I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 82 หลิงหลาน VS ฉินอี้

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 82 หลิงหลาน VS ฉินอี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ่า…” ในที่สุดชายหน้ายิ้มก็คงใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้แล้ว เขาทำหน้าตกตะลึง ทว่าเขาก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามอย่างลนลานว่า “นายบ้าไปแล้วหรือไง? นั่นเป็นศิษย์แรกเริ่มนะ สอนตั้งแต่แรกเริ่มเลยนะโว้ย ถ้าเกิดถูกผู้อาวุโสในตระกูลนายรู้เข้า นายแย่แน่”

“ฉันเห็นแนวโน้มที่ดีของอนาคตเด็กหัวเกรียนนั่น” ชายที่ทำหน้าโลงศพเฉยชามาก ราวกับกำลังบอกชายหน้ายิ้มว่า เขากำลังกลุ้มใจไปเปล่าๆ “นอกจากนี้ นายบอกว่าเด็กสองคนนั้นเหมือนกับพวกเราในตอนนั้นมากเลยไม่ใช่เหรอ”

คนที่เข้าใจชายหน้ายิ้มมากที่สุดก็ยังคงเป็นเขา การต่อสู้ของฉีหลงกับลั่วล่างทำให้ชายหน้ายิ้มนึกถึงตอนที่พวกเขารู้จักกัน ดึงความรู้สึกคิดถึงของชายหน้ายิ้มขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือนิสัยของลั่วล่างต่างก็ใกล้เคียงกับชายหน้ายิ้มอย่างมาก จึงทำให้ชายหน้ายิ้มมีใจจะรับลั่วล่างเป็นศิษย์แรกเริ่ม แน่นอนว่าการที่คุณสมบัติร่างกายของลั่วล่างก็โดดเด่นมากก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้เหมือนอีกสักแค่ไหน ถ้าไม่มีค่าพอให้อบรมสั่งสอน ชายหน้ายิ้มก็ไม่มีความคิดนี้เหมือนกัน

คำพูดของคนที่ทำหน้าเป็นโลงศพทำให้ชายหน้ายิ้มพูดโน้มน้าวไม่ออกอีก เขากระตุกริมฝีปาก สุดท้ายค่อยพูดออกมาประโยคหนึ่ง “บางทีพวกเขาอาจจะสืบทอดความฝันของเราก็ได้”

“หวังว่าจะได้นะ” ชายที่ทำหน้าเป็นโลงศพมองไปทางฉีหลง และแอบเผยรอยยิ้มที่จางสุดขีดออกมาในตอนที่ชายหน้ายิ้มมองไม่เห็น ทำให้ชายที่เดิมทีทำหน้าเคร่งเขรึมเป็นโลงศพนั้นดูอ่อนโยนขึ้นมาก

……………

การประลองจาก 13 อันดับแรกเข้าสู่ 7 อันดับแรกทำการแข่งพร้อมกัน หลังจากที่พวกหลิงหลานสามคนให้กำลังใจซึ่งกันและกันแล้ว พวกเขาก็ขึ้นไปบนสนามประลองของตัวเอง

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลิงหลาน VS ฉินอี้ สนามประลองนี้มีผู้คนมารวมตัวกันมากที่สุด นักเรียนห้องเอบางคนที่ถูกคัดออกไปแล้วต่างมาที่สนามประลองเองเพื่อชมดูการแข่งขันรอบนี้

แน่นอนว่าความรู้สึกของนักเรียนห้องเอต่างสับสน ไม่รู้ว่าจะหวังให้หลิงหลานเลื่อนอันดับด้วยกระบวนท่าเดียวต่อไป หรือว่าหวังให้มีคนสามารถทำลายเรื่องนี้ลงได้ ให้หลิงหลานกลับมาตรงหน้าพวกเขาจากสถานที่ที่เอื้อมไปไม่ถึง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบรรดาเพื่อนร่วมห้องจะคิดยังไง หลิงหลานกับฉินอี้กลับแสดงท่าทีเยือกเย็นมาก หลังจากที่กรรมการส่งเสียงว่าเริ่มได้ ฉินอี้ก็หลบไปที่ด้านข้างสนามประลองเป็นคนแรก ส่วนหลิงหลานก็ยืนอยู่ตรงกลางสนามประลอง คุมเชิงเว้นระยะห่างกับฝ่ายตรงข้าม

ทั้งสองฝ่ายก็หยุดนิ่งแบบนี้ไปในระหว่างการคุมเชิงนี้ เวลาเดินผ่านไปช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว ผู้ชมต่างอดกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่ได้

เวลานี้เอง ในที่สุดหนึ่งในสองคนนั้นก็ขยับแล้ว

คนที่ขยับคือหลิงหลาน ไม่ใช่ว่าความอดทนของเธอด้อยกว่าฉินอี้ หากแต่เธอตระหนักได้ว่ารอคอยอย่างห่อเหี่ยวแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลา ท่วงท่าฉินอี้แสดงออกมาคือท่าป้องกัน เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจไม่โจมตีก่อน

สาเหตุที่ฉินอี้ทำแบบนี้เป็นเพราะเขาศึกษาการแข่งขันรอบก่อนๆ ของหลิงหลาน พบว่าคู่แข่งที่ถูกหลิงหลานล้มในกระบวนท่าเดียวต่างก็เป็นคู่แข่งที่ลงมือโจมตีก่อน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าการป้องกันโจมตีกลับจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่ฉินอี้ยังกอดความหวังเอาไว้ ยืนหยัดในแผนการนี้ รอให้หลิงหลานโจมตีมาเอง

ฉินอี้ยังคงมีความมั่นใจในตัวเอง เขาเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามที่เขาจับจ้องอย่างใจจดใจจ่อน่าจะทำให้เขามองเห็นวิธีการโจมตีของอีกฝ่าย บางทีเขาอาจจะทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้

หลิงหลานรู้ความคิดของฝ่ายตรงข้ามดีก็เลยไม่อยากเสียเวลาแล้ว ดังนั้นคราวนี้เธอจึงทำการโจมตีก่อน

หลิงหลานพุ่งขึ้นหน้าไปอย่างเร่งรีบ มือขวากำหมัดโจมตีไปที่ฉินอี้ กำปั้นที่โจมตีออกไปนี้ส่งเสียงดังระเบิดอากาศ มองเห็นได้ว่าพละกำลังและความเร็วน่ากลัวแน่นอน

อาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินแพ้ชนะของคนทั้งสองในคราวนี้ไม่ใช่อาจารย์ในรอบที่แล้วคนนั้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นหลิงหลานการโจมตีของหลิงหลาน แววตาก็เผยร่องรอยความประหลาดใจ ความประหลาดใจนี้ไม่ใช่เป็นเพราะพละกำลังและความเร็วของหลิงหลาน หากแต่เป็นกระบวนท่านี้

หลิงหลานใช้กระบวนท่าเดียวเลื่อนอันดับติดต่อกันหลายครั้งทำให้อาจารย์มากมายเกิดความสงสัยในตัวหลิงหลาน ดังนั้นก็เลยดูวิดีโอการต่อสู้ของหลิงหลาน และอาจารย์ที่ทำหน้าที่ตัดสินคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นวิธีการโจมตีของหลิงหลานในครั้งนี้ทำให้เขามองที่มาของมันออก

นี่เป็นวิธีการโจมตีของคู่ต่อสู้คนแรกในศึกจัดอันดับของหลิงหลาน แน่นอนว่าหลิงหลานใช้มันออกมา พละกำลังและความเร็วในการโจมตีนี้รุนแรงแล้วฉับไวมากกว่าอีกฝ่าย ในขณะที่เหวี่ยงกำปั้นด้วยแรงมหาศาลก็จะเผยช่องโหว่ที่หน้าอกออกมา เธอใช้มือซ้ายขวางหน้าอกเพื่อหนุนไว้อย่างเงียบๆ พูดได้ว่าช่องโหว่นี้ไม่ใช่ช่องโหว่อีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นกับดักที่ซ่อนเอาไว้

นี่เป็นผลจากการศึกษาวิจัยของหลิงหลานกับเสี่ยวซื่อ หลิงหลานขาดแคลนกระบวนท่าต่อสู้ตามกฎของสนามประลอง นี่จึงทำให้หลิงหลานจำเป็นต้องแอบเรียนจากเพื่อนร่วมชั้น สุดท้ายมันก็ถูกเธอศึกษาออกมาได้สิบกว่าท่า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานใช้ในการประลอง

เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดานักเรียนที่มึนงงแล้ว อาจารย์ที่มากประสบการณ์เห็นแวบเดียวก็มองออกถึงที่มาของกระบวนท่านี้ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมแววตาของอาจารย์ถึงเผยความประหลาดใจออกมา

ฉินอี้เห็นหลิงหลานโจมตีเข้ามา ร่างกายเขาก็ทำการตอบสนองหลบไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็วยิ่ง หลิงหลานโจมตีพลาดเป้า ยังไม่ทันที่เธอจะต่อกระบวนท่าที่สอง ฉินอี้ก็ถอยหลบหลีกติดต่อกันหลายก้าวอย่างเร็วไว และเว้นระยะห่างกับหลิงหลานประมาณเจ็ดแปดเมตรอีกครั้ง

“เขาระมัดระวังตัวจริงๆ แต่ว่าลูกพี่ ทำไมเธอถึงต้องลดความเร็วกับพละกำลังลง 70% ด้วยล่ะ? ถ้าใช้ความเร็วตามปกติของเธอ เขาหลบไม่พ้นแน่” เสี่ยวซื่อที่ชมการต่อสู้รู้สึกอัดอั้นตันใจมาก เห็นได้ชัดว่าสามารถจัดการได้ในท่าเดียว แต่ทำไมลูกพี่ถึงต้องปล่อยไปล่ะ

“ไม่ว่ายังไงก็ต้องต่อสู้ให้ได้สิบกระบวนท่าขึ้นไป ฉันไม่อยากเห็นสายตาขุ่นเคืองของอาจารย์อีกต่อไปแล้ว” หลิงหลานกลัวแล้ว เธอตัดสินใจอู้ไปก่อนดีกว่า

เมื่อคืนเธอฝึกฝนในมิติการเรียนรู้ทั้งคืน ความจริงแล้วมีเวลาสองเดือน ในที่สุดเธอก็จัดการผลตกค้างนั้นได้แล้ว เมื่อประเมินตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เธอใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบจะครึ่งปี (ในมิติการเรียนรู้) สุดท้ายก็กำจัดภัยอันตรายนั้นได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่วันนี้หลิงหลานสามารถควบคุมพละกำลังและความเร็วของตัวเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้หลิงหลานอยากปล่อยไป ก็ทำไม่ได้

เสี่ยวซื่อได้รับคำตอบก็ไม่ได้เอ่ยปากอีก เขายังจำที่หลิงหลานเคยเตือนเขาได้ว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าส่งเสียงรบกวนในตอนที่เธอกำลังต่อสู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหลบหนีไปไกล และหลิงหลานไม่ได้โจมตีต่อโดยไม่หยุดพัก เขาก็คงไม่ส่งเสียงถามออกมา

หลิงหลานเห็นฉินอี้เตรียมตัวเสร็จแล้วก็พุ่งขึ้นหน้าไปอีกครั้ง เมื่อเธอเข้าไปใกล้ข้างกายฉินอี้ก็เตะขาออกไปทางด้านข้าง หลิงหลานจำเป็นต้องระมัดระวังเล็กน้อยและสนใจสภาพของฉินอี้อย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะถ่วงให้เกินสิบท่า เธอไม่อยากให้ตัวเองเก็บงำความเร็วและเรี่ยวแรงไว้แล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับถูกเธอซัดจนล้มเพียงเพราะไม่ได้เตรียมตัวให้ดีหรอกนะ นี่เป็นเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอนว่า อาจารย์ที่เคยศึกษาหลิงหลานมาก่อนสามารถมองออกได้ว่า ลูกเตะด้านข้างนี้ก็เป็นวิธีการโจมตีของหนึ่งในคู่ต่อสู้ของหลิงหลาน แต่ว่าลูกเตะด้านข้างของหลิงหลานกลับธรรมดา มันไม่ได้เตรียมสะสมพลังควงสว่านตั้งแต่ตอนแรกเลย

ถึงแม้ว่าวิธีการสะสมพลังจะทำให้ลูกเตะด้านข้างเพิ่มพลังไปได้ 30% จริงๆ แต่การควงสว่างไม่เพียงลดความเร็วในการโจมตี มันยังเผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ออกมาด้วย นั่นก็คือตรงกลางจะมีช่วงเวลาที่หันหลังให้ศัตรู ขอเพียงศัตรูคว้าโอกาสนี้ไปได้ ไม่เพียงจะทำลายกระบวนท่านี้ได้ง่ายๆ แล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกอีกฝ่ายโต้กลับจนได้รับบาดเจ็บหนัก นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานสามารถเตะอีกฝ่ายกระเด็นออกไป

ดังนั้นหลิงหลานเลยทิ้งการควงสว่างนั้นไปอย่างเด็ดขาด และเลือกที่จะเตะออกไปทางด้านข้างหลังจากที่หันแค่ครึ่งตัว การเคลื่อนไหวเรียบง่าย แต่พละกำลังที่เพิ่มขึ้นยังคงถูกเก็บงำไว้ส่วนหนึ่ง หลิงหลานประเมินดูแล้ว ถ้าพลังที่สะสมน้อยก็เพิ่มขึ้น 15% ถ้าดีขึ้นมาหน่อย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้น 20% สูญเสียแค่การสะสมพลังไป 10% นั้น แต่ว่าการสูญเสียเล็กน้อยนี้กลับแก้ไขช่องโหว่ใหญ่ข้อนั้นได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเร็วในการโจมตี คุ้มค่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

บางทีลูกเตะนี้อาจจะรุนแรงเกินไป ถึงแม้ฉินอี้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เขายังคงถูกลูกเตะที่ดุดันของหลิงหลานขู่จนตกใจกลัว เขาตระหนักได้ทันทีว่า ทำไมหลิงหลานสามารถเตะคู่ต่อสู้ลงจากสนามประลองได้ในครั้งเดียว ดูจากพละกำลังนี้ มันย่อมอยู่ในระดับที่น่ากลัวแน่นอน ตอนนี้ฉินอี้ยังไม่รู้ว่า นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่หลิงหลานเก็บงำความเร็วและพละกำลังไป 70% แล้ว

ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของฉินอี้พิสูจน์ว่าเขาเก่งกาจเหนือใครอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับลูกเตะด้านข้างที่ทรงพลังของหลิงหลาน เขาก็ยังหลบพ้น

เวลานี้ เพื่อนร่วมชั้นที่ชมการต่อสู้เริ่มส่งเสียงให้กำลังใจฉินอี้ ใครใช้ให้หลิงหลานทำตัวเป็นปีศาจอัจฉริยะและโอเวอร์มากเกินไปในการประลองหลายรอบที่ผ่านมา จนทำให้พวกเพื่อนร่วมชั้นอดเกิดความรู้สึกเกลียดชังเห็นเป็นศัตรูร่วมกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเห็นฉินอี้ยืนหยัดไว้ได้สองกระบวนท่า พวกเขาก็ทยอยกันส่งเสียงเชียร์ หวังว่าเขาจะปิดฉากตำนานของหลิงหลานเอาไว้ได้

ความรู้สึกตึงเครียดแต่เดิมฉินอี้เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เสียงให้กำลังใจของเพื่อนร่วมชั้น เขาคิดว่าแผนรับมือตั้งแต่เริ่มแรกของเขาไม่ผิดพลาด หลิงหลานเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการจับจุดอ่อนของศัตรูจริงๆ คนที่โจมตีก่อนจะถูกเขาฉวยโอกาสไว้ ถึงได้สามารถเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ตอนที่หลิงหลานโจมตีเอง บทบาทก็สลับกัน หลิงหลานไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้

ไม่นาน หลิงหลานก็โจมตีติดต่อกันหลายท่า ถ้าหากฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินอยู่ละก็ บางทีพวกเขาอาจจะตะลึงงันอยู่บ้าง เนื่องจากกระบวนท่าของหลิงหลานทั้งหลายนี้ทำให้เขาพวกเขารู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา ไม่ผิด กระบวนท่าพวกนี้เป็นกระบวนท่าที่หลิงหลานขโมยเรียนมาในตอนที่ต่อสู้กับพวกเขา แต่ว่าเธอทำการดัดแปลงการเคลื่อนไหวพวกนี้ในระดับหนึ่งภายใต้การศึกษาวิจัยของเธอกับเสี่ยวซื่อ ไม่ใช่ว่ากระบวนท่าของพวกฉีหลงมีปัญหา แต่หลิงหลานดัดแปลงกระบวนท่าพวกนี้ให้เหมาะกับสภาพร่างกายของเธอมากที่สุด

“เอ่อ ลูกพี่ ท่าที่สิบแล้วนะ”  เสี่ยวซื่อไม่ได้ชมการต่อสู้ไปเปล่าๆ เขานับกระบวนท่าให้หลิงหลานด้วยความจริงจังมาก

“ถึงแล้ว? ในที่สุดก็หลุดพ้นได้เสียที” เก็บเรี่ยวแรงเก็บความเร็ว แล้วยังต้องประเมินการตอบสนองของอีกฝ่าย หลิงหลานโจมตีสิบกระบวนท่านี้ด้วยไม่สบอารมณ์สุดขีด เมื่อเธอได้ยินเสี่ยวซื่อบอกว่าครบสิบท่าแล้ว เธอก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีอย่างยิ่ง

เวลานี้เองฉินอี้ได้ทำความคุ้นเคยกับความเร็วและพละกำลังในการโจมตีของหลิงหลานแล้ว เขาคิดว่าตัวเองสามารถรับมือกับการโจมตีของหลิงหลานได้ ก็เลยคิดว่าควรจะทำการโจมตีกลับ ถึงยังไงอาศัยแค่การป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถคว้าชัยชนะมาได้ ถึงแม้เขาจะระวังตัวมากๆ ต่อความสามารถของหลิงหลานที่เชี่ยวชาญเรื่องการคว้าโอกาส แต่เขาเชื่อว่าต่อให้ถูกอีกฝ่ายคว้าโอกาสไปได้ เขาก็สามารถรับมือได้โดยอาศัยความเร็วและการตอบสนองของเขาเช่นกัน

ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจลองโจมตีหยั่งเชิงดูสักครั้ง แต่การโจมตีที่เขาเลือกคือกระบวนท่าที่สืบทอดมาในตระกูลของเขา กระบวนท่าโจมตีที่เหมาะกับการรับมือสถานการณ์มากที่สุด

“เขาโจมตีแล้ว” เสี่ยวซื่อร้องขึ้นมา ฉินอี้ทำการหลบมาตลอดไถลตัวออกไปราวกับปลาตัวน้อยในน้ำ นี่ทำให้เสี่ยวซื่อไม่พอใจอย่างยิ่ง คราวนี้พอเขาเห็นอีกฝ่ายทำการโจมตีก่อนในที่สุด เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ

“โจมตีที่ไม่ใช่การโจมตี ป้องกันที่ไม่ใช่การป้องกัน มันต้องมีทางหนีทีไล่แน่นอนน” ฉินอี้ที่คิดว่าความเร็วของตัวเองรวดเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงท่วงท่าก็ลึกลับเข้าใจยากมากเช่นกัน แต่ในสายตาของหลิงหลาน ความเร็วของเขาชักช้าอยู่บ้าง เห็นการเปลี่ยนท่วงท่านั้นครั้งเดียวก็สามารถเห็นได้ชัดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสังเกตเห็นช่องโหว่ที่อับสายตาของท่าป้องกันนี้ด้วย

……………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 82 หลิงหลาน VS ฉินอี้

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 82 หลิงหลาน VS ฉินอี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ่า…” ในที่สุดชายหน้ายิ้มก็คงใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้แล้ว เขาทำหน้าตกตะลึง ทว่าเขาก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามอย่างลนลานว่า “นายบ้าไปแล้วหรือไง? นั่นเป็นศิษย์แรกเริ่มนะ สอนตั้งแต่แรกเริ่มเลยนะโว้ย ถ้าเกิดถูกผู้อาวุโสในตระกูลนายรู้เข้า นายแย่แน่”

“ฉันเห็นแนวโน้มที่ดีของอนาคตเด็กหัวเกรียนนั่น” ชายที่ทำหน้าโลงศพเฉยชามาก ราวกับกำลังบอกชายหน้ายิ้มว่า เขากำลังกลุ้มใจไปเปล่าๆ “นอกจากนี้ นายบอกว่าเด็กสองคนนั้นเหมือนกับพวกเราในตอนนั้นมากเลยไม่ใช่เหรอ”

คนที่เข้าใจชายหน้ายิ้มมากที่สุดก็ยังคงเป็นเขา การต่อสู้ของฉีหลงกับลั่วล่างทำให้ชายหน้ายิ้มนึกถึงตอนที่พวกเขารู้จักกัน ดึงความรู้สึกคิดถึงของชายหน้ายิ้มขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือนิสัยของลั่วล่างต่างก็ใกล้เคียงกับชายหน้ายิ้มอย่างมาก จึงทำให้ชายหน้ายิ้มมีใจจะรับลั่วล่างเป็นศิษย์แรกเริ่ม แน่นอนว่าการที่คุณสมบัติร่างกายของลั่วล่างก็โดดเด่นมากก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้เหมือนอีกสักแค่ไหน ถ้าไม่มีค่าพอให้อบรมสั่งสอน ชายหน้ายิ้มก็ไม่มีความคิดนี้เหมือนกัน

คำพูดของคนที่ทำหน้าเป็นโลงศพทำให้ชายหน้ายิ้มพูดโน้มน้าวไม่ออกอีก เขากระตุกริมฝีปาก สุดท้ายค่อยพูดออกมาประโยคหนึ่ง “บางทีพวกเขาอาจจะสืบทอดความฝันของเราก็ได้”

“หวังว่าจะได้นะ” ชายที่ทำหน้าเป็นโลงศพมองไปทางฉีหลง และแอบเผยรอยยิ้มที่จางสุดขีดออกมาในตอนที่ชายหน้ายิ้มมองไม่เห็น ทำให้ชายที่เดิมทีทำหน้าเคร่งเขรึมเป็นโลงศพนั้นดูอ่อนโยนขึ้นมาก

……………

การประลองจาก 13 อันดับแรกเข้าสู่ 7 อันดับแรกทำการแข่งพร้อมกัน หลังจากที่พวกหลิงหลานสามคนให้กำลังใจซึ่งกันและกันแล้ว พวกเขาก็ขึ้นไปบนสนามประลองของตัวเอง

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลิงหลาน VS ฉินอี้ สนามประลองนี้มีผู้คนมารวมตัวกันมากที่สุด นักเรียนห้องเอบางคนที่ถูกคัดออกไปแล้วต่างมาที่สนามประลองเองเพื่อชมดูการแข่งขันรอบนี้

แน่นอนว่าความรู้สึกของนักเรียนห้องเอต่างสับสน ไม่รู้ว่าจะหวังให้หลิงหลานเลื่อนอันดับด้วยกระบวนท่าเดียวต่อไป หรือว่าหวังให้มีคนสามารถทำลายเรื่องนี้ลงได้ ให้หลิงหลานกลับมาตรงหน้าพวกเขาจากสถานที่ที่เอื้อมไปไม่ถึง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบรรดาเพื่อนร่วมห้องจะคิดยังไง หลิงหลานกับฉินอี้กลับแสดงท่าทีเยือกเย็นมาก หลังจากที่กรรมการส่งเสียงว่าเริ่มได้ ฉินอี้ก็หลบไปที่ด้านข้างสนามประลองเป็นคนแรก ส่วนหลิงหลานก็ยืนอยู่ตรงกลางสนามประลอง คุมเชิงเว้นระยะห่างกับฝ่ายตรงข้าม

ทั้งสองฝ่ายก็หยุดนิ่งแบบนี้ไปในระหว่างการคุมเชิงนี้ เวลาเดินผ่านไปช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว ผู้ชมต่างอดกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่ได้

เวลานี้เอง ในที่สุดหนึ่งในสองคนนั้นก็ขยับแล้ว

คนที่ขยับคือหลิงหลาน ไม่ใช่ว่าความอดทนของเธอด้อยกว่าฉินอี้ หากแต่เธอตระหนักได้ว่ารอคอยอย่างห่อเหี่ยวแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลา ท่วงท่าฉินอี้แสดงออกมาคือท่าป้องกัน เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจไม่โจมตีก่อน

สาเหตุที่ฉินอี้ทำแบบนี้เป็นเพราะเขาศึกษาการแข่งขันรอบก่อนๆ ของหลิงหลาน พบว่าคู่แข่งที่ถูกหลิงหลานล้มในกระบวนท่าเดียวต่างก็เป็นคู่แข่งที่ลงมือโจมตีก่อน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าการป้องกันโจมตีกลับจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่ฉินอี้ยังกอดความหวังเอาไว้ ยืนหยัดในแผนการนี้ รอให้หลิงหลานโจมตีมาเอง

ฉินอี้ยังคงมีความมั่นใจในตัวเอง เขาเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามที่เขาจับจ้องอย่างใจจดใจจ่อน่าจะทำให้เขามองเห็นวิธีการโจมตีของอีกฝ่าย บางทีเขาอาจจะทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้

หลิงหลานรู้ความคิดของฝ่ายตรงข้ามดีก็เลยไม่อยากเสียเวลาแล้ว ดังนั้นคราวนี้เธอจึงทำการโจมตีก่อน

หลิงหลานพุ่งขึ้นหน้าไปอย่างเร่งรีบ มือขวากำหมัดโจมตีไปที่ฉินอี้ กำปั้นที่โจมตีออกไปนี้ส่งเสียงดังระเบิดอากาศ มองเห็นได้ว่าพละกำลังและความเร็วน่ากลัวแน่นอน

อาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินแพ้ชนะของคนทั้งสองในคราวนี้ไม่ใช่อาจารย์ในรอบที่แล้วคนนั้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นหลิงหลานการโจมตีของหลิงหลาน แววตาก็เผยร่องรอยความประหลาดใจ ความประหลาดใจนี้ไม่ใช่เป็นเพราะพละกำลังและความเร็วของหลิงหลาน หากแต่เป็นกระบวนท่านี้

หลิงหลานใช้กระบวนท่าเดียวเลื่อนอันดับติดต่อกันหลายครั้งทำให้อาจารย์มากมายเกิดความสงสัยในตัวหลิงหลาน ดังนั้นก็เลยดูวิดีโอการต่อสู้ของหลิงหลาน และอาจารย์ที่ทำหน้าที่ตัดสินคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นวิธีการโจมตีของหลิงหลานในครั้งนี้ทำให้เขามองที่มาของมันออก

นี่เป็นวิธีการโจมตีของคู่ต่อสู้คนแรกในศึกจัดอันดับของหลิงหลาน แน่นอนว่าหลิงหลานใช้มันออกมา พละกำลังและความเร็วในการโจมตีนี้รุนแรงแล้วฉับไวมากกว่าอีกฝ่าย ในขณะที่เหวี่ยงกำปั้นด้วยแรงมหาศาลก็จะเผยช่องโหว่ที่หน้าอกออกมา เธอใช้มือซ้ายขวางหน้าอกเพื่อหนุนไว้อย่างเงียบๆ พูดได้ว่าช่องโหว่นี้ไม่ใช่ช่องโหว่อีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นกับดักที่ซ่อนเอาไว้

นี่เป็นผลจากการศึกษาวิจัยของหลิงหลานกับเสี่ยวซื่อ หลิงหลานขาดแคลนกระบวนท่าต่อสู้ตามกฎของสนามประลอง นี่จึงทำให้หลิงหลานจำเป็นต้องแอบเรียนจากเพื่อนร่วมชั้น สุดท้ายมันก็ถูกเธอศึกษาออกมาได้สิบกว่าท่า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานใช้ในการประลอง

เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดานักเรียนที่มึนงงแล้ว อาจารย์ที่มากประสบการณ์เห็นแวบเดียวก็มองออกถึงที่มาของกระบวนท่านี้ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมแววตาของอาจารย์ถึงเผยความประหลาดใจออกมา

ฉินอี้เห็นหลิงหลานโจมตีเข้ามา ร่างกายเขาก็ทำการตอบสนองหลบไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็วยิ่ง หลิงหลานโจมตีพลาดเป้า ยังไม่ทันที่เธอจะต่อกระบวนท่าที่สอง ฉินอี้ก็ถอยหลบหลีกติดต่อกันหลายก้าวอย่างเร็วไว และเว้นระยะห่างกับหลิงหลานประมาณเจ็ดแปดเมตรอีกครั้ง

“เขาระมัดระวังตัวจริงๆ แต่ว่าลูกพี่ ทำไมเธอถึงต้องลดความเร็วกับพละกำลังลง 70% ด้วยล่ะ? ถ้าใช้ความเร็วตามปกติของเธอ เขาหลบไม่พ้นแน่” เสี่ยวซื่อที่ชมการต่อสู้รู้สึกอัดอั้นตันใจมาก เห็นได้ชัดว่าสามารถจัดการได้ในท่าเดียว แต่ทำไมลูกพี่ถึงต้องปล่อยไปล่ะ

“ไม่ว่ายังไงก็ต้องต่อสู้ให้ได้สิบกระบวนท่าขึ้นไป ฉันไม่อยากเห็นสายตาขุ่นเคืองของอาจารย์อีกต่อไปแล้ว” หลิงหลานกลัวแล้ว เธอตัดสินใจอู้ไปก่อนดีกว่า

เมื่อคืนเธอฝึกฝนในมิติการเรียนรู้ทั้งคืน ความจริงแล้วมีเวลาสองเดือน ในที่สุดเธอก็จัดการผลตกค้างนั้นได้แล้ว เมื่อประเมินตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เธอใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบจะครึ่งปี (ในมิติการเรียนรู้) สุดท้ายก็กำจัดภัยอันตรายนั้นได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่วันนี้หลิงหลานสามารถควบคุมพละกำลังและความเร็วของตัวเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้หลิงหลานอยากปล่อยไป ก็ทำไม่ได้

เสี่ยวซื่อได้รับคำตอบก็ไม่ได้เอ่ยปากอีก เขายังจำที่หลิงหลานเคยเตือนเขาได้ว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าส่งเสียงรบกวนในตอนที่เธอกำลังต่อสู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหลบหนีไปไกล และหลิงหลานไม่ได้โจมตีต่อโดยไม่หยุดพัก เขาก็คงไม่ส่งเสียงถามออกมา

หลิงหลานเห็นฉินอี้เตรียมตัวเสร็จแล้วก็พุ่งขึ้นหน้าไปอีกครั้ง เมื่อเธอเข้าไปใกล้ข้างกายฉินอี้ก็เตะขาออกไปทางด้านข้าง หลิงหลานจำเป็นต้องระมัดระวังเล็กน้อยและสนใจสภาพของฉินอี้อย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะถ่วงให้เกินสิบท่า เธอไม่อยากให้ตัวเองเก็บงำความเร็วและเรี่ยวแรงไว้แล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับถูกเธอซัดจนล้มเพียงเพราะไม่ได้เตรียมตัวให้ดีหรอกนะ นี่เป็นเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอนว่า อาจารย์ที่เคยศึกษาหลิงหลานมาก่อนสามารถมองออกได้ว่า ลูกเตะด้านข้างนี้ก็เป็นวิธีการโจมตีของหนึ่งในคู่ต่อสู้ของหลิงหลาน แต่ว่าลูกเตะด้านข้างของหลิงหลานกลับธรรมดา มันไม่ได้เตรียมสะสมพลังควงสว่านตั้งแต่ตอนแรกเลย

ถึงแม้ว่าวิธีการสะสมพลังจะทำให้ลูกเตะด้านข้างเพิ่มพลังไปได้ 30% จริงๆ แต่การควงสว่างไม่เพียงลดความเร็วในการโจมตี มันยังเผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ออกมาด้วย นั่นก็คือตรงกลางจะมีช่วงเวลาที่หันหลังให้ศัตรู ขอเพียงศัตรูคว้าโอกาสนี้ไปได้ ไม่เพียงจะทำลายกระบวนท่านี้ได้ง่ายๆ แล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกอีกฝ่ายโต้กลับจนได้รับบาดเจ็บหนัก นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานสามารถเตะอีกฝ่ายกระเด็นออกไป

ดังนั้นหลิงหลานเลยทิ้งการควงสว่างนั้นไปอย่างเด็ดขาด และเลือกที่จะเตะออกไปทางด้านข้างหลังจากที่หันแค่ครึ่งตัว การเคลื่อนไหวเรียบง่าย แต่พละกำลังที่เพิ่มขึ้นยังคงถูกเก็บงำไว้ส่วนหนึ่ง หลิงหลานประเมินดูแล้ว ถ้าพลังที่สะสมน้อยก็เพิ่มขึ้น 15% ถ้าดีขึ้นมาหน่อย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้น 20% สูญเสียแค่การสะสมพลังไป 10% นั้น แต่ว่าการสูญเสียเล็กน้อยนี้กลับแก้ไขช่องโหว่ใหญ่ข้อนั้นได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเร็วในการโจมตี คุ้มค่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

บางทีลูกเตะนี้อาจจะรุนแรงเกินไป ถึงแม้ฉินอี้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เขายังคงถูกลูกเตะที่ดุดันของหลิงหลานขู่จนตกใจกลัว เขาตระหนักได้ทันทีว่า ทำไมหลิงหลานสามารถเตะคู่ต่อสู้ลงจากสนามประลองได้ในครั้งเดียว ดูจากพละกำลังนี้ มันย่อมอยู่ในระดับที่น่ากลัวแน่นอน ตอนนี้ฉินอี้ยังไม่รู้ว่า นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่หลิงหลานเก็บงำความเร็วและพละกำลังไป 70% แล้ว

ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของฉินอี้พิสูจน์ว่าเขาเก่งกาจเหนือใครอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับลูกเตะด้านข้างที่ทรงพลังของหลิงหลาน เขาก็ยังหลบพ้น

เวลานี้ เพื่อนร่วมชั้นที่ชมการต่อสู้เริ่มส่งเสียงให้กำลังใจฉินอี้ ใครใช้ให้หลิงหลานทำตัวเป็นปีศาจอัจฉริยะและโอเวอร์มากเกินไปในการประลองหลายรอบที่ผ่านมา จนทำให้พวกเพื่อนร่วมชั้นอดเกิดความรู้สึกเกลียดชังเห็นเป็นศัตรูร่วมกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเห็นฉินอี้ยืนหยัดไว้ได้สองกระบวนท่า พวกเขาก็ทยอยกันส่งเสียงเชียร์ หวังว่าเขาจะปิดฉากตำนานของหลิงหลานเอาไว้ได้

ความรู้สึกตึงเครียดแต่เดิมฉินอี้เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เสียงให้กำลังใจของเพื่อนร่วมชั้น เขาคิดว่าแผนรับมือตั้งแต่เริ่มแรกของเขาไม่ผิดพลาด หลิงหลานเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการจับจุดอ่อนของศัตรูจริงๆ คนที่โจมตีก่อนจะถูกเขาฉวยโอกาสไว้ ถึงได้สามารถเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ตอนที่หลิงหลานโจมตีเอง บทบาทก็สลับกัน หลิงหลานไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้

ไม่นาน หลิงหลานก็โจมตีติดต่อกันหลายท่า ถ้าหากฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินอยู่ละก็ บางทีพวกเขาอาจจะตะลึงงันอยู่บ้าง เนื่องจากกระบวนท่าของหลิงหลานทั้งหลายนี้ทำให้เขาพวกเขารู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา ไม่ผิด กระบวนท่าพวกนี้เป็นกระบวนท่าที่หลิงหลานขโมยเรียนมาในตอนที่ต่อสู้กับพวกเขา แต่ว่าเธอทำการดัดแปลงการเคลื่อนไหวพวกนี้ในระดับหนึ่งภายใต้การศึกษาวิจัยของเธอกับเสี่ยวซื่อ ไม่ใช่ว่ากระบวนท่าของพวกฉีหลงมีปัญหา แต่หลิงหลานดัดแปลงกระบวนท่าพวกนี้ให้เหมาะกับสภาพร่างกายของเธอมากที่สุด

“เอ่อ ลูกพี่ ท่าที่สิบแล้วนะ”  เสี่ยวซื่อไม่ได้ชมการต่อสู้ไปเปล่าๆ เขานับกระบวนท่าให้หลิงหลานด้วยความจริงจังมาก

“ถึงแล้ว? ในที่สุดก็หลุดพ้นได้เสียที” เก็บเรี่ยวแรงเก็บความเร็ว แล้วยังต้องประเมินการตอบสนองของอีกฝ่าย หลิงหลานโจมตีสิบกระบวนท่านี้ด้วยไม่สบอารมณ์สุดขีด เมื่อเธอได้ยินเสี่ยวซื่อบอกว่าครบสิบท่าแล้ว เธอก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีอย่างยิ่ง

เวลานี้เองฉินอี้ได้ทำความคุ้นเคยกับความเร็วและพละกำลังในการโจมตีของหลิงหลานแล้ว เขาคิดว่าตัวเองสามารถรับมือกับการโจมตีของหลิงหลานได้ ก็เลยคิดว่าควรจะทำการโจมตีกลับ ถึงยังไงอาศัยแค่การป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถคว้าชัยชนะมาได้ ถึงแม้เขาจะระวังตัวมากๆ ต่อความสามารถของหลิงหลานที่เชี่ยวชาญเรื่องการคว้าโอกาส แต่เขาเชื่อว่าต่อให้ถูกอีกฝ่ายคว้าโอกาสไปได้ เขาก็สามารถรับมือได้โดยอาศัยความเร็วและการตอบสนองของเขาเช่นกัน

ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจลองโจมตีหยั่งเชิงดูสักครั้ง แต่การโจมตีที่เขาเลือกคือกระบวนท่าที่สืบทอดมาในตระกูลของเขา กระบวนท่าโจมตีที่เหมาะกับการรับมือสถานการณ์มากที่สุด

“เขาโจมตีแล้ว” เสี่ยวซื่อร้องขึ้นมา ฉินอี้ทำการหลบมาตลอดไถลตัวออกไปราวกับปลาตัวน้อยในน้ำ นี่ทำให้เสี่ยวซื่อไม่พอใจอย่างยิ่ง คราวนี้พอเขาเห็นอีกฝ่ายทำการโจมตีก่อนในที่สุด เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ

“โจมตีที่ไม่ใช่การโจมตี ป้องกันที่ไม่ใช่การป้องกัน มันต้องมีทางหนีทีไล่แน่นอนน” ฉินอี้ที่คิดว่าความเร็วของตัวเองรวดเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงท่วงท่าก็ลึกลับเข้าใจยากมากเช่นกัน แต่ในสายตาของหลิงหลาน ความเร็วของเขาชักช้าอยู่บ้าง เห็นการเปลี่ยนท่วงท่านั้นครั้งเดียวก็สามารถเห็นได้ชัดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสังเกตเห็นช่องโหว่ที่อับสายตาของท่าป้องกันนี้ด้วย

……………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+