I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 70 ความหมายของเพื่อน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 70 ความหมายของเพื่อน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การกระทำของหลินจงชิงได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมชั้นมากมาย ขนาดอาจารย์เฉิงหย่วนหังก็ชมเชยไม่หยุดเช่นกัน ทว่ามันกลับทำให้หลิงหลานโมโหแล้ว

ไอ้ห่า! หลิงหลานสบถคำพูดหยาบคายที่ไม่มีความเป็นกุลสตรีมากๆ เธอชิงชังพวกคนที่สนับสนุนการกระทำของหลินจงชิงอย่างยิ่ง หรือว่าการสร้างความลำบากให้คนอื่นคือสิ่งที่ลูกผู้ชายเขาทำกันจริงๆ?

เอาเถอะ ถ้าหากเธอเป็นผู้ชายจริงๆ บางทีเธอคงจะไม่สับสนขนาดนี้ ให้ตายสิ เธอเป็นผู้หญิง ต้องเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงไปตลอดกาล…ถ้าให้ผู้ชายมารับใช้ข้างกายแบบนี้ ถ้าความจริงเปิดเผยขึ้นมาละก็ เธอยังจะแต่งงานได้ยังไง? หลิงหลานยังไม่ละทิ้งความคิดที่จะแต่งงานอย่างเปิดเผยหรอกนะ เหตุผลหลักที่สุดก็คือเธออยากให้กำเนิดเด็กเพื่อให้มาเล่นด้วยมากจริงๆ

นับอายุสองชาติมาบวกกัน เธอก็เป็นหญิงแก่วัยสามสิบกว่าแล้ว อายุทางจิตใจย่อมไปถึงขั้นเซนต์เซย์ย่า ที่อยากจะรีบแต่งงานมีลูก อย่างไรก็ตามหลิงหลานยังนับว่ามีเหตุผล ตอนนี้เธอเพียงแต่คิดเท่านั้น ถ้าอยากจะมีลูกจริงๆ เธอยังต้องรอให้ร่างกายนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะได้ เพื่อการนี้แล้ว เธอยังต้องทนไปอีกราวๆ สิบปี…หรือว่ายี่สิบปี?

เมื่อช่วงเวลายี่สิบปีอันน่ากลัวนี้อัดใส่หลิงหลานแรงๆ หลิงหลานก็น้ำตาไหลนองหน้าทันที ‘ผ่านวันเวลานี้ไปไม่ได้แล้ว หรือว่าเธอต้องรอจนอายุทางจิตใจไปถึงขั้นซุนหงอคง ก่อนถึงค่อยมีโอกาสได้แต่งงานมีลูก?’

ในขณะที่ทางด้านหลิงหลานยังคงพร่ำเพ้อขุ่นเคืองกับเวลาที่ยาวนานหาใดเปรียบ ไม่รู้ว่าสติบินไปถึงที่ไหนแล้ว คนที่ทำให้เธอรู้สึกยุ่งยากสุดขีดทางด้านนั้นก็มาอีกแล้ว

“หลิงหลาน นี่เป็นบันทึกวิชาฟิสิกส์คาบก่อนที่ฉันเรียบเรียงมา” หลินจงชิงยื่นแฟลชไดร์ฟบลูเรย์ของโลกใบนี้มาให้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพ อุปกรณ์ล้ำหน้ามาก ขอเพียงจ่อเข้ากับอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือแล้วเปิดบลูเรย์ก็จะสามารถส่งไฟล์เอกสารด้านในเข้าไปที่อุปกรณ์สื่อสารให้ผู้ใช้อ่าน

ความหวังดีของหลินจงชิงทำให้หลิงหลานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ควรทราบว่าเธอไม่ต้องการของสิ่งนี้เลย เสี่ยวซื่อสามารถก็อปปี้เนื้อหาหลักสูตรทั้งหมดของอาจารย์ผู้สอน ขอแค่เธอต้องการก็สามารถค้นหาอ่านได้ตามใจชอบ

แน่นอนว่าความสามารถอเนกประสงค์ของเสี่ยวซื่อก็แสดงออกมาได้เต็มที่แค่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น พอถึงครึ่งปีให้หลัง นักเรียนปีหนึ่งก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโลกเสมือนจริงของสถาบันตอนเรียน พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดปัญญาเพราะฟังเนื้อหาการเรียนการสอนไม่เข้าใจ

ในโลกเสมือนจริง หลักสูตรทั้งหมดของสถาบันต่างมีห้องเรียนเสมือนจริงที่เกี่ยวข้องกัน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เข้าไปเรียนจะต้องจ่ายด้วยเครดิต (ก็คือเงิน) และก็สามารถใช้แต้มผลการรบมาแลกเป็นเครดิตเพื่อใช้งานได้เหมือนกัน

วิธีการของหลินจงชิงทำให้หลิงหลานรู้สึกยุ่งยากรำคาญเท่านั้น แต่ว่าเด็กแสบบางคนคลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ

เสี่ยวซื่อที่อยู่ภายในมิติแห่งจิตกระทืบเท้าแรงๆ ด้วยความฉุนเฉียว เขาคิดว่าการกระทำของหลินจงชิงเป็นการยั่วโมโหเขา อยากจะแย่งชิงบัลลังก์ลูกน้องอันดับหนึ่งของเขา เสี่ยวซื่อที่กำลังโกรธเกรี้ยวชูมีดหั่นผักในมือขึ้นมา (ไม่รู้ว่าเขาชักออกมาจากไหน) และกวัดแกว่งขึ้นลงอย่างฮึกเหิม ทำให้หลิงหลานหนังตากระตุกด้วยความอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเสี่ยวซื่อจะไม่ระวังฟันตัวเองเข้าให้

เสี่ยวซื่อตวัดมีดหั่นผักในมือไปทางด้านหน้าอย่างรุนแรง เขากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ฉันจะฆ่ามัน ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้ ลูกพี่ เธออย่ามาขวางฉันนะ!”

ฉันไม่เคยคิดขวางนายเลย! หลิงหลานอยากพูดแบบนี้มาก แต่น่าเสียดายที่เธอกลัวน้ำตาของเสี่ยวซื่อที่พรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับของฟรีเอามากๆ ปริมาณน้ำตานั้นสามารถเปลี่ยนมิติแห่งจิตของเธอให้กลายเป็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาได้แน่นอน…เธอไม่อยากจมน้ำตายเป็นอันขาด

หลิงหลานนวดหว่างคิ้วของตัวเองด้วยความปวดหัว กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เสี่ยวซื่อ ตอนนี้นายฆ่าเขาได้เหรอ?” ให้ตายเถอะ เสี่ยวซื่อที่ไม่มีร่างจริงจะฆ่าหลินจงชิงที่อยู่ในโลกความเป็นจริงได้เหรอ? เรื่องที่ทำไม่ได้ก็อย่าพูดออกมาให้คนอื่นขบขันสิ

เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ว่าการกระทำของตัวเองดูโง่เง่ามาก เขาทิ้งมีดหั่นผักลงทันที ก่อนจะพุ่งเข้ามากอดต้นขาหลิงหลานพูดพลางร้องไห้ว่า “ลูกพี่ เธอจะช่วยฉันแน่นอนอยู่แล้วใช่ไหม?”

นี่ก็คือความรู้สึกกอดต้นขาในตำนานเหรอ? อืม มันสบายมากจริงๆ เสี่ยวซื่อใช้แก้มถูกับต้นขาของหลิงหลาน ถึงแม้ว่าตอนนี้เสี่ยวซื่อยังเป็นถั่วน้อย อยู่ แต่ว่าการกระทำของเขามันส่อไปทางเด็กทะลึ่งแล้ว

หลิงหลานยังไม่ทันสังเกตว่าตัวเองถูกแต๊ะอั๋ง พอเห็นการกระทำที่ไร้ยางอายของเสี่ยวซื่อ เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดขึ้นมา อยากจะคว้าเสี่ยวซื่อมาตีแรงๆ สักยก แต่น่าเสียดายที่เธอเคยรับปากเสี่ยวซื่อแล้วว่าจะใช้กำลังในครอบครัวไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงใช้ความคิดนี้ไม่ได้ นี่ทำให้หลิงหลานรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตอนนั้นเธอบุ่มบ่ามรับปากเร็วมากเกินไป ถ้ารู้แต่แรกว่าเสี่ยวซื่อเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นเป็นกังวลละก็ เธอจะไม่มีทางรับปากเงื่อนไขข้อนี้เพื่อทำให้เสี่ยวซื่อดีใจแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมาของเสี่ยวซื่อก็ทำให้หลิงหลานไม่เหลือความคิดแบบนี้โดยสิ้นเชิง เหงื่อเย็นๆ ของเธอแตกพลั่ก ขาอ่อนยวบเล็กน้อย “ลูกพี่ เธอรอหน่อยนะ ขอแค่เขาเข้าไปในโลกเสมือนจริง ฉันจะต้องทำให้เขาเห็นดีแน่ๆ ฉันจะต้องทำให้เขาตายอย่างเงียบกริบอยู่ในโลกเสมือนจริง หึๆๆ!”

ท่าทีเย็นชาของเสี่ยวซื่อทำให้แผ่นหลังของหลิงหลานหนาวเหน็บอยู่บ้าง เธอลืมความสามารถของเสี่ยวซื่อในโลกเสมือนจริงไปได้ยังไง? ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเสี่ยวซื่อไม่ใช่การเล่นแบบเด็กๆ หลิงหลานรู้สึกร้อนใจแล้ว

ไม่ผิด ถึงแม้เธอรู้สึกว่าหลินจงชิงจะเป็นตัวปัญหา และอยากจะสลัดตัวปัญหานี้ไปให้พ้นๆ แต่เธอไม่เคยอยากให้เขาตายมาก่อนเลยนะ ไม่ว่าจะพูดยังไง หลินจงชิงก็เป็นเด็กน้อยน่ารัก ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะคิดเยอะมากไปหน่อยจนทำให้เธอไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่

เธอรีบใช้คำพูดหวานๆ ปลอบโยนเสี่ยวซื่อ อยากจะให้เสี่ยวซื่อละทิ้งความคิดน่ากลัวนี้ไป “เสี่ยวซื่อ นายวางใจเถอะ เด็กคนนั้นไม่ใช่ภัยคุกคามของนายแน่นอน เสี่ยวซื่อจะเป็นลูกน้องที่ฉันรักมากที่สุดตลอดกาล”

เวลานี้หลิงหลานเอ่ยคำพูดหวานๆ ออกมาโดยที่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวสักนิดเดียว พยายามกำจัดจิตสังหารของเสี่ยวซื่อออกไป เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเอที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ชีวิตเธอช่างลำบากเหลือเกิน

คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อหน้าแดงทันที เขาบิดก้นน้อยๆ ด้วยความยินดีไปพลางเอ่ยด้วยท่าทีขัดเขินไปพลาง “รักมากที่สุด สำคัญมากที่สุด และก็เป็นลูกน้องอันดับหนึ่งใช่ไหม”

หลิงหลานพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ถูกต้องเสี่ยวซื่อก็คือลูกน้องอันดับหนึ่งที่ฉันรักมากที่สุด ให้ความสำคัญมากที่สุด ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งของนายไปได้ เพราะฉะนั้นเสี่ยวซื่อ นายยิ้มมองลูกน้องเบี้ยล่างนายตบตีแย่งชิงกันเองได้เลย…”

เอ่อ…เธอไม่เคยคิดจะรับลูกน้องต่อมาก่อนเลยนะ ทำไมคำพูดที่กล่าวกับเสี่ยวซื่อถึงได้มาพูดถึงเรื่องลูกน้องไปได้? ให้ตายสิ นี่ต้องเป็นความผิดของเสี่ยวซื่อแน่นอน เขาจะต้องมีความสามารถเบี่ยงเบนเนื้อหาคำพูด หลิงหลานโยนความผิดให้เสี่ยวซื่ออย่างเด็กขาด

เสี่ยวซื่อย่อมไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของหลิงหลาน เมื่อเขาได้ยินหลิงหลานพูดแบบนี้ เขาตระหนักได้ทันที “ลูกพี่ ฉันเข้าใจแล้ว ความหมายของเธอก็คือ คนพวกนั้นเป็นลูกน้องของลูกน้องอย่างฉันอีกที…”

หลิงหลานน้ำตาไหลแล้ว ดูเหมือนเธอจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้นะ! น่าเสียดายที่เวลานี้เธอไม่กล้าไม่พยักหน้า ถ้าเสี่ยวซื่อเป็นบ้าขึ้นมาอีก ก็จินตนาการได้เลยว่าอีกครึ่งปีให้หลัง เด็กห้องสเปเชียลเอจะต้องตายกันระนาวแน่นอน นี่ย่อมเป็นวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัว ดีไม่ดี เธอจะถูกลากเข้าไปด้วย เพื่อการนี้แล้ว เธอจะต้องหยุดยั้งการกระทำของเสี่ยวซื่อให้ได้

เอาเถอะ หลิงหลานไม่ได้เป็นแม่พระมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นขนาดนั้น สุดท้ายแล้วเธอยังทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

หลิงหลานตัดสินใจแล้วก็พยักหน้าอย่างเฉียบขาด ทันใดนั้นในห้วงสติก็พลันปรากฏภาพพวกฉีหลง หานจี้จวิน ลั่วล่างไล่ตามเด็กแสบร้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ส่วนเสี่ยวซื่อก็เอามือน้อยๆ เท้าเอว แหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะยาวๆ ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

หลิงหลานทำหน้า 囧 ปาดเหงื่ออย่างหนักด้วยความใจฝ่อ พูดลับๆ ว่า ขอโทษด้วยนะพี่น้องทุกคน เพื่อความสงบสุขของโลก ความปลอดภัยของมนุษยชาติ ได้แต่ทำผิดต่อพวกนายแล้ว

เพราะเธอก็ไม่นึกเหมือนกันว่า เธอได้พา ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ลงมาที่โลกนี้ เธอมีความผิดแล้ว!

ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็ถูกกระสุนเคลือบน้ำตาลของหลิงหลานโจมตี ปลอบโยนให้สงบลง เขาจะแสดงความมีเมตตาปล่อยหลินจงชิงไปสักครั้ง

หลิงหลานได้ยินแล้วก็ประจบต่ออีกครั้ง หลอกให้เสี่ยวซื่อยิ้มแย้มดีใจ ไม่คิดเรื่องที่ตัวเองเกือบจะถูกแย่งชิงบัลลังก์ลูกน้องอันดับหนึ่งอีก หลิงหลานค่อยวางใจเบนความคิดไปที่ตัวหายนะอย่างหลินจงชิงคนนี้ พูดไปพูดมา นี่ก็เป็นหายนะที่หลินจงชิงก่อขึ้น

คราวนี้หลิงหลานไม่อยากปฏิเสธอ้อมค้อมอีกแล้ว เธอผลักแฟลชไดร์ฟกลับไปตรงๆ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่ต้องการ” เธอไม่คิดจะใช้คำพูดสุภาพแล้ว เธอเปลืองความคิดไปมากเท่าไหร่เพื่อที่จะช่วยหมอนี่? ขนาดพวกฉีหลงเองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ ‘น่าขมขื่นใจ’ เพื่อการนี้เลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ก็เถอะ….

การปฏิเสธอย่างไร้ความปราณีของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงทำหน้าแข็งทื่อ แต่เขาก็กลับคืนสู่สีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว เขาเก็บแฟลชไดรฟ์อย่างขลุกขลัก แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงความเย็นชาของหลิงหลาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “หลิงหลาน เดี๋ยวพวกนายจะไปที่ไหนกันล่ะ?”

ตอนเช้ามีแค่วิชาภาษาจีนคาบเดียว พอทานข้าวตอนเที่ยงก็เป็นช่วงเวลากิจกรรมอิสระ ในฐานะที่เขาเป็นคนรับใช้ข้างกายหลิงหลาน เขาจำเป็นต้องรู้ว่าต่อไปหลิงหลานจะทำอะไร

หลิงหลานปรายตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไร เวลานี้หลิงหลานไม่มีความอดทนที่จะรับมือหลินจงชิงอีกต่อไปแล้ว

หานจี้จวินที่อยู่ข้างๆ รู้สึกได้ถึงความคิดของหลิงหลาน เขาเอ่ยปากว่า “หลินจงชิง พวกเราไม่ต้อนรับนาย และไม่ต้องการการรับใช้ของนายด้วย หวังว่านายจะไม่มาหาลูกพี่หลานของเราอีกนะ”

หลินจงชิงถูกปฏิเสธด้วยคำพูดอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ก็ไม่สามารถรักษาใบหน้ายิ้มแย้มของเขาได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงมองหลิงหลานด้วยสีหน้าสับสนแวบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาไม่ได้พูดกวนใจอีกต่อไป หากแต่ทำความเคารพหลิงหลานอย่างสุภาพ แล้วค่อยหันตัวจากไป

การจากไปโดยไม่ลังเลของหลินจงชิงทำให้ฉีหลงรู้สึกงุนงง “เขาหมายความว่ายังไง? จะไม่มาหาพวกเราอีกแล้วใช่ไหม?”

ลั่วล่างพูดด้วยความไม่แน่ใจว่า “น่าจะนะ พวกเราพูดชัดขนาดนี้แล้วนี่นา”

หานจี้จวินมองแผ่นหลังของหลินจงชิงที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป หัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ เขากล่าวว่า “ลูกพี่หลาน จะไล่คนๆ นี้ออกไปน่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น”

หลิงหลานผงกศีรษะ “อืม เขามาหาฉัน ไม่ใช่เพราะสัญญาเดิมพันท้าประลอง แต่เป็นเพราะมีเป้าหมายอื่น

หานจี้จวินตกตะลึง “เป้าหมายอะไร?” เขาไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าหลินจงชิงแค่อยากจะทำตามสัญญาที่เดิมพันกันไว้ อยากจะแสดงออกว่าตัวเองรักษาคำพูด เพื่อเพิ่มคะแนนชื่นชอบในสายตาอาจารย์เท่านั้น

เวลานี้ในใจของหานจี้จวินรู้สึกหดหู่อยู่รางๆ เขากำหนดจุดยืนของตัวเองในกลุ่มหลิงหลานว่าเป็นกุนซือที่ชาญฉลาด สาเหตุที่เขากำหนดแบบนี้เป็นเพราะความสามารถในการต่อสู้ของเขาเทียบฉีหลงไม่ได้ ฉีหลงเป็นนักรบอัจฉริยะ ต่อไปเขาต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงแน่นอน หานจี้จวินที่สู้ฉีหลงไม่ได้ก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทุกข์ใจ แต่เขาไม่นึกว่าลั่วล่างที่เข้าร่วมกลุ่มต่อมาจะมีความสามารถด้านการต่อสู้สูงกว่าเขาเหมือนกัน นี่ทำให้เขาหาจุดยืนของตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ จำเป็นต้องลำบากหาตำแหน่งอื่น ไม่นาน เขาก็พบว่ากลุ่มของพวกเขายังขาดคนฉลาดวางแผนกลยุทธ์ หานจี้จวินเชื่อว่าตัวเองยังเหมาะสมกับบทบาทนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกต่อหน้าเพื่อนตรงๆ แต่การกระทำของเขา รวมไปถึงวิชาที่เรียนก็เริ่มมีแนวโน้มไปทางด้านนี้ เพียงพอที่จะมองเห็นการตัดสินใจของเขา

อย่างไรก็ตาม คำพูดของหลิงหลานได้โจมตีเขาอีกครั้ง หรือว่าเขาจะไม่เหมาะกับบทบาทนี้? หานจี้จวินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ความรู้สึกเขายิ่งดิ่งลงมากขึ้น

หลิงหลานเห็นสีหน้าของหานจี้จวินเปลี่ยนไป เธอก็รู้สึกว่าศีรษะตัวเองปวดขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมพวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายเธอถึงได้ชอบทำให้คนเป็นห่วงขนาดนี้นะ?

หลิงหลานได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อนหนักขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ความจริงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน แววตาที่หลินจงชิงมองมาที่ฉันทุกครั้งให้ความรู้สึกแบบนี้ บางทีฉันอาจจะคิดมากไป”

ถึงแม้สีหน้าของหลิงหลานจะดูสงสัยโอเวอร์มาก ทว่าคำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหกของหลิงหลานเลย เธอไม่รู้เป้าหมายของหลินจงชิงที่พยายามทำดีกับเธออย่างสุดความสามารถจริงๆ อย่างไรก็ตามหลิงหลานไม่ได้ร้อนใจ เธอเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธอจะต้องรู้แผนการของอีกฝ่ายแน่นอน

นอกจากนี้ เวลานี้พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหกขวบซนๆ ยังไม่ได้สร้างความขัดแย้งด้านผลประโยชน์อำนาจเท่าไหร่ ต่อให้หลินจงชิงวางแผนมากกว่านี้ ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับหลิงหลานมากเท่าไหร่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หลิงหลานไม่รู้สึกกังวลและไม่สนใจหลินจงชิงมาตลอด

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินทิ้งพวกความรู้สึกหดหู่ในใจออกไปชั่วคราว เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อลูกพี่หลานพูดแบบนี้ หลินจงชิงต้องมีปัญหาแน่นอน พวกเราต้องระมัดระวังมากขึ้น” หานจี้จวินให้คะแนนความเชื่อมั่นในคำพูดตามลางสังหรณ์ที่ไร้ความรับผิดชอบของหลิงหลานโดยไม่ลังเล เขาเริ่มเตือนให้เพื่อนๆ เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

ไม่เพียงหานจี้จวินที่เชื่อมั่นคำพูดของหลิงหลาน ขนาดพวกฉีหลงกับลั่วล่างก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาทยอยกันพยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว

ความเชื่อมั่นอย่างไร้เหตุผลของพวกเพื่อนๆ ทำให้หลิงหลานเหงื่อตก ทว่าในใจมีความอบอุ่นที่ยากจะกล่าวเป็นคำพูดเอ่อขึ้นมาช้าๆ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจของเพื่อนใช่ไหม?

ชาติก่อนหลิงหลานใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาล ดิ้นรนอยู่บนเส้นความเป็นความตายมาตลอด เธอไม่เคยสัมผัสถึงความหมายของคำว่าเพื่อนมาก่อน แต่ตอนนี้หลิงหลานเหมือนกับเข้าใจนิดหน่อยแล้ว

ความจริงพิสูจน์แล้วว่า การคาดการณ์ของหานจี้จวินแม่นยำมาก หลินจงชิงไม่ใช่คนที่เจออุปสรรคแล้วจะกลัวหัวหด

ตอนเที่ยง พวกหลิงหลานเพิ่งจะเดินเข้าไปในโรงอาหารของสถาบัน ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยตะโกนเสียงจากด้านในว่า “หลิงหลาน ตรงนี้ตรงนี้”

หลิงหลานเงยหน้ามองไป หลินจงชิงโบกมือให้พวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าการปฏิบัติอย่างเย็นชาเมื่อตอนเช้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอยอมรับความหน้าหนาของหลินจงชิงโดยสิ้นเชิง ขนาดปฏิเสธอย่างไร้น้ำใจแบบนี้ เขายังกระตือรือร้นทักทายขนาดนี้ได้ยังไง? ความอดทนต่อการโจมตีของเด็กคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ

พวกฉีหลงมองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไง พวกเขาโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเจอเด็กที่ไม่มีโทสะแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่มีความคับข้องใจเลยสักนิดของหลินจงชินทำให้พวกเขาไม่สามารถทำใจแข็งปฏิเสธต่อไปได้ ขนาดหานจี้จวินที่มีนิสัยเย็นชายังเงียบกริบพูดไม่ออกเลย

หลิงหลานลอบถอนหายใจ เอาเถอะ เธอเองก็ไม่สามารถปฏิเสธเด็กที่ทำให้ตัวเองลำบากมาตลอดได้อีกเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “ลองคบหาเขาดูต่อไปอีกหน่อยละกัน พวกเราสี่คนกับเขาคนเดียว ดูยังไงเราก็ไม่เสียเปรียบ”

คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ทั้งสามคน ดังนั้นพวกเขาเลยเดินตรงไปหาหลินจงชิงที่โบกมือทักทายพวกเขา

แต่ความระแวดระวังในใจหลิงหลานกลับยิ่งรุนแรงขึ้น หลินจงชิงอดทนได้ขนาดนี้ แผนการของเขาย่อมไม่เล็กแน่นอน

เธออดทอดถอนใจไม่ได้ เด็กในโลกใบนี้ไม่ใช่คนแน่นอน…ต่อให้เธอเป็นคนที่อยู่มาสองชาติก็ทำได้แค่กดหัวพวกเขาเท่านั้น ถ้าเกิดเอาเด็กพวกนี้มาเปรียบเทียบกับตัวเธอตอนอายุหกขวบในชาติก่อนจริงๆ ละก็ เธอย่อมถูกทิ้งห่างจนถึงไซบีเรียที่แสนไกลแน่นอน

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 70 ความหมายของเพื่อน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 70 ความหมายของเพื่อน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การกระทำของหลินจงชิงได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมชั้นมากมาย ขนาดอาจารย์เฉิงหย่วนหังก็ชมเชยไม่หยุดเช่นกัน ทว่ามันกลับทำให้หลิงหลานโมโหแล้ว

ไอ้ห่า! หลิงหลานสบถคำพูดหยาบคายที่ไม่มีความเป็นกุลสตรีมากๆ เธอชิงชังพวกคนที่สนับสนุนการกระทำของหลินจงชิงอย่างยิ่ง หรือว่าการสร้างความลำบากให้คนอื่นคือสิ่งที่ลูกผู้ชายเขาทำกันจริงๆ?

เอาเถอะ ถ้าหากเธอเป็นผู้ชายจริงๆ บางทีเธอคงจะไม่สับสนขนาดนี้ ให้ตายสิ เธอเป็นผู้หญิง ต้องเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงไปตลอดกาล…ถ้าให้ผู้ชายมารับใช้ข้างกายแบบนี้ ถ้าความจริงเปิดเผยขึ้นมาละก็ เธอยังจะแต่งงานได้ยังไง? หลิงหลานยังไม่ละทิ้งความคิดที่จะแต่งงานอย่างเปิดเผยหรอกนะ เหตุผลหลักที่สุดก็คือเธออยากให้กำเนิดเด็กเพื่อให้มาเล่นด้วยมากจริงๆ

นับอายุสองชาติมาบวกกัน เธอก็เป็นหญิงแก่วัยสามสิบกว่าแล้ว อายุทางจิตใจย่อมไปถึงขั้นเซนต์เซย์ย่า ที่อยากจะรีบแต่งงานมีลูก อย่างไรก็ตามหลิงหลานยังนับว่ามีเหตุผล ตอนนี้เธอเพียงแต่คิดเท่านั้น ถ้าอยากจะมีลูกจริงๆ เธอยังต้องรอให้ร่างกายนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะได้ เพื่อการนี้แล้ว เธอยังต้องทนไปอีกราวๆ สิบปี…หรือว่ายี่สิบปี?

เมื่อช่วงเวลายี่สิบปีอันน่ากลัวนี้อัดใส่หลิงหลานแรงๆ หลิงหลานก็น้ำตาไหลนองหน้าทันที ‘ผ่านวันเวลานี้ไปไม่ได้แล้ว หรือว่าเธอต้องรอจนอายุทางจิตใจไปถึงขั้นซุนหงอคง ก่อนถึงค่อยมีโอกาสได้แต่งงานมีลูก?’

ในขณะที่ทางด้านหลิงหลานยังคงพร่ำเพ้อขุ่นเคืองกับเวลาที่ยาวนานหาใดเปรียบ ไม่รู้ว่าสติบินไปถึงที่ไหนแล้ว คนที่ทำให้เธอรู้สึกยุ่งยากสุดขีดทางด้านนั้นก็มาอีกแล้ว

“หลิงหลาน นี่เป็นบันทึกวิชาฟิสิกส์คาบก่อนที่ฉันเรียบเรียงมา” หลินจงชิงยื่นแฟลชไดร์ฟบลูเรย์ของโลกใบนี้มาให้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพ อุปกรณ์ล้ำหน้ามาก ขอเพียงจ่อเข้ากับอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือแล้วเปิดบลูเรย์ก็จะสามารถส่งไฟล์เอกสารด้านในเข้าไปที่อุปกรณ์สื่อสารให้ผู้ใช้อ่าน

ความหวังดีของหลินจงชิงทำให้หลิงหลานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ควรทราบว่าเธอไม่ต้องการของสิ่งนี้เลย เสี่ยวซื่อสามารถก็อปปี้เนื้อหาหลักสูตรทั้งหมดของอาจารย์ผู้สอน ขอแค่เธอต้องการก็สามารถค้นหาอ่านได้ตามใจชอบ

แน่นอนว่าความสามารถอเนกประสงค์ของเสี่ยวซื่อก็แสดงออกมาได้เต็มที่แค่ในช่วงเวลานี้เท่านั้น พอถึงครึ่งปีให้หลัง นักเรียนปีหนึ่งก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโลกเสมือนจริงของสถาบันตอนเรียน พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดปัญญาเพราะฟังเนื้อหาการเรียนการสอนไม่เข้าใจ

ในโลกเสมือนจริง หลักสูตรทั้งหมดของสถาบันต่างมีห้องเรียนเสมือนจริงที่เกี่ยวข้องกัน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เข้าไปเรียนจะต้องจ่ายด้วยเครดิต (ก็คือเงิน) และก็สามารถใช้แต้มผลการรบมาแลกเป็นเครดิตเพื่อใช้งานได้เหมือนกัน

วิธีการของหลินจงชิงทำให้หลิงหลานรู้สึกยุ่งยากรำคาญเท่านั้น แต่ว่าเด็กแสบบางคนคลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ

เสี่ยวซื่อที่อยู่ภายในมิติแห่งจิตกระทืบเท้าแรงๆ ด้วยความฉุนเฉียว เขาคิดว่าการกระทำของหลินจงชิงเป็นการยั่วโมโหเขา อยากจะแย่งชิงบัลลังก์ลูกน้องอันดับหนึ่งของเขา เสี่ยวซื่อที่กำลังโกรธเกรี้ยวชูมีดหั่นผักในมือขึ้นมา (ไม่รู้ว่าเขาชักออกมาจากไหน) และกวัดแกว่งขึ้นลงอย่างฮึกเหิม ทำให้หลิงหลานหนังตากระตุกด้วยความอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเสี่ยวซื่อจะไม่ระวังฟันตัวเองเข้าให้

เสี่ยวซื่อตวัดมีดหั่นผักในมือไปทางด้านหน้าอย่างรุนแรง เขากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ฉันจะฆ่ามัน ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้ ลูกพี่ เธออย่ามาขวางฉันนะ!”

ฉันไม่เคยคิดขวางนายเลย! หลิงหลานอยากพูดแบบนี้มาก แต่น่าเสียดายที่เธอกลัวน้ำตาของเสี่ยวซื่อที่พรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับของฟรีเอามากๆ ปริมาณน้ำตานั้นสามารถเปลี่ยนมิติแห่งจิตของเธอให้กลายเป็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาได้แน่นอน…เธอไม่อยากจมน้ำตายเป็นอันขาด

หลิงหลานนวดหว่างคิ้วของตัวเองด้วยความปวดหัว กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เสี่ยวซื่อ ตอนนี้นายฆ่าเขาได้เหรอ?” ให้ตายเถอะ เสี่ยวซื่อที่ไม่มีร่างจริงจะฆ่าหลินจงชิงที่อยู่ในโลกความเป็นจริงได้เหรอ? เรื่องที่ทำไม่ได้ก็อย่าพูดออกมาให้คนอื่นขบขันสิ

เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ว่าการกระทำของตัวเองดูโง่เง่ามาก เขาทิ้งมีดหั่นผักลงทันที ก่อนจะพุ่งเข้ามากอดต้นขาหลิงหลานพูดพลางร้องไห้ว่า “ลูกพี่ เธอจะช่วยฉันแน่นอนอยู่แล้วใช่ไหม?”

นี่ก็คือความรู้สึกกอดต้นขาในตำนานเหรอ? อืม มันสบายมากจริงๆ เสี่ยวซื่อใช้แก้มถูกับต้นขาของหลิงหลาน ถึงแม้ว่าตอนนี้เสี่ยวซื่อยังเป็นถั่วน้อย อยู่ แต่ว่าการกระทำของเขามันส่อไปทางเด็กทะลึ่งแล้ว

หลิงหลานยังไม่ทันสังเกตว่าตัวเองถูกแต๊ะอั๋ง พอเห็นการกระทำที่ไร้ยางอายของเสี่ยวซื่อ เส้นเลือดบนหน้าผากก็ปูดขึ้นมา อยากจะคว้าเสี่ยวซื่อมาตีแรงๆ สักยก แต่น่าเสียดายที่เธอเคยรับปากเสี่ยวซื่อแล้วว่าจะใช้กำลังในครอบครัวไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงใช้ความคิดนี้ไม่ได้ นี่ทำให้หลิงหลานรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตอนนั้นเธอบุ่มบ่ามรับปากเร็วมากเกินไป ถ้ารู้แต่แรกว่าเสี่ยวซื่อเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นเป็นกังวลละก็ เธอจะไม่มีทางรับปากเงื่อนไขข้อนี้เพื่อทำให้เสี่ยวซื่อดีใจแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมาของเสี่ยวซื่อก็ทำให้หลิงหลานไม่เหลือความคิดแบบนี้โดยสิ้นเชิง เหงื่อเย็นๆ ของเธอแตกพลั่ก ขาอ่อนยวบเล็กน้อย “ลูกพี่ เธอรอหน่อยนะ ขอแค่เขาเข้าไปในโลกเสมือนจริง ฉันจะต้องทำให้เขาเห็นดีแน่ๆ ฉันจะต้องทำให้เขาตายอย่างเงียบกริบอยู่ในโลกเสมือนจริง หึๆๆ!”

ท่าทีเย็นชาของเสี่ยวซื่อทำให้แผ่นหลังของหลิงหลานหนาวเหน็บอยู่บ้าง เธอลืมความสามารถของเสี่ยวซื่อในโลกเสมือนจริงไปได้ยังไง? ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของเสี่ยวซื่อไม่ใช่การเล่นแบบเด็กๆ หลิงหลานรู้สึกร้อนใจแล้ว

ไม่ผิด ถึงแม้เธอรู้สึกว่าหลินจงชิงจะเป็นตัวปัญหา และอยากจะสลัดตัวปัญหานี้ไปให้พ้นๆ แต่เธอไม่เคยอยากให้เขาตายมาก่อนเลยนะ ไม่ว่าจะพูดยังไง หลินจงชิงก็เป็นเด็กน้อยน่ารัก ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะคิดเยอะมากไปหน่อยจนทำให้เธอไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่

เธอรีบใช้คำพูดหวานๆ ปลอบโยนเสี่ยวซื่อ อยากจะให้เสี่ยวซื่อละทิ้งความคิดน่ากลัวนี้ไป “เสี่ยวซื่อ นายวางใจเถอะ เด็กคนนั้นไม่ใช่ภัยคุกคามของนายแน่นอน เสี่ยวซื่อจะเป็นลูกน้องที่ฉันรักมากที่สุดตลอดกาล”

เวลานี้หลิงหลานเอ่ยคำพูดหวานๆ ออกมาโดยที่ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวสักนิดเดียว พยายามกำจัดจิตสังหารของเสี่ยวซื่อออกไป เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเอที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ชีวิตเธอช่างลำบากเหลือเกิน

คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อหน้าแดงทันที เขาบิดก้นน้อยๆ ด้วยความยินดีไปพลางเอ่ยด้วยท่าทีขัดเขินไปพลาง “รักมากที่สุด สำคัญมากที่สุด และก็เป็นลูกน้องอันดับหนึ่งใช่ไหม”

หลิงหลานพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ถูกต้องเสี่ยวซื่อก็คือลูกน้องอันดับหนึ่งที่ฉันรักมากที่สุด ให้ความสำคัญมากที่สุด ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งของนายไปได้ เพราะฉะนั้นเสี่ยวซื่อ นายยิ้มมองลูกน้องเบี้ยล่างนายตบตีแย่งชิงกันเองได้เลย…”

เอ่อ…เธอไม่เคยคิดจะรับลูกน้องต่อมาก่อนเลยนะ ทำไมคำพูดที่กล่าวกับเสี่ยวซื่อถึงได้มาพูดถึงเรื่องลูกน้องไปได้? ให้ตายสิ นี่ต้องเป็นความผิดของเสี่ยวซื่อแน่นอน เขาจะต้องมีความสามารถเบี่ยงเบนเนื้อหาคำพูด หลิงหลานโยนความผิดให้เสี่ยวซื่ออย่างเด็กขาด

เสี่ยวซื่อย่อมไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของหลิงหลาน เมื่อเขาได้ยินหลิงหลานพูดแบบนี้ เขาตระหนักได้ทันที “ลูกพี่ ฉันเข้าใจแล้ว ความหมายของเธอก็คือ คนพวกนั้นเป็นลูกน้องของลูกน้องอย่างฉันอีกที…”

หลิงหลานน้ำตาไหลแล้ว ดูเหมือนเธอจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้นะ! น่าเสียดายที่เวลานี้เธอไม่กล้าไม่พยักหน้า ถ้าเสี่ยวซื่อเป็นบ้าขึ้นมาอีก ก็จินตนาการได้เลยว่าอีกครึ่งปีให้หลัง เด็กห้องสเปเชียลเอจะต้องตายกันระนาวแน่นอน นี่ย่อมเป็นวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัว ดีไม่ดี เธอจะถูกลากเข้าไปด้วย เพื่อการนี้แล้ว เธอจะต้องหยุดยั้งการกระทำของเสี่ยวซื่อให้ได้

เอาเถอะ หลิงหลานไม่ได้เป็นแม่พระมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นขนาดนั้น สุดท้ายแล้วเธอยังทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

หลิงหลานตัดสินใจแล้วก็พยักหน้าอย่างเฉียบขาด ทันใดนั้นในห้วงสติก็พลันปรากฏภาพพวกฉีหลง หานจี้จวิน ลั่วล่างไล่ตามเด็กแสบร้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ส่วนเสี่ยวซื่อก็เอามือน้อยๆ เท้าเอว แหงนหน้ามองฟ้าหัวเราะยาวๆ ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

หลิงหลานทำหน้า 囧 ปาดเหงื่ออย่างหนักด้วยความใจฝ่อ พูดลับๆ ว่า ขอโทษด้วยนะพี่น้องทุกคน เพื่อความสงบสุขของโลก ความปลอดภัยของมนุษยชาติ ได้แต่ทำผิดต่อพวกนายแล้ว

เพราะเธอก็ไม่นึกเหมือนกันว่า เธอได้พา ‘อาวุธนิวเคลียร์’ ลงมาที่โลกนี้ เธอมีความผิดแล้ว!

ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็ถูกกระสุนเคลือบน้ำตาลของหลิงหลานโจมตี ปลอบโยนให้สงบลง เขาจะแสดงความมีเมตตาปล่อยหลินจงชิงไปสักครั้ง

หลิงหลานได้ยินแล้วก็ประจบต่ออีกครั้ง หลอกให้เสี่ยวซื่อยิ้มแย้มดีใจ ไม่คิดเรื่องที่ตัวเองเกือบจะถูกแย่งชิงบัลลังก์ลูกน้องอันดับหนึ่งอีก หลิงหลานค่อยวางใจเบนความคิดไปที่ตัวหายนะอย่างหลินจงชิงคนนี้ พูดไปพูดมา นี่ก็เป็นหายนะที่หลินจงชิงก่อขึ้น

คราวนี้หลิงหลานไม่อยากปฏิเสธอ้อมค้อมอีกแล้ว เธอผลักแฟลชไดร์ฟกลับไปตรงๆ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่ต้องการ” เธอไม่คิดจะใช้คำพูดสุภาพแล้ว เธอเปลืองความคิดไปมากเท่าไหร่เพื่อที่จะช่วยหมอนี่? ขนาดพวกฉีหลงเองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ ‘น่าขมขื่นใจ’ เพื่อการนี้เลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ก็เถอะ….

การปฏิเสธอย่างไร้ความปราณีของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงทำหน้าแข็งทื่อ แต่เขาก็กลับคืนสู่สีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว เขาเก็บแฟลชไดรฟ์อย่างขลุกขลัก แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงความเย็นชาของหลิงหลาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “หลิงหลาน เดี๋ยวพวกนายจะไปที่ไหนกันล่ะ?”

ตอนเช้ามีแค่วิชาภาษาจีนคาบเดียว พอทานข้าวตอนเที่ยงก็เป็นช่วงเวลากิจกรรมอิสระ ในฐานะที่เขาเป็นคนรับใช้ข้างกายหลิงหลาน เขาจำเป็นต้องรู้ว่าต่อไปหลิงหลานจะทำอะไร

หลิงหลานปรายตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไร เวลานี้หลิงหลานไม่มีความอดทนที่จะรับมือหลินจงชิงอีกต่อไปแล้ว

หานจี้จวินที่อยู่ข้างๆ รู้สึกได้ถึงความคิดของหลิงหลาน เขาเอ่ยปากว่า “หลินจงชิง พวกเราไม่ต้อนรับนาย และไม่ต้องการการรับใช้ของนายด้วย หวังว่านายจะไม่มาหาลูกพี่หลานของเราอีกนะ”

หลินจงชิงถูกปฏิเสธด้วยคำพูดอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ก็ไม่สามารถรักษาใบหน้ายิ้มแย้มของเขาได้อีกต่อไป เขาก้มหน้าลงมองหลิงหลานด้วยสีหน้าสับสนแวบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาไม่ได้พูดกวนใจอีกต่อไป หากแต่ทำความเคารพหลิงหลานอย่างสุภาพ แล้วค่อยหันตัวจากไป

การจากไปโดยไม่ลังเลของหลินจงชิงทำให้ฉีหลงรู้สึกงุนงง “เขาหมายความว่ายังไง? จะไม่มาหาพวกเราอีกแล้วใช่ไหม?”

ลั่วล่างพูดด้วยความไม่แน่ใจว่า “น่าจะนะ พวกเราพูดชัดขนาดนี้แล้วนี่นา”

หานจี้จวินมองแผ่นหลังของหลินจงชิงที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป หัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ เขากล่าวว่า “ลูกพี่หลาน จะไล่คนๆ นี้ออกไปน่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น”

หลิงหลานผงกศีรษะ “อืม เขามาหาฉัน ไม่ใช่เพราะสัญญาเดิมพันท้าประลอง แต่เป็นเพราะมีเป้าหมายอื่น

หานจี้จวินตกตะลึง “เป้าหมายอะไร?” เขาไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าหลินจงชิงแค่อยากจะทำตามสัญญาที่เดิมพันกันไว้ อยากจะแสดงออกว่าตัวเองรักษาคำพูด เพื่อเพิ่มคะแนนชื่นชอบในสายตาอาจารย์เท่านั้น

เวลานี้ในใจของหานจี้จวินรู้สึกหดหู่อยู่รางๆ เขากำหนดจุดยืนของตัวเองในกลุ่มหลิงหลานว่าเป็นกุนซือที่ชาญฉลาด สาเหตุที่เขากำหนดแบบนี้เป็นเพราะความสามารถในการต่อสู้ของเขาเทียบฉีหลงไม่ได้ ฉีหลงเป็นนักรบอัจฉริยะ ต่อไปเขาต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงแน่นอน หานจี้จวินที่สู้ฉีหลงไม่ได้ก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทุกข์ใจ แต่เขาไม่นึกว่าลั่วล่างที่เข้าร่วมกลุ่มต่อมาจะมีความสามารถด้านการต่อสู้สูงกว่าเขาเหมือนกัน นี่ทำให้เขาหาจุดยืนของตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ จำเป็นต้องลำบากหาตำแหน่งอื่น ไม่นาน เขาก็พบว่ากลุ่มของพวกเขายังขาดคนฉลาดวางแผนกลยุทธ์ หานจี้จวินเชื่อว่าตัวเองยังเหมาะสมกับบทบาทนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกต่อหน้าเพื่อนตรงๆ แต่การกระทำของเขา รวมไปถึงวิชาที่เรียนก็เริ่มมีแนวโน้มไปทางด้านนี้ เพียงพอที่จะมองเห็นการตัดสินใจของเขา

อย่างไรก็ตาม คำพูดของหลิงหลานได้โจมตีเขาอีกครั้ง หรือว่าเขาจะไม่เหมาะกับบทบาทนี้? หานจี้จวินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ความรู้สึกเขายิ่งดิ่งลงมากขึ้น

หลิงหลานเห็นสีหน้าของหานจี้จวินเปลี่ยนไป เธอก็รู้สึกว่าศีรษะตัวเองปวดขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมพวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายเธอถึงได้ชอบทำให้คนเป็นห่วงขนาดนี้นะ?

หลิงหลานได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อนหนักขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ความจริงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน แววตาที่หลินจงชิงมองมาที่ฉันทุกครั้งให้ความรู้สึกแบบนี้ บางทีฉันอาจจะคิดมากไป”

ถึงแม้สีหน้าของหลิงหลานจะดูสงสัยโอเวอร์มาก ทว่าคำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหกของหลิงหลานเลย เธอไม่รู้เป้าหมายของหลินจงชิงที่พยายามทำดีกับเธออย่างสุดความสามารถจริงๆ อย่างไรก็ตามหลิงหลานไม่ได้ร้อนใจ เธอเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธอจะต้องรู้แผนการของอีกฝ่ายแน่นอน

นอกจากนี้ เวลานี้พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหกขวบซนๆ ยังไม่ได้สร้างความขัดแย้งด้านผลประโยชน์อำนาจเท่าไหร่ ต่อให้หลินจงชิงวางแผนมากกว่านี้ ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับหลิงหลานมากเท่าไหร่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หลิงหลานไม่รู้สึกกังวลและไม่สนใจหลินจงชิงมาตลอด

คำพูดของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินทิ้งพวกความรู้สึกหดหู่ในใจออกไปชั่วคราว เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในเมื่อลูกพี่หลานพูดแบบนี้ หลินจงชิงต้องมีปัญหาแน่นอน พวกเราต้องระมัดระวังมากขึ้น” หานจี้จวินให้คะแนนความเชื่อมั่นในคำพูดตามลางสังหรณ์ที่ไร้ความรับผิดชอบของหลิงหลานโดยไม่ลังเล เขาเริ่มเตือนให้เพื่อนๆ เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

ไม่เพียงหานจี้จวินที่เชื่อมั่นคำพูดของหลิงหลาน ขนาดพวกฉีหลงกับลั่วล่างก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาทยอยกันพยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว

ความเชื่อมั่นอย่างไร้เหตุผลของพวกเพื่อนๆ ทำให้หลิงหลานเหงื่อตก ทว่าในใจมีความอบอุ่นที่ยากจะกล่าวเป็นคำพูดเอ่อขึ้นมาช้าๆ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจของเพื่อนใช่ไหม?

ชาติก่อนหลิงหลานใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาล ดิ้นรนอยู่บนเส้นความเป็นความตายมาตลอด เธอไม่เคยสัมผัสถึงความหมายของคำว่าเพื่อนมาก่อน แต่ตอนนี้หลิงหลานเหมือนกับเข้าใจนิดหน่อยแล้ว

ความจริงพิสูจน์แล้วว่า การคาดการณ์ของหานจี้จวินแม่นยำมาก หลินจงชิงไม่ใช่คนที่เจออุปสรรคแล้วจะกลัวหัวหด

ตอนเที่ยง พวกหลิงหลานเพิ่งจะเดินเข้าไปในโรงอาหารของสถาบัน ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยตะโกนเสียงจากด้านในว่า “หลิงหลาน ตรงนี้ตรงนี้”

หลิงหลานเงยหน้ามองไป หลินจงชิงโบกมือให้พวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าการปฏิบัติอย่างเย็นชาเมื่อตอนเช้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอยอมรับความหน้าหนาของหลินจงชิงโดยสิ้นเชิง ขนาดปฏิเสธอย่างไร้น้ำใจแบบนี้ เขายังกระตือรือร้นทักทายขนาดนี้ได้ยังไง? ความอดทนต่อการโจมตีของเด็กคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ

พวกฉีหลงมองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไง พวกเขาโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเจอเด็กที่ไม่มีโทสะแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่มีความคับข้องใจเลยสักนิดของหลินจงชินทำให้พวกเขาไม่สามารถทำใจแข็งปฏิเสธต่อไปได้ ขนาดหานจี้จวินที่มีนิสัยเย็นชายังเงียบกริบพูดไม่ออกเลย

หลิงหลานลอบถอนหายใจ เอาเถอะ เธอเองก็ไม่สามารถปฏิเสธเด็กที่ทำให้ตัวเองลำบากมาตลอดได้อีกเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “ลองคบหาเขาดูต่อไปอีกหน่อยละกัน พวกเราสี่คนกับเขาคนเดียว ดูยังไงเราก็ไม่เสียเปรียบ”

คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ทั้งสามคน ดังนั้นพวกเขาเลยเดินตรงไปหาหลินจงชิงที่โบกมือทักทายพวกเขา

แต่ความระแวดระวังในใจหลิงหลานกลับยิ่งรุนแรงขึ้น หลินจงชิงอดทนได้ขนาดนี้ แผนการของเขาย่อมไม่เล็กแน่นอน

เธออดทอดถอนใจไม่ได้ เด็กในโลกใบนี้ไม่ใช่คนแน่นอน…ต่อให้เธอเป็นคนที่อยู่มาสองชาติก็ทำได้แค่กดหัวพวกเขาเท่านั้น ถ้าเกิดเอาเด็กพวกนี้มาเปรียบเทียบกับตัวเธอตอนอายุหกขวบในชาติก่อนจริงๆ ละก็ เธอย่อมถูกทิ้งห่างจนถึงไซบีเรียที่แสนไกลแน่นอน

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+