I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 261 แผนการของอู่จย่ง!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 261 แผนการของอู่จย่ง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พออู่จย่งกับฉางเล่อขึ้นไปบนเวที แต่ละคนก็ตั้งท่าป้องกันขึ้นมา อู่จย่งแบกรับแรงกดดันอันหนักหน่วงว่าต้องเอาชนะให้ได้ไว้บนบ่า ส่วนฉางเล่อก็หวังว่าการเดิมพันครั้งนี้จะสิ้นสุดลงในมือเขา กลายเป็นคนที่สร้างอันผลงานยิ่งใหญ่ของเหลยถิง

เมื่อเทียบกับหลินจื้อตงและลูกพี่ฮั่วที่ไม่แน่ใจแล้ว ฉางเล่อมีความมั่นใจในตัวเองมาก เขาบรรลุถึงขั้นกลางของระดับพลังปราณช่วงต้นแล้ว เขาคิดว่าอย่างมากอู่จย่งก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับนักเรียนใหม่สองคนแรก เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นของระดับพลังปราณช่วงแรก เขายังไม่เชื่อว่านักเรียนใหม่ปีนี้จะแข็งแกร่งกว่าเขา ฉีหลงที่ขึ้นประลองเป็นคนที่สามน่าจะเป็นปีศาจอัจฉริยะในคำเล่าลือ

เวลานี้ฉางเล่อมองข้ามตัวตนของหลิงหลานไปแล้ว เขาคิดว่าการที่หลิงหลานทำร้ายเนี่ยเฟิงหมิงจนบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว นั่นเป็นเพราะเนี่ยเฟิงหมิงกับฉีหลงต่อสู้กันจนบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีความสามารถในการต้านทานแล้ว จำเป็นต้องพูดว่าเมื่อขอบเขตความสามารถแตกต่างกันมากเกินไป ก็จะไม่สามารถมองเห็นข้อเท็จจริงได้ ฉางเล่อในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง

ฉางเล่อเห็นอู่จย่งมาถึงก็ตั้งท่าป้องกันของวิชาต่อสู้ที่ทหารระดับสูงใช้ เขายินดีขึ้นมาทันใด

ในโรงเรียนทหารมีกระบวนท่าต่อสู้ล้ำเลิศอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็เป็นวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้กันในกองทัพ เมื่อฉางเล่อเลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณ ทักษะต่อสู้มือเปล่าที่เขาเลือกให้เหมาะกับการเลื่อนขั้นก็คือวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้ ด้วยเหตุนี้เองพอเขาเห็นว่ากระบวนท่าที่อู่จย่งเรียนก็เป็นวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้เหมือนกัน เขาก็ดีอกดีใจอย่างมากทันที เมื่อเป็นวิชาต่อสู้สายเดียวกัน วิชาระดับสูงข่มวิชาระดับต่ำ นี่ทำให้ฉางเล่อยิ่งคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้ว

ฉางเล่อที่มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวดไม่มีความคิดไปหยั่งเชิงคู่ต่อสู้แล้ว หากแต่ใช้ท่าไม้ตายจู่โจมอันทรงพลังของวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้กันออกไปทันที

อู่จย่งเห็นดังนั้น แววตาก็ฉายรัศมีแสงวาบออกมาอย่างเงียบเชียบ บางทีอาจเป็นเพราะความเร็วการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามว่องไวสุดขีด ไม่สามารถหลบได้ อู่จย่งเลยต้องเอาสองมือไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขน ขวางไว้ตรงหน้าเขาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย!

เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น อู่จย่งถูกซัดออกไปอย่างรุนแรง สองเท้าไถลบนพื้นจนเกิดรอยสองสาย ส่วนฉางเล่อแค่ร่างกายโซเซเท่านั้นก่อนจะยืนอย่างมั่นคง

อาศัยแค่การโจมตีนี้เพียงอย่างเดียวแสดงให้เห็นว่า ดูเหมือนความสามารถของอู่จย่งจะด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย ฉางเล่อเห็นดังนั้นในใจก็ยินดี เขาบุกเข้าไปอีกครั้งโดยไม่ใคร่ครวญเลยสักนิดเดียว เท้าข้างหนึ่งของเขาเตะออกไปฉับพลัน

คราวนี้อู่จย่งไม่ได้เลือกฝืนรับ หากแต่ไถลหนึ่งก้าวหลบออกไป

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เล่อฉางยิ่งคิดว่า ความสามารถของอีกฝ่ายด้อยกว่าเขา ดังนั้นถึงไม่กล้าฝืนรับ เดิมทีตอนขึ้นเวทีประลอง ลูกพี่ฮั่วเคยเตือนเขาว่าต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ทำความเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ฉางเล่อที่สมองเต็มไปด้วยความคิดอยากบรรลุเป้าหมายในเวลานี้ได้โยนคำเตือนของลูกพี่ฮั่วออกไปให้พ้นจากสมองแล้ว เขาหัวร้อนลืมเลือนไปนานแล้วว่าต้องคงการป้องกันด้วยพลังสามส่วนเอาไว้ เขาปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด เข้าไปโจมตีคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ถึงแม้อู่จย่งจะเอาแต่หลบตลอด ดูเหมือนเรือลำน้อยที่กำลังดิ้นรนอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ แต่ใบหน้าของเขากลับเยือกเย็นผิดปกติ การหลบทุกครั้งต่างประณีตหมดจดสุดขีด ไม่ได้อืดอาดยืดยาดเลย คนที่มีสายตาแหลมคมมองออกว่า การหลบแต่ละครั้งของอู่จย่งต่างใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว รู้เส้นทางการโจมตีของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“แย่แล้ว ฉางเล่อบุ่มบ่ามเกินไป น่าจะติดกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว” ลูกพี่ฮั่วที่นั่งชมการประลองอยู่ด้านล่างนิ่วหน้า เขาอดมองไปยังหลิงหลานที่นั่งอยู่ในเขตนักเรียนใหม่ไม่ได้ แล้วก็เห็นอีกฝ่ายเอามือสองข้างกอดอด ทำหน้าสงบนิ่งราวกับมั่นใจเต็มเปี่ยม

สายตาเย็นเยียบของหลิงหลานสบเข้ามาราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของลูกพี่ฮั่ว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ทันทีเหมือนกับกำลังพูดว่า ชัยชนะเป็นของพวกเขาแล้ว

ลูกพี่ฮั่วอึดอัดใจ ถึงแม้เขามีความรู้สึกว่าฉางเล่อต่อสู้ลำบากในการประลองรอบนี้ แต่เขาไม่อยากพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายจริงๆ…

“นายแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย ขอเพียงจำไว้ว่าต้องต่อสู้อย่างสุขุมมั่นใจ อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป พวกเราก็เอาชนะการประลองรอบนี้ได้” อู่จย่งที่กำลังหลบอยู่บนเวทีประลองนึกถึงคำพูดที่หลิงหลานบอกเขาตอนที่ขึ้นเวที ในใจก็รู้สึกเคารพนับถือไม่หยุด

หลังจากที่รับกระบวนท่าของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่นี้ เขาก็รู้ความสามารถของฝ่ายตรงข้ามคร่าวๆ แล้วว่าอ่อนกว่าเขาเล็กน้อย เดิมทีอู่จย่งสามารถเลือกบุกจู่โจม ต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็ล้มอีกฝ่ายได้เหมือนกัน แต่อู่จย่งไม่อยากทำแบบนี้

การต่อสู้อย่างยากลำบากติดต่อกันสามรอบทำให้ อู่จย่งอยากใช้ชัยชนะที่ราบรื่นมาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกลุ่มนักเรียนใหม่พวกเขา ดังนั้นเขาจึงจงใจทำตัวอ่อนแอ ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าความสามารถของเขาอ่อนแอกว่าคู่ต่อสู้ แล้วทิ้งการป้องกันมาบุกโจมตีอย่างเต็มที่…

แน่นอนว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อู่จย่งวางแผนแบบนี้ นั่นก็คือเขารู้ว่าวิชาที่อีกฝ่ายเรียนคือวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้กันในกองทัพ ถ้าหากวิชาอีกฝ่ายเรียนเป็นวิชาต่อสู้อื่น เขาคงไม่ทำแบบนี้ อย่างไรเสีย มีความเป็นไปได้สูงว่าการจงใจทำตัวอ่อนแอจะกลายเป็นการโอ้อวดจนแสดงความโง่เขลาออกมาแทน ทำให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสกุมสถานการณ์ได้ ตรงกันข้ามกับทำให้เขาตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแทน ก็เหมือนกับการประลองของลั่วล่างในรอบแรก เนื่องจากการดูถูกของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ลั่วล่างกุมสถานการณ์เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมั่นคงมาครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายดันเรียนวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ และอู่จย่งมีสถานะอะไร เขาเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลอู่ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูงของกองทัพนะ เป็นทหารรุ่นที่นับไม่ถ้วนแล้วอย่างแท้จริง เดิมทีวิชายุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลก็เป็นสายวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้ เมื่อเขาเลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณก็เป็นที่ฮือฮาในตระกูลอู่ เนื่องจากเขาเป็นลูกหลานที่เลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณโดยที่มีอายุน้อยที่สุดในตระกูลอู่ กระทั่งคุณพ่อที่เคารพก็ตกตะลึง สอนเคล็ดวิชาต่อสู้ทางทหารประจำตระกูลอู่ให้เขาโดยตรง

วิชาต่อสู้คือเคล็ดวิชาของตระกูลอู่ผ่านการศึกษาวิจัยและขัดเกลาจากยอดฝีมือของตระกูลอู่หลายรุ่น ดูดซับจุดที่ดีที่สุดจากวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพมาหลอมรวมกับวิชาต่อสู้ชั้นยอดอื่นๆ แน่นอนว่าการเรียนรู้วิชานี้ย่อมต้องคุ้นเคยกับทักษะการต่อสู้ต่างๆ ที่กองทัพใช้อย่างยิ่งยวด ถึงขนาดที่มีกระบวนท่ามากมายเป็นกระบวนท่าข่มทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้ รวมถึงวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้ด้วย

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมอู่จย่งถึงวางแผนด้วยความใจกล้าขนาดนี้ เพราะเขาคุ้นเคยกับกระบวนท่าของอีกฝ่าย ถึงขนาดที่ในสมองของอู่จย่งผุดกระบวนท่าสังหารในการรับมือหลายกระบวนท่าก่อนหน้านี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม อู่จย่งคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ดังนั้นเขาจึงอดทนอย่างเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้…

แต่ว่าตอนนี้อู่จย่งคิดว่าเวลามาถึงแล้ว! เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามออกกระบวนท่าอีกครั้ง สองหมัดต่อยออกไปพร้อมกัน นี่คือท่า ‘ปะทะสองมังกร’ วิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ จุดที่น่ากลัวของกระบวนท่านี้คือ ขอเพียงสองมือแตะถูกร่างของของคู่ต่อสู้พร้อมกันจะปรากฏพลังปราณสายหนึ่งวนอยู่ระหว่างสองหมัด ทำลายอวัยวะภายในร่างกายอีกฝ่ายโดยตรง มันเป็นหนึ่งในท่าสังหารที่ร้ายกาจที่สุดของวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ

ทว่ากระบวนท่านี้กลับมีจุดอ่อนถึงตายอยู่ นั่นก็คือหน้าอกเปิดกว้าง กอปรกับสองหมัดโจมตีออกไปพร้อมกัน จำเป็นต้องโจมตีให้ถึงที่สุดในครั้งเดียว ไม่มีช่องทางให้เบี่ยงกลับมา ขอเพียงหาช่องว่างได้ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามคิดจะช่วยตัวเองก็เปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทัน ดังนั้นอู่จย่งเลยคิดว่าโอกาสสุกงอมแล้ว…

ทันใดนั้นอู่จย่งก็หยุดฝีเท้า ไม่ได้หลบหลีกอีก สองมือของเขาพลันประสานกัน แขนสองข้างเบียดเข้าไประหว่างกลางหมัดสองข้างของฝ่ายตรงข้ามทันที หลังจากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง สองมือที่ประสานกันแต่เดิมพลันแยกออก เขากางแขนออกและดันปลายแขนของอีกฝ่ายออกไปอย่างรุนแรง….

เมื่อกำปั้นสองข้างของอีกฝ่ายเฉียดผ่านข้างกายเขาไป อู๋จย่งค่อยหดแขน จากนั้นก็กำหมัดแล้วต่อยหมัดคู่ไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม ท่าปะทะสองมังกรดัดแปลง! นี่คือเคล็ดวิชาของตระกูลอู่ ดัดแปลงท่าปะทะสองมังกรซึ่งเป็นวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ เป็นเคล็ดวิชาที่มีทั้งการโจมตีและป้องกันในกระบวนท่าเดียว ชดเชยจุดอ่อนของท่าปะทะสองมังกรฉบับดั้งเดิมที่ไม่สามารถทำการป้องกันได้!

‘ปัง!’ ฉางเล่อถูกกระบวนท่านี้ของอู่จย่งซัดออกไปทันทีก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง ไถลออกไปหลายเมตร หลังจากนั้นถึงค่อยกระอักเลือดพรวดออกมาคำหนึ่ง…

ฉากที่อยู่เหนือความคาดหมายทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก เนื่องจากฉางเล่อได้เปรียบในการต่อสู้มาตลอด ไม่นึกเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันกะทันหัน อู่จย่งล้มอีกฝ่ายได้ในกระบวนท่าเดียว

ฉางเล่อล้มลงไปตรงนั้นแล้วก็ปิดหน้าอกของตัวเองไว้ ไม่อาจควบคุมเลือดในปากได้ เขาเอ่ยถามด้วยความทรมานว่า “นายรู้กระบวนท่าแบบนี้ได้ยังไง…” เขาคุ้นเคยกับวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้ ย่อมต้องรู้ว่ากระบวนท่าที่อีกฝ่ายใช้นั้นมาจากสำนักเดียวกับเขา

อู่จย่งตอบอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเรียนทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้ก็น่าจะรู้ว่าตระกูลไหนเก่งกาจด้านทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้มากที่สุด”

ฉางเล่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หน้าของเขาซีดเผือดมากยิ่งขึ้น “ตระกูลอู่ ที่แท้นายก็มาจากตระกูลอู่นั่นเอง…ฉันโชคร้ายมากเกินไป” เขากล่าวจบก็แผ่ร่างหมดสติไปโดยสิ้นเชิง ยังถือว่าอู่จย่งลงมืออย่างปรานีอยู่ แค่ซัดใส่หัวใจของเขาจนบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้ทำลายทั้งหมด ไม่เช่นนั้นฉางเล่อคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับเขา…

โชคร้าย? แค่โชคร้ายเท่านั้นจริงๆ เหรอ? มุมปากของอู่จย่งเผยร่องรอยความเหยียดหยามออกมา เขารู้สึกอับอายอยู่บ้างที่ตัวเองสูญเสียความมั่นใจไปเมื่อสักครู่นี้ โชคดีที่ลูกพี่หลานทำให้เขารู้ว่าอันที่จริงเขาแข็งแกร่งมากพอได้ทันเวลา…

เวลานี้เองพันเอกถังอวี้เข้าไปตรวจดูสภาพของฉางเล่อแล้ว พอพบว่าบาดเจ็บสาหัสก็รีบเรียกเจ้าหน้าที่พาฉางเล่อไปส่งที่ศูนย์รักษา หลังจากนั้นก็ประกาศว่ากลุ่มนักเรียนใหม่คว้าชัยชนะในการประลองรอบนี้ เวลาคะแนนรวมเปลี่ยนเป็นสองต่อสองแล้ว ทั้งสองฝ่ายกลับมาที่จุดสตาร์ทด้วยกันอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันทุกคนเพ่งความสนใจไปที่การประลองรอบสุดท้าย ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าลูกพี่ฮั่วที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหารจะขึ้นประลองจริงๆ หรือเปล่า…

อู่จย่งเดินลงมาจากเวทีประลองอย่างเยือกเย็น มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียวจากในการประลองทั้งสี่รอบ การกระทำของเขาเพียงพอที่จะยืนยันว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ต่อหน้าคนภายนอกแน่นอน

“ทำได้ไม่เลว” หลิงหลานเห็นอู่จย่งมาถึงข้างกายเธอก็กล่าวชมออกมาโดยไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลยสักนิดเดียว

อู่จย่งได้ยินเสียงนี้ ดวงหน้าที่เย็นชาแต่เดิมก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ลอบส่ายหน้าลับๆ ไม่นึกเลยว่าแค่ได้รับคำพูดว่า ‘ไม่เลว’ ของหลิงหลานก็ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้ ถึงขนาดที่ยังดีใจมากกว่าตอนที่ได้รับการยอมรับจากคุณพ่อเสียอีก…

คราวนี้เสี่ยวซื่อส่งชื่อหลิงหลานเข้าไปทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายประกาศชื่อ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะส่งใครออกมา ลูกพี่ก็ต้องออกไปประลองรอบสุดท้ายนี้อยู่ดี

ในที่สุดช่วงเวลาห้านาทีระหว่างการประลองก็สิ้นสุดลงแล้ว พันเอกถังอวี้ที่อยู่บนเวทีประลองประกาศเสียงดังว่า “กลุ่มนักเรียนใหม่ VS กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง หลิงหลานปีหนึ่งปะทะกับฮั่วเจิ้นอวี่ปีห้า”

หลังจากเสียงประกาศนี้ เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วทั้งสนามอย่างคึกคัก เนื่องจากฮั่วเจิ้นอวี่คืออันดับหนึ่งด้านการต่อสู้มือเปล่าของโรงเรียนทหาร และก็เป็นหัวหน้ากลุ่มคนก่อนของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงด้วย ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของเขาในโรงเรียนทหารไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉียวถิงราชันสายฟ้าเลย ทว่านับตั้งแต่ที่ฮั่วเจินอวี่ส่งมอบตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มให้เฉียวถิงตอนปีสี่แล้ว ชื่อเสียงของเขาถึงด้อยกว่าเฉียวถิงเล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อพวกนักเรียนเก่าเห็นฮั่วเจิ้นอวี่ปรากฏตัวบนเวทีประลองจริงๆ พวกเขาที่เดิมทีเฝ้าคาดหวังให้ฮั่วเจิ้นอวี่ขึ้นประลองอย่างมากก็ควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเช่นกัน ร้องเชียร์เสียงดังขึ้นมา

“เขาออกไปประลองจริงๆ ด้วย ให้ตายสิ ดูท่าเหลยถิงเอาชนะกลุ่มนักเรียนใหม่ได้แน่นอนแล้ว” ผู้นำกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในบ็อกซ์ทยอยกันทอดถอนใจ

ก่อนที่จะเห็นฮั่วเจิ้นอวี่ขึ้นไปบนเวทีประลองไม่นานมานี้ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะออกไปประลอง อย่างไรก็ตาม พวกเขายังกอดความหวังนิดหน่อยเอาไว้ หวังว่าอีกฝ่ายจะพะว้าพะวงเรื่องสถานะอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ ไม่ขึ้นไปประลองง่ายๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 261 แผนการของอู่จย่ง!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 261 แผนการของอู่จย่ง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พออู่จย่งกับฉางเล่อขึ้นไปบนเวที แต่ละคนก็ตั้งท่าป้องกันขึ้นมา อู่จย่งแบกรับแรงกดดันอันหนักหน่วงว่าต้องเอาชนะให้ได้ไว้บนบ่า ส่วนฉางเล่อก็หวังว่าการเดิมพันครั้งนี้จะสิ้นสุดลงในมือเขา กลายเป็นคนที่สร้างอันผลงานยิ่งใหญ่ของเหลยถิง

เมื่อเทียบกับหลินจื้อตงและลูกพี่ฮั่วที่ไม่แน่ใจแล้ว ฉางเล่อมีความมั่นใจในตัวเองมาก เขาบรรลุถึงขั้นกลางของระดับพลังปราณช่วงต้นแล้ว เขาคิดว่าอย่างมากอู่จย่งก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับนักเรียนใหม่สองคนแรก เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นของระดับพลังปราณช่วงแรก เขายังไม่เชื่อว่านักเรียนใหม่ปีนี้จะแข็งแกร่งกว่าเขา ฉีหลงที่ขึ้นประลองเป็นคนที่สามน่าจะเป็นปีศาจอัจฉริยะในคำเล่าลือ

เวลานี้ฉางเล่อมองข้ามตัวตนของหลิงหลานไปแล้ว เขาคิดว่าการที่หลิงหลานทำร้ายเนี่ยเฟิงหมิงจนบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว นั่นเป็นเพราะเนี่ยเฟิงหมิงกับฉีหลงต่อสู้กันจนบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีความสามารถในการต้านทานแล้ว จำเป็นต้องพูดว่าเมื่อขอบเขตความสามารถแตกต่างกันมากเกินไป ก็จะไม่สามารถมองเห็นข้อเท็จจริงได้ ฉางเล่อในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง

ฉางเล่อเห็นอู่จย่งมาถึงก็ตั้งท่าป้องกันของวิชาต่อสู้ที่ทหารระดับสูงใช้ เขายินดีขึ้นมาทันใด

ในโรงเรียนทหารมีกระบวนท่าต่อสู้ล้ำเลิศอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็เป็นวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้กันในกองทัพ เมื่อฉางเล่อเลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณ ทักษะต่อสู้มือเปล่าที่เขาเลือกให้เหมาะกับการเลื่อนขั้นก็คือวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้ ด้วยเหตุนี้เองพอเขาเห็นว่ากระบวนท่าที่อู่จย่งเรียนก็เป็นวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้เหมือนกัน เขาก็ดีอกดีใจอย่างมากทันที เมื่อเป็นวิชาต่อสู้สายเดียวกัน วิชาระดับสูงข่มวิชาระดับต่ำ นี่ทำให้ฉางเล่อยิ่งคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้ว

ฉางเล่อที่มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวดไม่มีความคิดไปหยั่งเชิงคู่ต่อสู้แล้ว หากแต่ใช้ท่าไม้ตายจู่โจมอันทรงพลังของวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้กันออกไปทันที

อู่จย่งเห็นดังนั้น แววตาก็ฉายรัศมีแสงวาบออกมาอย่างเงียบเชียบ บางทีอาจเป็นเพราะความเร็วการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามว่องไวสุดขีด ไม่สามารถหลบได้ อู่จย่งเลยต้องเอาสองมือไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขน ขวางไว้ตรงหน้าเขาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย!

เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น อู่จย่งถูกซัดออกไปอย่างรุนแรง สองเท้าไถลบนพื้นจนเกิดรอยสองสาย ส่วนฉางเล่อแค่ร่างกายโซเซเท่านั้นก่อนจะยืนอย่างมั่นคง

อาศัยแค่การโจมตีนี้เพียงอย่างเดียวแสดงให้เห็นว่า ดูเหมือนความสามารถของอู่จย่งจะด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย ฉางเล่อเห็นดังนั้นในใจก็ยินดี เขาบุกเข้าไปอีกครั้งโดยไม่ใคร่ครวญเลยสักนิดเดียว เท้าข้างหนึ่งของเขาเตะออกไปฉับพลัน

คราวนี้อู่จย่งไม่ได้เลือกฝืนรับ หากแต่ไถลหนึ่งก้าวหลบออกไป

การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เล่อฉางยิ่งคิดว่า ความสามารถของอีกฝ่ายด้อยกว่าเขา ดังนั้นถึงไม่กล้าฝืนรับ เดิมทีตอนขึ้นเวทีประลอง ลูกพี่ฮั่วเคยเตือนเขาว่าต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ทำความเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ฉางเล่อที่สมองเต็มไปด้วยความคิดอยากบรรลุเป้าหมายในเวลานี้ได้โยนคำเตือนของลูกพี่ฮั่วออกไปให้พ้นจากสมองแล้ว เขาหัวร้อนลืมเลือนไปนานแล้วว่าต้องคงการป้องกันด้วยพลังสามส่วนเอาไว้ เขาปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด เข้าไปโจมตีคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ถึงแม้อู่จย่งจะเอาแต่หลบตลอด ดูเหมือนเรือลำน้อยที่กำลังดิ้นรนอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ แต่ใบหน้าของเขากลับเยือกเย็นผิดปกติ การหลบทุกครั้งต่างประณีตหมดจดสุดขีด ไม่ได้อืดอาดยืดยาดเลย คนที่มีสายตาแหลมคมมองออกว่า การหลบแต่ละครั้งของอู่จย่งต่างใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว รู้เส้นทางการโจมตีของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

“แย่แล้ว ฉางเล่อบุ่มบ่ามเกินไป น่าจะติดกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว” ลูกพี่ฮั่วที่นั่งชมการประลองอยู่ด้านล่างนิ่วหน้า เขาอดมองไปยังหลิงหลานที่นั่งอยู่ในเขตนักเรียนใหม่ไม่ได้ แล้วก็เห็นอีกฝ่ายเอามือสองข้างกอดอด ทำหน้าสงบนิ่งราวกับมั่นใจเต็มเปี่ยม

สายตาเย็นเยียบของหลิงหลานสบเข้ามาราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของลูกพี่ฮั่ว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ทันทีเหมือนกับกำลังพูดว่า ชัยชนะเป็นของพวกเขาแล้ว

ลูกพี่ฮั่วอึดอัดใจ ถึงแม้เขามีความรู้สึกว่าฉางเล่อต่อสู้ลำบากในการประลองรอบนี้ แต่เขาไม่อยากพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายจริงๆ…

“นายแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย ขอเพียงจำไว้ว่าต้องต่อสู้อย่างสุขุมมั่นใจ อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป พวกเราก็เอาชนะการประลองรอบนี้ได้” อู่จย่งที่กำลังหลบอยู่บนเวทีประลองนึกถึงคำพูดที่หลิงหลานบอกเขาตอนที่ขึ้นเวที ในใจก็รู้สึกเคารพนับถือไม่หยุด

หลังจากที่รับกระบวนท่าของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่นี้ เขาก็รู้ความสามารถของฝ่ายตรงข้ามคร่าวๆ แล้วว่าอ่อนกว่าเขาเล็กน้อย เดิมทีอู่จย่งสามารถเลือกบุกจู่โจม ต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็ล้มอีกฝ่ายได้เหมือนกัน แต่อู่จย่งไม่อยากทำแบบนี้

การต่อสู้อย่างยากลำบากติดต่อกันสามรอบทำให้ อู่จย่งอยากใช้ชัยชนะที่ราบรื่นมาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกลุ่มนักเรียนใหม่พวกเขา ดังนั้นเขาจึงจงใจทำตัวอ่อนแอ ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าความสามารถของเขาอ่อนแอกว่าคู่ต่อสู้ แล้วทิ้งการป้องกันมาบุกโจมตีอย่างเต็มที่…

แน่นอนว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อู่จย่งวางแผนแบบนี้ นั่นก็คือเขารู้ว่าวิชาที่อีกฝ่ายเรียนคือวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้กันในกองทัพ ถ้าหากวิชาอีกฝ่ายเรียนเป็นวิชาต่อสู้อื่น เขาคงไม่ทำแบบนี้ อย่างไรเสีย มีความเป็นไปได้สูงว่าการจงใจทำตัวอ่อนแอจะกลายเป็นการโอ้อวดจนแสดงความโง่เขลาออกมาแทน ทำให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสกุมสถานการณ์ได้ ตรงกันข้ามกับทำให้เขาตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแทน ก็เหมือนกับการประลองของลั่วล่างในรอบแรก เนื่องจากการดูถูกของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ลั่วล่างกุมสถานการณ์เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมั่นคงมาครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายดันเรียนวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ และอู่จย่งมีสถานะอะไร เขาเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลอู่ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสูงของกองทัพนะ เป็นทหารรุ่นที่นับไม่ถ้วนแล้วอย่างแท้จริง เดิมทีวิชายุทธ์ที่สืบทอดในตระกูลก็เป็นสายวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้ เมื่อเขาเลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณก็เป็นที่ฮือฮาในตระกูลอู่ เนื่องจากเขาเป็นลูกหลานที่เลื่อนขั้นสู่ระดับพลังปราณโดยที่มีอายุน้อยที่สุดในตระกูลอู่ กระทั่งคุณพ่อที่เคารพก็ตกตะลึง สอนเคล็ดวิชาต่อสู้ทางทหารประจำตระกูลอู่ให้เขาโดยตรง

วิชาต่อสู้คือเคล็ดวิชาของตระกูลอู่ผ่านการศึกษาวิจัยและขัดเกลาจากยอดฝีมือของตระกูลอู่หลายรุ่น ดูดซับจุดที่ดีที่สุดจากวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพมาหลอมรวมกับวิชาต่อสู้ชั้นยอดอื่นๆ แน่นอนว่าการเรียนรู้วิชานี้ย่อมต้องคุ้นเคยกับทักษะการต่อสู้ต่างๆ ที่กองทัพใช้อย่างยิ่งยวด ถึงขนาดที่มีกระบวนท่ามากมายเป็นกระบวนท่าข่มทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้ รวมถึงวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่กองทัพใช้ด้วย

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมอู่จย่งถึงวางแผนด้วยความใจกล้าขนาดนี้ เพราะเขาคุ้นเคยกับกระบวนท่าของอีกฝ่าย ถึงขนาดที่ในสมองของอู่จย่งผุดกระบวนท่าสังหารในการรับมือหลายกระบวนท่าก่อนหน้านี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม อู่จย่งคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ดังนั้นเขาจึงอดทนอย่างเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้…

แต่ว่าตอนนี้อู่จย่งคิดว่าเวลามาถึงแล้ว! เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามออกกระบวนท่าอีกครั้ง สองหมัดต่อยออกไปพร้อมกัน นี่คือท่า ‘ปะทะสองมังกร’ วิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ จุดที่น่ากลัวของกระบวนท่านี้คือ ขอเพียงสองมือแตะถูกร่างของของคู่ต่อสู้พร้อมกันจะปรากฏพลังปราณสายหนึ่งวนอยู่ระหว่างสองหมัด ทำลายอวัยวะภายในร่างกายอีกฝ่ายโดยตรง มันเป็นหนึ่งในท่าสังหารที่ร้ายกาจที่สุดของวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ

ทว่ากระบวนท่านี้กลับมีจุดอ่อนถึงตายอยู่ นั่นก็คือหน้าอกเปิดกว้าง กอปรกับสองหมัดโจมตีออกไปพร้อมกัน จำเป็นต้องโจมตีให้ถึงที่สุดในครั้งเดียว ไม่มีช่องทางให้เบี่ยงกลับมา ขอเพียงหาช่องว่างได้ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามคิดจะช่วยตัวเองก็เปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทัน ดังนั้นอู่จย่งเลยคิดว่าโอกาสสุกงอมแล้ว…

ทันใดนั้นอู่จย่งก็หยุดฝีเท้า ไม่ได้หลบหลีกอีก สองมือของเขาพลันประสานกัน แขนสองข้างเบียดเข้าไประหว่างกลางหมัดสองข้างของฝ่ายตรงข้ามทันที หลังจากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง สองมือที่ประสานกันแต่เดิมพลันแยกออก เขากางแขนออกและดันปลายแขนของอีกฝ่ายออกไปอย่างรุนแรง….

เมื่อกำปั้นสองข้างของอีกฝ่ายเฉียดผ่านข้างกายเขาไป อู๋จย่งค่อยหดแขน จากนั้นก็กำหมัดแล้วต่อยหมัดคู่ไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม ท่าปะทะสองมังกรดัดแปลง! นี่คือเคล็ดวิชาของตระกูลอู่ ดัดแปลงท่าปะทะสองมังกรซึ่งเป็นวิชาต่อสู้ชั้นยอดที่ใช้ในกองทัพ เป็นเคล็ดวิชาที่มีทั้งการโจมตีและป้องกันในกระบวนท่าเดียว ชดเชยจุดอ่อนของท่าปะทะสองมังกรฉบับดั้งเดิมที่ไม่สามารถทำการป้องกันได้!

‘ปัง!’ ฉางเล่อถูกกระบวนท่านี้ของอู่จย่งซัดออกไปทันทีก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง ไถลออกไปหลายเมตร หลังจากนั้นถึงค่อยกระอักเลือดพรวดออกมาคำหนึ่ง…

ฉากที่อยู่เหนือความคาดหมายทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก เนื่องจากฉางเล่อได้เปรียบในการต่อสู้มาตลอด ไม่นึกเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันกะทันหัน อู่จย่งล้มอีกฝ่ายได้ในกระบวนท่าเดียว

ฉางเล่อล้มลงไปตรงนั้นแล้วก็ปิดหน้าอกของตัวเองไว้ ไม่อาจควบคุมเลือดในปากได้ เขาเอ่ยถามด้วยความทรมานว่า “นายรู้กระบวนท่าแบบนี้ได้ยังไง…” เขาคุ้นเคยกับวิชาต่อสู้ที่กองทัพใช้ ย่อมต้องรู้ว่ากระบวนท่าที่อีกฝ่ายใช้นั้นมาจากสำนักเดียวกับเขา

อู่จย่งตอบอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเรียนทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้ก็น่าจะรู้ว่าตระกูลไหนเก่งกาจด้านทักษะการต่อสู้ที่กองทัพใช้มากที่สุด”

ฉางเล่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หน้าของเขาซีดเผือดมากยิ่งขึ้น “ตระกูลอู่ ที่แท้นายก็มาจากตระกูลอู่นั่นเอง…ฉันโชคร้ายมากเกินไป” เขากล่าวจบก็แผ่ร่างหมดสติไปโดยสิ้นเชิง ยังถือว่าอู่จย่งลงมืออย่างปรานีอยู่ แค่ซัดใส่หัวใจของเขาจนบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้ทำลายทั้งหมด ไม่เช่นนั้นฉางเล่อคงไม่มีโอกาสเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับเขา…

โชคร้าย? แค่โชคร้ายเท่านั้นจริงๆ เหรอ? มุมปากของอู่จย่งเผยร่องรอยความเหยียดหยามออกมา เขารู้สึกอับอายอยู่บ้างที่ตัวเองสูญเสียความมั่นใจไปเมื่อสักครู่นี้ โชคดีที่ลูกพี่หลานทำให้เขารู้ว่าอันที่จริงเขาแข็งแกร่งมากพอได้ทันเวลา…

เวลานี้เองพันเอกถังอวี้เข้าไปตรวจดูสภาพของฉางเล่อแล้ว พอพบว่าบาดเจ็บสาหัสก็รีบเรียกเจ้าหน้าที่พาฉางเล่อไปส่งที่ศูนย์รักษา หลังจากนั้นก็ประกาศว่ากลุ่มนักเรียนใหม่คว้าชัยชนะในการประลองรอบนี้ เวลาคะแนนรวมเปลี่ยนเป็นสองต่อสองแล้ว ทั้งสองฝ่ายกลับมาที่จุดสตาร์ทด้วยกันอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันทุกคนเพ่งความสนใจไปที่การประลองรอบสุดท้าย ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าลูกพี่ฮั่วที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหารจะขึ้นประลองจริงๆ หรือเปล่า…

อู่จย่งเดินลงมาจากเวทีประลองอย่างเยือกเย็น มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียวจากในการประลองทั้งสี่รอบ การกระทำของเขาเพียงพอที่จะยืนยันว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ต่อหน้าคนภายนอกแน่นอน

“ทำได้ไม่เลว” หลิงหลานเห็นอู่จย่งมาถึงข้างกายเธอก็กล่าวชมออกมาโดยไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลยสักนิดเดียว

อู่จย่งได้ยินเสียงนี้ ดวงหน้าที่เย็นชาแต่เดิมก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ลอบส่ายหน้าลับๆ ไม่นึกเลยว่าแค่ได้รับคำพูดว่า ‘ไม่เลว’ ของหลิงหลานก็ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้ ถึงขนาดที่ยังดีใจมากกว่าตอนที่ได้รับการยอมรับจากคุณพ่อเสียอีก…

คราวนี้เสี่ยวซื่อส่งชื่อหลิงหลานเข้าไปทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายประกาศชื่อ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะส่งใครออกมา ลูกพี่ก็ต้องออกไปประลองรอบสุดท้ายนี้อยู่ดี

ในที่สุดช่วงเวลาห้านาทีระหว่างการประลองก็สิ้นสุดลงแล้ว พันเอกถังอวี้ที่อยู่บนเวทีประลองประกาศเสียงดังว่า “กลุ่มนักเรียนใหม่ VS กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง หลิงหลานปีหนึ่งปะทะกับฮั่วเจิ้นอวี่ปีห้า”

หลังจากเสียงประกาศนี้ เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วทั้งสนามอย่างคึกคัก เนื่องจากฮั่วเจิ้นอวี่คืออันดับหนึ่งด้านการต่อสู้มือเปล่าของโรงเรียนทหาร และก็เป็นหัวหน้ากลุ่มคนก่อนของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงด้วย ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของเขาในโรงเรียนทหารไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉียวถิงราชันสายฟ้าเลย ทว่านับตั้งแต่ที่ฮั่วเจินอวี่ส่งมอบตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มให้เฉียวถิงตอนปีสี่แล้ว ชื่อเสียงของเขาถึงด้อยกว่าเฉียวถิงเล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อพวกนักเรียนเก่าเห็นฮั่วเจิ้นอวี่ปรากฏตัวบนเวทีประลองจริงๆ พวกเขาที่เดิมทีเฝ้าคาดหวังให้ฮั่วเจิ้นอวี่ขึ้นประลองอย่างมากก็ควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเช่นกัน ร้องเชียร์เสียงดังขึ้นมา

“เขาออกไปประลองจริงๆ ด้วย ให้ตายสิ ดูท่าเหลยถิงเอาชนะกลุ่มนักเรียนใหม่ได้แน่นอนแล้ว” ผู้นำกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในบ็อกซ์ทยอยกันทอดถอนใจ

ก่อนที่จะเห็นฮั่วเจิ้นอวี่ขึ้นไปบนเวทีประลองไม่นานมานี้ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะออกไปประลอง อย่างไรก็ตาม พวกเขายังกอดความหวังนิดหน่อยเอาไว้ หวังว่าอีกฝ่ายจะพะว้าพะวงเรื่องสถานะอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ ไม่ขึ้นไปประลองง่ายๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+