอกเทียนฟางดังออกมาจากด้านในยานบิน จากนั้นก็เห็นทหารตรงหน้าประตูยานรวมถึงภายในยานบินตรงจุดที่เหล่านักเรียนทหารใหม่มองไม่เห็น บรรดาทหารทุกคนเห็นเหล่านักเรียนใหม่วันทยหัตถ์ของลูกเสือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมในหน้าจอ พวกเขาก็วันทยหัตถ์เฉพาะของสหพันธรัฐกลับไปด้วยขึงขังเช่นเดียวกัน!

“ขอบคุณครับ!”

การวันทยหัตถ์ที่เคร่งขรึมจริงจังแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึง!

นักเรียนใหม่หลายคนของยานอีกลำที่ยังไม่ได้จากไปเห็นฉากนี้เข้าก็แสดงความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดำทะมึนลงอย่างรวดเร็ว เป็นนักเรียนทหารใหม่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงล่ะ?

“นั่นเป็นนักเรียนใหม่ของที่ไหนเหรอครับ?” นักเรียนใหม่หนึ่งในนั้นเอ่ยถามทหารนำทางข้างกายด้วยความใจกล้า

“มาจากโดฮา” เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว ดังนั้นทหารนำทางจึงตอบกลับโดยไม่กังวลเลยสักนิดเดียว

“โดฮา? สถานที่ที่เรียกว่าเป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะของสหพันธรัฐเหรอ?” นักเรียนใหม่กัดฟันกล่าว เพราะว่าพรสวรรค์ของคนพวกนั้นดีกว่าพวกเขาก็เลยปฏิบัติแตกต่างกันได้เหรอ? แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง….

เวลานี้พวกหลิงหลานไม่รู้เลยว่าเพราะการกระทำเหล่านี้ของพวกเขาได้ดึงดูดความเกลียดชังจากนักเรียนดาวอื่นๆ และพากันลอบวางแผนว่าจะสั่งสอนพวกเขาตอนอยู่ในโรงเรียนทหารสักหน่อย…

…………..

ในศูนย์บัญชาการของป้อมปราการฉี่หยวน พลตรีจิ่งเริ่นผู้บัญชาการสูงสุดของป้อมปราการกำลังนั่งมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่แตรที่เจ็ดเทียบท่า จากนั้นก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “แปลกจริงๆ เทียนฟางไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้นนี่นา…”

ในตอนนี้เอง ประตูก็ถูกเปิดออกฉับพลัน ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว หลังจากนั้นก็ทรุดตัวนั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาตัวใหญ่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของพลตรีโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์อะไรเลย

พลตรีจิ่งเริ่นอดไม่ไหวส่ายหน้ากล่าวว่า “เทียนฟาง รบกวนรักษาภาพลักษณ์ของนายสักนิดได้หรือเปล่า? ถึงยังไงนายก็เป็นหนึ่งในโปรเจคภาพลักษณ์ของทหารสหพันธรัฐเรานะ”

“ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!” พันเอกเทียนฟางพูดโดยไม่ยี่หระ ไม่สำรวมตัวเลยสักนิดเดียว

พลตรีจิ่งเริ่นคุ้นชินกับนิสัยของเพื่อนเก่าตัวเองก็ไม่พูดหัวย้ำข้อนี้อีก เขาชี้ไปที่หน้าจอเบื้องหน้าตัวเองซึ่งเป็นภาพที่ทั้งสองฝ่ายแสดงความเคารพกันก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่านายเกิดใจอ่อนที่หาได้ยากขึ้นมา?”

เทียนฟางเห็นภาพนั้นก็พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ไม่งั้นฉันคงหงุดหงิดตาย”

พลตรีจิ่งเริ่นตกใจรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เทียนฟางอดไม่ไหวเอามือขนาดใหญ่ปิดหน้าตัวเองและพูดว่า “ฉันไม่อยากพูดเรื่องน่าขายหน้านี้จริงๆ…”

เวลานี้เองเสียงกระจ่างใสหนึ่งดังมาจากตรงหน้าประตูอีกครั้ง “เขาไม่อยากพูดอยู่แล้ว คราวนี้พวกเราพ่ายแพ้ยับเยินเลย” พันตรีของแตรที่เจ็ดมานี่เอง

“ลั่วหย่าง นายก็มาด้วย” พลตรีจิ่งเริ่นลุกขึ้นมาฉับพลันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

พันตรีลั่วหย่างปิดประตูห้องก่อนจะยิ้มแย้มเดินขึ้นมาข้างหน้า เขาชนหมัดกับพลตรีจิ่งเริ่นเบาๆ นี่เป็นการทักทายระหว่างพวกเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+