I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 73 วิกฤติของหลิงหลาน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 73 วิกฤติของหลิงหลาน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วมาก ผ่านไปห้าเดือนกว่าแล้ว บรรยากาศของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเริ่มตึงเครียดขึ้นมา การจัดอันดับใหญ่กลางปีที่จะตัดสินโชคชะตาในครึ่งปีให้หลังกำลังจะเปิดฉากแล้ว นักเรียนทุกคนที่ร่ำเรียนในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือต่างพยายามทุ่มสุดความสามารถในช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อการจัดอันดับใหญ่ที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตครึ่งปีของพวกเขาได้

หลิงหลานผ่านช่วงเวลานี้โดยไม่หวั่นวิตกอะไร ไม่ได้โดดเด่นมากเกินไป และก็ไม่ได้จืดจางมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอรับการท้าประลองของหลินจงชิง เธอก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างเปิดเผยกับคนอื่นอีก ต่อให้ฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในวิชาต่อสู้ หลิงหลานก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม

แน่นอนว่าหลิงหลานยังคงเข้าไปฝึกซ้อมต่อสู้ในหอต่อสู้กับพวกฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินสามคนเป็นครั้งคราวมาตั้งแต่ในเดือนแรกของการเปิดเรียน แต่ใช้วิธีการฝึกฝนแบบนี้ไปได้ไม่นาน ต่อมาหลิงหลานก็สูญเสียการควบคุมโจมตีฉีหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์นี้ หลิงหลานก็ไม่ยอมลงมืออีก เธอให้พวกฉีหลงสามคนแลกเปลี่ยนความรู้กันเองโดยไม่ลังเล

ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าหลิงหลานไม่อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเพื่อนๆ เธอรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากเธอพบว่า ช่วงนี้เธอได้ทำการฝึกฝนขั้นสุดยอดตามที่หมายเลขห้าว่าไว้ ทุกครั้งที่เธอฝึกฝนในตอนกลางคืน พลังจิตของเธอก็จะเกิดความผันผวนอย่างผิดปกติพร้อมกับเวลาที่เดินช้าลง ความผันผวนที่ผิดแปลกนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเครียดหนักมากมาตลอดว่าความผิดปกตินี้จะนำอะไรมาให้เธอ แต่การเคลื่อนไหวทั่วไปไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เธอก็เลยได้แต่วางมือก่อนชั่วคราว

แต่เธอก็ค่อยๆ พบว่าตอนที่เธอทำการต่อสู้ โดยเฉพาะตอนที่เข้าสู่สถานะโจมตี เธอตกลงสู่ความตื่นเต้นกระหายเลือดได้ง่ายมาก มีความกล้าอยากจะทำลายทุกอย่าง

เริ่มแรกเธอยังสามารถข่มกลั้นความต้องการแบบนี้ไว้ได้ เธอนึกว่าตัวเองสามารถเอาชนะอารมณ์ด้านลบที่เกิดจากการฝึกฝนที่แสนวิปริต แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ด้านลบนี้ได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเกิดปัญหาขึ้นในจิตใจของตัวเองหรือเปล่า

หลังจากที่หลิงหลานทำร้ายฉีหลง ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเธอมีปัญหาจริงๆ ควบคุมพลังจิตไม่ได้แล้ว หลังจากที่หมายเลขห้าซึ่งเล่ากันว่าบีบให้อัจฉริยะนับไม่ถ้วนกลายเป็นบ้าได้เคี่ยวกรำหลิงหลานมาหนึ่งเดือน ทำให้หลิงหลานเกิดปัญหาด้านจิตใจเช่นเดียวกัน

ดังนั้นหลิงหลานเลยไม่กล้าลงมืออีก เธอกลัวว่าครั้งหน้าเธอจะฆ่าพวกฉีหลงจริงๆ เวลานั้นเธอจะต้องเสียใจภายหลังมากแน่นอน

พวกฉีหลงกับลั่วล่างต่างก็รู้เหตุผลที่หลิงหลานไม่ลงมือ ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นมาท้าประลองหลิงหลาน ฉีหลงกับลั่วล่างสองคนก็ก้าวออกไปข้างหน้า บอกว่าถ้าอยากท้าประลองลูกพี่พวกเขาก็ต้องล้มลูกน้องอย่างพวกเขาสองคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ยังมีคนที่ไม่ยอมรับจริงๆ เมื่อเด็กที่เก่งกาจซึ่งอยู่อันดับสามของปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอได้ระบุชื่อท้าประลอง ฉีหลงก็รับคำท้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

การท้าประลองในครั้งนี้ยังคงเลือกการต่อสู้บนสังเวียนแบบเปิดซึ่งได้รับความสนใจจากพวกนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เนื่องจากเปิดเทอมได้ไม่นาน ห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งก็ยื่นคำร้องต่อสู้บนสังเวียนแบบเปิดสองครั้งแล้ว ทำให้พวกรุ่นพี่ปีสูงต่างคิดเหมือนกันว่าเด็กใหม่ปีนี้เป็นพวกหัวรุนแรงแน่นอน พวกเขาย่อมเฝ้าคอยการจัดอันดับใหญ่กลางปีในครั้งนี้มากกว่าเดิม สุดท้ายอันดับของปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอจะเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหรือไม่? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ละก็ เกรงว่ามันจะกลายเป็นสถิติหน้าใหม่ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ควรทราบว่าที่ผ่านมา อันดับของห้องสเปเชียลเอแทบจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

ฉีหลงต่อสู้กับอันดับสามอย่างหนัก เรียกได้ว่าต่อสู้จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าพลังใจของฉีหลงแข็งแกร่งกว่า มีความอดทนสูงกว่าจึงล้มอีกฝ่ายได้สำเร็จ

ผลลงเอยนี้ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่เดิมทียังระส่ำระส่ายต่างเงียบลงไปโดยสิ้นเชิง ครุ่นคิดว่าขนาดอันดับสามยังพ่ายแพ้ ถ้าอยากจะท้าประลอง พวกเขาก็ต้องพิจารณาความสามารถของตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน

การกระทำของฉีหลงยอดเยี่ยมมาก ทำให้หลิงหลานได้รับความสงบสุขไปหลายเดือน และก็ทำให้เธอมีเวลาแก้ไขปัญหาเรื่องสูญเสียการควบคุมจิตใจที่ยุ่งยากนี้ ทว่าการจัดอันดับใหญ่กลางปีกำลังจะมาถึงแล้ว หลิงหลานที่เดิมทียังใจเย็นก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา เพราะว่าเธอยังไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้

ควรทราบว่าเมื่อถึงเวลาจัดอันดับใหญ่กลางปี เธอก็จะปฏิเสธการท้าประลองที่มาจากนักเรียนชั้นเดียวกันไม่ได้อีกต่อไป นอกเสียจากเธอเลือกที่จะทิ้งผลคะแนนของตัวเองและออกจากห้องพิเศษกลายเป็นนักเรียนธรรมดา

หลิงหลานรับผลลงเอยแบบนี้ไม่ได้ หลังจากที่หลิงหลานรู้ว่าห้องสเปเชียลเอเป็นแบบไหนและได้เพลิดเพลินกับผลประโยชน์ต่างๆ ของมัน หลิงหลานย่อมไม่มีทางโง่เง่าจนกระทั่งทิ้งทุกอย่างนี้ไป หลิงหลานไม่อยากทำตัวสะดุดตาจริงๆ แต่เธอก็ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ เธอยังอยากควบคุมชีวิตของตัวเองกลายเป็นคนที่มีอิสระเสรี

“ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้” หลิงหลานกำหมัดแน่น

หลิงหลานรู้ดีว่า ถ้าหากไม่แก้ปัญหานี้ เธอไม่มีทางลงมือได้เลย สถาบันศูนย์กลางลูกเสือย่อมไม่ต้องการฆาตกรโรคจิตหรอกนะ ปัญหาเรื่องการสูญเสียการควบคุมร้ายแรงมาก ตอนนี้แค่เธอลงมือก็ย่อมมีศพเกลื่อนพื้น เลือดไหลเป็นแม่น้ำ เธอจำได้ชัดเจนว่า ภารกิจในมิติการเรียนรู้ครั้งล่าสุดล้มเหลวยังไง

ภารกิจที่หลิงหลานรับมาในครั้งนี้คือช่วยเหลือตัวประกัน แต่สุดท้ายเธอก็ฆ่าทุกคนในสถานที่นั้นจนหมด รวมไปถึงตัวประกันที่เธอต้องช่วยเหลือด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เธอเลยได้ลิ้มรสการลงโทษของมิติการเรียนรู้เป็นครั้งแรก

หลิงหลานตัวสั่นเทิ้มทันที นั่นย่อมไม่ใช่ความรู้สึกวิเศษแน่นอน กระแสไฟฟ้าที่ไหลค้างอยู่ในร่างกาย ความทรมานอันไร้ที่สิ้นสุดที่อยากตายก็ตายไม่ได้ อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้ แทบไม่ด้อยไปกว่าการเคี่ยวกรำอันแสนโรคจิตของหมายเลขห้าเท่าไหร่เลย เธอไม่อยากลิ้มรสอีกครั้งเป็นอันขาด

ในที่สุดตอนนี้หลิงหลานก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่เรียกว่ามิติการเรียนรู้นั้นไม่ใช่นิ้วทองคำของเธอ (นอกจากเสี่ยวซื่อนะ) แต่ว่าเป็นนิ้วสีดำซึ่งดำรงอยู่เพื่อทรมานเธอ

ตอนที่หลิงหลานกำลังร้อนใจและสับสนอยู่นั้น เวลานี้ท่านหมายเลขหนึ่งที่หลิงหลานเคารพเลื่อมใสมากกำลังระเบิดโทสะฉีกมิติฝึกฝนของอาจารย์หมายเลขห้าในมิติการเรียนรู้

ในขณะที่หมายเลขห้ากำลังวางแผนอะไรบางอย่างในมิติของตัวเองอยู่นั้น เขาก็เห็นแผ่นดินสั่นไหว โลกกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว เขาเพิ่งคิดจะหลบหนี ก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบลำคอของเขา

“หมายเลขห้า ฉันแค่ให้นายสั่งสอนหลิงหลานเรื่องความอดทนต่ออุปสรรคเท่านั้น ไม่ใช่ให้นายทำลายเธอ” หมายเลขหนึ่งถลึงตาใส่หมายเลขห้า ในแววตามีความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจลบล้างไปได้

เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวพี่น้องลูกน้องใต้บังคับบัญชามาก ในเมื่อเขาตัดสินใจปล่อยมือให้หมายเลขห้าฝึกสอนหลิงหลาน เขาก็จะไม่สอดมือในระหว่างการฝึกสอน ดังนั้นเขาเลยไม่รู้เรื่องจิตใจของหลิงหลานเกิดความผิดปกติขึ้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะหมายเลขเก้าคอยเอาใจใส่หลิงหลานอยู่ตลอดและสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิงหลานก่อนจะรีบมาแจ้งให้เขารู้แล้วละก็ บางทีอาจจะต้องรอให้หลิงหลานเข้าสู่ความบ้าคลั่งโดยสิ้นเชิงก่อน เขาถึงค่อยรู้ความจริงข้อนี้

หมายเลขห้ายังคงเยือกเย็นอย่างยิ่งขณะที่เผชิญหน้ากับโทสะของหมายเลขหนึ่ง เขาพูดด้วยความจนปัญญาว่า “หมายเลขหนึ่ง ฉันไม่ได้ทำลายหลิงหลานนะ แต่ตอนนี้เธอไปถึงช่วงเวลาที่ต้องเลือกวิถีแล้ว”

สีหน้าของหมายเลขหนึ่งเปลี่ยนไป “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้? เดิมทีฉันประเมินดูแล้วว่าอีกสี่ปีให้หลังเธอถึงจะไปถึงขั้นนี้ได้”

หมายเลขหนึ่งคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขายิ่งเย็นเยียบ เขากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หมายเลขห้า นายทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฉัน ใช้วิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดของนายใช่ไหม?”

หมายเลขห้ายิ้ม ในแววตามีความอิ่มอกอิ่มใจ คราวนี้หมายเลขหนึ่งยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกล่ะ เขาโมโหจนไม่ยั้งมืออีกต่อไปและอัดหมายเลขห้าลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ได้ยินแต่เสียง ‘โครม’ ดังลั่น มิติฝึกฝนของหมายเลขห้าสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของหมายเลขห้าถูกหมายเลขหนึ่งอัดเข้าไปในพื้น บนพื้นมีเพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมา

พลังนี้ไม่ใช่ว่าจะรับได้ง่ายๆ สีหน้าของหมายเลขห้าดุดันมาก ความปวดร้าวทำให้เขารักษาใบหน้ายิ้มแย้มของตัวเองไม่ไหว อย่างไรก็ตาม หมายเลขห้าไม่คิดจะยอมแพ้ตรงนี้ มุมปากเขากระตุกฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “หมายเลขหนึ่ง อย่าโทษฉันสิ ใครใช้ให้หลิงหลานเป็นวัตถุดิบที่ดีขนาดนี้กันล่ะ เดิมทีฉันก็ไม่คิดจะใช้หรอกนะ แต่ว่าเธอทนภารกิจซาดิสม์ที่ฉันตั้งขึ้นมาได้ทุกครั้ง นายไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอผ่านภารกิจ ฉันก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดแล้ว เธอล้วงวิธีการสอนแบบซาดิสม์ของฉันออกมาได้หมดเลยภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่นึกเลยว่าเธอจะทนผ่านไปได้ทั้งหมด”

หมายเลขห้ามีสีหน้าคลุ้มคลั่งเล็กน้อย “ความอดทนแบบนั้น เป็นปีศาจอัจฉริยะจริงๆ ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลย ดังนั้นฉันก็เลยกระตือรือร้นและก็ตื่นเต้นขึ้นมา…”

“เพราะฉะนั้น นายก็เลยฝ่าฝืนกฎให้เธอเข้าไปฝึกฝนในวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดของนาย นายไม่รู้สินะว่า นายทำแบบนี้จะเป็นการทำลายเธอ” หมายเลขหนึ่งกล่าวด้วยความปวดใจ

หลิงหลานเป็นคนแรกที่เขาอยากจะอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้สืบทอด แต่ไม่นึกเลยว่าเธอเกือบจะถูกหมายเลขห้าทำลายภายใต้ความประมาทของเขา เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลังมาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขาจะสัมผัสได้ถึงความเสียใจภายหลัง

“ไม่เลย ฉันไม่ได้ทำลายเธอ หมายเลขหนึ่ง นายรู้หรือเปล่าว่าเธอผ่านวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดไปได้จริงๆ เป็นคนเดียวที่ผ่านมาได้ขณะที่อยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ เธอแค่ตกเข้าไปอยู่ในความสับสนของวิถีเท่านั้น” หมายเลขห้ายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ใบหน้าเขาปรากฎความรู้สึกท่วมท้นที่เรียกว่าความสำเร็จออกมา

“ผ่านแล้ว? นายบอกว่าหลิงหลานผ่านแล้ว?” หมายเลขหนึ่งไม่กล้าเชื่อ

“ใช่ เธอผ่านแล้ว เรื่องเดียวที่น่าเศร้าคือ เธอหาวิถีของตัวเองไม่เจอ” ใบหน้าของหมายเลขห้าเผยความรู้สึกเสียใจออกมา ในการคาดการณ์ของเขา ขอเพียงคนที่ผ่านวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดสามารถออกมาได้ขณะที่อยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ เขาก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ครอบครองวิถี แต่หลิงหลานกลับเป็นตัวประหลาด เธอผ่านมาได้โดยที่มีสติ แต่ดันหาวิถีที่เหมาะสมกับตัวเองไม่เจอและตกเข้าสู่ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” หมายเลขหนึ่งเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขายอมรับการคาดการณ์ของหมายเลขห้า

“ฉันคาดว่าเป็นเพราะเธอไม่มีเป้าหมายที่อยากจะเข้มแข็งขึ้น” หมายเลขห้ามีสีหน้าแปลกพิกลเล็กน้อย หลายเดือนที่อยู่ร่วมกันมานี้ทำให้เขาสัมผัสความคิดของหลิงหลานได้รางๆ หลิงหลานมีความคิดที่ขัดแย้งกันมาก อยากจะแข็งแกร่งขึ้น และก็ไม่อยากโดดเด่นสะดุดตา แบบรับความรับผิดชอบมากเกินไป ยิ่งไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอที่ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองไม่ได้

ถึงแม้ว่าความขัดแย้งและความลังเลแบบนี้ทำให้พลังจิตของหลิงหลานสัมผัสถึงประตูของวิถี ทว่าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอจะไปผลักให้มันเปิดออกได้ ดังนั้นก็เลยเข้าสู่ขอบเขตที่ลึกยิ่งขึ้น ควรทราบว่าเมื่อคนผู้หนึ่งควบคุมความสามารถของวิถีแล้ว ความสามารถทุกด้านของเขาก็จะเพิ่มสูงขึ้นฉับพลัน ต่อไปไม่ว่าคิดจะทำอะไร เรียนรู้อะไรก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน ของที่เดิมทีต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะเรียนรู้ได้ ก็อาจจะสำเร็จได้ในเวลาสองสามปี

“นายคิดว่าวิถีอะไรที่เธอมีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าไปมากที่สุด?” หมายเลขหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หมายเลขห้ารู้สถานการณ์ของหลิงหลานดีที่สุด เขาจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ถึงจะรู้ได้ว่าจะช่วยหลิงหลานเลือกวิถีที่ถูกต้องยังไง

“วิถีสังหาร! ก่อนหน้านี้เธอทำภารกิจช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลว สาเหตุก็คือเธอสังหารทุกคนในค่ายนั้นจนหมด รวมไปถึงตัวประกันด้วย” หมายเลขห้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม ถ้าหากพวกเขาละเลยไม่สนใจละก็ เมื่อเวลาผ่านไป การที่หลิงหลานเข้าสู่วิถีสังหารก็แทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว

“ไม่ได้ วิถีสังหารกระหายเลือดมากเกินไป ไม่เหมาะกับนิสัยของหลิงหลาน” หมายเลขหนึ่งปฏิเสธวิถีนี้ทันที อันที่จริงวิถีสังหารก็เป็นวิถีที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าคนที่จะเดินบนวิถีนี้จะต้องเลือดเย็นไร้ความรู้สึก ซึ่งไม่เหมาะกับหลิงหลานเลย

ภายนอกหลิงหลานดูเหมือนเย็นชากับผู้คน แต่ความจริงแล้วลึกๆ ภายในยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ดังนั้นเธอถึงได้ยินดีทำผิดต่อตัวเองปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อหลานลั่วเฟิ่ง เอาชนะความยากลำบากต่างๆ นอกจากนี้หลังจากที่เธอเผชิญหน้ากับพวกฉีหลงที่เข้ามาเกาะแกะและยอมรับเธอเป็นลูกพี่แล้ว เธอก็เลือกยอมรับโดยปริยาย ขนาดรู้ดีว่าหลินจงชิงมีเป้าหมายมายืมกำลังของเธอ หลิงหลานก็ยังคงเลือกช่วยเหลือเขาไว้

“วิถีมารก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันนะ” หมายเลขห้าหัวเราะจนสำลัก ความจริงแล้วเขารู้ดีว่าหลิงหลานต่อต้านการเดินไปสู่วิถีสังหารนี้มาก ดังนั้นจึงเกิดจิตมารได้ง่ายมาก ขอเพียงจิตมารเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น สุดท้ายต่อให้หลิงหลานไม่อยากเดินสู่วิถีมารก็ไม่ได้แล้ว

หมายเลขหนึ่งปรายตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ทำให้ศีรษะของหมายเลขห้าหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาบนพื้น เขาเข้าใจความหมายของหมายเลขหนึ่งดี เห็นได้ชัดว่าเกลียดการกระทำบุ่มบ่ามของเขามากที่ทำให้หลิงหลานมีจิตมารแบบนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เธอเดินไปบนวิถีทางที่หมายเลขหนึ่งไม่ชอบมาก

ความจริงแล้วอ้างอิงจากแผนการที่หมายเลขหนึ่งวางไว้ในตอนแรก อีกสี่ปีให้หลัง หลิงหลานย่อมเข้าสู่ประตูแห่งวิถี หลังจากนั้นก็เดินลังเลอยู่บนเส้นทางของวิถีราชันหรือไม่ก็วิถีปราชญ์ที่ไม่มีอุปสรรควิกฤติใดๆ นี่เป็นวิถีที่เปิดกว้างและสูงส่งมากที่สุดที่หมายเลขหนึ่งเลือกให้กับหลิงหลาน

น่าเสียดายที่หมายเลขห้าสอดมือเข้ามา ถึงแม้ว่าจะทำให้หลิงหลานสัมผัสถึงประตูแห่งวิถีได้ในระดับความเร็วที่น่ากลัว แต่เนื่องจากอารมณ์ของหลิงหลานไม่พร้อม มันก็เลยนำอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้ามาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ดูท่า จำเป็นต้องให้หลิงหลานรีบหาเป้าหมายที่ทำให้ตัวเองอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด แต่ใครจะช่วยเธอ?” หมายเลขหนึ่งถอนหายใจ เขาไม่ถนัดแก้ไขปัญหาด้านจิตใจแบบนี้เลย

“ฉันไปเอง” เสียงเย็นกระจ่างใสดังขึ้นจากทางด้านหลังของหมายเลขหนึ่ง

จากนั้นก็เห็นดวงหน้าอันงดงามของหมายเลขเก้าแฝงไปด้วยความดุดัน สายตาที่มองไปยังหมายเลขห้าสามารถฆ่าคนได้แน่นอน หมายเลขห้าเงยหน้ามองฟ้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร เวลานี้เขาไม่กล้ายั่วโมโหแม่เสือที่ปกป้องลูกตัวเองอย่างหมายเลขเก้า

หมายเลขหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าโล่งอกว่า “ดี หมายเลขเก้า ฉันมอบเรื่องของหลิงหลานให้เธอจัดการ”

หมายเลขเก้าพยักหน้า จากนั้นร่างของเธอก็หายไป

หมายเลขห้าถึงค่อยพูดด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ในที่สุดก็ไปสักที ตอนนี้ปล่อยฉันออกมาได้แล้วใช่ไหม”

หมายเลขหนึ่งมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะกระทืบตรงยอดหัวเขาอย่างเฉียบขาด เหยียบเขาให้เข้าไปในพื้น ฝังเขาทั้งเป็นในก้าวเดียวอย่างแท้จริง หลังจากนั้นก็หายตัวไปจากมิติฝึกฝนของหมายเลขห้า

ผ่านไปไม่นาน หมายเลขห้าก็ขึ้นมาจากในพื้นอย่างน่าประหลาด เขายังคงทำหน้าผ่อนคลาย กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก “ไม่เพียงแต่หมายเลขเก้าที่มีความรู้สึก ขนาดหมายเลขหนึ่งก็ยิ่งมีความเป็นคนมากขึ้นเรื่อยๆ การทดลองครั้งนี้ประสบความสำเร็จมาก บนตัวหลิงหลานมีความสามารถที่ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึก ไม่รู้ว่าความสามารถนี้จะดีหรือว่าร้ายต่อสิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์อย่างพวกเรากันแน่นะ?”

“แต่คราวนี้หลิงหลานอันตรายมากเกินไปจริงๆ…ฉันไม่ได้ทำเกินไปใช่ไหม? ถ้าหลิงหลานเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ความสนุกของเราจะไม่ลดน้อยลงไปมากเลยเหรอ? ไม่มีวัตถุดิบไหนที่สามารถทรหดอดทนผ่านวิธีการฝึกสอนที่ฉันพัฒนาออกมาใหม่เรื่อยๆ ได้ขนาดนี้ อืม ดูท่าฉันต้องคิดวิธีให้เธอผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้…” หมายเลขห้าครุ่นคิดอย่างหนัก ตอนนี้เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า ตัวเขาที่ไม่เคยใส่ใจความเป็นความตายของวัตถุดิบมาก่อนก็สิ้นเปลืองสมองเพื่อหลิงหลานเช่นกัน

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 73 วิกฤติของหลิงหลาน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 73 วิกฤติของหลิงหลาน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วมาก ผ่านไปห้าเดือนกว่าแล้ว บรรยากาศของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเริ่มตึงเครียดขึ้นมา การจัดอันดับใหญ่กลางปีที่จะตัดสินโชคชะตาในครึ่งปีให้หลังกำลังจะเปิดฉากแล้ว นักเรียนทุกคนที่ร่ำเรียนในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือต่างพยายามทุ่มสุดความสามารถในช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อการจัดอันดับใหญ่ที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตครึ่งปีของพวกเขาได้

หลิงหลานผ่านช่วงเวลานี้โดยไม่หวั่นวิตกอะไร ไม่ได้โดดเด่นมากเกินไป และก็ไม่ได้จืดจางมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอรับการท้าประลองของหลินจงชิง เธอก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างเปิดเผยกับคนอื่นอีก ต่อให้ฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในวิชาต่อสู้ หลิงหลานก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม

แน่นอนว่าหลิงหลานยังคงเข้าไปฝึกซ้อมต่อสู้ในหอต่อสู้กับพวกฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินสามคนเป็นครั้งคราวมาตั้งแต่ในเดือนแรกของการเปิดเรียน แต่ใช้วิธีการฝึกฝนแบบนี้ไปได้ไม่นาน ต่อมาหลิงหลานก็สูญเสียการควบคุมโจมตีฉีหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์นี้ หลิงหลานก็ไม่ยอมลงมืออีก เธอให้พวกฉีหลงสามคนแลกเปลี่ยนความรู้กันเองโดยไม่ลังเล

ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าหลิงหลานไม่อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเพื่อนๆ เธอรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากเธอพบว่า ช่วงนี้เธอได้ทำการฝึกฝนขั้นสุดยอดตามที่หมายเลขห้าว่าไว้ ทุกครั้งที่เธอฝึกฝนในตอนกลางคืน พลังจิตของเธอก็จะเกิดความผันผวนอย่างผิดปกติพร้อมกับเวลาที่เดินช้าลง ความผันผวนที่ผิดแปลกนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเครียดหนักมากมาตลอดว่าความผิดปกตินี้จะนำอะไรมาให้เธอ แต่การเคลื่อนไหวทั่วไปไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เธอก็เลยได้แต่วางมือก่อนชั่วคราว

แต่เธอก็ค่อยๆ พบว่าตอนที่เธอทำการต่อสู้ โดยเฉพาะตอนที่เข้าสู่สถานะโจมตี เธอตกลงสู่ความตื่นเต้นกระหายเลือดได้ง่ายมาก มีความกล้าอยากจะทำลายทุกอย่าง

เริ่มแรกเธอยังสามารถข่มกลั้นความต้องการแบบนี้ไว้ได้ เธอนึกว่าตัวเองสามารถเอาชนะอารมณ์ด้านลบที่เกิดจากการฝึกฝนที่แสนวิปริต แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ด้านลบนี้ได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเกิดปัญหาขึ้นในจิตใจของตัวเองหรือเปล่า

หลังจากที่หลิงหลานทำร้ายฉีหลง ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเธอมีปัญหาจริงๆ ควบคุมพลังจิตไม่ได้แล้ว หลังจากที่หมายเลขห้าซึ่งเล่ากันว่าบีบให้อัจฉริยะนับไม่ถ้วนกลายเป็นบ้าได้เคี่ยวกรำหลิงหลานมาหนึ่งเดือน ทำให้หลิงหลานเกิดปัญหาด้านจิตใจเช่นเดียวกัน

ดังนั้นหลิงหลานเลยไม่กล้าลงมืออีก เธอกลัวว่าครั้งหน้าเธอจะฆ่าพวกฉีหลงจริงๆ เวลานั้นเธอจะต้องเสียใจภายหลังมากแน่นอน

พวกฉีหลงกับลั่วล่างต่างก็รู้เหตุผลที่หลิงหลานไม่ลงมือ ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นมาท้าประลองหลิงหลาน ฉีหลงกับลั่วล่างสองคนก็ก้าวออกไปข้างหน้า บอกว่าถ้าอยากท้าประลองลูกพี่พวกเขาก็ต้องล้มลูกน้องอย่างพวกเขาสองคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ยังมีคนที่ไม่ยอมรับจริงๆ เมื่อเด็กที่เก่งกาจซึ่งอยู่อันดับสามของปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอได้ระบุชื่อท้าประลอง ฉีหลงก็รับคำท้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

การท้าประลองในครั้งนี้ยังคงเลือกการต่อสู้บนสังเวียนแบบเปิดซึ่งได้รับความสนใจจากพวกนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เนื่องจากเปิดเทอมได้ไม่นาน ห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งก็ยื่นคำร้องต่อสู้บนสังเวียนแบบเปิดสองครั้งแล้ว ทำให้พวกรุ่นพี่ปีสูงต่างคิดเหมือนกันว่าเด็กใหม่ปีนี้เป็นพวกหัวรุนแรงแน่นอน พวกเขาย่อมเฝ้าคอยการจัดอันดับใหญ่กลางปีในครั้งนี้มากกว่าเดิม สุดท้ายอันดับของปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอจะเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหรือไม่? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ละก็ เกรงว่ามันจะกลายเป็นสถิติหน้าใหม่ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ควรทราบว่าที่ผ่านมา อันดับของห้องสเปเชียลเอแทบจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

ฉีหลงต่อสู้กับอันดับสามอย่างหนัก เรียกได้ว่าต่อสู้จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าพลังใจของฉีหลงแข็งแกร่งกว่า มีความอดทนสูงกว่าจึงล้มอีกฝ่ายได้สำเร็จ

ผลลงเอยนี้ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่เดิมทียังระส่ำระส่ายต่างเงียบลงไปโดยสิ้นเชิง ครุ่นคิดว่าขนาดอันดับสามยังพ่ายแพ้ ถ้าอยากจะท้าประลอง พวกเขาก็ต้องพิจารณาความสามารถของตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน

การกระทำของฉีหลงยอดเยี่ยมมาก ทำให้หลิงหลานได้รับความสงบสุขไปหลายเดือน และก็ทำให้เธอมีเวลาแก้ไขปัญหาเรื่องสูญเสียการควบคุมจิตใจที่ยุ่งยากนี้ ทว่าการจัดอันดับใหญ่กลางปีกำลังจะมาถึงแล้ว หลิงหลานที่เดิมทียังใจเย็นก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา เพราะว่าเธอยังไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้

ควรทราบว่าเมื่อถึงเวลาจัดอันดับใหญ่กลางปี เธอก็จะปฏิเสธการท้าประลองที่มาจากนักเรียนชั้นเดียวกันไม่ได้อีกต่อไป นอกเสียจากเธอเลือกที่จะทิ้งผลคะแนนของตัวเองและออกจากห้องพิเศษกลายเป็นนักเรียนธรรมดา

หลิงหลานรับผลลงเอยแบบนี้ไม่ได้ หลังจากที่หลิงหลานรู้ว่าห้องสเปเชียลเอเป็นแบบไหนและได้เพลิดเพลินกับผลประโยชน์ต่างๆ ของมัน หลิงหลานย่อมไม่มีทางโง่เง่าจนกระทั่งทิ้งทุกอย่างนี้ไป หลิงหลานไม่อยากทำตัวสะดุดตาจริงๆ แต่เธอก็ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ เธอยังอยากควบคุมชีวิตของตัวเองกลายเป็นคนที่มีอิสระเสรี

“ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้” หลิงหลานกำหมัดแน่น

หลิงหลานรู้ดีว่า ถ้าหากไม่แก้ปัญหานี้ เธอไม่มีทางลงมือได้เลย สถาบันศูนย์กลางลูกเสือย่อมไม่ต้องการฆาตกรโรคจิตหรอกนะ ปัญหาเรื่องการสูญเสียการควบคุมร้ายแรงมาก ตอนนี้แค่เธอลงมือก็ย่อมมีศพเกลื่อนพื้น เลือดไหลเป็นแม่น้ำ เธอจำได้ชัดเจนว่า ภารกิจในมิติการเรียนรู้ครั้งล่าสุดล้มเหลวยังไง

ภารกิจที่หลิงหลานรับมาในครั้งนี้คือช่วยเหลือตัวประกัน แต่สุดท้ายเธอก็ฆ่าทุกคนในสถานที่นั้นจนหมด รวมไปถึงตัวประกันที่เธอต้องช่วยเหลือด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เธอเลยได้ลิ้มรสการลงโทษของมิติการเรียนรู้เป็นครั้งแรก

หลิงหลานตัวสั่นเทิ้มทันที นั่นย่อมไม่ใช่ความรู้สึกวิเศษแน่นอน กระแสไฟฟ้าที่ไหลค้างอยู่ในร่างกาย ความทรมานอันไร้ที่สิ้นสุดที่อยากตายก็ตายไม่ได้ อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้ แทบไม่ด้อยไปกว่าการเคี่ยวกรำอันแสนโรคจิตของหมายเลขห้าเท่าไหร่เลย เธอไม่อยากลิ้มรสอีกครั้งเป็นอันขาด

ในที่สุดตอนนี้หลิงหลานก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่เรียกว่ามิติการเรียนรู้นั้นไม่ใช่นิ้วทองคำของเธอ (นอกจากเสี่ยวซื่อนะ) แต่ว่าเป็นนิ้วสีดำซึ่งดำรงอยู่เพื่อทรมานเธอ

ตอนที่หลิงหลานกำลังร้อนใจและสับสนอยู่นั้น เวลานี้ท่านหมายเลขหนึ่งที่หลิงหลานเคารพเลื่อมใสมากกำลังระเบิดโทสะฉีกมิติฝึกฝนของอาจารย์หมายเลขห้าในมิติการเรียนรู้

ในขณะที่หมายเลขห้ากำลังวางแผนอะไรบางอย่างในมิติของตัวเองอยู่นั้น เขาก็เห็นแผ่นดินสั่นไหว โลกกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็รู้ว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว เขาเพิ่งคิดจะหลบหนี ก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบลำคอของเขา

“หมายเลขห้า ฉันแค่ให้นายสั่งสอนหลิงหลานเรื่องความอดทนต่ออุปสรรคเท่านั้น ไม่ใช่ให้นายทำลายเธอ” หมายเลขหนึ่งถลึงตาใส่หมายเลขห้า ในแววตามีความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจลบล้างไปได้

เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวพี่น้องลูกน้องใต้บังคับบัญชามาก ในเมื่อเขาตัดสินใจปล่อยมือให้หมายเลขห้าฝึกสอนหลิงหลาน เขาก็จะไม่สอดมือในระหว่างการฝึกสอน ดังนั้นเขาเลยไม่รู้เรื่องจิตใจของหลิงหลานเกิดความผิดปกติขึ้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะหมายเลขเก้าคอยเอาใจใส่หลิงหลานอยู่ตลอดและสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิงหลานก่อนจะรีบมาแจ้งให้เขารู้แล้วละก็ บางทีอาจจะต้องรอให้หลิงหลานเข้าสู่ความบ้าคลั่งโดยสิ้นเชิงก่อน เขาถึงค่อยรู้ความจริงข้อนี้

หมายเลขห้ายังคงเยือกเย็นอย่างยิ่งขณะที่เผชิญหน้ากับโทสะของหมายเลขหนึ่ง เขาพูดด้วยความจนปัญญาว่า “หมายเลขหนึ่ง ฉันไม่ได้ทำลายหลิงหลานนะ แต่ตอนนี้เธอไปถึงช่วงเวลาที่ต้องเลือกวิถีแล้ว”

สีหน้าของหมายเลขหนึ่งเปลี่ยนไป “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้? เดิมทีฉันประเมินดูแล้วว่าอีกสี่ปีให้หลังเธอถึงจะไปถึงขั้นนี้ได้”

หมายเลขหนึ่งคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขายิ่งเย็นเยียบ เขากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หมายเลขห้า นายทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฉัน ใช้วิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดของนายใช่ไหม?”

หมายเลขห้ายิ้ม ในแววตามีความอิ่มอกอิ่มใจ คราวนี้หมายเลขหนึ่งยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกล่ะ เขาโมโหจนไม่ยั้งมืออีกต่อไปและอัดหมายเลขห้าลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ได้ยินแต่เสียง ‘โครม’ ดังลั่น มิติฝึกฝนของหมายเลขห้าสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของหมายเลขห้าถูกหมายเลขหนึ่งอัดเข้าไปในพื้น บนพื้นมีเพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมา

พลังนี้ไม่ใช่ว่าจะรับได้ง่ายๆ สีหน้าของหมายเลขห้าดุดันมาก ความปวดร้าวทำให้เขารักษาใบหน้ายิ้มแย้มของตัวเองไม่ไหว อย่างไรก็ตาม หมายเลขห้าไม่คิดจะยอมแพ้ตรงนี้ มุมปากเขากระตุกฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “หมายเลขหนึ่ง อย่าโทษฉันสิ ใครใช้ให้หลิงหลานเป็นวัตถุดิบที่ดีขนาดนี้กันล่ะ เดิมทีฉันก็ไม่คิดจะใช้หรอกนะ แต่ว่าเธอทนภารกิจซาดิสม์ที่ฉันตั้งขึ้นมาได้ทุกครั้ง นายไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอผ่านภารกิจ ฉันก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดแล้ว เธอล้วงวิธีการสอนแบบซาดิสม์ของฉันออกมาได้หมดเลยภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่นึกเลยว่าเธอจะทนผ่านไปได้ทั้งหมด”

หมายเลขห้ามีสีหน้าคลุ้มคลั่งเล็กน้อย “ความอดทนแบบนั้น เป็นปีศาจอัจฉริยะจริงๆ ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลย ดังนั้นฉันก็เลยกระตือรือร้นและก็ตื่นเต้นขึ้นมา…”

“เพราะฉะนั้น นายก็เลยฝ่าฝืนกฎให้เธอเข้าไปฝึกฝนในวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดของนาย นายไม่รู้สินะว่า นายทำแบบนี้จะเป็นการทำลายเธอ” หมายเลขหนึ่งกล่าวด้วยความปวดใจ

หลิงหลานเป็นคนแรกที่เขาอยากจะอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้สืบทอด แต่ไม่นึกเลยว่าเธอเกือบจะถูกหมายเลขห้าทำลายภายใต้ความประมาทของเขา เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลังมาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขาจะสัมผัสได้ถึงความเสียใจภายหลัง

“ไม่เลย ฉันไม่ได้ทำลายเธอ หมายเลขหนึ่ง นายรู้หรือเปล่าว่าเธอผ่านวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดไปได้จริงๆ เป็นคนเดียวที่ผ่านมาได้ขณะที่อยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ เธอแค่ตกเข้าไปอยู่ในความสับสนของวิถีเท่านั้น” หมายเลขห้ายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ใบหน้าเขาปรากฎความรู้สึกท่วมท้นที่เรียกว่าความสำเร็จออกมา

“ผ่านแล้ว? นายบอกว่าหลิงหลานผ่านแล้ว?” หมายเลขหนึ่งไม่กล้าเชื่อ

“ใช่ เธอผ่านแล้ว เรื่องเดียวที่น่าเศร้าคือ เธอหาวิถีของตัวเองไม่เจอ” ใบหน้าของหมายเลขห้าเผยความรู้สึกเสียใจออกมา ในการคาดการณ์ของเขา ขอเพียงคนที่ผ่านวิธีฝึกสอนขั้นนรกสูงสุดสามารถออกมาได้ขณะที่อยู่ในสภาพมีสติสัมปชัญญะ เขาก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ครอบครองวิถี แต่หลิงหลานกลับเป็นตัวประหลาด เธอผ่านมาได้โดยที่มีสติ แต่ดันหาวิถีที่เหมาะสมกับตัวเองไม่เจอและตกเข้าสู่ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” หมายเลขหนึ่งเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขายอมรับการคาดการณ์ของหมายเลขห้า

“ฉันคาดว่าเป็นเพราะเธอไม่มีเป้าหมายที่อยากจะเข้มแข็งขึ้น” หมายเลขห้ามีสีหน้าแปลกพิกลเล็กน้อย หลายเดือนที่อยู่ร่วมกันมานี้ทำให้เขาสัมผัสความคิดของหลิงหลานได้รางๆ หลิงหลานมีความคิดที่ขัดแย้งกันมาก อยากจะแข็งแกร่งขึ้น และก็ไม่อยากโดดเด่นสะดุดตา แบบรับความรับผิดชอบมากเกินไป ยิ่งไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอที่ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองไม่ได้

ถึงแม้ว่าความขัดแย้งและความลังเลแบบนี้ทำให้พลังจิตของหลิงหลานสัมผัสถึงประตูของวิถี ทว่าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอจะไปผลักให้มันเปิดออกได้ ดังนั้นก็เลยเข้าสู่ขอบเขตที่ลึกยิ่งขึ้น ควรทราบว่าเมื่อคนผู้หนึ่งควบคุมความสามารถของวิถีแล้ว ความสามารถทุกด้านของเขาก็จะเพิ่มสูงขึ้นฉับพลัน ต่อไปไม่ว่าคิดจะทำอะไร เรียนรู้อะไรก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน ของที่เดิมทีต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะเรียนรู้ได้ ก็อาจจะสำเร็จได้ในเวลาสองสามปี

“นายคิดว่าวิถีอะไรที่เธอมีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าไปมากที่สุด?” หมายเลขหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หมายเลขห้ารู้สถานการณ์ของหลิงหลานดีที่สุด เขาจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ถึงจะรู้ได้ว่าจะช่วยหลิงหลานเลือกวิถีที่ถูกต้องยังไง

“วิถีสังหาร! ก่อนหน้านี้เธอทำภารกิจช่วยเหลือตัวประกันล้มเหลว สาเหตุก็คือเธอสังหารทุกคนในค่ายนั้นจนหมด รวมไปถึงตัวประกันด้วย” หมายเลขห้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม ถ้าหากพวกเขาละเลยไม่สนใจละก็ เมื่อเวลาผ่านไป การที่หลิงหลานเข้าสู่วิถีสังหารก็แทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว

“ไม่ได้ วิถีสังหารกระหายเลือดมากเกินไป ไม่เหมาะกับนิสัยของหลิงหลาน” หมายเลขหนึ่งปฏิเสธวิถีนี้ทันที อันที่จริงวิถีสังหารก็เป็นวิถีที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าคนที่จะเดินบนวิถีนี้จะต้องเลือดเย็นไร้ความรู้สึก ซึ่งไม่เหมาะกับหลิงหลานเลย

ภายนอกหลิงหลานดูเหมือนเย็นชากับผู้คน แต่ความจริงแล้วลึกๆ ภายในยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ดังนั้นเธอถึงได้ยินดีทำผิดต่อตัวเองปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อหลานลั่วเฟิ่ง เอาชนะความยากลำบากต่างๆ นอกจากนี้หลังจากที่เธอเผชิญหน้ากับพวกฉีหลงที่เข้ามาเกาะแกะและยอมรับเธอเป็นลูกพี่แล้ว เธอก็เลือกยอมรับโดยปริยาย ขนาดรู้ดีว่าหลินจงชิงมีเป้าหมายมายืมกำลังของเธอ หลิงหลานก็ยังคงเลือกช่วยเหลือเขาไว้

“วิถีมารก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันนะ” หมายเลขห้าหัวเราะจนสำลัก ความจริงแล้วเขารู้ดีว่าหลิงหลานต่อต้านการเดินไปสู่วิถีสังหารนี้มาก ดังนั้นจึงเกิดจิตมารได้ง่ายมาก ขอเพียงจิตมารเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น สุดท้ายต่อให้หลิงหลานไม่อยากเดินสู่วิถีมารก็ไม่ได้แล้ว

หมายเลขหนึ่งปรายตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ทำให้ศีรษะของหมายเลขห้าหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาบนพื้น เขาเข้าใจความหมายของหมายเลขหนึ่งดี เห็นได้ชัดว่าเกลียดการกระทำบุ่มบ่ามของเขามากที่ทำให้หลิงหลานมีจิตมารแบบนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เธอเดินไปบนวิถีทางที่หมายเลขหนึ่งไม่ชอบมาก

ความจริงแล้วอ้างอิงจากแผนการที่หมายเลขหนึ่งวางไว้ในตอนแรก อีกสี่ปีให้หลัง หลิงหลานย่อมเข้าสู่ประตูแห่งวิถี หลังจากนั้นก็เดินลังเลอยู่บนเส้นทางของวิถีราชันหรือไม่ก็วิถีปราชญ์ที่ไม่มีอุปสรรควิกฤติใดๆ นี่เป็นวิถีที่เปิดกว้างและสูงส่งมากที่สุดที่หมายเลขหนึ่งเลือกให้กับหลิงหลาน

น่าเสียดายที่หมายเลขห้าสอดมือเข้ามา ถึงแม้ว่าจะทำให้หลิงหลานสัมผัสถึงประตูแห่งวิถีได้ในระดับความเร็วที่น่ากลัว แต่เนื่องจากอารมณ์ของหลิงหลานไม่พร้อม มันก็เลยนำอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้ามาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ดูท่า จำเป็นต้องให้หลิงหลานรีบหาเป้าหมายที่ทำให้ตัวเองอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด แต่ใครจะช่วยเธอ?” หมายเลขหนึ่งถอนหายใจ เขาไม่ถนัดแก้ไขปัญหาด้านจิตใจแบบนี้เลย

“ฉันไปเอง” เสียงเย็นกระจ่างใสดังขึ้นจากทางด้านหลังของหมายเลขหนึ่ง

จากนั้นก็เห็นดวงหน้าอันงดงามของหมายเลขเก้าแฝงไปด้วยความดุดัน สายตาที่มองไปยังหมายเลขห้าสามารถฆ่าคนได้แน่นอน หมายเลขห้าเงยหน้ามองฟ้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร เวลานี้เขาไม่กล้ายั่วโมโหแม่เสือที่ปกป้องลูกตัวเองอย่างหมายเลขเก้า

หมายเลขหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าโล่งอกว่า “ดี หมายเลขเก้า ฉันมอบเรื่องของหลิงหลานให้เธอจัดการ”

หมายเลขเก้าพยักหน้า จากนั้นร่างของเธอก็หายไป

หมายเลขห้าถึงค่อยพูดด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ในที่สุดก็ไปสักที ตอนนี้ปล่อยฉันออกมาได้แล้วใช่ไหม”

หมายเลขหนึ่งมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะกระทืบตรงยอดหัวเขาอย่างเฉียบขาด เหยียบเขาให้เข้าไปในพื้น ฝังเขาทั้งเป็นในก้าวเดียวอย่างแท้จริง หลังจากนั้นก็หายตัวไปจากมิติฝึกฝนของหมายเลขห้า

ผ่านไปไม่นาน หมายเลขห้าก็ขึ้นมาจากในพื้นอย่างน่าประหลาด เขายังคงทำหน้าผ่อนคลาย กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก “ไม่เพียงแต่หมายเลขเก้าที่มีความรู้สึก ขนาดหมายเลขหนึ่งก็ยิ่งมีความเป็นคนมากขึ้นเรื่อยๆ การทดลองครั้งนี้ประสบความสำเร็จมาก บนตัวหลิงหลานมีความสามารถที่ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึก ไม่รู้ว่าความสามารถนี้จะดีหรือว่าร้ายต่อสิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์อย่างพวกเรากันแน่นะ?”

“แต่คราวนี้หลิงหลานอันตรายมากเกินไปจริงๆ…ฉันไม่ได้ทำเกินไปใช่ไหม? ถ้าหลิงหลานเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ความสนุกของเราจะไม่ลดน้อยลงไปมากเลยเหรอ? ไม่มีวัตถุดิบไหนที่สามารถทรหดอดทนผ่านวิธีการฝึกสอนที่ฉันพัฒนาออกมาใหม่เรื่อยๆ ได้ขนาดนี้ อืม ดูท่าฉันต้องคิดวิธีให้เธอผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้…” หมายเลขห้าครุ่นคิดอย่างหนัก ตอนนี้เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า ตัวเขาที่ไม่เคยใส่ใจความเป็นความตายของวัตถุดิบมาก่อนก็สิ้นเปลืองสมองเพื่อหลิงหลานเช่นกัน

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+