I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 71 เป้าหมายของหลินจงชิง?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 71 เป้าหมายของหลินจงชิง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การกระทำของพวกหลิงหลานสี่คนทำให้หลินจงชิงอึ้งไป รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น อันที่จริงตอนที่เขาทักทายนั้น ในใจก็กระวนกระวายมาก กังวลว่าพวกหลิงหลานจะเมินเขาโดยสิ้นเชิง

ไม่นึกเลยว่าพวกหลิงหลานสี่คนจะเดินมาหาเขาจริงๆ ทำให้เขาสงสัยไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันหรือเปล่า

การกระทำที่ทรหดอดทนของหลินจงชิงทำให้ฉีหลงที่เป็นสิ่งมีชีวิตตรงไปตรงมาในหมู่ทั้งสี่คนเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา เขากลัวว่าหานจี้จวินพี่น้องที่ปากร้ายของเขาจะพูดจาทำร้ายคนก็เลยรีบเอ่ยปากพูดว่า “หลินจงชิง มีเรื่องอะไรถึงได้มาหาพวกเรา?”

หลินจงชิงที่รู้สึกไวย่อมสัมผัสได้ถึงความหวังดีของฉีหลง เขามองฉีหลงด้วยความซาบซึ้งในแวบหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันอยากบอกหลิงหลานว่า ฉันช่วยเขาหาที่นั่งไว้แล้ว”

ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมีใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับคนมาตลอด แต่ว่าปกติแล้วกลับเป็นรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจ ทว่ารอยยิ้มในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความจริงใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานรู้สึกว่าหลินจงชิงยิ้มได้ดูดีมากจริงๆ

หานจี้จวินขมวดคิ้วน้อยๆ ใบหน้าที่เดิมทีเย็นชาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น ส่วนลั่วล่างก็แค่นเสียงเหอะเบาๆ ราวกับไม่พอใจที่หลินจงชิงทำเกินกว่าจำเป็น คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ นักเรียนชุดแดงไม่มีทางไม่มีที่นั่ง ขอเพียงสนใจที่นั่งไหน (แค่ไม่ใช่นักเรียนชุดแดงด้วยกัน) ก็เดินไปตรงหน้าอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องพูดสักประโยค นักเรียนที่สวมชุดสีอื่นๆ ก็จะให้ที่พวกเขาเอง

แน่นอนว่า พวกหลิงหลานสี่คนไม่มีทางทำเรื่องไร้รสนิยมแบบนี้ โรงอาหารใหญ่มากย่อมต้องมีที่นั่งว่างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาไปหานิดหน่อยเท่านั้น

หลินจงชิงไม่สนใจความคิดของพวกลั่วล่าง เขาดึงเก้าอี้หนึ่งในนั้นออกมาด้วยความกระตือรือร้นและเอ่ยกับหลิงหลานว่า “หลิงหลาน เชิญนั่งตรงนี้”

หลิงหลานมองใบหน้าที่มีร่องรอยการประจบเอาใจอยู่จางๆ และนึกถึงรอยยิ้มที่เผยความจริงใจอยู่บ้างเมื่อสักครู่นี้ หัวใจเธอก็อ่อนยวบลง ก่อนจะนั่งลงไปโดยที่ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงยังไงหลินจงชิงก็เป็นแค่เด็กอายุหกขวบ หลิงหลานที่ลึกๆ แล้วก็เป็นคุณน้าประหลาด[1]ไม่สามารถปฏิเสธเด็กแบบนี้ได้จริงๆ

เมื่อเห็นหลิงหลานนั่งลง พวกฉีหลงสามคนก็ทยอยกันดึงเก้าอี้เบื้องหน้าตนออกมาก่อนจะนั่งลงไป

การพยักหน้ายอมรับของหลิงหลานเป็นสัญญาณดีที่สุดอย่างชัดเจน หลินจงชิงฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “หลิงหลาน พวกนายเตรียมจะทานอะไรบ้าง? ให้ฉันไปช่วยหยิบมาให้พวกนายเถอะ”

หยิบไม่ใช่ซื้อ! หลินจงชิงบอกพวกหลิงหลานชัดเจนมากว่า เส้นขอบเขตการรับใช้ของเขาคืออะไร

หลิงหลานมองหลินจงชิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เด็กคนนี้รู้จักศิลปะในการพูดมากเกินไปแล้ว ไม่ได้ล่วงเกินพวกเขา และก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพอับจน  ขอเพียงให้โอกาสคนแบบนี้ เขาจะต้องกลายเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุคแน่นอน

หลิงหลานตัดสินใจให้โอกาสหลินจงชิง เธอส่งสัญญาณให้หลินจงชิงเอาอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็โอนเครดิตในอุปกรณ์สื่อสารตัวเองไปให้หลินจงชิงโดยตรง จำนวนไม่มาก สองร้อยสี่สิบเครดิต เป็นราคาของอาหารชุดระดับสูงหกชุดพอดี

อุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวในยุคนี้ไม่เพียงใช้ติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น มันยังใส่เลขประตัวประชาชนรวมไปถึงพวกบัตรเอทีเอ็ม และความสามารถด้านอื่นๆ อีกมากมาย มีความสามารถอเนกประสงค์อย่างแท้จริง

“อาหารชุดระดับสูงหกชุด ฉันกับฉีหลงเอาสองชุด” หลิงหลานบอกอาหารที่พวกเขาต้องการจะทานอย่างเฉยชาโดยที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาตกตะลึงของหลินจงชิง

ความจริงแล้วจะโทษหลินจงชิงที่ตกตะลึงไม่ได้เหมือนกัน ปกติแล้วมีเพียงเด็กที่มาจากครอบครัวสามัญเท่านั้นที่จะเลือกอาหารชุด เด็กที่มีพื้นฐานดีอยู่บ้างต่างก็สั่งอาหารที่มีรสชาติดีขึ้นหน่อย

หลินจงชิงย่อมไม่รู้ว่า เครดิตของพวกฉีหลงถูกหลิงหลานริบไปในวันแรกที่เปิดเรียนแล้ว หลังจากตอนนั้นเป็นต้นมาเครดิตในอุปกรณ์สื่อสารของพวกฉีหลงห้าคน (รวมไปถึงสองสาวที่สุมหัวกับพวกเขามาตลอด) ก็ไม่เคยเกินหนึ่งพันแต้มเลย

ดังนั้น อาหารทุกมื้อของพวกเขาจึงเปลี่ยนจากอาหารหรูหราโอชะมาเป็นอาหารชุดที่เรียบง่ายอย่างยิ่งในเวลานี้ ถึงแม้ว่าอาหารชุดนี้ก็เป็นของระดับสูงเช่นกัน แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันลดเกรดลงมาไม่รู้เท่าไหร่

หลิงหลานย่อมไม่ได้สั่งมั่วๆ หลังจากผ่านการศึกษาวิจัยของเสี่ยวซื่อ พวกเขาก็พบว่าประเภทอาหารในอาหารชุดระดับสูงของสถาบันสามารถให้สารอาหารแก่พวกเด็กๆ ครบถ้วน ต่อให้เป็นหลิงหลานกับฉีหลงที่เผาผลาญพลังงานเยอะมากเป็นพิเศษ เมื่อทานอาหารสองชุดเข้าไปก็เพียงพอที่จะรับมือกับการเผาผลาญของร่างกายตัวเองได้ แน่นอนว่าหลิงหลานไม่มีทางบอกพวกฉีหลงว่า หลังจากที่เธอกลับบ้านแล้ว ยังต้องเสริมด้วยอาหารทานเล่นตอนกลางคืนในปริมาณมหาศาล ช่วยไม่ได้ หลิงหลานเป็นราชาพุงโตนี่นา นอกจากนี้ทุกคืนเธอต้องถูกอาจารย์หมายเลขห้าเคี่ยวกรำไปมาไม่หยุด การเผาผลาญพลังงานของเธอเลยเยอะมากไปหน่อยจริงๆ

หลินจงชิงกลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว ในใจเขารู้สึกประทับใจอยู่รางๆ นี่พวกหลิงหลานกำลังปกป้องเกียรติของเขาอยู่กลายๆ หรือเปล่า? เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองหลิงหลานด้วยความสับสนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ผงกศีรษะหนักๆ ก่อนจะหันตัวไปช่วยพวกหลิงหลานซื้ออาหาร

หานจี้จวินมองแผ่นหลังของหลินจงชิง คิ้วก็คลายลงน้อยๆ เขาเอ่ยถามโดยที่แฝงไปด้วยร่องรอยความงุนงงว่า “ลูกพี่หลาน นายชอบเขานิดๆ แล้วใช่ไหม?”

ฉีหลงกับลั่วล่างได้ยินคำพูดนี้ก็มองไปที่หลิงหลาน รอคำตอบของเขา นี่เกี่ยวพันถึงพวกเขาว่าจะปฏิบัติต่อหลินจงชิงด้วยท่าทีอะไร เป็นเพื่อนใช่ไหม การปฏิบัตินี้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะ

“อืม ฉันนับถือความอดทนของเขาอยู่บ้าง ถ้าพวกเราสลับบทบาทกัน ฉันอาจจะทำไม่ได้ถึงระดับเขา” การกล้ำกลืนความอัปยศไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ หลิงหลานที่อยู่มาสองชาติยังไม่กล้ามั่นใจเลยว่าตัวเองสามารถอดทนได้

คำพูดของหลิงหลานทำให้พวกฉีหลงสามคนครุ่นคิดขึ้นมา ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของหลินจงชิงทำให้พวกเขาลืมไปแล้วว่าเขาเป็นเพียงเด็กอายุหกขวบ ประสบการณ์แบบไหนทำให้เขาเรียนรู้การอดทนอดกลั้นได้แบบนี้?

ในเวลานี้เอง เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นมาไม่ไกลจากพวกเขา พวกหลิงหลานเงยหน้ามองไปแล้วก็เห็นว่ามีคนไม่น้อยคล้ายกับกำลังล้อมคนผู้หนึ่งอยู่ที่ไกลๆ พวกเขาสวมชุดสีแดง และก็คนที่สวมชุดสีอื่น ทว่าคนที่ถูกล้อมเป็นคนที่สวมชุดสีแดงสดแน่นอน

พวกเขาเหมือนกับกำลังทะเลาะอะไรกัน นี่ทำให้พวกหลิงหลานประหลาดใจมาก ควรทราบว่าสถาบันแบ่งระดับชั้นอย่างชัดเจน นอกเสียจากเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้แล้ว ไม่เช่นนั้นนักเรียนที่สวมชุดเครื่องแบบสีอื่นๆ ไม่สามารถยั่วโมโหเด็กนักเรียนชุดแดงได้เลย ขอเพียงถูกคณะกรรมการรักษาระเบียบของสถาบันจับได้ พวกเขาย่อมไม่ได้รับจุดจบที่ดีแน่นอน

“เป็นหลินจงชิง” ตำแหน่งของลั่วล่างมองเห็นด้านข้างของนักเรียนชุดแดงที่ถูกล้อมคนนั้นได้พอดี เขาร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ดูเหมือนมีคนของห้องเราล้อมเขาอยู่” หานจี้จวินเองก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายหน้า คิ้วของเขาขมวดแน่นยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะเป็นที่โหล่ที่มีอันดับต่ำสุดของห้องพวกเขา แต่ความสัมพันธ์กับคนในห้องก็ยังไม่เลว และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขายืนคุมเชิงกับเพื่อนในห้องตัวเองล่ะ

“เป็นกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ย” ฉีหลงพูดด้วยความรังเกียจ ตั้งแต่ที่ฉีหลงช่วยหลี่จิงหงหลุดพ้นจากหลี่อิงเจี๋ย ทั้งสองคนก็ไม่ลงรอยกันอย่างมากในห้องเรียน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันต่างก็เอ่ยทิ่มแทงกันหลายประโยคก่อนถึงค่อยหยุด พูดได้ว่าคนที่ฉีหลงเกลียดมากที่สุดในสถาบันย่อมเป็นหลี่อิงเจี๋ยแต่เพียงผู้เดียว

ตอนนี้ห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งปรากฏฐานอำนาจสองกลุ่มอยู่รางๆ หนึ่งคือหลี่อิงเจี๋ย เขามีบารมีที่เป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีย่อมต้องดึงดูดเพื่อนส่วนหนึ่งให้เข้าหาเขา ส่วนอีกกลุ่มก็คือกลุ่มของหลิงหลาน ตรงกันข้ามกับหลี่อิงเจี๋ยที่เป็นอันดับหนึ่งคนนี้ ความสามารถของหลิงหลานที่เอาชนะหลินจงชิงด้วยกระบวนท่าเดียวยิ่งทำให้พวกเพื่อนๆ นับถือ มีเพื่อนร่วมชั้นมากมายไม่ค่อยยอมรับสถานะอันดับหนึ่งของหลี่อิงเจี๋ย ถึงยังไงนี่ก็เป็นแค่ผลคะแนนสัมภาษณ์เท่านั้น ไม่ใช่ได้มาจากการประลองฝีมือกับพวกเพื่อนนักเรียนด้วยดาบจริงหอกจริง สถานการณ์แบบนี้ทำให้หลี่อิงเจี๋ยกลัดกลุ้มมาก ถึงขนาดที่เกิดความเกลียดชังต่อหลิงหลาน คิดว่าหลิงหลานขัดขวางการก้าวขึ้นมาปกครองห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งของเขา

หลิงหลานใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปดูเหตุการณ์กันเถอะ”

ตอนนี้หลินจงชิงทำงานให้พวกเขา ไม่ว่ายังไงก็ต้องสนใจเรื่องมนุษยธรรม

ทั้งสี่คนเดินไปจุดเกิดเหตุ แล้วก็ได้ยินนักเรียนรอบๆ กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ เด็กทั้งสี่ได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคก็รู้สถานการณ์คร่าวๆ แล้ว

ที่แท้ตอนที่หลินจงชิงเดินผ่านกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ย เขาถูกสุนัขรับใช้ที่สวมชุดสีขาวคนหนึ่งขวางไว้ อีกฝ่ายให้หลินจงชิงไปพูดคุยต่อหน้าหลี่อิงเจี๋ย ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมาจากครอบครัวทั่วไป และก็เป็นแค่อันดับท้ายสุดของห้องสเปเชียลเอ แต่เขายังคงมีความทระนงของนักเรียนชุดแดง นักเรียนชุดขาวตัวเล็กๆ หนึ่งคนกล้าใช้น้ำเสียงออกคำสั่งแบบนี้มาพูดคุยกับเขาเหรอ? เขาไม่มีทางไว้หน้าอีกฝ่ายแน่นอน ก็เลยปฏิเสธด้วยคำพูดเย็นชาโดยตรง

ถ้าสุนัขรับใช้คนนั้นหยุดมือตรงนี้ เรื่องนี้ก็จะผ่านไป แต่ไม่นึกเลยว่าสุนัขรับใช้กลับดึงหลินจงชิงไว้ด้วยความไม่เกรงกลัวอย่างยิ่ง นี่ทำให้หลินจงชิงโมโหและก็เตะสุนัขรับใช้ชุดขาวออกไป

การกระทำของหลินจงชิงทำให้กลุ่มของหลี่อิงเจี๋ยคิดว่า นี่เป็นการยั่วโมโหพวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็เลยลุกขึ้นมาด้วยความโกรธและล้อมเขาไว้ ต้องการให้หลินจงชิงกล่าวขอโทษ ก็เลยปรากฏเหตุการณ์ในตอนนี้!

ตอนนี้สีหน้าของหลินจงชิงดูไม่ได้สุดขีด ถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนของเขาดีเยี่ยมเป็นพิเศษละก็ เกรงว่าเขาคงลงมือไปนานแล้ว และก็คงไม่เกิดเหตุการณ์คุมเชิงในตอนนี้ขึ้นมาเช่นกัน

พวกหลิงหลานสี่คนเดินเข้าไปทำให้สีหน้าของหลินจงชิงเปลี่ยนเป็นดีขึ้นเล็กน้อย ถึงขนาดที่มีความตื่นเต้นยินดีฉายออกมาวูบหนึ่ง

หลี่อิงเจี๋ยเห็นพวกหลิงหลานสี่คน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ดำมืดลง ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย และที่มากกว่านั้นก็คือความแน่วแน่ราวกับไม่พอใจที่พวกหลิงหลานมารบกวนอยู่บ้าง

ฝีเท้าของหลิงหลานหยุดลงฉับพลัน เธอมองไปที่หลินจงชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว

หลายวันมานี้หลินจงชิงอดทนอดกลั้นก็เพื่อที่จะยืมมือเธอมาจัดการกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ยใช่หรือเปล่า?

เมื่อหลิงหลานหยุดก้าวเท้า พวกฉีหลงสามคนก็หยุดตามเธอเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าหลิงหลานหยุดเพื่ออะไร แต่พวกเขาเคยชินกับการทำตามหลิงหลานก็เลยหยุดก้าวเท้าโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว

หลินอิงเจี๋ยเห็นพวกหลิงหลานหยุดเดิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาดีขึ้นเล็กน้อย การวางตัวของหลิงหลานทำให้เขาพอใจมาก เวลานี้เขาไม่อยากให้หลิงหลานเข้ามารบกวนแผนการของเขา และหลินจงชิงก็คือเป้าหมายแรกของเขา

พอหลินจงชิงเห็นหลิงหลานไม่เข้ามาใกล้อีก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกได้รางๆ ว่าหลิงหลานคิดจะนิ่งดูดาย นี่ทำให้เขาสภาพจิตใจเขาหวั่นไหวอยู่บ้าง สีหน้าที่เดิมทีสงบเยือกเย็นหม่นหมองลงฉับพลัน ในแววตายังแสดงความผิดหวังที่แทบจะหาไม่เจอออกมา

หลิงหลานขมวดคิ้วแน่น ในใจรู้สึกสับสนอยู่บ้าง ในเมื่อเขาสามารถทำหน้าหนาประจบเอาใจเธอ ทำไมถึงไม่ยอมก้มหัวให้กับหลี่อิงเจี๋ยล่ะ? หรือว่ามีเหตุผลอื่น?

หลิงหลานใคร่ครวญ เธอตัดสินใจว่าครั้งนี้จะช่วยเหลือหลินจงชิง แน่นอนว่าทำแบบนี้ย่อมไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเธอเช่นกัน เดิมทีเธอกับหลี่อิงเจี๋ยก็ไม่อาจลงรอยกันอยู่แล้ว

การหยุดฝีเท้าและเดินขึ้นหน้าต่ออีกครั้งของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงที่เดิมทีมีแววตาผิดหวังไร้ชีวิตชีวาส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ถึงขนาดที่เผยความรู้สึกซาบซึ้งใจออกมา

……………………………………….

[1] หมายถึงผู้หญิงวัยกลางคนที่มีหัวคิดใหม่ๆ รับสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 71 เป้าหมายของหลินจงชิง?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 71 เป้าหมายของหลินจงชิง? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การกระทำของพวกหลิงหลานสี่คนทำให้หลินจงชิงอึ้งไป รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น อันที่จริงตอนที่เขาทักทายนั้น ในใจก็กระวนกระวายมาก กังวลว่าพวกหลิงหลานจะเมินเขาโดยสิ้นเชิง

ไม่นึกเลยว่าพวกหลิงหลานสี่คนจะเดินมาหาเขาจริงๆ ทำให้เขาสงสัยไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันหรือเปล่า

การกระทำที่ทรหดอดทนของหลินจงชิงทำให้ฉีหลงที่เป็นสิ่งมีชีวิตตรงไปตรงมาในหมู่ทั้งสี่คนเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา เขากลัวว่าหานจี้จวินพี่น้องที่ปากร้ายของเขาจะพูดจาทำร้ายคนก็เลยรีบเอ่ยปากพูดว่า “หลินจงชิง มีเรื่องอะไรถึงได้มาหาพวกเรา?”

หลินจงชิงที่รู้สึกไวย่อมสัมผัสได้ถึงความหวังดีของฉีหลง เขามองฉีหลงด้วยความซาบซึ้งในแวบหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันอยากบอกหลิงหลานว่า ฉันช่วยเขาหาที่นั่งไว้แล้ว”

ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมีใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับคนมาตลอด แต่ว่าปกติแล้วกลับเป็นรอยยิ้มเกรงอกเกรงใจ ทว่ารอยยิ้มในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความจริงใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานรู้สึกว่าหลินจงชิงยิ้มได้ดูดีมากจริงๆ

หานจี้จวินขมวดคิ้วน้อยๆ ใบหน้าที่เดิมทีเย็นชาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น ส่วนลั่วล่างก็แค่นเสียงเหอะเบาๆ ราวกับไม่พอใจที่หลินจงชิงทำเกินกว่าจำเป็น คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ นักเรียนชุดแดงไม่มีทางไม่มีที่นั่ง ขอเพียงสนใจที่นั่งไหน (แค่ไม่ใช่นักเรียนชุดแดงด้วยกัน) ก็เดินไปตรงหน้าอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องพูดสักประโยค นักเรียนที่สวมชุดสีอื่นๆ ก็จะให้ที่พวกเขาเอง

แน่นอนว่า พวกหลิงหลานสี่คนไม่มีทางทำเรื่องไร้รสนิยมแบบนี้ โรงอาหารใหญ่มากย่อมต้องมีที่นั่งว่างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาไปหานิดหน่อยเท่านั้น

หลินจงชิงไม่สนใจความคิดของพวกลั่วล่าง เขาดึงเก้าอี้หนึ่งในนั้นออกมาด้วยความกระตือรือร้นและเอ่ยกับหลิงหลานว่า “หลิงหลาน เชิญนั่งตรงนี้”

หลิงหลานมองใบหน้าที่มีร่องรอยการประจบเอาใจอยู่จางๆ และนึกถึงรอยยิ้มที่เผยความจริงใจอยู่บ้างเมื่อสักครู่นี้ หัวใจเธอก็อ่อนยวบลง ก่อนจะนั่งลงไปโดยที่ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงยังไงหลินจงชิงก็เป็นแค่เด็กอายุหกขวบ หลิงหลานที่ลึกๆ แล้วก็เป็นคุณน้าประหลาด[1]ไม่สามารถปฏิเสธเด็กแบบนี้ได้จริงๆ

เมื่อเห็นหลิงหลานนั่งลง พวกฉีหลงสามคนก็ทยอยกันดึงเก้าอี้เบื้องหน้าตนออกมาก่อนจะนั่งลงไป

การพยักหน้ายอมรับของหลิงหลานเป็นสัญญาณดีที่สุดอย่างชัดเจน หลินจงชิงฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “หลิงหลาน พวกนายเตรียมจะทานอะไรบ้าง? ให้ฉันไปช่วยหยิบมาให้พวกนายเถอะ”

หยิบไม่ใช่ซื้อ! หลินจงชิงบอกพวกหลิงหลานชัดเจนมากว่า เส้นขอบเขตการรับใช้ของเขาคืออะไร

หลิงหลานมองหลินจงชิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เด็กคนนี้รู้จักศิลปะในการพูดมากเกินไปแล้ว ไม่ได้ล่วงเกินพวกเขา และก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพอับจน  ขอเพียงให้โอกาสคนแบบนี้ เขาจะต้องกลายเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุคแน่นอน

หลิงหลานตัดสินใจให้โอกาสหลินจงชิง เธอส่งสัญญาณให้หลินจงชิงเอาอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็โอนเครดิตในอุปกรณ์สื่อสารตัวเองไปให้หลินจงชิงโดยตรง จำนวนไม่มาก สองร้อยสี่สิบเครดิต เป็นราคาของอาหารชุดระดับสูงหกชุดพอดี

อุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวในยุคนี้ไม่เพียงใช้ติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น มันยังใส่เลขประตัวประชาชนรวมไปถึงพวกบัตรเอทีเอ็ม และความสามารถด้านอื่นๆ อีกมากมาย มีความสามารถอเนกประสงค์อย่างแท้จริง

“อาหารชุดระดับสูงหกชุด ฉันกับฉีหลงเอาสองชุด” หลิงหลานบอกอาหารที่พวกเขาต้องการจะทานอย่างเฉยชาโดยที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาตกตะลึงของหลินจงชิง

ความจริงแล้วจะโทษหลินจงชิงที่ตกตะลึงไม่ได้เหมือนกัน ปกติแล้วมีเพียงเด็กที่มาจากครอบครัวสามัญเท่านั้นที่จะเลือกอาหารชุด เด็กที่มีพื้นฐานดีอยู่บ้างต่างก็สั่งอาหารที่มีรสชาติดีขึ้นหน่อย

หลินจงชิงย่อมไม่รู้ว่า เครดิตของพวกฉีหลงถูกหลิงหลานริบไปในวันแรกที่เปิดเรียนแล้ว หลังจากตอนนั้นเป็นต้นมาเครดิตในอุปกรณ์สื่อสารของพวกฉีหลงห้าคน (รวมไปถึงสองสาวที่สุมหัวกับพวกเขามาตลอด) ก็ไม่เคยเกินหนึ่งพันแต้มเลย

ดังนั้น อาหารทุกมื้อของพวกเขาจึงเปลี่ยนจากอาหารหรูหราโอชะมาเป็นอาหารชุดที่เรียบง่ายอย่างยิ่งในเวลานี้ ถึงแม้ว่าอาหารชุดนี้ก็เป็นของระดับสูงเช่นกัน แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันลดเกรดลงมาไม่รู้เท่าไหร่

หลิงหลานย่อมไม่ได้สั่งมั่วๆ หลังจากผ่านการศึกษาวิจัยของเสี่ยวซื่อ พวกเขาก็พบว่าประเภทอาหารในอาหารชุดระดับสูงของสถาบันสามารถให้สารอาหารแก่พวกเด็กๆ ครบถ้วน ต่อให้เป็นหลิงหลานกับฉีหลงที่เผาผลาญพลังงานเยอะมากเป็นพิเศษ เมื่อทานอาหารสองชุดเข้าไปก็เพียงพอที่จะรับมือกับการเผาผลาญของร่างกายตัวเองได้ แน่นอนว่าหลิงหลานไม่มีทางบอกพวกฉีหลงว่า หลังจากที่เธอกลับบ้านแล้ว ยังต้องเสริมด้วยอาหารทานเล่นตอนกลางคืนในปริมาณมหาศาล ช่วยไม่ได้ หลิงหลานเป็นราชาพุงโตนี่นา นอกจากนี้ทุกคืนเธอต้องถูกอาจารย์หมายเลขห้าเคี่ยวกรำไปมาไม่หยุด การเผาผลาญพลังงานของเธอเลยเยอะมากไปหน่อยจริงๆ

หลินจงชิงกลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว ในใจเขารู้สึกประทับใจอยู่รางๆ นี่พวกหลิงหลานกำลังปกป้องเกียรติของเขาอยู่กลายๆ หรือเปล่า? เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองหลิงหลานด้วยความสับสนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ผงกศีรษะหนักๆ ก่อนจะหันตัวไปช่วยพวกหลิงหลานซื้ออาหาร

หานจี้จวินมองแผ่นหลังของหลินจงชิง คิ้วก็คลายลงน้อยๆ เขาเอ่ยถามโดยที่แฝงไปด้วยร่องรอยความงุนงงว่า “ลูกพี่หลาน นายชอบเขานิดๆ แล้วใช่ไหม?”

ฉีหลงกับลั่วล่างได้ยินคำพูดนี้ก็มองไปที่หลิงหลาน รอคำตอบของเขา นี่เกี่ยวพันถึงพวกเขาว่าจะปฏิบัติต่อหลินจงชิงด้วยท่าทีอะไร เป็นเพื่อนใช่ไหม การปฏิบัตินี้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะ

“อืม ฉันนับถือความอดทนของเขาอยู่บ้าง ถ้าพวกเราสลับบทบาทกัน ฉันอาจจะทำไม่ได้ถึงระดับเขา” การกล้ำกลืนความอัปยศไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ หลิงหลานที่อยู่มาสองชาติยังไม่กล้ามั่นใจเลยว่าตัวเองสามารถอดทนได้

คำพูดของหลิงหลานทำให้พวกฉีหลงสามคนครุ่นคิดขึ้นมา ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของหลินจงชิงทำให้พวกเขาลืมไปแล้วว่าเขาเป็นเพียงเด็กอายุหกขวบ ประสบการณ์แบบไหนทำให้เขาเรียนรู้การอดทนอดกลั้นได้แบบนี้?

ในเวลานี้เอง เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นมาไม่ไกลจากพวกเขา พวกหลิงหลานเงยหน้ามองไปแล้วก็เห็นว่ามีคนไม่น้อยคล้ายกับกำลังล้อมคนผู้หนึ่งอยู่ที่ไกลๆ พวกเขาสวมชุดสีแดง และก็คนที่สวมชุดสีอื่น ทว่าคนที่ถูกล้อมเป็นคนที่สวมชุดสีแดงสดแน่นอน

พวกเขาเหมือนกับกำลังทะเลาะอะไรกัน นี่ทำให้พวกหลิงหลานประหลาดใจมาก ควรทราบว่าสถาบันแบ่งระดับชั้นอย่างชัดเจน นอกเสียจากเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้แล้ว ไม่เช่นนั้นนักเรียนที่สวมชุดเครื่องแบบสีอื่นๆ ไม่สามารถยั่วโมโหเด็กนักเรียนชุดแดงได้เลย ขอเพียงถูกคณะกรรมการรักษาระเบียบของสถาบันจับได้ พวกเขาย่อมไม่ได้รับจุดจบที่ดีแน่นอน

“เป็นหลินจงชิง” ตำแหน่งของลั่วล่างมองเห็นด้านข้างของนักเรียนชุดแดงที่ถูกล้อมคนนั้นได้พอดี เขาร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ดูเหมือนมีคนของห้องเราล้อมเขาอยู่” หานจี้จวินเองก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายหน้า คิ้วของเขาขมวดแน่นยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะเป็นที่โหล่ที่มีอันดับต่ำสุดของห้องพวกเขา แต่ความสัมพันธ์กับคนในห้องก็ยังไม่เลว และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขายืนคุมเชิงกับเพื่อนในห้องตัวเองล่ะ

“เป็นกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ย” ฉีหลงพูดด้วยความรังเกียจ ตั้งแต่ที่ฉีหลงช่วยหลี่จิงหงหลุดพ้นจากหลี่อิงเจี๋ย ทั้งสองคนก็ไม่ลงรอยกันอย่างมากในห้องเรียน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันต่างก็เอ่ยทิ่มแทงกันหลายประโยคก่อนถึงค่อยหยุด พูดได้ว่าคนที่ฉีหลงเกลียดมากที่สุดในสถาบันย่อมเป็นหลี่อิงเจี๋ยแต่เพียงผู้เดียว

ตอนนี้ห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งปรากฏฐานอำนาจสองกลุ่มอยู่รางๆ หนึ่งคือหลี่อิงเจี๋ย เขามีบารมีที่เป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีย่อมต้องดึงดูดเพื่อนส่วนหนึ่งให้เข้าหาเขา ส่วนอีกกลุ่มก็คือกลุ่มของหลิงหลาน ตรงกันข้ามกับหลี่อิงเจี๋ยที่เป็นอันดับหนึ่งคนนี้ ความสามารถของหลิงหลานที่เอาชนะหลินจงชิงด้วยกระบวนท่าเดียวยิ่งทำให้พวกเพื่อนๆ นับถือ มีเพื่อนร่วมชั้นมากมายไม่ค่อยยอมรับสถานะอันดับหนึ่งของหลี่อิงเจี๋ย ถึงยังไงนี่ก็เป็นแค่ผลคะแนนสัมภาษณ์เท่านั้น ไม่ใช่ได้มาจากการประลองฝีมือกับพวกเพื่อนนักเรียนด้วยดาบจริงหอกจริง สถานการณ์แบบนี้ทำให้หลี่อิงเจี๋ยกลัดกลุ้มมาก ถึงขนาดที่เกิดความเกลียดชังต่อหลิงหลาน คิดว่าหลิงหลานขัดขวางการก้าวขึ้นมาปกครองห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งของเขา

หลิงหลานใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปดูเหตุการณ์กันเถอะ”

ตอนนี้หลินจงชิงทำงานให้พวกเขา ไม่ว่ายังไงก็ต้องสนใจเรื่องมนุษยธรรม

ทั้งสี่คนเดินไปจุดเกิดเหตุ แล้วก็ได้ยินนักเรียนรอบๆ กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ เด็กทั้งสี่ได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคก็รู้สถานการณ์คร่าวๆ แล้ว

ที่แท้ตอนที่หลินจงชิงเดินผ่านกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ย เขาถูกสุนัขรับใช้ที่สวมชุดสีขาวคนหนึ่งขวางไว้ อีกฝ่ายให้หลินจงชิงไปพูดคุยต่อหน้าหลี่อิงเจี๋ย ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะมาจากครอบครัวทั่วไป และก็เป็นแค่อันดับท้ายสุดของห้องสเปเชียลเอ แต่เขายังคงมีความทระนงของนักเรียนชุดแดง นักเรียนชุดขาวตัวเล็กๆ หนึ่งคนกล้าใช้น้ำเสียงออกคำสั่งแบบนี้มาพูดคุยกับเขาเหรอ? เขาไม่มีทางไว้หน้าอีกฝ่ายแน่นอน ก็เลยปฏิเสธด้วยคำพูดเย็นชาโดยตรง

ถ้าสุนัขรับใช้คนนั้นหยุดมือตรงนี้ เรื่องนี้ก็จะผ่านไป แต่ไม่นึกเลยว่าสุนัขรับใช้กลับดึงหลินจงชิงไว้ด้วยความไม่เกรงกลัวอย่างยิ่ง นี่ทำให้หลินจงชิงโมโหและก็เตะสุนัขรับใช้ชุดขาวออกไป

การกระทำของหลินจงชิงทำให้กลุ่มของหลี่อิงเจี๋ยคิดว่า นี่เป็นการยั่วโมโหพวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็เลยลุกขึ้นมาด้วยความโกรธและล้อมเขาไว้ ต้องการให้หลินจงชิงกล่าวขอโทษ ก็เลยปรากฏเหตุการณ์ในตอนนี้!

ตอนนี้สีหน้าของหลินจงชิงดูไม่ได้สุดขีด ถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนของเขาดีเยี่ยมเป็นพิเศษละก็ เกรงว่าเขาคงลงมือไปนานแล้ว และก็คงไม่เกิดเหตุการณ์คุมเชิงในตอนนี้ขึ้นมาเช่นกัน

พวกหลิงหลานสี่คนเดินเข้าไปทำให้สีหน้าของหลินจงชิงเปลี่ยนเป็นดีขึ้นเล็กน้อย ถึงขนาดที่มีความตื่นเต้นยินดีฉายออกมาวูบหนึ่ง

หลี่อิงเจี๋ยเห็นพวกหลิงหลานสี่คน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ดำมืดลง ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย และที่มากกว่านั้นก็คือความแน่วแน่ราวกับไม่พอใจที่พวกหลิงหลานมารบกวนอยู่บ้าง

ฝีเท้าของหลิงหลานหยุดลงฉับพลัน เธอมองไปที่หลินจงชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว

หลายวันมานี้หลินจงชิงอดทนอดกลั้นก็เพื่อที่จะยืมมือเธอมาจัดการกลุ่มของหลี่อิงเจี๋ยใช่หรือเปล่า?

เมื่อหลิงหลานหยุดก้าวเท้า พวกฉีหลงสามคนก็หยุดตามเธอเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าหลิงหลานหยุดเพื่ออะไร แต่พวกเขาเคยชินกับการทำตามหลิงหลานก็เลยหยุดก้าวเท้าโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว

หลินอิงเจี๋ยเห็นพวกหลิงหลานหยุดเดิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาดีขึ้นเล็กน้อย การวางตัวของหลิงหลานทำให้เขาพอใจมาก เวลานี้เขาไม่อยากให้หลิงหลานเข้ามารบกวนแผนการของเขา และหลินจงชิงก็คือเป้าหมายแรกของเขา

พอหลินจงชิงเห็นหลิงหลานไม่เข้ามาใกล้อีก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกได้รางๆ ว่าหลิงหลานคิดจะนิ่งดูดาย นี่ทำให้เขาสภาพจิตใจเขาหวั่นไหวอยู่บ้าง สีหน้าที่เดิมทีสงบเยือกเย็นหม่นหมองลงฉับพลัน ในแววตายังแสดงความผิดหวังที่แทบจะหาไม่เจอออกมา

หลิงหลานขมวดคิ้วแน่น ในใจรู้สึกสับสนอยู่บ้าง ในเมื่อเขาสามารถทำหน้าหนาประจบเอาใจเธอ ทำไมถึงไม่ยอมก้มหัวให้กับหลี่อิงเจี๋ยล่ะ? หรือว่ามีเหตุผลอื่น?

หลิงหลานใคร่ครวญ เธอตัดสินใจว่าครั้งนี้จะช่วยเหลือหลินจงชิง แน่นอนว่าทำแบบนี้ย่อมไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเธอเช่นกัน เดิมทีเธอกับหลี่อิงเจี๋ยก็ไม่อาจลงรอยกันอยู่แล้ว

การหยุดฝีเท้าและเดินขึ้นหน้าต่ออีกครั้งของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงที่เดิมทีมีแววตาผิดหวังไร้ชีวิตชีวาส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ถึงขนาดที่เผยความรู้สึกซาบซึ้งใจออกมา

……………………………………….

[1] หมายถึงผู้หญิงวัยกลางคนที่มีหัวคิดใหม่ๆ รับสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+