I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 126 ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 126 ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่หลูเสี่ยวหลงกำลังเสียอกเสียใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นที่ข้างหูว่า “พื้นฐานสำคัญมาก เรายังเชี่ยวชาญได้ไม่ครบ ดังนั้นจะจบการศึกษาออกไปไม่ได้”

หลูเสี่ยวหลงเงยหน้าขึ้นมาฉับพลันก่อนจะพบว่าเป็นหุ่นรบเสือชีตาห์ที่ตอบกลับมา ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่แท้มหาเทพก็ไม่ได้เย่อหยิ่งเย็นชา ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์คนนี้เป็นคนที่น่าคบหาชัดๆ

ความจริงแล้ว หลูเสี่ยวหลงเข้าใจผิดไปทั้งนั้น หุ่นรบเสือชีตาห์ไม่เคยคิดจะตอบคำถามของหลูเสี่ยวหลงเลย แต่เพราะว่าสายตาและท่าทีส่ายศีรษะของหุ่นรบกระต่ายทำให้หุ่นรบเสือชีตาห์จำเป็นต้องออกหน้า

หลังจากทีไปมาหาสู่ติดต่อกันหลายเดือน ต่อให้ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจา พวกเขาสองคนก็มีความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด ขอเพียงส่งสายตาทำท่าครั้งเดียวก็รู้ความคิดของอีกฝ่ายได้ การขยับตารวมไปถึงท่าทีส่ายศีรษะของหุ่นรบกระต่ายเมื่อสักครู่นี้ทำให้ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด

“แต่ว่า…พวกนายแข็งแกร่งขนาดนี้แล้วนะ ยังไม่เชี่ยวชาญการควบคุมพื้นฐานอีกเหรอ?” หลูเสี่ยวหลงไม่เข้าใจ ถ้าผลคะแนนแบบนี้ยังไม่ได้สื่อว่าเชี่ยวชาญการควบคุมพื้นฐาน ถ้าอย่างนั้นพวกคนที่ได้คาบเส้นแล้วจบการศึกษาออกไปไม่คู่ควรกับการบังคับหุ่นรบเลยหรือเปล่า?

“แข็งแกร่งเหรอ? ไม่ใช่ว่ายังมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่หน้าเราเกือบหนึ่งร้อยคนเหรอ?” เสียงของผู้ควบคุมเสือชีตาห์แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจผลคะแนนของพวกเขา

คำพูดประโยคนี้ของผู้ควบคุมเสือชีตาห์ทำให้หุ่นรบกระต่ายหันหน้าส่งสายตามองไปที่เขาอีกครั้ง สายตานั้นกำลังถามอีกฝ่ายอย่างชัดเจนว่า พวกเขากลายเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

นี่ทำให้ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ขบขันในใจอยู่บ้าง คิดว่ามันก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ พวกเขาสองคนเคยคุยกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็มีวาสนาเจอกันในห้องฝึกฝน ควรพูดว่าพวกเขาไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกัน แต่กลับมีความรู้สึกรู้ใจอย่างยากจะอธิบาย

แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งของวาสนานี้เป็นความสมัครใจของเขาเอง นับตั้งแต่ที่พูดคุยกันครั้งนั้น เขาก็ใช้พลังจิตของตัวเองค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายเสมอ หลังจากนั้นก็จะแสร้งบังเอิญเข้าไปฝึกที่ห้องเดียวกัน

แต่เขามีวาสนากับอีกฝ่ายจริงๆ นะ มีหลายครั้งที่หุ่นรบกระต่ายบังเอิญตามหลังเข้ามาในห้องฝึกของเขา (ตอนนี้เสี่ยวซื่อแหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะยาวๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า ‘อนุญาตให้ผู้ว่าอย่างนายวางเพลิง แต่ไม่ให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราจุดตะเกียง[1]หรือไง? ใครจะเอาชนะเสี่ยวซื่อคนนี้ได้’)

บางทีอาจจะเป็นสวรรค์ลิขิต พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเขา ดังนั้นถึงได้ประทานอัจฉริยะแห่งยุคมาช่วยเหลือเขาอีกแรง

เขาไม่ได้มองข้ามคำพูดของหลิงหลาน ดังนั้นเขาจึงหยุดความคิดแต่แรกไว้ ไม่ได้เลือกสำเร็จการศึกษาออกไป หากแต่อยู่ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐานในหอฝึกหุ่นรบต่อ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพยายามฝึกทักษะพื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าของสถาบันลูกเสือ เขาคิดว่ามันคือพื้นฐานเหมือนกัน ควรจะให้ความสำคัญกับทักษะพื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าเช่นกัน

ความจริงพิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์ของเขาไม่ผิดเลย สุดท้ายเขาก็สัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่การฝึกฝนพื้นฐานมอบให้เขา ร่างกายที่แต่เดิมป่วยอ่อนแอในโลกความเป็นจริงกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูแข็งแรงขึ้นมา และในโลกเสมือนจริง เขาก็ทะลวงขีดจำกัดการควบคุมหุ่นรบได้หลายต่อหลายครั้ง ผลคะแนนก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

คนที่ชาญฉลาดอย่างเขารู้สึกได้ว่าคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่หุ่นรบกระต่ายตั้งใจบอกให้เขาฟังเป็นพิเศษ บางทีพวกเขาสองคนอาจจะเป็นอัจฉริยะด้านการบังคับหุ่นรบ เห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นอีกฝ่ายถึงยินดีเปิดเผยความลับด้านการควบคุมหุ่นรบบางอย่างให้เขา และมีความเป็นไปได้สูงว่าความลับนี้คือความลับของสำนักอีกฝ่ายที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก ไม่อย่างนั้นทำไมในหมู่ผู้ควบคุมหุ่นรบมากมายขนาดนั้นถึงมีคนให้ความสำคัญกับการควบคุมพื้นฐานน้อยขนาดนี้ล่ะ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสลักบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ในใจ

แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณอันมหาศาลนี้ได้ เขายังไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้อีกฝ่ายเลย ก่อนที่เขาจะควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้ เขาจะต้องคอยทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเนรคุณคุณปู่ที่ทำเรื่องทุกอย่างนี้เพื่อเขามากเกินไป

เขารู้ดีว่าเป็นเพราะการทำนายดวงชะตานั้น คุณปู่เลยปกปิดข้อมูลพรสวรรค์ของเขาอย่างสุดความสามารถ จงใจประกาศความธรรมดาสามัญของเขาออกมา สุดท้ายก็ใช้เหตุผลว่าพรสวรรค์ของเขาธรรมดามากเกินไปแล้วเนรเทศเขามายังดาวเว่ยหลานที่อยู่ห่างไกล ทั้งหมดนี้คือวิธีการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง ปกป้องเขาไม่ให้ตกเป็นเป้าของผู้มีอำนาจอิทธิพล

แต่เขายังไม่พอใจ เขาไม่ยอมเลือกหลบหนีอย่างถูกกระทำแบบนี้ เขาอยากให้ตัวเองกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ ยิ้มชมลมเมฆ[2]ทุกอย่าง ใช่แล้ว เขาอยากควบคุมชะตาชีวิตตัวเอง เขาอยากเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ชะตาฟ้าลิขิตไว้!

หุ่นรบเสือชีตาห์จมสู่ห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ความตั้งใจของหลูเสี่ยวหลงที่เดิมทีรีบร้อนอยากจะออกจากหอฝึกฝนหายไปทันที เขาเชื่อว่าการที่มหาเทพพูดแบบนี้และก็ทำแบบนี้คือการบ่งบอกว่าพื้นฐานมีความสำคัญมากจริงๆ เขารีบส่งข้อความให้กับเพื่อนสนิทที่กำลังทำการประเมินผลอยู่โดยไม่ต้องคิดทันที บอกให้พวกเขาอย่าเพิ่งเลือกจบการศึกษา แต่ให้เลือกกลับมาฝึกฝนพื้นฐานใหม่

ผ่านไปหลายนาที เพื่อนสนิทก็ตอบกลับมา แน่นอนว่าเจตนาดีของเขาไม่สามารถยื้อ ‘เพื่อนสนิท’ ทั้งสองคนที่อยากจะสลัดเขาทิ้งมานานแล้วได้ ถึงขนาดที่พวกเขาพูดอ้อมๆ ในข้อความว่า หลูเสี่ยวหลงทนเห็นพวกเขาจากไปก่อนไม่ได้ก็เลยใช้วิธีการไม่เข้าท่าแบบนี้มาเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้หรือเปล่า?

หลูเสี่ยวหลงช้าแค่เรื่องเรียนนิดหน่อยเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ด้านใน หลูเสี่ยวหลงเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด เขาอยากอธิบายให้พวกเพื่อนสนิทมากๆ ถึงขนาดที่หวังว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพการประเมินผลของพวกมหาเทพ แต่เขากลับพบว่าทั้งสองคนปิดอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกัน ปฏิเสธรับคำขอติดต่อสื่อสารของเขาแล้ว

เขาติดต่อผ่านไปยังเพื่อนที่พวกเขารู้จักร่วมกัน แต่คำตอบที่ได้รับคืออย่าให้เขาไปรบกวนพวกเขาเลย พวกเขาไปถึงโลกหุ่นรบแล้ว ไม่ได้ว่างเหมือนกับตอนที่อยู่ในหอฝึกหุ่นรบ พวกเขายุ่งกันมากๆ…

ตอนนี้หลูเสี่ยวหลงรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่อยากคิดลึก ไม่อยากสงสัยเพื่อนสนิทของตัวเอง สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คือตัวเลือกสองทาง หนึ่งคือไม่ต้องสนใจอีกฝ่ายแล้ว แล้วก็ไปมุ่นมั่นฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน จนกระทั่งตัวเองพอใจแล้วค่อยหยุด หรือว่าอีกทางหนึ่งก็คือรีบผ่านการประเมินผล ไม่ต้องสนใจแล้วว่าการควบคุมพื้นฐานเป็นยังไง จากนั้นก็เลือกไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ให้เร็วที่สุด

เขามองดูมหาเทพสองคนที่กำลังพักผ่อนหลังจากที่ฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจว่าจะไปสอบถามหุ่นรบเสือชีตาห์ที่อยู่ตรงนั้น บางทีมหาเทพอาจจะให้ความคิดเห็นดีๆ แก่เขาก็ได้

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เห็นหุ่นรบแรดเข้ามาใกล้เขาอีกครั้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พูดตามความจริงแล้ว เขาไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเอามากๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์ที่ปิดตายมาตลอด

เขามองไปที่หุ่นรบกระต่ายตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะพบว่าดวงตาของหุ่นรบกระต่ายกระพริบปริบๆ ให้เขาฉับพลัน ราวกับกำลังบอกเขาว่า ทำตัวดีๆ หน่อยนะ

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ยิ้มขื่น เอาเถอะ ในเมื่อผู้ควบคุมหุ่นรบกระต่ายให้เขาทำตัวดีๆ ถ้าอย่างนั้นก็จะทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เขาไม่สามารถปฏิเสธคนที่เคยช่วยเหลือเขาได้หรอก

……………

“เสี่ยวซื่อ ท้าทายความอดทนของอีกฝ่ายแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” ตอนนี้หลิงหลานกังวลใจมากว่าผู้ควบคุมหุ่นรบแรดตัวนั้นจะยั่วโมโหหุ่นรบเสือชีตาห์จริงๆ หลังจากนั้นก็โดนอีกฝ่ายกำจัดสตินึกคิดไปทันที

“วางใจเถอะ ฉันเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว แรดไม่ตายหรอก” เสี่ยวซื่อตอบ “ถ้าเกิดไม่ลองทดสอบ ฉันจะวางใจปล่อยให้เขาเข้าใกล้เธอขนาดนี้ได้ยังไง ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่สามารถพัฒนาเป็นผีซวีนะ” ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ไปเที่ยวเล่นที่อื่นแล้วลูกพี่เจอเขาขึ้นมาจะไม่เป็นอันตรายมากเกินไปเหรอ?

“แต่ว่าดูจากสถานการณ์แล้ว นิสัยใจคอของเขาไม่เลวมากๆ เลย ไม่ได้ดูอันตรายอย่างที่พวกเราจินตนาการไว้ขนาดนั้น” เสี่ยวซื่อแสดงท่าทีพอใจอีกฝ่ายมาก แบบนี้ก็มอบลูกพี่ให้เขาได้แล้ว เขาเองก็วางใจเช่นกัน

ทันใดนั้นเสี่ยวซื่อก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมถึงบอกว่ามอบลูกพี่ให้เขานะ…อ้าก เชี่ยๆๆ คำพูดนี้ต้องเก็บกลับไป! ใครกล้าปรารถนาลูกพี่เขาต้องตายให้หมด! เสี่ยวซื่อลับมีดแล้ว ดวงตาน้อยๆ เริ่มเห็นผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เป็นศัตรูแล้ว

แน่นอนว่าการกระทำของเสี่ยวซื่อโดนหลิงหลานห้ามปรามทันที หลิงหลานพูดไม่ออกอย่างมาก ไอ้หมอนี่คิดมั่วซั่วอะไรกัน ทันใดนั้นหลิงหลานก็ตระหนักได้ว่าการแบ่งปันความคิดก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน

………….

หลูเสี่ยวหลงเล่าเรื่องเขาให้ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ฟังเป็นขั้นเป็นตอน หลิงหลานกับผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ต่างก็รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทั้งสองคนต่างก็เจนโลก รู้หมดว่าหลูเสี่ยวหลงที่น่าสงสารโดนเพื่อนที่เขาคิดว่าสนิทสนมสองคนนั้นสลัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยแล้ว

หลิงหลานมองหลูเสี่ยวหลงด้วยความเวทนาแวบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในใจก็คิดว่านี่เป็นเรื่องดีจริงๆ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ไม่ได้โดนคนใช้แล้วค่อยถูกสลัดทิ้งไปก็ดีมากแล้ว

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ทั้งสองคนบังคับหุ่นรบให้สบตากันเองอีกครั้ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความคิดทั้งหมดของอีกฝ่าย จากนั้นพวกเขาสองคนก็ทอดถอนใจอีก ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาดแบบนี้ไม่มีคำอธิบายจริงๆ

แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่ได้พูดคำตอบอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาแค่พบหลูเสี่ยวหลงโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นพูดคุยกันอย่างสนิทสนมได้

ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ฉันแนะนำให้นายมุ่งมั่นกับการฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนายมากขึ้น นายเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้อีกฝ่ายเหมือนกันใช่ไหมล่ะ” บางทีเวลาอาจจะทำให้เขามองเห็นความจริงชัดเจนได้

หลูเสี่ยวหลงผงกศีรษะติดต่อกัน คำพูดของมหาเทพเป็นเรื่องที่เขาเสียใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“พรสวรรค์ไม่พอก็อาศัยความพยายามมาชดเชย ดังนั้นอย่าคิดว่าผ่านด่านลวกๆ ก็พอแล้ว ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐานให้ดีเถอะ ไม่อย่างนั้นนายจะกลายเป็นภาระของเพื่อนสนิทนายจริงๆ” เพื่อนสนิทนี้ย่อมหมายถึงเพื่อนสนิทจริงๆ

คำพูดของผู้ควบคุมเสือชีตาห์ทำให้หลูเสี่ยวหลงตระหนักขึ้นมาได้ ใช่แล้ว ต่อให้ตอนนี้สอบผ่าน เขาก็ยังช่วยเหลือพวกเพื่อนๆ ของเขาไม่ได้ ไม่สู้ทำตัวดีๆ ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน ไว้พอมีความสามารถแล้วถึงจะช่วยเหลือพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

หลุเสี่ยวหลงตัดสินใจแล้ว เขาบอกลาอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนที่จากไปนั้นก็หวังว่าจะได้รับวิธีการติดต่อของมหาเทพทั้งสองท่าน แต่น่าเสียดายที่ถูกผู้ควบคุมเสือชีตาห์ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล หลูเสี่ยวหลงไม่กล้ากวนใจแล้ว เขารู้ว่าการที่ได้รับคำชี้แนะของมหาเทพสักครั้งก็เป็นเรื่องที่น่าขอบคุณอย่างมากแล้ว ถ้าหากโลภมากอีกก็ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรมากเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เขายังบอกชื่อของตัวเองไป น้ำเสียงหวังชัดเจนว่าต่อไปตอนที่มีโอกาสเจอกัน มหาเทพจะจดจำเขาได้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายออกไปจากห้องด้วยความอาลัยอาวรณ์ หลิงหลานก็อดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “ไม่นึกเลยว่าฝีปากของนายจะดีขนาดนี้”

“งั้นเหรอ? ดูท่าฉันจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้มากๆ นะ” เมื่อผู้ควบคุมเสือชีตาห์ได้ยินคำชมของอีกฝ่าย ในใจก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีสุดขีดก่อนจะเอ่ยหยอกล้อตัวเอง

“ใช่แล้ว นายต้องพัฒนาความสามารถด้านนี้ให้ดีนะ จะสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของนายไม่ได้เด็ดขาด” หลิงหลานได้ยินอีกฝ่ายหยอกล้อตัวเองก็หัวเราะตอบกลับไป หลิงหลานไม่รู้เลยว่า เพราะคำพูดประโยคนี้เอง อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนท่าทีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นจริงๆ หลังจากนี้พอพวกเขาเจอกันอีกครั้ง มันทำให้เธอไม่กล้าคิดว่าเขาคือผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เลย

………………………………………..

[1] สำนวนอนุญาต ผู้ว่าฯวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง หมายถึง ห้ามผู้อื่นทำ แต่ให้แต่พวกตนทำได้เท่านั้น หรือ ให้แค่พวกพ้องของตัวเองทำเรื่องอะไรก็ได้ แต่ห้ามคนอื่นทำเหมือนตน

[2] ใช้เปรียบเปรยกับสถานการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองหรือความผันผวนปรวนแปรของชีวิตมนุษย์

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 126 ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 126 ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่หลูเสี่ยวหลงกำลังเสียอกเสียใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นที่ข้างหูว่า “พื้นฐานสำคัญมาก เรายังเชี่ยวชาญได้ไม่ครบ ดังนั้นจะจบการศึกษาออกไปไม่ได้”

หลูเสี่ยวหลงเงยหน้าขึ้นมาฉับพลันก่อนจะพบว่าเป็นหุ่นรบเสือชีตาห์ที่ตอบกลับมา ในใจเขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่แท้มหาเทพก็ไม่ได้เย่อหยิ่งเย็นชา ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์คนนี้เป็นคนที่น่าคบหาชัดๆ

ความจริงแล้ว หลูเสี่ยวหลงเข้าใจผิดไปทั้งนั้น หุ่นรบเสือชีตาห์ไม่เคยคิดจะตอบคำถามของหลูเสี่ยวหลงเลย แต่เพราะว่าสายตาและท่าทีส่ายศีรษะของหุ่นรบกระต่ายทำให้หุ่นรบเสือชีตาห์จำเป็นต้องออกหน้า

หลังจากทีไปมาหาสู่ติดต่อกันหลายเดือน ต่อให้ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจา พวกเขาสองคนก็มีความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาด ขอเพียงส่งสายตาทำท่าครั้งเดียวก็รู้ความคิดของอีกฝ่ายได้ การขยับตารวมไปถึงท่าทีส่ายศีรษะของหุ่นรบกระต่ายเมื่อสักครู่นี้ทำให้ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด

“แต่ว่า…พวกนายแข็งแกร่งขนาดนี้แล้วนะ ยังไม่เชี่ยวชาญการควบคุมพื้นฐานอีกเหรอ?” หลูเสี่ยวหลงไม่เข้าใจ ถ้าผลคะแนนแบบนี้ยังไม่ได้สื่อว่าเชี่ยวชาญการควบคุมพื้นฐาน ถ้าอย่างนั้นพวกคนที่ได้คาบเส้นแล้วจบการศึกษาออกไปไม่คู่ควรกับการบังคับหุ่นรบเลยหรือเปล่า?

“แข็งแกร่งเหรอ? ไม่ใช่ว่ายังมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่หน้าเราเกือบหนึ่งร้อยคนเหรอ?” เสียงของผู้ควบคุมเสือชีตาห์แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจผลคะแนนของพวกเขา

คำพูดประโยคนี้ของผู้ควบคุมเสือชีตาห์ทำให้หุ่นรบกระต่ายหันหน้าส่งสายตามองไปที่เขาอีกครั้ง สายตานั้นกำลังถามอีกฝ่ายอย่างชัดเจนว่า พวกเขากลายเป็นกลุ่มเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

นี่ทำให้ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ขบขันในใจอยู่บ้าง คิดว่ามันก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ พวกเขาสองคนเคยคุยกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็มีวาสนาเจอกันในห้องฝึกฝน ควรพูดว่าพวกเขาไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกัน แต่กลับมีความรู้สึกรู้ใจอย่างยากจะอธิบาย

แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งของวาสนานี้เป็นความสมัครใจของเขาเอง นับตั้งแต่ที่พูดคุยกันครั้งนั้น เขาก็ใช้พลังจิตของตัวเองค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายเสมอ หลังจากนั้นก็จะแสร้งบังเอิญเข้าไปฝึกที่ห้องเดียวกัน

แต่เขามีวาสนากับอีกฝ่ายจริงๆ นะ มีหลายครั้งที่หุ่นรบกระต่ายบังเอิญตามหลังเข้ามาในห้องฝึกของเขา (ตอนนี้เสี่ยวซื่อแหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะยาวๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า ‘อนุญาตให้ผู้ว่าอย่างนายวางเพลิง แต่ไม่ให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราจุดตะเกียง[1]หรือไง? ใครจะเอาชนะเสี่ยวซื่อคนนี้ได้’)

บางทีอาจจะเป็นสวรรค์ลิขิต พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเขา ดังนั้นถึงได้ประทานอัจฉริยะแห่งยุคมาช่วยเหลือเขาอีกแรง

เขาไม่ได้มองข้ามคำพูดของหลิงหลาน ดังนั้นเขาจึงหยุดความคิดแต่แรกไว้ ไม่ได้เลือกสำเร็จการศึกษาออกไป หากแต่อยู่ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐานในหอฝึกหุ่นรบต่อ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพยายามฝึกทักษะพื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าของสถาบันลูกเสือ เขาคิดว่ามันคือพื้นฐานเหมือนกัน ควรจะให้ความสำคัญกับทักษะพื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าเช่นกัน

ความจริงพิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์ของเขาไม่ผิดเลย สุดท้ายเขาก็สัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่การฝึกฝนพื้นฐานมอบให้เขา ร่างกายที่แต่เดิมป่วยอ่อนแอในโลกความเป็นจริงกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูแข็งแรงขึ้นมา และในโลกเสมือนจริง เขาก็ทะลวงขีดจำกัดการควบคุมหุ่นรบได้หลายต่อหลายครั้ง ผลคะแนนก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

คนที่ชาญฉลาดอย่างเขารู้สึกได้ว่าคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่หุ่นรบกระต่ายตั้งใจบอกให้เขาฟังเป็นพิเศษ บางทีพวกเขาสองคนอาจจะเป็นอัจฉริยะด้านการบังคับหุ่นรบ เห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นอีกฝ่ายถึงยินดีเปิดเผยความลับด้านการควบคุมหุ่นรบบางอย่างให้เขา และมีความเป็นไปได้สูงว่าความลับนี้คือความลับของสำนักอีกฝ่ายที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก ไม่อย่างนั้นทำไมในหมู่ผู้ควบคุมหุ่นรบมากมายขนาดนั้นถึงมีคนให้ความสำคัญกับการควบคุมพื้นฐานน้อยขนาดนี้ล่ะ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสลักบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ในใจ

แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณอันมหาศาลนี้ได้ เขายังไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้อีกฝ่ายเลย ก่อนที่เขาจะควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้ เขาจะต้องคอยทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเนรคุณคุณปู่ที่ทำเรื่องทุกอย่างนี้เพื่อเขามากเกินไป

เขารู้ดีว่าเป็นเพราะการทำนายดวงชะตานั้น คุณปู่เลยปกปิดข้อมูลพรสวรรค์ของเขาอย่างสุดความสามารถ จงใจประกาศความธรรมดาสามัญของเขาออกมา สุดท้ายก็ใช้เหตุผลว่าพรสวรรค์ของเขาธรรมดามากเกินไปแล้วเนรเทศเขามายังดาวเว่ยหลานที่อยู่ห่างไกล ทั้งหมดนี้คือวิธีการปกป้องคุ้มครองอย่างหนึ่ง ปกป้องเขาไม่ให้ตกเป็นเป้าของผู้มีอำนาจอิทธิพล

แต่เขายังไม่พอใจ เขาไม่ยอมเลือกหลบหนีอย่างถูกกระทำแบบนี้ เขาอยากให้ตัวเองกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ ยิ้มชมลมเมฆ[2]ทุกอย่าง ใช่แล้ว เขาอยากควบคุมชะตาชีวิตตัวเอง เขาอยากเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ชะตาฟ้าลิขิตไว้!

หุ่นรบเสือชีตาห์จมสู่ห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ความตั้งใจของหลูเสี่ยวหลงที่เดิมทีรีบร้อนอยากจะออกจากหอฝึกฝนหายไปทันที เขาเชื่อว่าการที่มหาเทพพูดแบบนี้และก็ทำแบบนี้คือการบ่งบอกว่าพื้นฐานมีความสำคัญมากจริงๆ เขารีบส่งข้อความให้กับเพื่อนสนิทที่กำลังทำการประเมินผลอยู่โดยไม่ต้องคิดทันที บอกให้พวกเขาอย่าเพิ่งเลือกจบการศึกษา แต่ให้เลือกกลับมาฝึกฝนพื้นฐานใหม่

ผ่านไปหลายนาที เพื่อนสนิทก็ตอบกลับมา แน่นอนว่าเจตนาดีของเขาไม่สามารถยื้อ ‘เพื่อนสนิท’ ทั้งสองคนที่อยากจะสลัดเขาทิ้งมานานแล้วได้ ถึงขนาดที่พวกเขาพูดอ้อมๆ ในข้อความว่า หลูเสี่ยวหลงทนเห็นพวกเขาจากไปก่อนไม่ได้ก็เลยใช้วิธีการไม่เข้าท่าแบบนี้มาเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้หรือเปล่า?

หลูเสี่ยวหลงช้าแค่เรื่องเรียนนิดหน่อยเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ด้านใน หลูเสี่ยวหลงเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด เขาอยากอธิบายให้พวกเพื่อนสนิทมากๆ ถึงขนาดที่หวังว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพการประเมินผลของพวกมหาเทพ แต่เขากลับพบว่าทั้งสองคนปิดอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกัน ปฏิเสธรับคำขอติดต่อสื่อสารของเขาแล้ว

เขาติดต่อผ่านไปยังเพื่อนที่พวกเขารู้จักร่วมกัน แต่คำตอบที่ได้รับคืออย่าให้เขาไปรบกวนพวกเขาเลย พวกเขาไปถึงโลกหุ่นรบแล้ว ไม่ได้ว่างเหมือนกับตอนที่อยู่ในหอฝึกหุ่นรบ พวกเขายุ่งกันมากๆ…

ตอนนี้หลูเสี่ยวหลงรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่อยากคิดลึก ไม่อยากสงสัยเพื่อนสนิทของตัวเอง สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คือตัวเลือกสองทาง หนึ่งคือไม่ต้องสนใจอีกฝ่ายแล้ว แล้วก็ไปมุ่นมั่นฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน จนกระทั่งตัวเองพอใจแล้วค่อยหยุด หรือว่าอีกทางหนึ่งก็คือรีบผ่านการประเมินผล ไม่ต้องสนใจแล้วว่าการควบคุมพื้นฐานเป็นยังไง จากนั้นก็เลือกไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆ ให้เร็วที่สุด

เขามองดูมหาเทพสองคนที่กำลังพักผ่อนหลังจากที่ฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจว่าจะไปสอบถามหุ่นรบเสือชีตาห์ที่อยู่ตรงนั้น บางทีมหาเทพอาจจะให้ความคิดเห็นดีๆ แก่เขาก็ได้

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เห็นหุ่นรบแรดเข้ามาใกล้เขาอีกครั้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พูดตามความจริงแล้ว เขาไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเอามากๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์ที่ปิดตายมาตลอด

เขามองไปที่หุ่นรบกระต่ายตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะพบว่าดวงตาของหุ่นรบกระต่ายกระพริบปริบๆ ให้เขาฉับพลัน ราวกับกำลังบอกเขาว่า ทำตัวดีๆ หน่อยนะ

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ยิ้มขื่น เอาเถอะ ในเมื่อผู้ควบคุมหุ่นรบกระต่ายให้เขาทำตัวดีๆ ถ้าอย่างนั้นก็จะทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เขาไม่สามารถปฏิเสธคนที่เคยช่วยเหลือเขาได้หรอก

……………

“เสี่ยวซื่อ ท้าทายความอดทนของอีกฝ่ายแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” ตอนนี้หลิงหลานกังวลใจมากว่าผู้ควบคุมหุ่นรบแรดตัวนั้นจะยั่วโมโหหุ่นรบเสือชีตาห์จริงๆ หลังจากนั้นก็โดนอีกฝ่ายกำจัดสตินึกคิดไปทันที

“วางใจเถอะ ฉันเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว แรดไม่ตายหรอก” เสี่ยวซื่อตอบ “ถ้าเกิดไม่ลองทดสอบ ฉันจะวางใจปล่อยให้เขาเข้าใกล้เธอขนาดนี้ได้ยังไง ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่สามารถพัฒนาเป็นผีซวีนะ” ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ไปเที่ยวเล่นที่อื่นแล้วลูกพี่เจอเขาขึ้นมาจะไม่เป็นอันตรายมากเกินไปเหรอ?

“แต่ว่าดูจากสถานการณ์แล้ว นิสัยใจคอของเขาไม่เลวมากๆ เลย ไม่ได้ดูอันตรายอย่างที่พวกเราจินตนาการไว้ขนาดนั้น” เสี่ยวซื่อแสดงท่าทีพอใจอีกฝ่ายมาก แบบนี้ก็มอบลูกพี่ให้เขาได้แล้ว เขาเองก็วางใจเช่นกัน

ทันใดนั้นเสี่ยวซื่อก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมถึงบอกว่ามอบลูกพี่ให้เขานะ…อ้าก เชี่ยๆๆ คำพูดนี้ต้องเก็บกลับไป! ใครกล้าปรารถนาลูกพี่เขาต้องตายให้หมด! เสี่ยวซื่อลับมีดแล้ว ดวงตาน้อยๆ เริ่มเห็นผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เป็นศัตรูแล้ว

แน่นอนว่าการกระทำของเสี่ยวซื่อโดนหลิงหลานห้ามปรามทันที หลิงหลานพูดไม่ออกอย่างมาก ไอ้หมอนี่คิดมั่วซั่วอะไรกัน ทันใดนั้นหลิงหลานก็ตระหนักได้ว่าการแบ่งปันความคิดก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน

………….

หลูเสี่ยวหลงเล่าเรื่องเขาให้ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ฟังเป็นขั้นเป็นตอน หลิงหลานกับผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ต่างก็รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทั้งสองคนต่างก็เจนโลก รู้หมดว่าหลูเสี่ยวหลงที่น่าสงสารโดนเพื่อนที่เขาคิดว่าสนิทสนมสองคนนั้นสลัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยแล้ว

หลิงหลานมองหลูเสี่ยวหลงด้วยความเวทนาแวบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในใจก็คิดว่านี่เป็นเรื่องดีจริงๆ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ไม่ได้โดนคนใช้แล้วค่อยถูกสลัดทิ้งไปก็ดีมากแล้ว

ผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ทั้งสองคนบังคับหุ่นรบให้สบตากันเองอีกครั้ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความคิดทั้งหมดของอีกฝ่าย จากนั้นพวกเขาสองคนก็ทอดถอนใจอีก ความรู้สึกที่รู้ใจกันอย่างน่าประหลาดแบบนี้ไม่มีคำอธิบายจริงๆ

แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่ได้พูดคำตอบอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาแค่พบหลูเสี่ยวหลงโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นพูดคุยกันอย่างสนิทสนมได้

ผู้ควบคุมเสือชีตาห์ครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ฉันแนะนำให้นายมุ่งมั่นกับการฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนายมากขึ้น นายเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้อีกฝ่ายเหมือนกันใช่ไหมล่ะ” บางทีเวลาอาจจะทำให้เขามองเห็นความจริงชัดเจนได้

หลูเสี่ยวหลงผงกศีรษะติดต่อกัน คำพูดของมหาเทพเป็นเรื่องที่เขาเสียใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“พรสวรรค์ไม่พอก็อาศัยความพยายามมาชดเชย ดังนั้นอย่าคิดว่าผ่านด่านลวกๆ ก็พอแล้ว ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐานให้ดีเถอะ ไม่อย่างนั้นนายจะกลายเป็นภาระของเพื่อนสนิทนายจริงๆ” เพื่อนสนิทนี้ย่อมหมายถึงเพื่อนสนิทจริงๆ

คำพูดของผู้ควบคุมเสือชีตาห์ทำให้หลูเสี่ยวหลงตระหนักขึ้นมาได้ ใช่แล้ว ต่อให้ตอนนี้สอบผ่าน เขาก็ยังช่วยเหลือพวกเพื่อนๆ ของเขาไม่ได้ ไม่สู้ทำตัวดีๆ ฝึกฝนการควบคุมพื้นฐาน ไว้พอมีความสามารถแล้วถึงจะช่วยเหลือพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

หลุเสี่ยวหลงตัดสินใจแล้ว เขาบอกลาอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนที่จากไปนั้นก็หวังว่าจะได้รับวิธีการติดต่อของมหาเทพทั้งสองท่าน แต่น่าเสียดายที่ถูกผู้ควบคุมเสือชีตาห์ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล หลูเสี่ยวหลงไม่กล้ากวนใจแล้ว เขารู้ว่าการที่ได้รับคำชี้แนะของมหาเทพสักครั้งก็เป็นเรื่องที่น่าขอบคุณอย่างมากแล้ว ถ้าหากโลภมากอีกก็ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรมากเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เขายังบอกชื่อของตัวเองไป น้ำเสียงหวังชัดเจนว่าต่อไปตอนที่มีโอกาสเจอกัน มหาเทพจะจดจำเขาได้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายออกไปจากห้องด้วยความอาลัยอาวรณ์ หลิงหลานก็อดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “ไม่นึกเลยว่าฝีปากของนายจะดีขนาดนี้”

“งั้นเหรอ? ดูท่าฉันจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้มากๆ นะ” เมื่อผู้ควบคุมเสือชีตาห์ได้ยินคำชมของอีกฝ่าย ในใจก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีสุดขีดก่อนจะเอ่ยหยอกล้อตัวเอง

“ใช่แล้ว นายต้องพัฒนาความสามารถด้านนี้ให้ดีนะ จะสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของนายไม่ได้เด็ดขาด” หลิงหลานได้ยินอีกฝ่ายหยอกล้อตัวเองก็หัวเราะตอบกลับไป หลิงหลานไม่รู้เลยว่า เพราะคำพูดประโยคนี้เอง อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนท่าทีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นจริงๆ หลังจากนี้พอพวกเขาเจอกันอีกครั้ง มันทำให้เธอไม่กล้าคิดว่าเขาคือผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์เลย

………………………………………..

[1] สำนวนอนุญาต ผู้ว่าฯวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง หมายถึง ห้ามผู้อื่นทำ แต่ให้แต่พวกตนทำได้เท่านั้น หรือ ให้แค่พวกพ้องของตัวเองทำเรื่องอะไรก็ได้ แต่ห้ามคนอื่นทำเหมือนตน

[2] ใช้เปรียบเปรยกับสถานการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองหรือความผันผวนปรวนแปรของชีวิตมนุษย์

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+