I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 246 มีดีอะไร?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 246 มีดีอะไร? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายหน้าเด็กมองนิ้วมือของหลี่ซื่ออวี๋อย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าไม่มีบาดแผลก็ค่อยโล่งใจทันที ถ้าหากมือของหลี่ซื่ออวี๋เสียหายสักเล็กน้อยละก็ เขาจะต้องถูกบรรดาพันเอกที่เป็นอาจารย์แพทย์ทหารคณะแพทยศาสตร์ตัดแขนตัดขาทิ้ง หลังจากนั้นก็กลายเป็นตัวอย่างให้คณะแพทย์ทำการวิจัยแน่นอน

ควรทราบไว้ว่าหลี่ซื่ออวี๋คือสมบัติในใจอาจารย์ภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทั้งหมด อาจารย์ทุกคนต่างอยากรับหลี่ซื่ออวี๋เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของตัวเอง ถึงขนาดที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่อีกด้วย สุดท้ายพลตรีฉีหัวหน้าภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทนมองไม่ไหว ออกหน้าประกาศให้หลี่ซื่ออวี๋กลายเป็นลูกศิษย์ของพวกอาจารย์ร่วมกัน ถึงค่อยทำให้การทะเลาะกันในครั้งนั้นสงบลงได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หลี่ซื่ออวี๋มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครเช่นนี้ในภาควิชาของเขา

หลี่ซื่ออวี๋เห็นเพื่อนสนิททำหน้ากังวล ในใจก็รู้สึกตื้นตัน เขาเก็บมือกลับมาและเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “อวิ๋นซิว ฉันไม่เป็นไร!”

“ไม่เป็นไรก็ดี เมื่อตะกี้นายเป็นไรถึงได้โมโหขนาดนี้?” อวิ๋นซิวเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าอะไรสะเทือนใจหลี่ซื่อวี๋กันแน่?

หลี่ซื่ออวี๋มองไปทางอวิ๋นซิว เอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ “นายยังจำตอนต่อสู้ประจัญบานในปีนั้นที่ฉันไม่ได้อยู่ในสถาบันได้หรือเปล่า?”

อวิ๋นซิวนึกออกแล้วก็ผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันยังเสียดายที่นายพลาดการต่อสู้ประจัญบานครั้งนั้นอยู่เลย ไม่อย่างนั้นนายก็สามารถประมือกับญาติผู้น้องของนายได้สักครั้งแล้ว” จากนั้นเขานึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่หลี่ซื่ออวี๋กลับมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียดายว่า “เดิมทีฉันคิดว่านายจะสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซะอีก ไม่นึกเลยว่ากลับมาแล้ว จู่ๆ ก็บอกฉันว่านายจะเป็นแพทย์ทหาร ฉันยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้เลย…”

อวิ๋นซิวกล่าวถึงตรงนี้ก็ทำหน้าสงสัย เขายังอยากรู้จวบจนกระทั่งตอนนี้ แค่จากไปเป็นเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ หลังจากที่กลับมา ความฝันกับเป้าหมายของหลี่ซื่ออวี๋ก็ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

ถึงขนาดที่ว่าหลี่ซื่ออวี๋โดนพ่อแม่ของเขาปฏิบัติด้วยความเย็นชาเพราะเลือกเป็นแพทย์ทหาร หลังจากที่อยู่ปีสอง หลี่ซื่ออวี๋ก็มีน้องชายแท้ๆ ที่เพิ่งเกิดหนึ่งคน การกระทำของพ่อแม่หลี่ซื่ออวี๋ยืนยันว่าเขาถูกพวกเขาทอดทิ้งแล้ว เนื่องจากคนที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลหลี่ต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่เก่งกาจที่สุด และการตัดสินใจของหลี่ซื่ออวี๋ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเขาล้มเลิกการแย่งชิงที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตำแหน่งผู้นำตระกูลเอง

ถ้าหากหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอะไรจริงๆ อวิ๋นซิวย่อมสนับสนุนการตัดสินใจของเพื่อนสนิทแน่นอน แต่ความจริงแล้ว พรสวรรค์ด้านการควบคุมหุ่นรบของหลี่ซื่ออวี๋สูงมาก

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋จะทุ่มเทหัวใจให้กับการวิจัยการแพทย์และใช้เวลาน้อยที่สุดตามเงื่อนไขของโรงเรียนทหารไปฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบในช่วงเวลาสี่ปีที่อยู่ในโรงเรียนทหาร ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่ซื่ออวี๋ยังคงเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงขั้นต้นได้โดยไม่ยาก เห็นได้ถึงพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอันสูงส่งของหลี่ซื่ออวี๋ ทุกครั้งที่อวิ๋นซิวนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็จะเสียดายแทนเพื่อนสนิทของตัวเองไม่หยุด

หลี่ซื่ออวี๋เผชิญหน้ากับคำถามของเพื่อนสนิทก็เอาแต่เม้มปากไม่ตอบออกมา อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นกลับผุดขึ้นมาในความคิดของเขาอีกครั้งเนื่องจากการเอ่ยถึงของเพื่อนสนิท…

นั่นเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าปีสิบของสถาบันลูกเสือ เขากับพ่อแม่ต่างเตรียมตัวครั้งสุดท้ายเรื่องการสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเอาไว้ แต่ว่าตอนนั้นเอง คุณปู่ที่เป็นผู้นำตระกูลหลี่กลับเสนอให้เขาไปพบหลี่มู่หลานญาติผู้พี่ของเขา

นับตั้งแต่ที่ญาติผู้พี่ไปดาวเว่ยหลาน เขาก็ไม่ได้กลับมาที่โดฮาอีกเลย ทว่าช่วงเวลาสิบปีไม่ได้ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ลืมญาติผู้พี่ ตรงกันข้าม หลังจากที่เขาเห็นความเย็นชาอำมหิตจากการแย่งชิงอำนาจของตระกูลหลี่ตามวันเวลาที่ผ่านไป กลิ่นอายอบอุ่นเป็นเอกลักษณ์นั้นเหมือนกับสลักอยู่ในหัวใจก็ไม่ปาน ความทรงจำยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

ดังนั้นเมื่อคุณปู่เสนอให้เขาลาหยุดไปดาวเว่ยหลานเพื่อเยี่ยมเยียนญาติผู้พี่ เขาก็ตกลงด้วยความยินดี แต่เขาไม่รู้เลยว่าการไปครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงเขาทั้งชีวิต…

หลี่ซื่ออวี๋นึกถึงคนที่มีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากคล้ำ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างอ่อนเพลีย ทว่ายังคงเผยรอยยิ้มอบอุ่นมาทางเขา รอยยิ้มบริสุทธิ์นั้นไม่มีความคับแค้นใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าญาติผู้พี่ไม่รู้แผนการของตระกูลหลี่ แต่เขากลับใช้ชีวิตโดยไม่ใส่ใจ

กำลังกายของญาติผู้พี่ด้อยมาก ไม่สามารถฝืนให้เขาพูดมากเกินไป หลี่ซื่ออวี๋จำได้ว่าช่วงเวลาที่เขาเจอหน้าญาติผู้พี่ตอนนั้นสั้นมากๆ มีเวลาแค่สิบกว่านาทีสั้นๆ ช่วงเวลานั้นญาติผู้พี่ไม่ได้พูดเรื่องสัพเพเหระเลย หากแต่พูดเรื่องการตระหนักเข้าใจเรื่องราวบางอย่างของเขา เช่นบอกว่าต้องฟังให้มาก ดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก ใคร่ครวญให้มาก เช่นนี้ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นได้ไกล และพูดอย่างเช่น คนเราไม่สามารถหลับหูหลับตาตัดสินเรื่องราวหรือว่าคนได้ มักจะมีเรื่องบางอย่างหรือบางคนที่ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ต้องคิดจากหลายๆ ด้าน บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ได้ สุดท้ายยังพูดว่า เรื่องที่คนเราทำได้ยากมากที่สุดกลับเป็นความอดทนและการทำใจกว้างยอมรับ โดยเฉพาะเพื่อนและญาติพี่น้องบางคน บางครั้งพวกเขาทำผิดพลาด ก็อย่าตำหนิทันที ต้องให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้อง บางครั้งถอยหลังก้าวหนึ่งอาจจะได้รับผลที่มากกว่า…เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ก็เหมือนหลี่อิงเจี๋ยที่ดูยโสโอหัง แต่เนื้อแท้ไม่ได้เลวร้าย อดทนมากหน่อยอาจจะมองเห็นจุดที่โดดเด่นและจุดที่แตกต่างมากขึ้นก็ได้

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง เหมือนกับญาติผู้พี่ตั้งใจเอ่ยถึงอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเยอะ แค่ฟังคำพูดของญาติผู้พี่เงียบๆ สูดรับความอบอุ่นของอีกฝ่ายให้มากขึ้นอย่างละโมบเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลหลี่ในโดฮาไม่สามารถมีได้ ดังนั้นเขาถึงได้โลภปรารถนา จนกระทั่งเขาเห็นหน้าผากของญาติผู้พี่เหงื่อไหลย้อยลงมาเพราะความเหนื่อยล้า ถึงได้จำเป็นต้องบอกลาจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ระหว่างเดินทางกลับ เขาที่เยือกเย็นลงแล้วก็ได้ใคร่ครวญพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่กล่าวออกมา ก่อนจะพบความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนญาติผู้พี่ตั้งใจให้คำแนะนำเขา ตอนนั้นเขาก็สงสัยแล้วว่าทำไมญาติผู้พี่ถึงพูดเรื่องพวกนี้…

เมื่อเขาพบคุณปู่ คุณปู่เอ่ยปากกับเขาเองว่า ต่อไปสถานะผู้สืบทอดของญาติผู้พี่จะให้เขามาแบกรับไว้ เขาถึงค่อยตะลึงงันตระหนักได้ว่า การที่คุณปู่ให้เขาไปเยี่ยมญาติผู้พี่ ไม่ใช่เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักในครอบครัว หากแต่ให้การมาของเขาบอกญาติผู้พี่ว่าการตัดสินใจของตระกูลหลี่คืออะไร เขาเป็นคนที่ถูกตระกูลหลี่เลือกให้รับสืบทอดแทนญาติผู้พี่…

หลี่ซื่ออวี๋นึกเสียใจไม่หยุดขึ้นมาทันที เพราะความไม่รู้ของเขา ความโง่เง่าของเขา ความเชื่องช้าของเขาถึงทำให้เขาทำร้ายญาติผู้พี่ที่เขาเคารพรักด้วยมือตัวเอง เขาเองก็แค้นความไร้น้ำใจของตระกูลหลี่ ร่างกายญาติผู้พี่อ่อนแอขนาดนี้ ยังจะมอบการโจมตีอย่างหนักหน่วงแบบนี้ใส่จิตใจของเขาอีก พวกเขาไม่คิดจะให้ญาติผู้พี่บำรุงร่างกายให้ดีเลย หวังให้เขาได้รับการโจมตีนี้จนตายถึงสาสมใจ

ใช่แล้ว ญาติผู้พี่เฉลียวฉลาด! ตอนที่เห็นเขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลหลี่ตัดสินใจยังไง ญาติผู้พี่ไม่ได้มีความคับแค้นใจหรือว่าโกรธเกรี้ยวเพราะเรื่องนี้เลย หากแต่ทำเรื่องที่พี่ชายคนโตสามารถทำได้ ชี้แนะให้น้องชายตัวเองรอบหนึ่ง และยังมีความคาดหวังของเขาอีก…

หลี่ซื่ออวี๋เจ็บปวดใจแล้วก็ยินดีที่เขาสามารถออกจากตระกูลหลี่เข้าไปที่สถาบันลูกเสือได้เร็ว ดังนั้นถึงยังไม่ได้กลายเป็นคนตระกูลหลี่ที่เลือดเย็น เขาปฏิเสธการจัดการของคุณปู่ทันที และพูดว่าในเมื่อตระกูลหลี่ทอดทิ้งญาติผู้พี่ เช่นนั้นก็ให้เขาสร้างอนาคตของญาติผู้พี่เอง! คนตระกูลหลี่ไม่จำเป็นต้องสอดมือเรื่องของญาติผู้พี่อีก ส่วนเรื่องผู้สืบทอดตระกูลหลี่ ในเมื่อหลี่อิงเจี๋ยสนใจก็ให้หลี่อิงเจี๋ยมาเป็นเถอะ

ใช่แล้ว เขาดูถูกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลี่ เขาไม่เห็นค่าตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นนี้เลย

เขาเคยคิดมานานแล้วว่า เมื่อเขาโตขึ้นกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาก็จะรับญาติผู้พี่ออกมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาสองคนจะพ้นจากตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นไร้เมตตานี้โดยสิ้นเชิง

คุณปู่ได้ยินคำพูดก็ไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้มหยันว่า มีสิทธิ์อะไรถึงกล่าวคำพูดเหล่านี้? ถ้าหากเขากลายเป็นผู้นำตระกูล บางทีเขาอาจจะยังมอบชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้หลี่มู่หลานได้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นคำพูดเลื่อนลอยทั้งนั้น เขาให้อะไรไม่ได้เลย

จากนั้นคุณปู่ก็บอกค่ายารักษาพยาบาลรวมถึงยาระดับสูงต่างๆ ที่ผ่านมาโดยตลอดของญาติผู้พี่ให้หลี่ซื่ออวี๋ฟังทันที หากต้องการรักษาชีวิตของหลี่มู่หลาน จะขาดเครดิตหลายสิบล้านไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่มู่หลานยังคงเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่เลยแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไว้ เขาก็คงป่วยตายในดาวเว่ยหลานไปนานแล้ว ตระกูลหลี่ทำเพื่อหลี่มู่หลานมากพอแล้ว ตอนนี้ไม่อาจให้หลี่มู่หลานที่มีความสามารถธรรมดาเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ทำให้ตระกูลหลี่กลายเป็นที่ขบขันในหมู่ตระกูลชั้นสูงได้อีกต่อไป

นี่ก็คือความคิดที่แท้จริงของผู้นำตระกูลคนหนึ่ง หลี่ซื่ออวี๋ผิดหวังมาก เขานึกว่าคุณปู่เป็นคนที่รักทะนุถนอมญาติผู้พี่ด้วยใจจริง ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปที่ดาวเว่ยหลานอันห่างไกลเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ออกห่างจากฐานที่มั่นตระกูลหลี่ที่ต่อสู้กันอย่างอำมหิต ความจริงพิสูจน์ว่าความคิดของเขาโลกสวยเกินไป ตระกูลหลี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักของครอบครัวร่วมสายเลือดเลย ระหว่างพ่อแม่พี่น้องมีเพียงผลประโยชน์ มีเพียงแผนการ ใช้ประโยชน์กันเอง บางทีตอนแรกคุณปู่อาจจะไม่อยากเห็นความอัปยศของตระกูลหลี่ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปไกลๆ เพื่อให้จิตใจสงบ

หลี่ซื่ออวี๋เสียใจและขุ่นเคือง เดิมทีเขาอยากพูดประชดออกไปตรงๆ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับนึกถึงพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่เอ่ยกับเขาว่าต้องเรียนรู้ที่จะอดทน…

ใช่แล้ว ถ้าเกิดเขาแข็งข้อกับคุณปู่ ทำให้พ่อแม่รู้ความคิดของเขาขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำร้ายญาติผู้พี่ได้

หลี่ซื่ออวี๋รู้อุบายและความโหดเหี้ยมของพ่อแม่ดี เมื่อพวกเขารู้ว่าญาติผู้พี่คือสาเหตุที่เขาปฏิเสธในการกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะทำให้พวกเขาลอบลงมือจัดการภัยแอบแฝงให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เขาไม่อยากให้ญาติผู้พี่ได้รับอันตรายอะไรเพราะเขาอีกแล้ว ดังนั้นหลี่ซื่ออวี๋จึงเงียบไป พูดแค่ว่าเขาจะกลับไปคิดดูให้ดี

คุณปู่มองเขาอย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง แววตานั้นแทบจะทำให้เขาคิดว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองทะลุแล้ว แต่คุณปู่ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเขายังมีเวลาอีกหนึ่งปีในการพิจารณา แต่เมื่อถึงเวลาที่เรียนในโรงเรียนทหารก็จะเป็นเส้นตายสุดท้าย ก่อนจากกัน คุณปู่ยังเตือนเขาว่า มีเวลาก็สามารถพูดคุยสนทนากับเขาได้

คำว่า ‘พูดคุยสนทนา’ สี่คำนี้ดูเน้นหนักอยู่บ้าง หลี่ซื่ออวี๋เข้าใจความหมายแฝงของคุณปู่ดี ถ้าหากเขารับปากยอมรับตำแหน่งผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง คุณปู่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น จ่ายค่ายารักษาหลี่มู่หลานต่อไปอีกสักระยะอะไรทำนองนี้

หลี่ซื่ออวี๋กลับไปถึงสถาบันลูกเสือก็ขบคิดอยู่นานมาก เขาเองก็เคยคิดเรื่องคำแนะนำของคุณปู่กลายเป็นผู้นำตระกูล สุดท้ายก็แบกท้องฟ้าทั้งผืนให้ญาติผู้พี่ ให้เขาอยู่ใต้ปีกของตน มีชีวิตที่มั่นคง…

แต่หลี่ซื่ออวี๋หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะว่ารอให้เขาได้รับอำนาจกลายเป็นผู้นำตระกูลอย่างแท้จริง อย่างเร็วที่สุดก็อีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เขาเห็นว่าร่างกายของญาติผู้พี่ทนได้นานขนาดนั้นไม่ไหว มีเพียงหาหมอที่ดีที่สุด ยาที่ดีที่สุดรวมถึงทรัพยากรที่ดีสุดของสหพันธรัฐให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะมีความหวังยืดชีวิตของญาติผู้พี่ออกไป

หลี่ซื่ออวี๋ไม่อยากให้ญาติผู้พี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตอนนี้อายุขัยโดยประมาณของมนุษย์เกือบถึง 200 ปีอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว เขาหวังว่าอย่างน้อยที่สุดญาติผู้พี่ก็สามารถมีชีวิตได้เกิน 150 ปี…หากต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ก็ได้แต่รักษาญาติผู้พี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ตอนนี้หลี่ซื่ออวี๋อยากได้อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ดังนั้นหากเขาอยากพึ่งพาพลังภายนอกย่อมทำไม่ได้แน่นอน ส่วนตระกูลหลี่ ในคำพูดของคุณปู่ก็บอกไว้แล้วว่า ตระกูลหลี่ให้ความเมตตาต่อญาติผู้พี่จนถึงที่สุดแล้ว อายุที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ของชายชาวสหพันธรัฐคือยี่สิบปี ตระกูลหลี่จะจ่ายเงินแค่ถึงตอนนั้น ต่อไปจะไม่ให้ความช่วยเหลือเรื่องค่ายารักษาอันมหาศาลของญาติผู้พี่อีก จากคำพูดของคุณปู่ ในเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเอาเอง

นี่ก็บ่งบอกว่าเบื้องหน้าเขามีเพียงเส้นทางเดียว นั่นก็คืออีกสี่ปีให้หลัง เขาต้องมีเครดิตที่มหาศาลมากพอ ถึงจะรับผิดชอบค่ายารักษาจำนวนมากของญาติผู้พี่แทนตระกูลหลี่ได้ แต่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงนักเรียนทหาร ไม่มีทางมีความสามารถเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ตระกูลหลี่มอบค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันเท่าที่จำเป็นแก่ลูกหลานตระกูลหลี่เท่านั้น ไม่ได้ให้มากมายเลย หากยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้เขาได้เครดิตมาก็จะถูกหักกลับไปที่บัญชีรวมของตระกูลหลี่ เขาหยิบมาสักนิดไม่ได้เลย

วันเวลาช่วงนั้นเขากลุ้มใจกระสับกระส่าย ไม่สนใจเรื่องราวรอบข้าง ต่อให้ปีสิบถูกปีเจ็ดอัดจนโงหัวไม่ขึ้น เขาก็ไม่รู้สึกอะไร ทุกวันเขาครุ่นคิดถึงอนาคตของเขากับญาติผู้พี่ ตอนที่เขาเตรียมตัวก้มหัวปรึกษากับคุณปู่ด้วยความจนตรอก ข้อมูลการสมัครสอบของโรงเรียนทหารก็จุดตะเกียงสว่างไสวให้เขา

โรงเรียนทหารไม่เพียงมีแค่ภาควิชาควบคุมหุ่นรบ มันยังมีภาควิชาอีกนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นก็มีภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารที่ได้รับการยกย่องจากทหาร และแพทย์ทหารย่อมเป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในหมู่แพทย์ของสหพันธรัฐ ถึงขนาดที่แพทย์ทหารสามารถแตะต้องยาที่สหพันธรัฐค้นคว้าผลิตอย่างเป็นความลับได้ โดยเฉพาะพวกยาต้องห้ามที่ถูกควบคุมไว้เหล่านั้น มีเพียงแพทย์ทหารระดับหัวกะทิถึงจะสามารถแตะต้องพวกมันได้

ดังนั้น แทนที่จะต้องขอร้องคน ขอยารักษา ขอทรัพยากร ไม่สู้ให้ตัวเองกลายเป็นแพทย์ทหารระดับหัวกะทิ คว้าทรัพยากรยารักษาพวกนั้นได้ แววตาของหลี่ซื่ออวี๋ส่องสว่างวาบขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หาหนทางที่สามารถช่วยเหลือญาติผู้พี่ได้แล้ว

หลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้บุ่มบ่าม เขากลับไปพูดกับคุณปู่ด้วยความนอบน้อมจริงใจทันที เมื่อเขาพูดถึงการตัดสินใจของเขา เขายังจำได้ว่าคุณปู่ถามเขาว่าจะเสียใจภายหลังไหม?

หลี่ซื่ออวี๋ยังจำได้ว่าตัวเองตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า เขาไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิดที่ถูกอำนาจผลประโยชน์ควบคุม เขาทอดทิ้งพี่น้องไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามเสียงที่ได้ยินจากหัวใจตัวเอง เขาไม่มีทางเสียใจภายหลังอยู่แล้ว

ตอนที่เขาบอกลาคุณปู่ เขาเหมือนกับได้ยินคุณปู่เอ่ยคำพูดประโยคนี้แว่วๆ ว่า ‘หลี่มู่หลาน หลานมีดีอะไร…’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 246 มีดีอะไร?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 246 มีดีอะไร? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายหน้าเด็กมองนิ้วมือของหลี่ซื่ออวี๋อย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าไม่มีบาดแผลก็ค่อยโล่งใจทันที ถ้าหากมือของหลี่ซื่ออวี๋เสียหายสักเล็กน้อยละก็ เขาจะต้องถูกบรรดาพันเอกที่เป็นอาจารย์แพทย์ทหารคณะแพทยศาสตร์ตัดแขนตัดขาทิ้ง หลังจากนั้นก็กลายเป็นตัวอย่างให้คณะแพทย์ทำการวิจัยแน่นอน

ควรทราบไว้ว่าหลี่ซื่ออวี๋คือสมบัติในใจอาจารย์ภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทั้งหมด อาจารย์ทุกคนต่างอยากรับหลี่ซื่ออวี๋เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของตัวเอง ถึงขนาดที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่อีกด้วย สุดท้ายพลตรีฉีหัวหน้าภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทนมองไม่ไหว ออกหน้าประกาศให้หลี่ซื่ออวี๋กลายเป็นลูกศิษย์ของพวกอาจารย์ร่วมกัน ถึงค่อยทำให้การทะเลาะกันในครั้งนั้นสงบลงได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หลี่ซื่ออวี๋มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครเช่นนี้ในภาควิชาของเขา

หลี่ซื่ออวี๋เห็นเพื่อนสนิททำหน้ากังวล ในใจก็รู้สึกตื้นตัน เขาเก็บมือกลับมาและเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “อวิ๋นซิว ฉันไม่เป็นไร!”

“ไม่เป็นไรก็ดี เมื่อตะกี้นายเป็นไรถึงได้โมโหขนาดนี้?” อวิ๋นซิวเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าอะไรสะเทือนใจหลี่ซื่อวี๋กันแน่?

หลี่ซื่ออวี๋มองไปทางอวิ๋นซิว เอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ “นายยังจำตอนต่อสู้ประจัญบานในปีนั้นที่ฉันไม่ได้อยู่ในสถาบันได้หรือเปล่า?”

อวิ๋นซิวนึกออกแล้วก็ผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันยังเสียดายที่นายพลาดการต่อสู้ประจัญบานครั้งนั้นอยู่เลย ไม่อย่างนั้นนายก็สามารถประมือกับญาติผู้น้องของนายได้สักครั้งแล้ว” จากนั้นเขานึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่หลี่ซื่ออวี๋กลับมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียดายว่า “เดิมทีฉันคิดว่านายจะสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซะอีก ไม่นึกเลยว่ากลับมาแล้ว จู่ๆ ก็บอกฉันว่านายจะเป็นแพทย์ทหาร ฉันยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้เลย…”

อวิ๋นซิวกล่าวถึงตรงนี้ก็ทำหน้าสงสัย เขายังอยากรู้จวบจนกระทั่งตอนนี้ แค่จากไปเป็นเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ หลังจากที่กลับมา ความฝันกับเป้าหมายของหลี่ซื่ออวี๋ก็ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

ถึงขนาดที่ว่าหลี่ซื่ออวี๋โดนพ่อแม่ของเขาปฏิบัติด้วยความเย็นชาเพราะเลือกเป็นแพทย์ทหาร หลังจากที่อยู่ปีสอง หลี่ซื่ออวี๋ก็มีน้องชายแท้ๆ ที่เพิ่งเกิดหนึ่งคน การกระทำของพ่อแม่หลี่ซื่ออวี๋ยืนยันว่าเขาถูกพวกเขาทอดทิ้งแล้ว เนื่องจากคนที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลหลี่ต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่เก่งกาจที่สุด และการตัดสินใจของหลี่ซื่ออวี๋ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเขาล้มเลิกการแย่งชิงที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตำแหน่งผู้นำตระกูลเอง

ถ้าหากหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอะไรจริงๆ อวิ๋นซิวย่อมสนับสนุนการตัดสินใจของเพื่อนสนิทแน่นอน แต่ความจริงแล้ว พรสวรรค์ด้านการควบคุมหุ่นรบของหลี่ซื่ออวี๋สูงมาก

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋จะทุ่มเทหัวใจให้กับการวิจัยการแพทย์และใช้เวลาน้อยที่สุดตามเงื่อนไขของโรงเรียนทหารไปฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบในช่วงเวลาสี่ปีที่อยู่ในโรงเรียนทหาร ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่ซื่ออวี๋ยังคงเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงขั้นต้นได้โดยไม่ยาก เห็นได้ถึงพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอันสูงส่งของหลี่ซื่ออวี๋ ทุกครั้งที่อวิ๋นซิวนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็จะเสียดายแทนเพื่อนสนิทของตัวเองไม่หยุด

หลี่ซื่ออวี๋เผชิญหน้ากับคำถามของเพื่อนสนิทก็เอาแต่เม้มปากไม่ตอบออกมา อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นกลับผุดขึ้นมาในความคิดของเขาอีกครั้งเนื่องจากการเอ่ยถึงของเพื่อนสนิท…

นั่นเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าปีสิบของสถาบันลูกเสือ เขากับพ่อแม่ต่างเตรียมตัวครั้งสุดท้ายเรื่องการสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเอาไว้ แต่ว่าตอนนั้นเอง คุณปู่ที่เป็นผู้นำตระกูลหลี่กลับเสนอให้เขาไปพบหลี่มู่หลานญาติผู้พี่ของเขา

นับตั้งแต่ที่ญาติผู้พี่ไปดาวเว่ยหลาน เขาก็ไม่ได้กลับมาที่โดฮาอีกเลย ทว่าช่วงเวลาสิบปีไม่ได้ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ลืมญาติผู้พี่ ตรงกันข้าม หลังจากที่เขาเห็นความเย็นชาอำมหิตจากการแย่งชิงอำนาจของตระกูลหลี่ตามวันเวลาที่ผ่านไป กลิ่นอายอบอุ่นเป็นเอกลักษณ์นั้นเหมือนกับสลักอยู่ในหัวใจก็ไม่ปาน ความทรงจำยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

ดังนั้นเมื่อคุณปู่เสนอให้เขาลาหยุดไปดาวเว่ยหลานเพื่อเยี่ยมเยียนญาติผู้พี่ เขาก็ตกลงด้วยความยินดี แต่เขาไม่รู้เลยว่าการไปครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงเขาทั้งชีวิต…

หลี่ซื่ออวี๋นึกถึงคนที่มีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากคล้ำ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างอ่อนเพลีย ทว่ายังคงเผยรอยยิ้มอบอุ่นมาทางเขา รอยยิ้มบริสุทธิ์นั้นไม่มีความคับแค้นใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าญาติผู้พี่ไม่รู้แผนการของตระกูลหลี่ แต่เขากลับใช้ชีวิตโดยไม่ใส่ใจ

กำลังกายของญาติผู้พี่ด้อยมาก ไม่สามารถฝืนให้เขาพูดมากเกินไป หลี่ซื่ออวี๋จำได้ว่าช่วงเวลาที่เขาเจอหน้าญาติผู้พี่ตอนนั้นสั้นมากๆ มีเวลาแค่สิบกว่านาทีสั้นๆ ช่วงเวลานั้นญาติผู้พี่ไม่ได้พูดเรื่องสัพเพเหระเลย หากแต่พูดเรื่องการตระหนักเข้าใจเรื่องราวบางอย่างของเขา เช่นบอกว่าต้องฟังให้มาก ดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก ใคร่ครวญให้มาก เช่นนี้ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นได้ไกล และพูดอย่างเช่น คนเราไม่สามารถหลับหูหลับตาตัดสินเรื่องราวหรือว่าคนได้ มักจะมีเรื่องบางอย่างหรือบางคนที่ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ต้องคิดจากหลายๆ ด้าน บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ได้ สุดท้ายยังพูดว่า เรื่องที่คนเราทำได้ยากมากที่สุดกลับเป็นความอดทนและการทำใจกว้างยอมรับ โดยเฉพาะเพื่อนและญาติพี่น้องบางคน บางครั้งพวกเขาทำผิดพลาด ก็อย่าตำหนิทันที ต้องให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้อง บางครั้งถอยหลังก้าวหนึ่งอาจจะได้รับผลที่มากกว่า…เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ก็เหมือนหลี่อิงเจี๋ยที่ดูยโสโอหัง แต่เนื้อแท้ไม่ได้เลวร้าย อดทนมากหน่อยอาจจะมองเห็นจุดที่โดดเด่นและจุดที่แตกต่างมากขึ้นก็ได้

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง เหมือนกับญาติผู้พี่ตั้งใจเอ่ยถึงอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเยอะ แค่ฟังคำพูดของญาติผู้พี่เงียบๆ สูดรับความอบอุ่นของอีกฝ่ายให้มากขึ้นอย่างละโมบเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลหลี่ในโดฮาไม่สามารถมีได้ ดังนั้นเขาถึงได้โลภปรารถนา จนกระทั่งเขาเห็นหน้าผากของญาติผู้พี่เหงื่อไหลย้อยลงมาเพราะความเหนื่อยล้า ถึงได้จำเป็นต้องบอกลาจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ระหว่างเดินทางกลับ เขาที่เยือกเย็นลงแล้วก็ได้ใคร่ครวญพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่กล่าวออกมา ก่อนจะพบความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนญาติผู้พี่ตั้งใจให้คำแนะนำเขา ตอนนั้นเขาก็สงสัยแล้วว่าทำไมญาติผู้พี่ถึงพูดเรื่องพวกนี้…

เมื่อเขาพบคุณปู่ คุณปู่เอ่ยปากกับเขาเองว่า ต่อไปสถานะผู้สืบทอดของญาติผู้พี่จะให้เขามาแบกรับไว้ เขาถึงค่อยตะลึงงันตระหนักได้ว่า การที่คุณปู่ให้เขาไปเยี่ยมญาติผู้พี่ ไม่ใช่เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักในครอบครัว หากแต่ให้การมาของเขาบอกญาติผู้พี่ว่าการตัดสินใจของตระกูลหลี่คืออะไร เขาเป็นคนที่ถูกตระกูลหลี่เลือกให้รับสืบทอดแทนญาติผู้พี่…

หลี่ซื่ออวี๋นึกเสียใจไม่หยุดขึ้นมาทันที เพราะความไม่รู้ของเขา ความโง่เง่าของเขา ความเชื่องช้าของเขาถึงทำให้เขาทำร้ายญาติผู้พี่ที่เขาเคารพรักด้วยมือตัวเอง เขาเองก็แค้นความไร้น้ำใจของตระกูลหลี่ ร่างกายญาติผู้พี่อ่อนแอขนาดนี้ ยังจะมอบการโจมตีอย่างหนักหน่วงแบบนี้ใส่จิตใจของเขาอีก พวกเขาไม่คิดจะให้ญาติผู้พี่บำรุงร่างกายให้ดีเลย หวังให้เขาได้รับการโจมตีนี้จนตายถึงสาสมใจ

ใช่แล้ว ญาติผู้พี่เฉลียวฉลาด! ตอนที่เห็นเขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลหลี่ตัดสินใจยังไง ญาติผู้พี่ไม่ได้มีความคับแค้นใจหรือว่าโกรธเกรี้ยวเพราะเรื่องนี้เลย หากแต่ทำเรื่องที่พี่ชายคนโตสามารถทำได้ ชี้แนะให้น้องชายตัวเองรอบหนึ่ง และยังมีความคาดหวังของเขาอีก…

หลี่ซื่ออวี๋เจ็บปวดใจแล้วก็ยินดีที่เขาสามารถออกจากตระกูลหลี่เข้าไปที่สถาบันลูกเสือได้เร็ว ดังนั้นถึงยังไม่ได้กลายเป็นคนตระกูลหลี่ที่เลือดเย็น เขาปฏิเสธการจัดการของคุณปู่ทันที และพูดว่าในเมื่อตระกูลหลี่ทอดทิ้งญาติผู้พี่ เช่นนั้นก็ให้เขาสร้างอนาคตของญาติผู้พี่เอง! คนตระกูลหลี่ไม่จำเป็นต้องสอดมือเรื่องของญาติผู้พี่อีก ส่วนเรื่องผู้สืบทอดตระกูลหลี่ ในเมื่อหลี่อิงเจี๋ยสนใจก็ให้หลี่อิงเจี๋ยมาเป็นเถอะ

ใช่แล้ว เขาดูถูกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลี่ เขาไม่เห็นค่าตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นนี้เลย

เขาเคยคิดมานานแล้วว่า เมื่อเขาโตขึ้นกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาก็จะรับญาติผู้พี่ออกมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาสองคนจะพ้นจากตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นไร้เมตตานี้โดยสิ้นเชิง

คุณปู่ได้ยินคำพูดก็ไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้มหยันว่า มีสิทธิ์อะไรถึงกล่าวคำพูดเหล่านี้? ถ้าหากเขากลายเป็นผู้นำตระกูล บางทีเขาอาจจะยังมอบชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้หลี่มู่หลานได้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นคำพูดเลื่อนลอยทั้งนั้น เขาให้อะไรไม่ได้เลย

จากนั้นคุณปู่ก็บอกค่ายารักษาพยาบาลรวมถึงยาระดับสูงต่างๆ ที่ผ่านมาโดยตลอดของญาติผู้พี่ให้หลี่ซื่ออวี๋ฟังทันที หากต้องการรักษาชีวิตของหลี่มู่หลาน จะขาดเครดิตหลายสิบล้านไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่มู่หลานยังคงเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่เลยแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไว้ เขาก็คงป่วยตายในดาวเว่ยหลานไปนานแล้ว ตระกูลหลี่ทำเพื่อหลี่มู่หลานมากพอแล้ว ตอนนี้ไม่อาจให้หลี่มู่หลานที่มีความสามารถธรรมดาเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ทำให้ตระกูลหลี่กลายเป็นที่ขบขันในหมู่ตระกูลชั้นสูงได้อีกต่อไป

นี่ก็คือความคิดที่แท้จริงของผู้นำตระกูลคนหนึ่ง หลี่ซื่ออวี๋ผิดหวังมาก เขานึกว่าคุณปู่เป็นคนที่รักทะนุถนอมญาติผู้พี่ด้วยใจจริง ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปที่ดาวเว่ยหลานอันห่างไกลเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ออกห่างจากฐานที่มั่นตระกูลหลี่ที่ต่อสู้กันอย่างอำมหิต ความจริงพิสูจน์ว่าความคิดของเขาโลกสวยเกินไป ตระกูลหลี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักของครอบครัวร่วมสายเลือดเลย ระหว่างพ่อแม่พี่น้องมีเพียงผลประโยชน์ มีเพียงแผนการ ใช้ประโยชน์กันเอง บางทีตอนแรกคุณปู่อาจจะไม่อยากเห็นความอัปยศของตระกูลหลี่ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปไกลๆ เพื่อให้จิตใจสงบ

หลี่ซื่ออวี๋เสียใจและขุ่นเคือง เดิมทีเขาอยากพูดประชดออกไปตรงๆ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับนึกถึงพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่เอ่ยกับเขาว่าต้องเรียนรู้ที่จะอดทน…

ใช่แล้ว ถ้าเกิดเขาแข็งข้อกับคุณปู่ ทำให้พ่อแม่รู้ความคิดของเขาขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำร้ายญาติผู้พี่ได้

หลี่ซื่ออวี๋รู้อุบายและความโหดเหี้ยมของพ่อแม่ดี เมื่อพวกเขารู้ว่าญาติผู้พี่คือสาเหตุที่เขาปฏิเสธในการกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะทำให้พวกเขาลอบลงมือจัดการภัยแอบแฝงให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เขาไม่อยากให้ญาติผู้พี่ได้รับอันตรายอะไรเพราะเขาอีกแล้ว ดังนั้นหลี่ซื่ออวี๋จึงเงียบไป พูดแค่ว่าเขาจะกลับไปคิดดูให้ดี

คุณปู่มองเขาอย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง แววตานั้นแทบจะทำให้เขาคิดว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองทะลุแล้ว แต่คุณปู่ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเขายังมีเวลาอีกหนึ่งปีในการพิจารณา แต่เมื่อถึงเวลาที่เรียนในโรงเรียนทหารก็จะเป็นเส้นตายสุดท้าย ก่อนจากกัน คุณปู่ยังเตือนเขาว่า มีเวลาก็สามารถพูดคุยสนทนากับเขาได้

คำว่า ‘พูดคุยสนทนา’ สี่คำนี้ดูเน้นหนักอยู่บ้าง หลี่ซื่ออวี๋เข้าใจความหมายแฝงของคุณปู่ดี ถ้าหากเขารับปากยอมรับตำแหน่งผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง คุณปู่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น จ่ายค่ายารักษาหลี่มู่หลานต่อไปอีกสักระยะอะไรทำนองนี้

หลี่ซื่ออวี๋กลับไปถึงสถาบันลูกเสือก็ขบคิดอยู่นานมาก เขาเองก็เคยคิดเรื่องคำแนะนำของคุณปู่กลายเป็นผู้นำตระกูล สุดท้ายก็แบกท้องฟ้าทั้งผืนให้ญาติผู้พี่ ให้เขาอยู่ใต้ปีกของตน มีชีวิตที่มั่นคง…

แต่หลี่ซื่ออวี๋หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะว่ารอให้เขาได้รับอำนาจกลายเป็นผู้นำตระกูลอย่างแท้จริง อย่างเร็วที่สุดก็อีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เขาเห็นว่าร่างกายของญาติผู้พี่ทนได้นานขนาดนั้นไม่ไหว มีเพียงหาหมอที่ดีที่สุด ยาที่ดีที่สุดรวมถึงทรัพยากรที่ดีสุดของสหพันธรัฐให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะมีความหวังยืดชีวิตของญาติผู้พี่ออกไป

หลี่ซื่ออวี๋ไม่อยากให้ญาติผู้พี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตอนนี้อายุขัยโดยประมาณของมนุษย์เกือบถึง 200 ปีอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว เขาหวังว่าอย่างน้อยที่สุดญาติผู้พี่ก็สามารถมีชีวิตได้เกิน 150 ปี…หากต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ก็ได้แต่รักษาญาติผู้พี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ตอนนี้หลี่ซื่ออวี๋อยากได้อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ดังนั้นหากเขาอยากพึ่งพาพลังภายนอกย่อมทำไม่ได้แน่นอน ส่วนตระกูลหลี่ ในคำพูดของคุณปู่ก็บอกไว้แล้วว่า ตระกูลหลี่ให้ความเมตตาต่อญาติผู้พี่จนถึงที่สุดแล้ว อายุที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ของชายชาวสหพันธรัฐคือยี่สิบปี ตระกูลหลี่จะจ่ายเงินแค่ถึงตอนนั้น ต่อไปจะไม่ให้ความช่วยเหลือเรื่องค่ายารักษาอันมหาศาลของญาติผู้พี่อีก จากคำพูดของคุณปู่ ในเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเอาเอง

นี่ก็บ่งบอกว่าเบื้องหน้าเขามีเพียงเส้นทางเดียว นั่นก็คืออีกสี่ปีให้หลัง เขาต้องมีเครดิตที่มหาศาลมากพอ ถึงจะรับผิดชอบค่ายารักษาจำนวนมากของญาติผู้พี่แทนตระกูลหลี่ได้ แต่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงนักเรียนทหาร ไม่มีทางมีความสามารถเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ตระกูลหลี่มอบค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันเท่าที่จำเป็นแก่ลูกหลานตระกูลหลี่เท่านั้น ไม่ได้ให้มากมายเลย หากยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้เขาได้เครดิตมาก็จะถูกหักกลับไปที่บัญชีรวมของตระกูลหลี่ เขาหยิบมาสักนิดไม่ได้เลย

วันเวลาช่วงนั้นเขากลุ้มใจกระสับกระส่าย ไม่สนใจเรื่องราวรอบข้าง ต่อให้ปีสิบถูกปีเจ็ดอัดจนโงหัวไม่ขึ้น เขาก็ไม่รู้สึกอะไร ทุกวันเขาครุ่นคิดถึงอนาคตของเขากับญาติผู้พี่ ตอนที่เขาเตรียมตัวก้มหัวปรึกษากับคุณปู่ด้วยความจนตรอก ข้อมูลการสมัครสอบของโรงเรียนทหารก็จุดตะเกียงสว่างไสวให้เขา

โรงเรียนทหารไม่เพียงมีแค่ภาควิชาควบคุมหุ่นรบ มันยังมีภาควิชาอีกนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นก็มีภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารที่ได้รับการยกย่องจากทหาร และแพทย์ทหารย่อมเป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในหมู่แพทย์ของสหพันธรัฐ ถึงขนาดที่แพทย์ทหารสามารถแตะต้องยาที่สหพันธรัฐค้นคว้าผลิตอย่างเป็นความลับได้ โดยเฉพาะพวกยาต้องห้ามที่ถูกควบคุมไว้เหล่านั้น มีเพียงแพทย์ทหารระดับหัวกะทิถึงจะสามารถแตะต้องพวกมันได้

ดังนั้น แทนที่จะต้องขอร้องคน ขอยารักษา ขอทรัพยากร ไม่สู้ให้ตัวเองกลายเป็นแพทย์ทหารระดับหัวกะทิ คว้าทรัพยากรยารักษาพวกนั้นได้ แววตาของหลี่ซื่ออวี๋ส่องสว่างวาบขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หาหนทางที่สามารถช่วยเหลือญาติผู้พี่ได้แล้ว

หลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้บุ่มบ่าม เขากลับไปพูดกับคุณปู่ด้วยความนอบน้อมจริงใจทันที เมื่อเขาพูดถึงการตัดสินใจของเขา เขายังจำได้ว่าคุณปู่ถามเขาว่าจะเสียใจภายหลังไหม?

หลี่ซื่ออวี๋ยังจำได้ว่าตัวเองตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า เขาไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิดที่ถูกอำนาจผลประโยชน์ควบคุม เขาทอดทิ้งพี่น้องไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามเสียงที่ได้ยินจากหัวใจตัวเอง เขาไม่มีทางเสียใจภายหลังอยู่แล้ว

ตอนที่เขาบอกลาคุณปู่ เขาเหมือนกับได้ยินคุณปู่เอ่ยคำพูดประโยคนี้แว่วๆ ว่า ‘หลี่มู่หลาน หลานมีดีอะไร…’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 246 มีดีอะไร?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 246 มีดีอะไร? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายหน้าเด็กมองนิ้วมือของหลี่ซื่ออวี๋อย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าไม่มีบาดแผลก็ค่อยโล่งใจทันที ถ้าหากมือของหลี่ซื่ออวี๋เสียหายสักเล็กน้อยละก็ เขาจะต้องถูกบรรดาพันเอกที่เป็นอาจารย์แพทย์ทหารคณะแพทยศาสตร์ตัดแขนตัดขาทิ้ง หลังจากนั้นก็กลายเป็นตัวอย่างให้คณะแพทย์ทำการวิจัยแน่นอน

ควรทราบไว้ว่าหลี่ซื่ออวี๋คือสมบัติในใจอาจารย์ภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทั้งหมด อาจารย์ทุกคนต่างอยากรับหลี่ซื่ออวี๋เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของตัวเอง ถึงขนาดที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่อีกด้วย สุดท้ายพลตรีฉีหัวหน้าภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารทนมองไม่ไหว ออกหน้าประกาศให้หลี่ซื่ออวี๋กลายเป็นลูกศิษย์ของพวกอาจารย์ร่วมกัน ถึงค่อยทำให้การทะเลาะกันในครั้งนั้นสงบลงได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หลี่ซื่ออวี๋มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครเช่นนี้ในภาควิชาของเขา

หลี่ซื่ออวี๋เห็นเพื่อนสนิททำหน้ากังวล ในใจก็รู้สึกตื้นตัน เขาเก็บมือกลับมาและเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “อวิ๋นซิว ฉันไม่เป็นไร!”

“ไม่เป็นไรก็ดี เมื่อตะกี้นายเป็นไรถึงได้โมโหขนาดนี้?” อวิ๋นซิวเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าอะไรสะเทือนใจหลี่ซื่อวี๋กันแน่?

หลี่ซื่ออวี๋มองไปทางอวิ๋นซิว เอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ “นายยังจำตอนต่อสู้ประจัญบานในปีนั้นที่ฉันไม่ได้อยู่ในสถาบันได้หรือเปล่า?”

อวิ๋นซิวนึกออกแล้วก็ผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันยังเสียดายที่นายพลาดการต่อสู้ประจัญบานครั้งนั้นอยู่เลย ไม่อย่างนั้นนายก็สามารถประมือกับญาติผู้น้องของนายได้สักครั้งแล้ว” จากนั้นเขานึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่หลี่ซื่ออวี๋กลับมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียดายว่า “เดิมทีฉันคิดว่านายจะสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซะอีก ไม่นึกเลยว่ากลับมาแล้ว จู่ๆ ก็บอกฉันว่านายจะเป็นแพทย์ทหาร ฉันยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้เลย…”

อวิ๋นซิวกล่าวถึงตรงนี้ก็ทำหน้าสงสัย เขายังอยากรู้จวบจนกระทั่งตอนนี้ แค่จากไปเป็นเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ หลังจากที่กลับมา ความฝันกับเป้าหมายของหลี่ซื่ออวี๋ก็ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

ถึงขนาดที่ว่าหลี่ซื่ออวี๋โดนพ่อแม่ของเขาปฏิบัติด้วยความเย็นชาเพราะเลือกเป็นแพทย์ทหาร หลังจากที่อยู่ปีสอง หลี่ซื่ออวี๋ก็มีน้องชายแท้ๆ ที่เพิ่งเกิดหนึ่งคน การกระทำของพ่อแม่หลี่ซื่ออวี๋ยืนยันว่าเขาถูกพวกเขาทอดทิ้งแล้ว เนื่องจากคนที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลของตระกูลหลี่ต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่เก่งกาจที่สุด และการตัดสินใจของหลี่ซื่ออวี๋ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเขาล้มเลิกการแย่งชิงที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตำแหน่งผู้นำตระกูลเอง

ถ้าหากหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอะไรจริงๆ อวิ๋นซิวย่อมสนับสนุนการตัดสินใจของเพื่อนสนิทแน่นอน แต่ความจริงแล้ว พรสวรรค์ด้านการควบคุมหุ่นรบของหลี่ซื่ออวี๋สูงมาก

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋จะทุ่มเทหัวใจให้กับการวิจัยการแพทย์และใช้เวลาน้อยที่สุดตามเงื่อนไขของโรงเรียนทหารไปฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบในช่วงเวลาสี่ปีที่อยู่ในโรงเรียนทหาร ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่ซื่ออวี๋ยังคงเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงขั้นต้นได้โดยไม่ยาก เห็นได้ถึงพรสวรรค์ด้านควบคุมหุ่นรบอันสูงส่งของหลี่ซื่ออวี๋ ทุกครั้งที่อวิ๋นซิวนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็จะเสียดายแทนเพื่อนสนิทของตัวเองไม่หยุด

หลี่ซื่ออวี๋เผชิญหน้ากับคำถามของเพื่อนสนิทก็เอาแต่เม้มปากไม่ตอบออกมา อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นกลับผุดขึ้นมาในความคิดของเขาอีกครั้งเนื่องจากการเอ่ยถึงของเพื่อนสนิท…

นั่นเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าปีสิบของสถาบันลูกเสือ เขากับพ่อแม่ต่างเตรียมตัวครั้งสุดท้ายเรื่องการสมัครสอบเข้าภาควิชาควบคุมหุ่นรบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเอาไว้ แต่ว่าตอนนั้นเอง คุณปู่ที่เป็นผู้นำตระกูลหลี่กลับเสนอให้เขาไปพบหลี่มู่หลานญาติผู้พี่ของเขา

นับตั้งแต่ที่ญาติผู้พี่ไปดาวเว่ยหลาน เขาก็ไม่ได้กลับมาที่โดฮาอีกเลย ทว่าช่วงเวลาสิบปีไม่ได้ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ลืมญาติผู้พี่ ตรงกันข้าม หลังจากที่เขาเห็นความเย็นชาอำมหิตจากการแย่งชิงอำนาจของตระกูลหลี่ตามวันเวลาที่ผ่านไป กลิ่นอายอบอุ่นเป็นเอกลักษณ์นั้นเหมือนกับสลักอยู่ในหัวใจก็ไม่ปาน ความทรงจำยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

ดังนั้นเมื่อคุณปู่เสนอให้เขาลาหยุดไปดาวเว่ยหลานเพื่อเยี่ยมเยียนญาติผู้พี่ เขาก็ตกลงด้วยความยินดี แต่เขาไม่รู้เลยว่าการไปครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงเขาทั้งชีวิต…

หลี่ซื่ออวี๋นึกถึงคนที่มีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากคล้ำ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างอ่อนเพลีย ทว่ายังคงเผยรอยยิ้มอบอุ่นมาทางเขา รอยยิ้มบริสุทธิ์นั้นไม่มีความคับแค้นใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าญาติผู้พี่ไม่รู้แผนการของตระกูลหลี่ แต่เขากลับใช้ชีวิตโดยไม่ใส่ใจ

กำลังกายของญาติผู้พี่ด้อยมาก ไม่สามารถฝืนให้เขาพูดมากเกินไป หลี่ซื่ออวี๋จำได้ว่าช่วงเวลาที่เขาเจอหน้าญาติผู้พี่ตอนนั้นสั้นมากๆ มีเวลาแค่สิบกว่านาทีสั้นๆ ช่วงเวลานั้นญาติผู้พี่ไม่ได้พูดเรื่องสัพเพเหระเลย หากแต่พูดเรื่องการตระหนักเข้าใจเรื่องราวบางอย่างของเขา เช่นบอกว่าต้องฟังให้มาก ดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก ใคร่ครวญให้มาก เช่นนี้ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นได้ไกล และพูดอย่างเช่น คนเราไม่สามารถหลับหูหลับตาตัดสินเรื่องราวหรือว่าคนได้ มักจะมีเรื่องบางอย่างหรือบางคนที่ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ต้องคิดจากหลายๆ ด้าน บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ได้ สุดท้ายยังพูดว่า เรื่องที่คนเราทำได้ยากมากที่สุดกลับเป็นความอดทนและการทำใจกว้างยอมรับ โดยเฉพาะเพื่อนและญาติพี่น้องบางคน บางครั้งพวกเขาทำผิดพลาด ก็อย่าตำหนิทันที ต้องให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้อง บางครั้งถอยหลังก้าวหนึ่งอาจจะได้รับผลที่มากกว่า…เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ก็เหมือนหลี่อิงเจี๋ยที่ดูยโสโอหัง แต่เนื้อแท้ไม่ได้เลวร้าย อดทนมากหน่อยอาจจะมองเห็นจุดที่โดดเด่นและจุดที่แตกต่างมากขึ้นก็ได้

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่ออวี๋รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง เหมือนกับญาติผู้พี่ตั้งใจเอ่ยถึงอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดเยอะ แค่ฟังคำพูดของญาติผู้พี่เงียบๆ สูดรับความอบอุ่นของอีกฝ่ายให้มากขึ้นอย่างละโมบเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลหลี่ในโดฮาไม่สามารถมีได้ ดังนั้นเขาถึงได้โลภปรารถนา จนกระทั่งเขาเห็นหน้าผากของญาติผู้พี่เหงื่อไหลย้อยลงมาเพราะความเหนื่อยล้า ถึงได้จำเป็นต้องบอกลาจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ระหว่างเดินทางกลับ เขาที่เยือกเย็นลงแล้วก็ได้ใคร่ครวญพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่กล่าวออกมา ก่อนจะพบความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนญาติผู้พี่ตั้งใจให้คำแนะนำเขา ตอนนั้นเขาก็สงสัยแล้วว่าทำไมญาติผู้พี่ถึงพูดเรื่องพวกนี้…

เมื่อเขาพบคุณปู่ คุณปู่เอ่ยปากกับเขาเองว่า ต่อไปสถานะผู้สืบทอดของญาติผู้พี่จะให้เขามาแบกรับไว้ เขาถึงค่อยตะลึงงันตระหนักได้ว่า การที่คุณปู่ให้เขาไปเยี่ยมญาติผู้พี่ ไม่ใช่เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักในครอบครัว หากแต่ให้การมาของเขาบอกญาติผู้พี่ว่าการตัดสินใจของตระกูลหลี่คืออะไร เขาเป็นคนที่ถูกตระกูลหลี่เลือกให้รับสืบทอดแทนญาติผู้พี่…

หลี่ซื่ออวี๋นึกเสียใจไม่หยุดขึ้นมาทันที เพราะความไม่รู้ของเขา ความโง่เง่าของเขา ความเชื่องช้าของเขาถึงทำให้เขาทำร้ายญาติผู้พี่ที่เขาเคารพรักด้วยมือตัวเอง เขาเองก็แค้นความไร้น้ำใจของตระกูลหลี่ ร่างกายญาติผู้พี่อ่อนแอขนาดนี้ ยังจะมอบการโจมตีอย่างหนักหน่วงแบบนี้ใส่จิตใจของเขาอีก พวกเขาไม่คิดจะให้ญาติผู้พี่บำรุงร่างกายให้ดีเลย หวังให้เขาได้รับการโจมตีนี้จนตายถึงสาสมใจ

ใช่แล้ว ญาติผู้พี่เฉลียวฉลาด! ตอนที่เห็นเขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลหลี่ตัดสินใจยังไง ญาติผู้พี่ไม่ได้มีความคับแค้นใจหรือว่าโกรธเกรี้ยวเพราะเรื่องนี้เลย หากแต่ทำเรื่องที่พี่ชายคนโตสามารถทำได้ ชี้แนะให้น้องชายตัวเองรอบหนึ่ง และยังมีความคาดหวังของเขาอีก…

หลี่ซื่ออวี๋เจ็บปวดใจแล้วก็ยินดีที่เขาสามารถออกจากตระกูลหลี่เข้าไปที่สถาบันลูกเสือได้เร็ว ดังนั้นถึงยังไม่ได้กลายเป็นคนตระกูลหลี่ที่เลือดเย็น เขาปฏิเสธการจัดการของคุณปู่ทันที และพูดว่าในเมื่อตระกูลหลี่ทอดทิ้งญาติผู้พี่ เช่นนั้นก็ให้เขาสร้างอนาคตของญาติผู้พี่เอง! คนตระกูลหลี่ไม่จำเป็นต้องสอดมือเรื่องของญาติผู้พี่อีก ส่วนเรื่องผู้สืบทอดตระกูลหลี่ ในเมื่อหลี่อิงเจี๋ยสนใจก็ให้หลี่อิงเจี๋ยมาเป็นเถอะ

ใช่แล้ว เขาดูถูกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลี่ เขาไม่เห็นค่าตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นนี้เลย

เขาเคยคิดมานานแล้วว่า เมื่อเขาโตขึ้นกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาก็จะรับญาติผู้พี่ออกมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาสองคนจะพ้นจากตระกูลหลี่ที่เลือดเย็นไร้เมตตานี้โดยสิ้นเชิง

คุณปู่ได้ยินคำพูดก็ไม่ได้โกรธ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้มหยันว่า มีสิทธิ์อะไรถึงกล่าวคำพูดเหล่านี้? ถ้าหากเขากลายเป็นผู้นำตระกูล บางทีเขาอาจจะยังมอบชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้หลี่มู่หลานได้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นคำพูดเลื่อนลอยทั้งนั้น เขาให้อะไรไม่ได้เลย

จากนั้นคุณปู่ก็บอกค่ายารักษาพยาบาลรวมถึงยาระดับสูงต่างๆ ที่ผ่านมาโดยตลอดของญาติผู้พี่ให้หลี่ซื่ออวี๋ฟังทันที หากต้องการรักษาชีวิตของหลี่มู่หลาน จะขาดเครดิตหลายสิบล้านไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่มู่หลานยังคงเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่เลยแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไว้ เขาก็คงป่วยตายในดาวเว่ยหลานไปนานแล้ว ตระกูลหลี่ทำเพื่อหลี่มู่หลานมากพอแล้ว ตอนนี้ไม่อาจให้หลี่มู่หลานที่มีความสามารถธรรมดาเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง ทำให้ตระกูลหลี่กลายเป็นที่ขบขันในหมู่ตระกูลชั้นสูงได้อีกต่อไป

นี่ก็คือความคิดที่แท้จริงของผู้นำตระกูลคนหนึ่ง หลี่ซื่ออวี๋ผิดหวังมาก เขานึกว่าคุณปู่เป็นคนที่รักทะนุถนอมญาติผู้พี่ด้วยใจจริง ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปที่ดาวเว่ยหลานอันห่างไกลเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ออกห่างจากฐานที่มั่นตระกูลหลี่ที่ต่อสู้กันอย่างอำมหิต ความจริงพิสูจน์ว่าความคิดของเขาโลกสวยเกินไป ตระกูลหลี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักของครอบครัวร่วมสายเลือดเลย ระหว่างพ่อแม่พี่น้องมีเพียงผลประโยชน์ มีเพียงแผนการ ใช้ประโยชน์กันเอง บางทีตอนแรกคุณปู่อาจจะไม่อยากเห็นความอัปยศของตระกูลหลี่ถึงได้ส่งญาติผู้พี่ไปไกลๆ เพื่อให้จิตใจสงบ

หลี่ซื่ออวี๋เสียใจและขุ่นเคือง เดิมทีเขาอยากพูดประชดออกไปตรงๆ แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขากลับนึกถึงพวกคำพูดที่ญาติผู้พี่เอ่ยกับเขาว่าต้องเรียนรู้ที่จะอดทน…

ใช่แล้ว ถ้าเกิดเขาแข็งข้อกับคุณปู่ ทำให้พ่อแม่รู้ความคิดของเขาขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำร้ายญาติผู้พี่ได้

หลี่ซื่ออวี๋รู้อุบายและความโหดเหี้ยมของพ่อแม่ดี เมื่อพวกเขารู้ว่าญาติผู้พี่คือสาเหตุที่เขาปฏิเสธในการกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะทำให้พวกเขาลอบลงมือจัดการภัยแอบแฝงให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เขาไม่อยากให้ญาติผู้พี่ได้รับอันตรายอะไรเพราะเขาอีกแล้ว ดังนั้นหลี่ซื่ออวี๋จึงเงียบไป พูดแค่ว่าเขาจะกลับไปคิดดูให้ดี

คุณปู่มองเขาอย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง แววตานั้นแทบจะทำให้เขาคิดว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายมองทะลุแล้ว แต่คุณปู่ไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเขายังมีเวลาอีกหนึ่งปีในการพิจารณา แต่เมื่อถึงเวลาที่เรียนในโรงเรียนทหารก็จะเป็นเส้นตายสุดท้าย ก่อนจากกัน คุณปู่ยังเตือนเขาว่า มีเวลาก็สามารถพูดคุยสนทนากับเขาได้

คำว่า ‘พูดคุยสนทนา’ สี่คำนี้ดูเน้นหนักอยู่บ้าง หลี่ซื่ออวี๋เข้าใจความหมายแฝงของคุณปู่ดี ถ้าหากเขารับปากยอมรับตำแหน่งผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง คุณปู่สามารถจ่ายค่าตอบแทนให้เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น จ่ายค่ายารักษาหลี่มู่หลานต่อไปอีกสักระยะอะไรทำนองนี้

หลี่ซื่ออวี๋กลับไปถึงสถาบันลูกเสือก็ขบคิดอยู่นานมาก เขาเองก็เคยคิดเรื่องคำแนะนำของคุณปู่กลายเป็นผู้นำตระกูล สุดท้ายก็แบกท้องฟ้าทั้งผืนให้ญาติผู้พี่ ให้เขาอยู่ใต้ปีกของตน มีชีวิตที่มั่นคง…

แต่หลี่ซื่ออวี๋หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะว่ารอให้เขาได้รับอำนาจกลายเป็นผู้นำตระกูลอย่างแท้จริง อย่างเร็วที่สุดก็อีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เขาเห็นว่าร่างกายของญาติผู้พี่ทนได้นานขนาดนั้นไม่ไหว มีเพียงหาหมอที่ดีที่สุด ยาที่ดีที่สุดรวมถึงทรัพยากรที่ดีสุดของสหพันธรัฐให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะมีความหวังยืดชีวิตของญาติผู้พี่ออกไป

หลี่ซื่ออวี๋ไม่อยากให้ญาติผู้พี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตอนนี้อายุขัยโดยประมาณของมนุษย์เกือบถึง 200 ปีอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว เขาหวังว่าอย่างน้อยที่สุดญาติผู้พี่ก็สามารถมีชีวิตได้เกิน 150 ปี…หากต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ ก็ได้แต่รักษาญาติผู้พี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ตอนนี้หลี่ซื่ออวี๋อยากได้อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น ดังนั้นหากเขาอยากพึ่งพาพลังภายนอกย่อมทำไม่ได้แน่นอน ส่วนตระกูลหลี่ ในคำพูดของคุณปู่ก็บอกไว้แล้วว่า ตระกูลหลี่ให้ความเมตตาต่อญาติผู้พี่จนถึงที่สุดแล้ว อายุที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ของชายชาวสหพันธรัฐคือยี่สิบปี ตระกูลหลี่จะจ่ายเงินแค่ถึงตอนนั้น ต่อไปจะไม่ให้ความช่วยเหลือเรื่องค่ายารักษาอันมหาศาลของญาติผู้พี่อีก จากคำพูดของคุณปู่ ในเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเอาเอง

นี่ก็บ่งบอกว่าเบื้องหน้าเขามีเพียงเส้นทางเดียว นั่นก็คืออีกสี่ปีให้หลัง เขาต้องมีเครดิตที่มหาศาลมากพอ ถึงจะรับผิดชอบค่ายารักษาจำนวนมากของญาติผู้พี่แทนตระกูลหลี่ได้ แต่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงนักเรียนทหาร ไม่มีทางมีความสามารถเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ตระกูลหลี่มอบค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันเท่าที่จำเป็นแก่ลูกหลานตระกูลหลี่เท่านั้น ไม่ได้ให้มากมายเลย หากยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้เขาได้เครดิตมาก็จะถูกหักกลับไปที่บัญชีรวมของตระกูลหลี่ เขาหยิบมาสักนิดไม่ได้เลย

วันเวลาช่วงนั้นเขากลุ้มใจกระสับกระส่าย ไม่สนใจเรื่องราวรอบข้าง ต่อให้ปีสิบถูกปีเจ็ดอัดจนโงหัวไม่ขึ้น เขาก็ไม่รู้สึกอะไร ทุกวันเขาครุ่นคิดถึงอนาคตของเขากับญาติผู้พี่ ตอนที่เขาเตรียมตัวก้มหัวปรึกษากับคุณปู่ด้วยความจนตรอก ข้อมูลการสมัครสอบของโรงเรียนทหารก็จุดตะเกียงสว่างไสวให้เขา

โรงเรียนทหารไม่เพียงมีแค่ภาควิชาควบคุมหุ่นรบ มันยังมีภาควิชาอีกนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นก็มีภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหารที่ได้รับการยกย่องจากทหาร และแพทย์ทหารย่อมเป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในหมู่แพทย์ของสหพันธรัฐ ถึงขนาดที่แพทย์ทหารสามารถแตะต้องยาที่สหพันธรัฐค้นคว้าผลิตอย่างเป็นความลับได้ โดยเฉพาะพวกยาต้องห้ามที่ถูกควบคุมไว้เหล่านั้น มีเพียงแพทย์ทหารระดับหัวกะทิถึงจะสามารถแตะต้องพวกมันได้

ดังนั้น แทนที่จะต้องขอร้องคน ขอยารักษา ขอทรัพยากร ไม่สู้ให้ตัวเองกลายเป็นแพทย์ทหารระดับหัวกะทิ คว้าทรัพยากรยารักษาพวกนั้นได้ แววตาของหลี่ซื่ออวี๋ส่องสว่างวาบขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หาหนทางที่สามารถช่วยเหลือญาติผู้พี่ได้แล้ว

หลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้บุ่มบ่าม เขากลับไปพูดกับคุณปู่ด้วยความนอบน้อมจริงใจทันที เมื่อเขาพูดถึงการตัดสินใจของเขา เขายังจำได้ว่าคุณปู่ถามเขาว่าจะเสียใจภายหลังไหม?

หลี่ซื่ออวี๋ยังจำได้ว่าตัวเองตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า เขาไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิดที่ถูกอำนาจผลประโยชน์ควบคุม เขาทอดทิ้งพี่น้องไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามเสียงที่ได้ยินจากหัวใจตัวเอง เขาไม่มีทางเสียใจภายหลังอยู่แล้ว

ตอนที่เขาบอกลาคุณปู่ เขาเหมือนกับได้ยินคุณปู่เอ่ยคำพูดประโยคนี้แว่วๆ ว่า ‘หลี่มู่หลาน หลานมีดีอะไร…’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+