I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 161 การต่อสู้ประจัญบาน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 161 การต่อสู้ประจัญบาน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ปีสิบ! พวกเขาเห็นปีเจ็ดของเราขัดหูขัดตา เลยอาศัยการกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงห้องบีมายั่วโมโหเรา…” หลิงหลานได้ยินลำดับเรื่องที่ลั่วล่างรายงานก็รู้ว่านี่ย่อมเป็นเป้าหมายของพวกนักเรียนปีสิบที่ต้องการแสดงอำนาจบารมีสักครั้งแน่นอน “ปีสิบ…ลูกพี่หลาน นายเป็นลูกพี่จริงๆ ฉันยอมรับนายถึงที่สุดแล้ว” เดิมทีอู่จย่งคิดว่าเป็นแค่การต่อสู้ตะลุมบอนกับพวกปีแปดสักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าคนที่หลิงหลานท้าประลองจะเป็นระดับสูงสุด ขัดแย้งกับพวกปีสิบที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ความกล้าหาญแบบนี้ทำให้อู่จย่งยอมรับไปโดยสิ้นเชิง “อู่จย่ง ฉันได้มายินว่าห้องบีมีคนที่กลายพันธุ์พลังจิตน้อยมาก ขนาดห้องเอก็ยังมีคนครึ่งหนึ่งที่แสดงผลไม่ชัดเจนเลย?” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อารมณ์ของอู่จย่งดิ่งลงเล็กน้อย “ใช่แล้ว หลายปีมานี้การกลายพันธุ์พลังจิตของพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดยังไม่กลายพันธุ์ก่อนอายุสิบหกละก็ เกรงว่าจะสูญเสียความเป็นไปได้ในการควบคุมหุ่นรบไป…” คนที่ไม่มีการกลายพันธุ์พลังจิต ต่อให้ควบคุมหุ่นรบก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางได้ ดังนั้นการสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารใหญ่ๆ หลังจากอายุสิบหก ทางโรงเรียนก็จะไม่รับเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปในห้องเรียนหุ่นรบ “บางครั้งการต่อสู้ที่โหดร้ายจะทำให้พวกเขาพัฒนาและทะลวงขีดจำกัดไปได้…การต่อสู้ประจัญบานเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” หลิงหลานชี้แจงสาเหตุที่เธอต้องการการต่อสู้ประจัญบานออกมาอย่างกำกวม แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย ยิ่งนับถือหลิงหลานมากขึ้นไปอีก เขาตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “ลูกพี่หลานวางใจได้เลย ฉันจะแจ้งเพื่อนเราที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหมด…” อู่จย่งโด่งดังมากในหมู่ชั้นปี เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละกลุ่มมาก ดังนั้นปกติแล้วเพื่อนๆ ในชั้นปีมีเรื่องอะไรที่จัดการลำบาก ก็จะชอบให้อู่จย่งช่วยเหลือ มีเพียงตอนที่อู่จย่งช่วยเหลือไม่ได้แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงค่อยคิดขอความช่วยเหลือจากหลิงหลานอย่างระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่เคยโมโหมาก่อน แต่ว่าใบหน้าเย็นชาที่ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาจางๆ และแววตานิ่งเรียบนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เลย ความจริงแล้วยิ่งเด็กๆ โตขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสูงต่ำของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของหลิงหลานหลุดพ้นจากขอบเขตของลูกเสือแล้ว ทำให้ในใจพวกเขาอดเกิดแรงกดดันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับหลิงหลานน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์อีก นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานต้องการให้อู่จย่งแจ้งเพื่อนร่วมชั้น ใครใช้ให้เขามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะ แน่นอนว่านอกจากหมายเลขติดต่อของอู่จย่งแล้ว หลิงหลานไม่มีเบอร์คนอื่นแล้วจริงๆ เธออยากแจ้งก็ไม่สามารถแจ้งได้ หลิงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกจากโลกเสมือนจริง เธอเปลี่ยนเป็นสวมฟลายอิ้งสเก็ตและออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว หลิงหลานเพิ่งจะขี่ฟลายอิ้งสเก็ตลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นในหอพักห้องเอจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการแจ้งข่าวขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินออกมา “ลูกพี่หลาน!” ทุกคนต่างหยุดชะงักและทักทายเธอด้วยใบหน้านับถือ ถ้าหากบอกว่าฉีหลงเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของรุ่น 4738 อู่จย่งเป็นเสากลาง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานก็เป็นเสาค้ำสมุทรของชั้นปีพวกเขา เมื่อมีเธออยู่เห็นได้ชัดว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “อืม ทุกคนมากันหมดแล้ว?” หลิงหลานหยุดฟลายอิ้งสเก็ตให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารวมกลุ่มกันข้างกายเธอสามสิบกว่าคน “ก็ใกล้แล้ว มีบางคนเดินทางไปก่อนแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นหนึ่งในนั้นพูด “ยังมีอีกหลายคนกำลังมา” “งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานเอ่ยเรียบๆ หลังจากนั้นปากปล่อยพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองฝั่งของฟลายอิ้งสเก็ตก็พ่นไอออกมา จากนั้นมันก็เปิดใช้งานในพริบตาก่อนจะบินตรงไปที่โรงอาหารเขตระดับสูงของสถาบัน “ไป!” เพื่อนร่วมชั้นที่ตามหลังตะโกนเสียงดัง นักเรียนสามสิบกว่าคนขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินรวมกลุ่มตามหลิงหลานอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันตามใจชอบ …………… เวลานี้ในโรงอาหารใหญ่เขตระดับสูงของสถาบัน มีกลุ่มวัยรุ่นชุดแดงอายุสิบห้าสิบหก บางคนนั่งบางคนยืน บางคนพิงบางคนเข้าประชิดล้อมวงพื้นที่หนึ่งเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วนคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับด้านในกำลังนั่งไม่ยี่หระอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนตรงข้ามเขาคือเด็กหนุ่มชุดแดงที่อ่อนเยาว์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าด้านหลังเขากลับมีเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอายุเท่าเขายืนอยู่หลายคน มีทั้งชุดเครื่องแบบสีแดงและสีขาว “ว่าไง ฉีหลง นายคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอ?” นักเรียนห้องเอชั้นปีสิบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน ฉีหลงยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและกล่าวว่า “รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นยังไง ตอนนี้ตีก็ตีกันไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ควรจะหยุดมือกันแล้วใช่ไหม?” ฉีหลงไม่ได้กลัว เพียงแต่ถ้าทะเลาะกันต่อไป ต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนของห้องบีจะต้องประสบหายนะได้รับบาดเจ็บแน่นอน เดิมทีที่เขายื่นมือออกมาขัดขวางก็ไม่อยากเห็นพวกเธอได้รับบาดเจ็บนะ “ฉีหลง กล้าดีนักนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้มาพูดกับรุ่นพี่?” คนผู้นั้นถูกคำพูดที่แฝงไปด้วยกระดูกทิ่มแทงของฉีหลงจนเด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะ ด่าออกมาเสียงดังลั่น “รุ่นพี่ นายก็คิดมากเกินไปแล้ว!” มุมปากของฉีหลงเผยรอยยิ้มหยันออกมา เวลานี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่า เดิมทีอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะก่อเรื่องให้ใหญ่ คิดจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้พวกเขาชั้นปีเจ็ดที่เพิ่งเข้ามาในเขตระดับสูง! “ฉีหลง! นาย…” ท่าทีแบบนี้ของฉีหลงทำให้นักเรียนปีสิบเดือดดาลมาก นี่เป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ในเขตระดับสูงเหรอ? คิดถึงตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาและถูกรุ่นพี่ปีสิบกลั่นแกล้ง ท่าทีของพวกเขาเคารพนอบน้อมสุดขีด ทำไมพอถึงตาพวกเขาแล้วกลับเจอพวกหัวแข็งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ล่ะ? “ฉีหลง อย่าอวดดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่านายเป็นอันดับหนึ่งของปีเจ็ด แต่ว่าต่อหน้าพวกเราแล้ว นายก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…” คนที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “พวกเราอยากเล่นกับนาย ก็เหมือนเล่นกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสาร…อ่านสถานการณ์หน่อย คุกเข่าขอโทษให้ฉันซะ!” “คุกเข่า!” “คุกเข่า!” “คุกเข่า!” เสียงคำว่าคุกเข่าดังก้องต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงอาหารของสถาบัน นักเรียนปีสิบรู้สึกโกรธแค้นศัตรูเดียวกันแล้ว ทยอยกดดันฉีหลงที่เป็นผู้นำของพวกปีเจ็ด นักเรียนปีแปดและปีเก้าทั้งหมดต่างหดตัวอยู่ในมุมไม่กล้าส่งเสียงออกมา นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นการแสดงอำนาจของปีสิบในเขตเรียนระดับสูงใส่ปีเจ็ดที่เลื่อนเข้ามาในเขตเรียนระดับสูงเป็นครั้งแรก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ เด็กปีเจ็ดคนอื่นๆ ปรากฏตัวก็จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้…ตอนที่พวกเขาอยู่ปีเจ็ดก็เคยทนรับเหมือนกัน รสชาตินั้นย่อมยากจะลืมเลือน แต่นี่ก็เป็นเขตระดับสูง ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นก็เป็นผู้พูด!  ที่นี่ไม่มีอาจารย์สอดมือยุ่งเกี่ยวกับการกดขี่และความขัดแย้งแบบนี้ ควรพูดว่า เมื่อเข้าสู่เขตเรียนระดับสูงแล้ว พวกเขาคือนักเรียนที่สามารถจบการศึกษา สิ่งที่สถาบันควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว หนทางข้างหน้าต่างต้องอาศัยนักเรียนพุ่งไปคว้าด้วยตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ขนาดเล็กๆ เป็นโลกที่พูดด้วยกำลังไม่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทุกปีถึงมีเหตุการณ์ที่นักเรียนปีสิบกดขี่นักเรียนปีเจ็ด เพราะว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมสีดำอย่างหนึ่งแล้ว ตอนนั้นได้รับการดูถูก วันนี้ก็เลยต้องการเอาคืนจากรุ่นน้อง เพราะฉะนั้นต่อให้เดิมทีนักเรียนปีเจ็ดพวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ของเขตระดับกลาง แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเดินเก็บหาง[1]ในเขตระดับสูงก่อนเถอะ! “เหอะๆๆๆ…คุกเข่า? ลูกพี่ฉันบอกฉันว่า ลูกผู้ชายทำได้แค่ตายกระทั่งที่ยืนเท่านั้น จะคุกเข่ารอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” รอยยิ้มบนใบหน้าฉีหลงหายไปแล้ว เขาสามารถยอมถอย แต่ไม่อาจสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีได้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากดูว่ากระดูกของนายมันจะแข็งมากแค่ไหนกันแน่!” คนที่เป็นผู้นำเด็กปีสิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ในโรงอาหารก็มีคนยืนออกมาเจ็ดแปดคน ถูกำปั้นเตรียมพร้อมรุมอัดฉีหลง ฉีหลงเห็นดังนั้นก็ตั้งท่าป้องกันทันที ปากก็แค่นเสียงเย็นว่า “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกรุ่นพี่จะมีความสามารถเท่าไหร่กันแน่ จะทำให้ผมยอมแพ้ได้หรือเปล่า…” “ไม่เลว ฉัน ลั่วล่างก็อยากเห็นเหมือนกัน!” ลั่วล่างรู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อได้แล้ว เขาก็เลยยื่นตัวออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างๆ ฉีหลง ชูกำปั้นเตรียมพร้อมจะต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนพวกนี้ หานซู่หย่าเหนี่ยวกำปั้นทันทีและเอ่ยเสียงดังลั่นว่า “ยังมีฉันด้วย แม่งเอ๊ย ฉันไม่กลัวไอ้สารเลวพวกนี้หรอก!” เธอดูถูกผู้ชายที่กลั่นแกล้งผู้หญิงและคนอ่อนแอมากที่สุด รุ่นพี่ปีสิบพวกนี้ทำผิดหมดทั้งสองอย่าง เธอเลยโกรธแค้นสุดขีด ลั่วเฉาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมแบบนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับฝืนประคองเพื่อนผู้หญิงข้างกายที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไว้โดยไม่ถอยหลังไปสักก้าว เธอไม่มีทางลืมคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเธอว่า เธอกลัวได้ ตื่นตระหนกได้ แต่หดหัววิ่งหนีไม่ได้เด็ดขาด! “เป็นคนอวดดีจริงๆ แค่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดคนเดียวก็คิดว่าสถาบันนี้เป็นแผ่นดินของเขาแล้วหรือไง?” นักเรียนปีสิบเริ่มร้องเอะอะ ยิ่งเห็นความใจเด็ดแบบนี้ พวกเขายิ่งอยากทำลาย ตอนนั้นพวกเขาทำไม่ได้ แล้วเด็กปีเจ็ดพวกนี้อาศัยอะไรมีมันได้? “สั่งสอนมัน!” “สั่งสอนมัน!” “สั่งสอนมัน!” นักเรียนปีสิบต่างต้องการแสดงอำนาจใส่ปีเจ็ด ทั่วทั้งโรงอาหารพลันตกอยู่ท่ามกลางคลื่นเสียงคำว่า ‘สั่งสอนมัน’ “ในเมื่อรุ่นพี่ปีสิบอยากสั่งสอนพวกเราปีเจ็ดขนาดนี้ ถ้างั้นพวกเรานักเรียนปีเจ็ดทุกคนจะรับไว้!” เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ ฉีหลงหันหน้ามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี และก็เห็นร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ นายมาแล้ว!” นักเรียนสวมชุดเครื่องแบบสีแดงกลุ่มใหญ่ถลันเข้ามาจากหน้าประตู และคนที่นำหน้านั้นก็คือ หลิงหลาน! เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นักเรียนปีเจ็ดก็ออกมากันมากมาย สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำนักเรียนปีสิบเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กปีเจ็ดอย่างพวกนายอยากจะกบฏหรือไง?” “กบฏ? ในสายตาของฉัน พวกนายยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเราใช้คำนี้?” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีสิบเอะอะโวยวายขึ้นมา แม่งเอ๊ย เด็กปีเจ็ดกลุ่มนี้เข้ามาพร้อมกับความบ้าระห่ำอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดีๆ จะไม่ได้แล้ว “ในเมื่อพวกนายอยากสู้ขนาดนี้ ก็ให้สมดั่งใจพวกนาย พวกเราปีเจ็ดขอท้าต่อสู้ประจัญบานกับนักเรียนปีสิบของพวกนาย!” “ต่อสู้ประจัญบาน?” นักเรียนปีสิบงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรออก แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกนายบ้าไปแล้ว!” เขามองจำนวนคนข้างกายหลิงหลานแล้วพลันโล่งอก “ไม่สิ พวกนายไม่สามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานได้ แค่คนของพวกนายเท่านี้ เป็นไปไม่ได้…” การต่อสู้ประจัญบานต้องได้รับการยอมรับ 95% จากในนักเรียนหนึ่งร้อยคนของห้องสเปเชียลเอและห้องสเปเชียลบีในชั้นปีถึงจะยื่นผ่านได้ “ถูกต้อง พวกเราขอยื่นคำท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกนายปีสิบ!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน ที่แท้อู่จย่งได้พานักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช่นกัน ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนห้องปีที่สวมชุดสีขาว สาเหตุที่อู่จย่งมาสายเป็นเพราะเขาต้องติดต่อคนของห้องบี การต่อสู้ประจัญบานต้องการการเห็นด้วยเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนของห้องสเปเชียลเอและบีถึงจะสามารถยื่นผ่าน ดังนั้นอู่จย่งจึงต้องพูดคุยกับทีมของห้องบีรอบหนึ่ง จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ “พวกนายบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” นักเรียนปีสิบทำหน้าหวาดผวา พวกเขาแค่อยากแสดงอำนาจใส่เด็กปีเจ็ด แต่ไม่ได้อยากเปิดการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัว นั่นเป็นการเอาชีวิตคนเลยนะ ………………………………..

“ปีสิบ! พวกเขาเห็นปีเจ็ดของเราขัดหูขัดตา เลยอาศัยการกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงห้องบีมายั่วโมโหเรา…” หลิงหลานได้ยินลำดับเรื่องที่ลั่วล่างรายงานก็รู้ว่านี่ย่อมเป็นเป้าหมายของพวกนักเรียนปีสิบที่ต้องการแสดงอำนาจบารมีสักครั้งแน่นอน

“ปีสิบ…ลูกพี่หลาน นายเป็นลูกพี่จริงๆ ฉันยอมรับนายถึงที่สุดแล้ว” เดิมทีอู่จย่งคิดว่าเป็นแค่การต่อสู้ตะลุมบอนกับพวกปีแปดสักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าคนที่หลิงหลานท้าประลองจะเป็นระดับสูงสุด ขัดแย้งกับพวกปีสิบที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ความกล้าหาญแบบนี้ทำให้อู่จย่งยอมรับไปโดยสิ้นเชิง

“อู่จย่ง ฉันได้มายินว่าห้องบีมีคนที่กลายพันธุ์พลังจิตน้อยมาก ขนาดห้องเอก็ยังมีคนครึ่งหนึ่งที่แสดงผลไม่ชัดเจนเลย?” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

อารมณ์ของอู่จย่งดิ่งลงเล็กน้อย “ใช่แล้ว หลายปีมานี้การกลายพันธุ์พลังจิตของพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดยังไม่กลายพันธุ์ก่อนอายุสิบหกละก็ เกรงว่าจะสูญเสียความเป็นไปได้ในการควบคุมหุ่นรบไป…” คนที่ไม่มีการกลายพันธุ์พลังจิต ต่อให้ควบคุมหุ่นรบก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางได้ ดังนั้นการสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารใหญ่ๆ หลังจากอายุสิบหก ทางโรงเรียนก็จะไม่รับเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปในห้องเรียนหุ่นรบ

“บางครั้งการต่อสู้ที่โหดร้ายจะทำให้พวกเขาพัฒนาและทะลวงขีดจำกัดไปได้…การต่อสู้ประจัญบานเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” หลิงหลานชี้แจงสาเหตุที่เธอต้องการการต่อสู้ประจัญบานออกมาอย่างกำกวม

แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย ยิ่งนับถือหลิงหลานมากขึ้นไปอีก เขาตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “ลูกพี่หลานวางใจได้เลย ฉันจะแจ้งเพื่อนเราที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหมด…”

อู่จย่งโด่งดังมากในหมู่ชั้นปี เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละกลุ่มมาก ดังนั้นปกติแล้วเพื่อนๆ ในชั้นปีมีเรื่องอะไรที่จัดการลำบาก ก็จะชอบให้อู่จย่งช่วยเหลือ มีเพียงตอนที่อู่จย่งช่วยเหลือไม่ได้แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงค่อยคิดขอความช่วยเหลือจากหลิงหลานอย่างระมัดระวัง

ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่เคยโมโหมาก่อน แต่ว่าใบหน้าเย็นชาที่ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาจางๆ และแววตานิ่งเรียบนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เลย ความจริงแล้วยิ่งเด็กๆ โตขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสูงต่ำของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของหลิงหลานหลุดพ้นจากขอบเขตของลูกเสือแล้ว ทำให้ในใจพวกเขาอดเกิดแรงกดดันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับหลิงหลานน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์อีก

นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานต้องการให้อู่จย่งแจ้งเพื่อนร่วมชั้น ใครใช้ให้เขามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะ แน่นอนว่านอกจากหมายเลขติดต่อของอู่จย่งแล้ว หลิงหลานไม่มีเบอร์คนอื่นแล้วจริงๆ เธออยากแจ้งก็ไม่สามารถแจ้งได้

หลิงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกจากโลกเสมือนจริง เธอเปลี่ยนเป็นสวมฟลายอิ้งสเก็ตและออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว

หลิงหลานเพิ่งจะขี่ฟลายอิ้งสเก็ตลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นในหอพักห้องเอจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการแจ้งข่าวขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินออกมา

“ลูกพี่หลาน!” ทุกคนต่างหยุดชะงักและทักทายเธอด้วยใบหน้านับถือ ถ้าหากบอกว่าฉีหลงเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของรุ่น 4738 อู่จย่งเป็นเสากลาง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานก็เป็นเสาค้ำสมุทรของชั้นปีพวกเขา เมื่อมีเธออยู่เห็นได้ชัดว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“อืม ทุกคนมากันหมดแล้ว?” หลิงหลานหยุดฟลายอิ้งสเก็ตให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารวมกลุ่มกันข้างกายเธอสามสิบกว่าคน

“ก็ใกล้แล้ว มีบางคนเดินทางไปก่อนแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นหนึ่งในนั้นพูด “ยังมีอีกหลายคนกำลังมา”

“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานเอ่ยเรียบๆ หลังจากนั้นปากปล่อยพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองฝั่งของฟลายอิ้งสเก็ตก็พ่นไอออกมา จากนั้นมันก็เปิดใช้งานในพริบตาก่อนจะบินตรงไปที่โรงอาหารเขตระดับสูงของสถาบัน

“ไป!” เพื่อนร่วมชั้นที่ตามหลังตะโกนเสียงดัง นักเรียนสามสิบกว่าคนขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินรวมกลุ่มตามหลิงหลานอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันตามใจชอบ

……………

เวลานี้ในโรงอาหารใหญ่เขตระดับสูงของสถาบัน มีกลุ่มวัยรุ่นชุดแดงอายุสิบห้าสิบหก บางคนนั่งบางคนยืน บางคนพิงบางคนเข้าประชิดล้อมวงพื้นที่หนึ่งเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วนคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับด้านในกำลังนั่งไม่ยี่หระอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนตรงข้ามเขาคือเด็กหนุ่มชุดแดงที่อ่อนเยาว์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าด้านหลังเขากลับมีเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอายุเท่าเขายืนอยู่หลายคน มีทั้งชุดเครื่องแบบสีแดงและสีขาว

“ว่าไง ฉีหลง นายคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอ?” นักเรียนห้องเอชั้นปีสิบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน

ฉีหลงยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและกล่าวว่า “รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นยังไง ตอนนี้ตีก็ตีกันไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ควรจะหยุดมือกันแล้วใช่ไหม?” ฉีหลงไม่ได้กลัว เพียงแต่ถ้าทะเลาะกันต่อไป ต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนของห้องบีจะต้องประสบหายนะได้รับบาดเจ็บแน่นอน เดิมทีที่เขายื่นมือออกมาขัดขวางก็ไม่อยากเห็นพวกเธอได้รับบาดเจ็บนะ

“ฉีหลง กล้าดีนักนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้มาพูดกับรุ่นพี่?” คนผู้นั้นถูกคำพูดที่แฝงไปด้วยกระดูกทิ่มแทงของฉีหลงจนเด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะ ด่าออกมาเสียงดังลั่น

“รุ่นพี่ นายก็คิดมากเกินไปแล้ว!” มุมปากของฉีหลงเผยรอยยิ้มหยันออกมา เวลานี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่า เดิมทีอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะก่อเรื่องให้ใหญ่ คิดจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้พวกเขาชั้นปีเจ็ดที่เพิ่งเข้ามาในเขตระดับสูง!

“ฉีหลง! นาย…” ท่าทีแบบนี้ของฉีหลงทำให้นักเรียนปีสิบเดือดดาลมาก นี่เป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ในเขตระดับสูงเหรอ? คิดถึงตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาและถูกรุ่นพี่ปีสิบกลั่นแกล้ง ท่าทีของพวกเขาเคารพนอบน้อมสุดขีด ทำไมพอถึงตาพวกเขาแล้วกลับเจอพวกหัวแข็งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ล่ะ?

“ฉีหลง อย่าอวดดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่านายเป็นอันดับหนึ่งของปีเจ็ด แต่ว่าต่อหน้าพวกเราแล้ว นายก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…” คนที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “พวกเราอยากเล่นกับนาย ก็เหมือนเล่นกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสาร…อ่านสถานการณ์หน่อย คุกเข่าขอโทษให้ฉันซะ!”

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

เสียงคำว่าคุกเข่าดังก้องต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงอาหารของสถาบัน นักเรียนปีสิบรู้สึกโกรธแค้นศัตรูเดียวกันแล้ว ทยอยกดดันฉีหลงที่เป็นผู้นำของพวกปีเจ็ด

นักเรียนปีแปดและปีเก้าทั้งหมดต่างหดตัวอยู่ในมุมไม่กล้าส่งเสียงออกมา นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นการแสดงอำนาจของปีสิบในเขตเรียนระดับสูงใส่ปีเจ็ดที่เลื่อนเข้ามาในเขตเรียนระดับสูงเป็นครั้งแรก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ เด็กปีเจ็ดคนอื่นๆ ปรากฏตัวก็จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้…ตอนที่พวกเขาอยู่ปีเจ็ดก็เคยทนรับเหมือนกัน รสชาตินั้นย่อมยากจะลืมเลือน แต่นี่ก็เป็นเขตระดับสูง ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นก็เป็นผู้พูด!

 ที่นี่ไม่มีอาจารย์สอดมือยุ่งเกี่ยวกับการกดขี่และความขัดแย้งแบบนี้ ควรพูดว่า เมื่อเข้าสู่เขตเรียนระดับสูงแล้ว พวกเขาคือนักเรียนที่สามารถจบการศึกษา สิ่งที่สถาบันควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว หนทางข้างหน้าต่างต้องอาศัยนักเรียนพุ่งไปคว้าด้วยตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ขนาดเล็กๆ เป็นโลกที่พูดด้วยกำลังไม่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทุกปีถึงมีเหตุการณ์ที่นักเรียนปีสิบกดขี่นักเรียนปีเจ็ด เพราะว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมสีดำอย่างหนึ่งแล้ว ตอนนั้นได้รับการดูถูก วันนี้ก็เลยต้องการเอาคืนจากรุ่นน้อง

เพราะฉะนั้นต่อให้เดิมทีนักเรียนปีเจ็ดพวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ของเขตระดับกลาง แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเดินเก็บหาง[1]ในเขตระดับสูงก่อนเถอะ!

“เหอะๆๆๆ…คุกเข่า? ลูกพี่ฉันบอกฉันว่า ลูกผู้ชายทำได้แค่ตายกระทั่งที่ยืนเท่านั้น จะคุกเข่ารอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” รอยยิ้มบนใบหน้าฉีหลงหายไปแล้ว เขาสามารถยอมถอย แต่ไม่อาจสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีได้

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากดูว่ากระดูกของนายมันจะแข็งมากแค่ไหนกันแน่!” คนที่เป็นผู้นำเด็กปีสิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ในโรงอาหารก็มีคนยืนออกมาเจ็ดแปดคน ถูกำปั้นเตรียมพร้อมรุมอัดฉีหลง

ฉีหลงเห็นดังนั้นก็ตั้งท่าป้องกันทันที ปากก็แค่นเสียงเย็นว่า “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกรุ่นพี่จะมีความสามารถเท่าไหร่กันแน่ จะทำให้ผมยอมแพ้ได้หรือเปล่า…”

“ไม่เลว ฉัน ลั่วล่างก็อยากเห็นเหมือนกัน!” ลั่วล่างรู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อได้แล้ว เขาก็เลยยื่นตัวออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างๆ ฉีหลง ชูกำปั้นเตรียมพร้อมจะต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนพวกนี้

หานซู่หย่าเหนี่ยวกำปั้นทันทีและเอ่ยเสียงดังลั่นว่า “ยังมีฉันด้วย แม่งเอ๊ย ฉันไม่กลัวไอ้สารเลวพวกนี้หรอก!” เธอดูถูกผู้ชายที่กลั่นแกล้งผู้หญิงและคนอ่อนแอมากที่สุด รุ่นพี่ปีสิบพวกนี้ทำผิดหมดทั้งสองอย่าง เธอเลยโกรธแค้นสุดขีด

ลั่วเฉาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมแบบนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับฝืนประคองเพื่อนผู้หญิงข้างกายที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไว้โดยไม่ถอยหลังไปสักก้าว เธอไม่มีทางลืมคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเธอว่า เธอกลัวได้ ตื่นตระหนกได้ แต่หดหัววิ่งหนีไม่ได้เด็ดขาด!

“เป็นคนอวดดีจริงๆ แค่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดคนเดียวก็คิดว่าสถาบันนี้เป็นแผ่นดินของเขาแล้วหรือไง?” นักเรียนปีสิบเริ่มร้องเอะอะ ยิ่งเห็นความใจเด็ดแบบนี้ พวกเขายิ่งอยากทำลาย ตอนนั้นพวกเขาทำไม่ได้ แล้วเด็กปีเจ็ดพวกนี้อาศัยอะไรมีมันได้?

“สั่งสอนมัน!”

“สั่งสอนมัน!”

“สั่งสอนมัน!”

นักเรียนปีสิบต่างต้องการแสดงอำนาจใส่ปีเจ็ด ทั่วทั้งโรงอาหารพลันตกอยู่ท่ามกลางคลื่นเสียงคำว่า ‘สั่งสอนมัน’

“ในเมื่อรุ่นพี่ปีสิบอยากสั่งสอนพวกเราปีเจ็ดขนาดนี้ ถ้างั้นพวกเรานักเรียนปีเจ็ดทุกคนจะรับไว้!” เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่

ฉีหลงหันหน้ามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี และก็เห็นร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ นายมาแล้ว!”

นักเรียนสวมชุดเครื่องแบบสีแดงกลุ่มใหญ่ถลันเข้ามาจากหน้าประตู และคนที่นำหน้านั้นก็คือ หลิงหลาน!

เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นักเรียนปีเจ็ดก็ออกมากันมากมาย สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำนักเรียนปีสิบเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กปีเจ็ดอย่างพวกนายอยากจะกบฏหรือไง?”

“กบฏ? ในสายตาของฉัน พวกนายยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเราใช้คำนี้?” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีสิบเอะอะโวยวายขึ้นมา แม่งเอ๊ย เด็กปีเจ็ดกลุ่มนี้เข้ามาพร้อมกับความบ้าระห่ำอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดีๆ จะไม่ได้แล้ว

“ในเมื่อพวกนายอยากสู้ขนาดนี้ ก็ให้สมดั่งใจพวกนาย พวกเราปีเจ็ดขอท้าต่อสู้ประจัญบานกับนักเรียนปีสิบของพวกนาย!”

“ต่อสู้ประจัญบาน?” นักเรียนปีสิบงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรออก แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกนายบ้าไปแล้ว!”

เขามองจำนวนคนข้างกายหลิงหลานแล้วพลันโล่งอก “ไม่สิ พวกนายไม่สามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานได้ แค่คนของพวกนายเท่านี้ เป็นไปไม่ได้…”

การต่อสู้ประจัญบานต้องได้รับการยอมรับ 95% จากในนักเรียนหนึ่งร้อยคนของห้องสเปเชียลเอและห้องสเปเชียลบีในชั้นปีถึงจะยื่นผ่านได้

“ถูกต้อง พวกเราขอยื่นคำท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกนายปีสิบ!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน ที่แท้อู่จย่งได้พานักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช่นกัน ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนห้องปีที่สวมชุดสีขาว

สาเหตุที่อู่จย่งมาสายเป็นเพราะเขาต้องติดต่อคนของห้องบี การต่อสู้ประจัญบานต้องการการเห็นด้วยเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนของห้องสเปเชียลเอและบีถึงจะสามารถยื่นผ่าน ดังนั้นอู่จย่งจึงต้องพูดคุยกับทีมของห้องบีรอบหนึ่ง จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ได้

“พวกนายบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” นักเรียนปีสิบทำหน้าหวาดผวา พวกเขาแค่อยากแสดงอำนาจใส่เด็กปีเจ็ด แต่ไม่ได้อยากเปิดการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัว นั่นเป็นการเอาชีวิตคนเลยนะ

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 161 การต่อสู้ประจัญบาน!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 161 การต่อสู้ประจัญบาน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ปีสิบ! พวกเขาเห็นปีเจ็ดของเราขัดหูขัดตา เลยอาศัยการกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงห้องบีมายั่วโมโหเรา…” หลิงหลานได้ยินลำดับเรื่องที่ลั่วล่างรายงานก็รู้ว่านี่ย่อมเป็นเป้าหมายของพวกนักเรียนปีสิบที่ต้องการแสดงอำนาจบารมีสักครั้งแน่นอน “ปีสิบ…ลูกพี่หลาน นายเป็นลูกพี่จริงๆ ฉันยอมรับนายถึงที่สุดแล้ว” เดิมทีอู่จย่งคิดว่าเป็นแค่การต่อสู้ตะลุมบอนกับพวกปีแปดสักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าคนที่หลิงหลานท้าประลองจะเป็นระดับสูงสุด ขัดแย้งกับพวกปีสิบที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ความกล้าหาญแบบนี้ทำให้อู่จย่งยอมรับไปโดยสิ้นเชิง “อู่จย่ง ฉันได้มายินว่าห้องบีมีคนที่กลายพันธุ์พลังจิตน้อยมาก ขนาดห้องเอก็ยังมีคนครึ่งหนึ่งที่แสดงผลไม่ชัดเจนเลย?” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อารมณ์ของอู่จย่งดิ่งลงเล็กน้อย “ใช่แล้ว หลายปีมานี้การกลายพันธุ์พลังจิตของพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดยังไม่กลายพันธุ์ก่อนอายุสิบหกละก็ เกรงว่าจะสูญเสียความเป็นไปได้ในการควบคุมหุ่นรบไป…” คนที่ไม่มีการกลายพันธุ์พลังจิต ต่อให้ควบคุมหุ่นรบก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางได้ ดังนั้นการสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารใหญ่ๆ หลังจากอายุสิบหก ทางโรงเรียนก็จะไม่รับเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปในห้องเรียนหุ่นรบ “บางครั้งการต่อสู้ที่โหดร้ายจะทำให้พวกเขาพัฒนาและทะลวงขีดจำกัดไปได้…การต่อสู้ประจัญบานเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” หลิงหลานชี้แจงสาเหตุที่เธอต้องการการต่อสู้ประจัญบานออกมาอย่างกำกวม แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย ยิ่งนับถือหลิงหลานมากขึ้นไปอีก เขาตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “ลูกพี่หลานวางใจได้เลย ฉันจะแจ้งเพื่อนเราที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหมด…” อู่จย่งโด่งดังมากในหมู่ชั้นปี เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละกลุ่มมาก ดังนั้นปกติแล้วเพื่อนๆ ในชั้นปีมีเรื่องอะไรที่จัดการลำบาก ก็จะชอบให้อู่จย่งช่วยเหลือ มีเพียงตอนที่อู่จย่งช่วยเหลือไม่ได้แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงค่อยคิดขอความช่วยเหลือจากหลิงหลานอย่างระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่เคยโมโหมาก่อน แต่ว่าใบหน้าเย็นชาที่ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาจางๆ และแววตานิ่งเรียบนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เลย ความจริงแล้วยิ่งเด็กๆ โตขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสูงต่ำของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของหลิงหลานหลุดพ้นจากขอบเขตของลูกเสือแล้ว ทำให้ในใจพวกเขาอดเกิดแรงกดดันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับหลิงหลานน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์อีก นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานต้องการให้อู่จย่งแจ้งเพื่อนร่วมชั้น ใครใช้ให้เขามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะ แน่นอนว่านอกจากหมายเลขติดต่อของอู่จย่งแล้ว หลิงหลานไม่มีเบอร์คนอื่นแล้วจริงๆ เธออยากแจ้งก็ไม่สามารถแจ้งได้ หลิงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกจากโลกเสมือนจริง เธอเปลี่ยนเป็นสวมฟลายอิ้งสเก็ตและออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว หลิงหลานเพิ่งจะขี่ฟลายอิ้งสเก็ตลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นในหอพักห้องเอจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการแจ้งข่าวขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินออกมา “ลูกพี่หลาน!” ทุกคนต่างหยุดชะงักและทักทายเธอด้วยใบหน้านับถือ ถ้าหากบอกว่าฉีหลงเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของรุ่น 4738 อู่จย่งเป็นเสากลาง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานก็เป็นเสาค้ำสมุทรของชั้นปีพวกเขา เมื่อมีเธออยู่เห็นได้ชัดว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “อืม ทุกคนมากันหมดแล้ว?” หลิงหลานหยุดฟลายอิ้งสเก็ตให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารวมกลุ่มกันข้างกายเธอสามสิบกว่าคน “ก็ใกล้แล้ว มีบางคนเดินทางไปก่อนแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นหนึ่งในนั้นพูด “ยังมีอีกหลายคนกำลังมา” “งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานเอ่ยเรียบๆ หลังจากนั้นปากปล่อยพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองฝั่งของฟลายอิ้งสเก็ตก็พ่นไอออกมา จากนั้นมันก็เปิดใช้งานในพริบตาก่อนจะบินตรงไปที่โรงอาหารเขตระดับสูงของสถาบัน “ไป!” เพื่อนร่วมชั้นที่ตามหลังตะโกนเสียงดัง นักเรียนสามสิบกว่าคนขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินรวมกลุ่มตามหลิงหลานอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันตามใจชอบ …………… เวลานี้ในโรงอาหารใหญ่เขตระดับสูงของสถาบัน มีกลุ่มวัยรุ่นชุดแดงอายุสิบห้าสิบหก บางคนนั่งบางคนยืน บางคนพิงบางคนเข้าประชิดล้อมวงพื้นที่หนึ่งเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วนคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับด้านในกำลังนั่งไม่ยี่หระอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนตรงข้ามเขาคือเด็กหนุ่มชุดแดงที่อ่อนเยาว์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าด้านหลังเขากลับมีเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอายุเท่าเขายืนอยู่หลายคน มีทั้งชุดเครื่องแบบสีแดงและสีขาว “ว่าไง ฉีหลง นายคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอ?” นักเรียนห้องเอชั้นปีสิบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน ฉีหลงยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและกล่าวว่า “รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นยังไง ตอนนี้ตีก็ตีกันไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ควรจะหยุดมือกันแล้วใช่ไหม?” ฉีหลงไม่ได้กลัว เพียงแต่ถ้าทะเลาะกันต่อไป ต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนของห้องบีจะต้องประสบหายนะได้รับบาดเจ็บแน่นอน เดิมทีที่เขายื่นมือออกมาขัดขวางก็ไม่อยากเห็นพวกเธอได้รับบาดเจ็บนะ “ฉีหลง กล้าดีนักนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้มาพูดกับรุ่นพี่?” คนผู้นั้นถูกคำพูดที่แฝงไปด้วยกระดูกทิ่มแทงของฉีหลงจนเด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะ ด่าออกมาเสียงดังลั่น “รุ่นพี่ นายก็คิดมากเกินไปแล้ว!” มุมปากของฉีหลงเผยรอยยิ้มหยันออกมา เวลานี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่า เดิมทีอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะก่อเรื่องให้ใหญ่ คิดจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้พวกเขาชั้นปีเจ็ดที่เพิ่งเข้ามาในเขตระดับสูง! “ฉีหลง! นาย…” ท่าทีแบบนี้ของฉีหลงทำให้นักเรียนปีสิบเดือดดาลมาก นี่เป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ในเขตระดับสูงเหรอ? คิดถึงตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาและถูกรุ่นพี่ปีสิบกลั่นแกล้ง ท่าทีของพวกเขาเคารพนอบน้อมสุดขีด ทำไมพอถึงตาพวกเขาแล้วกลับเจอพวกหัวแข็งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ล่ะ? “ฉีหลง อย่าอวดดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่านายเป็นอันดับหนึ่งของปีเจ็ด แต่ว่าต่อหน้าพวกเราแล้ว นายก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…” คนที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “พวกเราอยากเล่นกับนาย ก็เหมือนเล่นกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสาร…อ่านสถานการณ์หน่อย คุกเข่าขอโทษให้ฉันซะ!” “คุกเข่า!” “คุกเข่า!” “คุกเข่า!” เสียงคำว่าคุกเข่าดังก้องต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงอาหารของสถาบัน นักเรียนปีสิบรู้สึกโกรธแค้นศัตรูเดียวกันแล้ว ทยอยกดดันฉีหลงที่เป็นผู้นำของพวกปีเจ็ด นักเรียนปีแปดและปีเก้าทั้งหมดต่างหดตัวอยู่ในมุมไม่กล้าส่งเสียงออกมา นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นการแสดงอำนาจของปีสิบในเขตเรียนระดับสูงใส่ปีเจ็ดที่เลื่อนเข้ามาในเขตเรียนระดับสูงเป็นครั้งแรก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ เด็กปีเจ็ดคนอื่นๆ ปรากฏตัวก็จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้…ตอนที่พวกเขาอยู่ปีเจ็ดก็เคยทนรับเหมือนกัน รสชาตินั้นย่อมยากจะลืมเลือน แต่นี่ก็เป็นเขตระดับสูง ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นก็เป็นผู้พูด!  ที่นี่ไม่มีอาจารย์สอดมือยุ่งเกี่ยวกับการกดขี่และความขัดแย้งแบบนี้ ควรพูดว่า เมื่อเข้าสู่เขตเรียนระดับสูงแล้ว พวกเขาคือนักเรียนที่สามารถจบการศึกษา สิ่งที่สถาบันควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว หนทางข้างหน้าต่างต้องอาศัยนักเรียนพุ่งไปคว้าด้วยตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ขนาดเล็กๆ เป็นโลกที่พูดด้วยกำลังไม่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทุกปีถึงมีเหตุการณ์ที่นักเรียนปีสิบกดขี่นักเรียนปีเจ็ด เพราะว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมสีดำอย่างหนึ่งแล้ว ตอนนั้นได้รับการดูถูก วันนี้ก็เลยต้องการเอาคืนจากรุ่นน้อง เพราะฉะนั้นต่อให้เดิมทีนักเรียนปีเจ็ดพวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ของเขตระดับกลาง แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเดินเก็บหาง[1]ในเขตระดับสูงก่อนเถอะ! “เหอะๆๆๆ…คุกเข่า? ลูกพี่ฉันบอกฉันว่า ลูกผู้ชายทำได้แค่ตายกระทั่งที่ยืนเท่านั้น จะคุกเข่ารอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” รอยยิ้มบนใบหน้าฉีหลงหายไปแล้ว เขาสามารถยอมถอย แต่ไม่อาจสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีได้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากดูว่ากระดูกของนายมันจะแข็งมากแค่ไหนกันแน่!” คนที่เป็นผู้นำเด็กปีสิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ในโรงอาหารก็มีคนยืนออกมาเจ็ดแปดคน ถูกำปั้นเตรียมพร้อมรุมอัดฉีหลง ฉีหลงเห็นดังนั้นก็ตั้งท่าป้องกันทันที ปากก็แค่นเสียงเย็นว่า “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกรุ่นพี่จะมีความสามารถเท่าไหร่กันแน่ จะทำให้ผมยอมแพ้ได้หรือเปล่า…” “ไม่เลว ฉัน ลั่วล่างก็อยากเห็นเหมือนกัน!” ลั่วล่างรู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อได้แล้ว เขาก็เลยยื่นตัวออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างๆ ฉีหลง ชูกำปั้นเตรียมพร้อมจะต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนพวกนี้ หานซู่หย่าเหนี่ยวกำปั้นทันทีและเอ่ยเสียงดังลั่นว่า “ยังมีฉันด้วย แม่งเอ๊ย ฉันไม่กลัวไอ้สารเลวพวกนี้หรอก!” เธอดูถูกผู้ชายที่กลั่นแกล้งผู้หญิงและคนอ่อนแอมากที่สุด รุ่นพี่ปีสิบพวกนี้ทำผิดหมดทั้งสองอย่าง เธอเลยโกรธแค้นสุดขีด ลั่วเฉาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมแบบนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับฝืนประคองเพื่อนผู้หญิงข้างกายที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไว้โดยไม่ถอยหลังไปสักก้าว เธอไม่มีทางลืมคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเธอว่า เธอกลัวได้ ตื่นตระหนกได้ แต่หดหัววิ่งหนีไม่ได้เด็ดขาด! “เป็นคนอวดดีจริงๆ แค่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดคนเดียวก็คิดว่าสถาบันนี้เป็นแผ่นดินของเขาแล้วหรือไง?” นักเรียนปีสิบเริ่มร้องเอะอะ ยิ่งเห็นความใจเด็ดแบบนี้ พวกเขายิ่งอยากทำลาย ตอนนั้นพวกเขาทำไม่ได้ แล้วเด็กปีเจ็ดพวกนี้อาศัยอะไรมีมันได้? “สั่งสอนมัน!” “สั่งสอนมัน!” “สั่งสอนมัน!” นักเรียนปีสิบต่างต้องการแสดงอำนาจใส่ปีเจ็ด ทั่วทั้งโรงอาหารพลันตกอยู่ท่ามกลางคลื่นเสียงคำว่า ‘สั่งสอนมัน’ “ในเมื่อรุ่นพี่ปีสิบอยากสั่งสอนพวกเราปีเจ็ดขนาดนี้ ถ้างั้นพวกเรานักเรียนปีเจ็ดทุกคนจะรับไว้!” เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ ฉีหลงหันหน้ามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี และก็เห็นร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ นายมาแล้ว!” นักเรียนสวมชุดเครื่องแบบสีแดงกลุ่มใหญ่ถลันเข้ามาจากหน้าประตู และคนที่นำหน้านั้นก็คือ หลิงหลาน! เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นักเรียนปีเจ็ดก็ออกมากันมากมาย สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำนักเรียนปีสิบเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กปีเจ็ดอย่างพวกนายอยากจะกบฏหรือไง?” “กบฏ? ในสายตาของฉัน พวกนายยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเราใช้คำนี้?” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีสิบเอะอะโวยวายขึ้นมา แม่งเอ๊ย เด็กปีเจ็ดกลุ่มนี้เข้ามาพร้อมกับความบ้าระห่ำอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดีๆ จะไม่ได้แล้ว “ในเมื่อพวกนายอยากสู้ขนาดนี้ ก็ให้สมดั่งใจพวกนาย พวกเราปีเจ็ดขอท้าต่อสู้ประจัญบานกับนักเรียนปีสิบของพวกนาย!” “ต่อสู้ประจัญบาน?” นักเรียนปีสิบงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรออก แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกนายบ้าไปแล้ว!” เขามองจำนวนคนข้างกายหลิงหลานแล้วพลันโล่งอก “ไม่สิ พวกนายไม่สามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานได้ แค่คนของพวกนายเท่านี้ เป็นไปไม่ได้…” การต่อสู้ประจัญบานต้องได้รับการยอมรับ 95% จากในนักเรียนหนึ่งร้อยคนของห้องสเปเชียลเอและห้องสเปเชียลบีในชั้นปีถึงจะยื่นผ่านได้ “ถูกต้อง พวกเราขอยื่นคำท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกนายปีสิบ!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน ที่แท้อู่จย่งได้พานักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช่นกัน ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนห้องปีที่สวมชุดสีขาว สาเหตุที่อู่จย่งมาสายเป็นเพราะเขาต้องติดต่อคนของห้องบี การต่อสู้ประจัญบานต้องการการเห็นด้วยเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนของห้องสเปเชียลเอและบีถึงจะสามารถยื่นผ่าน ดังนั้นอู่จย่งจึงต้องพูดคุยกับทีมของห้องบีรอบหนึ่ง จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ “พวกนายบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” นักเรียนปีสิบทำหน้าหวาดผวา พวกเขาแค่อยากแสดงอำนาจใส่เด็กปีเจ็ด แต่ไม่ได้อยากเปิดการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัว นั่นเป็นการเอาชีวิตคนเลยนะ ………………………………..

“ปีสิบ! พวกเขาเห็นปีเจ็ดของเราขัดหูขัดตา เลยอาศัยการกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงห้องบีมายั่วโมโหเรา…” หลิงหลานได้ยินลำดับเรื่องที่ลั่วล่างรายงานก็รู้ว่านี่ย่อมเป็นเป้าหมายของพวกนักเรียนปีสิบที่ต้องการแสดงอำนาจบารมีสักครั้งแน่นอน

“ปีสิบ…ลูกพี่หลาน นายเป็นลูกพี่จริงๆ ฉันยอมรับนายถึงที่สุดแล้ว” เดิมทีอู่จย่งคิดว่าเป็นแค่การต่อสู้ตะลุมบอนกับพวกปีแปดสักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าคนที่หลิงหลานท้าประลองจะเป็นระดับสูงสุด ขัดแย้งกับพวกปีสิบที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ความกล้าหาญแบบนี้ทำให้อู่จย่งยอมรับไปโดยสิ้นเชิง

“อู่จย่ง ฉันได้มายินว่าห้องบีมีคนที่กลายพันธุ์พลังจิตน้อยมาก ขนาดห้องเอก็ยังมีคนครึ่งหนึ่งที่แสดงผลไม่ชัดเจนเลย?” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

อารมณ์ของอู่จย่งดิ่งลงเล็กน้อย “ใช่แล้ว หลายปีมานี้การกลายพันธุ์พลังจิตของพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดยังไม่กลายพันธุ์ก่อนอายุสิบหกละก็ เกรงว่าจะสูญเสียความเป็นไปได้ในการควบคุมหุ่นรบไป…” คนที่ไม่มีการกลายพันธุ์พลังจิต ต่อให้ควบคุมหุ่นรบก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางได้ ดังนั้นการสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารใหญ่ๆ หลังจากอายุสิบหก ทางโรงเรียนก็จะไม่รับเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปในห้องเรียนหุ่นรบ

“บางครั้งการต่อสู้ที่โหดร้ายจะทำให้พวกเขาพัฒนาและทะลวงขีดจำกัดไปได้…การต่อสู้ประจัญบานเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” หลิงหลานชี้แจงสาเหตุที่เธอต้องการการต่อสู้ประจัญบานออกมาอย่างกำกวม

แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย ยิ่งนับถือหลิงหลานมากขึ้นไปอีก เขาตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “ลูกพี่หลานวางใจได้เลย ฉันจะแจ้งเพื่อนเราที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหมด…”

อู่จย่งโด่งดังมากในหมู่ชั้นปี เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละกลุ่มมาก ดังนั้นปกติแล้วเพื่อนๆ ในชั้นปีมีเรื่องอะไรที่จัดการลำบาก ก็จะชอบให้อู่จย่งช่วยเหลือ มีเพียงตอนที่อู่จย่งช่วยเหลือไม่ได้แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงค่อยคิดขอความช่วยเหลือจากหลิงหลานอย่างระมัดระวัง

ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่เคยโมโหมาก่อน แต่ว่าใบหน้าเย็นชาที่ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาจางๆ และแววตานิ่งเรียบนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เลย ความจริงแล้วยิ่งเด็กๆ โตขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสูงต่ำของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของหลิงหลานหลุดพ้นจากขอบเขตของลูกเสือแล้ว ทำให้ในใจพวกเขาอดเกิดแรงกดดันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับหลิงหลานน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์อีก

นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานต้องการให้อู่จย่งแจ้งเพื่อนร่วมชั้น ใครใช้ให้เขามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะ แน่นอนว่านอกจากหมายเลขติดต่อของอู่จย่งแล้ว หลิงหลานไม่มีเบอร์คนอื่นแล้วจริงๆ เธออยากแจ้งก็ไม่สามารถแจ้งได้

หลิงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกจากโลกเสมือนจริง เธอเปลี่ยนเป็นสวมฟลายอิ้งสเก็ตและออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว

หลิงหลานเพิ่งจะขี่ฟลายอิ้งสเก็ตลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นในหอพักห้องเอจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการแจ้งข่าวขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินออกมา

“ลูกพี่หลาน!” ทุกคนต่างหยุดชะงักและทักทายเธอด้วยใบหน้านับถือ ถ้าหากบอกว่าฉีหลงเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของรุ่น 4738 อู่จย่งเป็นเสากลาง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานก็เป็นเสาค้ำสมุทรของชั้นปีพวกเขา เมื่อมีเธออยู่เห็นได้ชัดว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“อืม ทุกคนมากันหมดแล้ว?” หลิงหลานหยุดฟลายอิ้งสเก็ตให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารวมกลุ่มกันข้างกายเธอสามสิบกว่าคน

“ก็ใกล้แล้ว มีบางคนเดินทางไปก่อนแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นหนึ่งในนั้นพูด “ยังมีอีกหลายคนกำลังมา”

“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานเอ่ยเรียบๆ หลังจากนั้นปากปล่อยพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองฝั่งของฟลายอิ้งสเก็ตก็พ่นไอออกมา จากนั้นมันก็เปิดใช้งานในพริบตาก่อนจะบินตรงไปที่โรงอาหารเขตระดับสูงของสถาบัน

“ไป!” เพื่อนร่วมชั้นที่ตามหลังตะโกนเสียงดัง นักเรียนสามสิบกว่าคนขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินรวมกลุ่มตามหลิงหลานอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันตามใจชอบ

……………

เวลานี้ในโรงอาหารใหญ่เขตระดับสูงของสถาบัน มีกลุ่มวัยรุ่นชุดแดงอายุสิบห้าสิบหก บางคนนั่งบางคนยืน บางคนพิงบางคนเข้าประชิดล้อมวงพื้นที่หนึ่งเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วนคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับด้านในกำลังนั่งไม่ยี่หระอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนตรงข้ามเขาคือเด็กหนุ่มชุดแดงที่อ่อนเยาว์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าด้านหลังเขากลับมีเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอายุเท่าเขายืนอยู่หลายคน มีทั้งชุดเครื่องแบบสีแดงและสีขาว

“ว่าไง ฉีหลง นายคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอ?” นักเรียนห้องเอชั้นปีสิบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน

ฉีหลงยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและกล่าวว่า “รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นยังไง ตอนนี้ตีก็ตีกันไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ควรจะหยุดมือกันแล้วใช่ไหม?” ฉีหลงไม่ได้กลัว เพียงแต่ถ้าทะเลาะกันต่อไป ต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนของห้องบีจะต้องประสบหายนะได้รับบาดเจ็บแน่นอน เดิมทีที่เขายื่นมือออกมาขัดขวางก็ไม่อยากเห็นพวกเธอได้รับบาดเจ็บนะ

“ฉีหลง กล้าดีนักนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้มาพูดกับรุ่นพี่?” คนผู้นั้นถูกคำพูดที่แฝงไปด้วยกระดูกทิ่มแทงของฉีหลงจนเด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะ ด่าออกมาเสียงดังลั่น

“รุ่นพี่ นายก็คิดมากเกินไปแล้ว!” มุมปากของฉีหลงเผยรอยยิ้มหยันออกมา เวลานี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่า เดิมทีอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะก่อเรื่องให้ใหญ่ คิดจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้พวกเขาชั้นปีเจ็ดที่เพิ่งเข้ามาในเขตระดับสูง!

“ฉีหลง! นาย…” ท่าทีแบบนี้ของฉีหลงทำให้นักเรียนปีสิบเดือดดาลมาก นี่เป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ในเขตระดับสูงเหรอ? คิดถึงตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาและถูกรุ่นพี่ปีสิบกลั่นแกล้ง ท่าทีของพวกเขาเคารพนอบน้อมสุดขีด ทำไมพอถึงตาพวกเขาแล้วกลับเจอพวกหัวแข็งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ล่ะ?

“ฉีหลง อย่าอวดดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่านายเป็นอันดับหนึ่งของปีเจ็ด แต่ว่าต่อหน้าพวกเราแล้ว นายก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…” คนที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “พวกเราอยากเล่นกับนาย ก็เหมือนเล่นกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสาร…อ่านสถานการณ์หน่อย คุกเข่าขอโทษให้ฉันซะ!”

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

เสียงคำว่าคุกเข่าดังก้องต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงอาหารของสถาบัน นักเรียนปีสิบรู้สึกโกรธแค้นศัตรูเดียวกันแล้ว ทยอยกดดันฉีหลงที่เป็นผู้นำของพวกปีเจ็ด

นักเรียนปีแปดและปีเก้าทั้งหมดต่างหดตัวอยู่ในมุมไม่กล้าส่งเสียงออกมา นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นการแสดงอำนาจของปีสิบในเขตเรียนระดับสูงใส่ปีเจ็ดที่เลื่อนเข้ามาในเขตเรียนระดับสูงเป็นครั้งแรก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ เด็กปีเจ็ดคนอื่นๆ ปรากฏตัวก็จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้…ตอนที่พวกเขาอยู่ปีเจ็ดก็เคยทนรับเหมือนกัน รสชาตินั้นย่อมยากจะลืมเลือน แต่นี่ก็เป็นเขตระดับสูง ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นก็เป็นผู้พูด!

 ที่นี่ไม่มีอาจารย์สอดมือยุ่งเกี่ยวกับการกดขี่และความขัดแย้งแบบนี้ ควรพูดว่า เมื่อเข้าสู่เขตเรียนระดับสูงแล้ว พวกเขาคือนักเรียนที่สามารถจบการศึกษา สิ่งที่สถาบันควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว หนทางข้างหน้าต่างต้องอาศัยนักเรียนพุ่งไปคว้าด้วยตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ขนาดเล็กๆ เป็นโลกที่พูดด้วยกำลังไม่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทุกปีถึงมีเหตุการณ์ที่นักเรียนปีสิบกดขี่นักเรียนปีเจ็ด เพราะว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมสีดำอย่างหนึ่งแล้ว ตอนนั้นได้รับการดูถูก วันนี้ก็เลยต้องการเอาคืนจากรุ่นน้อง

เพราะฉะนั้นต่อให้เดิมทีนักเรียนปีเจ็ดพวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ของเขตระดับกลาง แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเดินเก็บหาง[1]ในเขตระดับสูงก่อนเถอะ!

“เหอะๆๆๆ…คุกเข่า? ลูกพี่ฉันบอกฉันว่า ลูกผู้ชายทำได้แค่ตายกระทั่งที่ยืนเท่านั้น จะคุกเข่ารอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” รอยยิ้มบนใบหน้าฉีหลงหายไปแล้ว เขาสามารถยอมถอย แต่ไม่อาจสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีได้

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากดูว่ากระดูกของนายมันจะแข็งมากแค่ไหนกันแน่!” คนที่เป็นผู้นำเด็กปีสิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ในโรงอาหารก็มีคนยืนออกมาเจ็ดแปดคน ถูกำปั้นเตรียมพร้อมรุมอัดฉีหลง

ฉีหลงเห็นดังนั้นก็ตั้งท่าป้องกันทันที ปากก็แค่นเสียงเย็นว่า “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกรุ่นพี่จะมีความสามารถเท่าไหร่กันแน่ จะทำให้ผมยอมแพ้ได้หรือเปล่า…”

“ไม่เลว ฉัน ลั่วล่างก็อยากเห็นเหมือนกัน!” ลั่วล่างรู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อได้แล้ว เขาก็เลยยื่นตัวออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างๆ ฉีหลง ชูกำปั้นเตรียมพร้อมจะต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนพวกนี้

หานซู่หย่าเหนี่ยวกำปั้นทันทีและเอ่ยเสียงดังลั่นว่า “ยังมีฉันด้วย แม่งเอ๊ย ฉันไม่กลัวไอ้สารเลวพวกนี้หรอก!” เธอดูถูกผู้ชายที่กลั่นแกล้งผู้หญิงและคนอ่อนแอมากที่สุด รุ่นพี่ปีสิบพวกนี้ทำผิดหมดทั้งสองอย่าง เธอเลยโกรธแค้นสุดขีด

ลั่วเฉาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมแบบนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับฝืนประคองเพื่อนผู้หญิงข้างกายที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไว้โดยไม่ถอยหลังไปสักก้าว เธอไม่มีทางลืมคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเธอว่า เธอกลัวได้ ตื่นตระหนกได้ แต่หดหัววิ่งหนีไม่ได้เด็ดขาด!

“เป็นคนอวดดีจริงๆ แค่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดคนเดียวก็คิดว่าสถาบันนี้เป็นแผ่นดินของเขาแล้วหรือไง?” นักเรียนปีสิบเริ่มร้องเอะอะ ยิ่งเห็นความใจเด็ดแบบนี้ พวกเขายิ่งอยากทำลาย ตอนนั้นพวกเขาทำไม่ได้ แล้วเด็กปีเจ็ดพวกนี้อาศัยอะไรมีมันได้?

“สั่งสอนมัน!”

“สั่งสอนมัน!”

“สั่งสอนมัน!”

นักเรียนปีสิบต่างต้องการแสดงอำนาจใส่ปีเจ็ด ทั่วทั้งโรงอาหารพลันตกอยู่ท่ามกลางคลื่นเสียงคำว่า ‘สั่งสอนมัน’

“ในเมื่อรุ่นพี่ปีสิบอยากสั่งสอนพวกเราปีเจ็ดขนาดนี้ ถ้างั้นพวกเรานักเรียนปีเจ็ดทุกคนจะรับไว้!” เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่

ฉีหลงหันหน้ามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี และก็เห็นร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ นายมาแล้ว!”

นักเรียนสวมชุดเครื่องแบบสีแดงกลุ่มใหญ่ถลันเข้ามาจากหน้าประตู และคนที่นำหน้านั้นก็คือ หลิงหลาน!

เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นักเรียนปีเจ็ดก็ออกมากันมากมาย สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำนักเรียนปีสิบเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กปีเจ็ดอย่างพวกนายอยากจะกบฏหรือไง?”

“กบฏ? ในสายตาของฉัน พวกนายยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเราใช้คำนี้?” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีสิบเอะอะโวยวายขึ้นมา แม่งเอ๊ย เด็กปีเจ็ดกลุ่มนี้เข้ามาพร้อมกับความบ้าระห่ำอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดีๆ จะไม่ได้แล้ว

“ในเมื่อพวกนายอยากสู้ขนาดนี้ ก็ให้สมดั่งใจพวกนาย พวกเราปีเจ็ดขอท้าต่อสู้ประจัญบานกับนักเรียนปีสิบของพวกนาย!”

“ต่อสู้ประจัญบาน?” นักเรียนปีสิบงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรออก แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกนายบ้าไปแล้ว!”

เขามองจำนวนคนข้างกายหลิงหลานแล้วพลันโล่งอก “ไม่สิ พวกนายไม่สามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานได้ แค่คนของพวกนายเท่านี้ เป็นไปไม่ได้…”

การต่อสู้ประจัญบานต้องได้รับการยอมรับ 95% จากในนักเรียนหนึ่งร้อยคนของห้องสเปเชียลเอและห้องสเปเชียลบีในชั้นปีถึงจะยื่นผ่านได้

“ถูกต้อง พวกเราขอยื่นคำท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกนายปีสิบ!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน ที่แท้อู่จย่งได้พานักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช่นกัน ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนห้องปีที่สวมชุดสีขาว

สาเหตุที่อู่จย่งมาสายเป็นเพราะเขาต้องติดต่อคนของห้องบี การต่อสู้ประจัญบานต้องการการเห็นด้วยเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนของห้องสเปเชียลเอและบีถึงจะสามารถยื่นผ่าน ดังนั้นอู่จย่งจึงต้องพูดคุยกับทีมของห้องบีรอบหนึ่ง จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ได้

“พวกนายบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” นักเรียนปีสิบทำหน้าหวาดผวา พวกเขาแค่อยากแสดงอำนาจใส่เด็กปีเจ็ด แต่ไม่ได้อยากเปิดการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัว นั่นเป็นการเอาชีวิตคนเลยนะ

………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+