I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 59 ลูกพี่โคตรเจ๋ง!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 59 ลูกพี่โคตรเจ๋ง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขยายขอบเขตการค้นหา” หานจี้จวินสั่งการ

“ค่ะ!” ไม่นาน หน้าจอเสมือนจริงของอุปกรณ์สื่อสารก็ปรากฏภาพมุมสูงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ สภาพการณ์ทั้งหมดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือปรากฏขึ้นในหน้าจอนี้ แน่นอนว่ามองเห็นจุดที่พวกหุ่นรบเลือกร่อนลงได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

หานจี้จวินแตะตำแหน่งที่พวกเขาร่อนลงในหน้าจอเสมือนจริงเบาๆ หน้าจอเสมือนจริงก็ขยายภาพสถานที่ที่แตะลงไปให้ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ

หานจี้จวินปรับมุมองศาอีกหลายครั้ง ไม่นาน ภาพพาโนรามาด้านหน้าหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนโดยสมบูรณ์ ผิวชั้นนอกที่ทำจากโลหะทั้งหมดส่องแสงสลัวที่มีเฉพาะในหุ่นรบ ตรงหน้าอกของหุ่นรบตัวนั้นวาดรูปนกสีแดงตัวใหญ่ที่มีไฟลุกไหม้ทั่วร่างขณะที่กำลังกางปีกโผบิน มันดูพราวพร่างละลานตาอย่างยิ่งในแสงแรกของรุ่งอรุณ

ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นอาวุธหนักอะไรในหุ่นรบตัวนี้ (ถ้าหากมีของพวกนี้จริงๆ ละก็ คาดว่ายังไม่ทันที่หุ่นรบจะเข้าใกล้ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ มันก็คงถูกจรวดป้องกันของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือยิงร่วงไปแล้ว) ทว่าดาบเลเซอร์สองเล่มตรงด้านหลังยิ่งเพิ่มพลังความองอาจของหุ่นรบให้โดดเด่นมากขึ้น ควรทราบว่าโดยปกติแล้วหุ่นรบจะมีดาบเลเซอร์ขนาดเล็กหนึ่งเล่มเป็นอาวุธมาตรฐาน ทว่าหุ่นรบตัวนี้กลับมีดาบขนาดใหญ่สองเล่ม เห็นได้ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นรบต่อสู้ประชิดตัวที่โดดเด่นสุดขีด

นี่แตกต่างกับอาวุธของหุ่นรบมาตรฐานทั่วไป ทำให้ฉีหลงกับลั่วล่างสองคนตาร้อนน้ำลายไหลไม่หยุดอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้ ในฐานะที่หุ่นรบเป็นอาวุธระดับสูงของกองทัพ มันจึงถูกห้ามขายสู่คนภายนอกโดยสิ้นเชิง พวกเด็กๆ แทบจะไม่มีโอกาสเข้าไปมองของจริงใกล้ๆ ส่วนใหญ่แล้วทุกคนต่างเห็นมันผ่านทางหน้าจอ หรือว่าในรูปภาพคุณภาพต่ำนิดหน่อย

นอกเสียจากเป็นพวกลูกหลานสายตรงของตระกูลใหญ่ หรือว่าเป็นลูกหลานของทหารระดับสูงในกองทัพ (ทหารรุ่น N) อาจจะมีโอกาสได้สัมผัส

“เอ๋? ห้องคนขับของหุ่นรบสีเทาเข้มถูกเปิดแล้วเหรอ” ลั่วล่างตาแหลมคม เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาพในหน้าจอเสมือนจริง

“ดูเหมือนจะใช่นะ น่าเสียดายที่ภาพยังเล็กไปหน่อย พวกเรามองเห็นไม่ชัด” ฉีหลงพูดด้วยใบหน้าเสียดาย

หานจี้จวินมองคนทั้งสองแวบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ในแววตามีความเหยียดหยามอยู่ แต่เขาไม่ได้เอ่ยปากดูถูก เขาเพียงแต่ซูมเข้าไปใกล้หุ่นรบสีเทาเข้มอีกครั้ง ตำแหน่งของห้องคนขับปรากฏขึ้นทั่วทั้งหน้าจอ

ห้องคนขับของหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นถูกเปิดออกแล้วตามที่คาดคิดไว้จริงๆ พวกเขาเห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังก้มศีรษะปีนออกมาจากด้านใน

“ทำไมหมอนี่ดูคุ้นๆ นะ” ฉีหลงยังไม่มีสติตอบรับ

คำพูดนี้นำมาซึ่งความเหยียดหยามของลั่วล่างกับหานจี้จวินสองคน แม่งเอ๊ย ไอ้โง่นี่เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปยอมรับเขาว่าเป็นลูกพี่ ทำไมตอนนี้ถึงจำเขาไม่ได้ล่ะ

เมื่อลั่วเฉาเห็นร่างเล็กในหน้าจอ ทั่วทั้งใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย ดูท่าเธอเองก็จำได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หานซู่หย่าเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มองหน้าจอเสมือนจริง ความสนใจของเธอทั้งหมดถูกฉีหลงดึงดูดไปหมดแล้ว

เวลานี้เอง เด็กที่อยู่ในหน้าจอก็เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด

“เชี่ย ลูกพี่หลานนี่นา!” ในที่สุดฉีหลงก็จำได้ เขาตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เจ๋งเกินไปแล้ว นั่งหุ่นรบมาเลย! ลูกพี่จงเจริญ!”

ตอนนี้ความเคารพนับถือของฉีหลงที่มีต่อหลิงหลานราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไม่หยุด ให้ตายสิ นายว่า ใครจะโคตรเจ๋งขนาดลูกพี่ของเขาได้

ไม่เพียงฉีหลงที่เลื่อมใส แม้กระทั่งลั่วล่างเองก็ไม่มีใจแข่งขันกับหลิงหลานตั้งแต่แรกแล้ว ระยะห่างระหว่างหมอนี่กับคนอื่นแม่งแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว คิดดูสิ ตอนที่พวกเขายังอยากได้หุ่นรบในหน้าจอจนน้ำลายหก หมอนี่กลับใช้หุ่นรบเป็นยานพาหนะ…นี่ยังนับว่าเป็นคนอีกเหรอ เอาเถอะ เขาเลิกแข่งกับอมนุษย์ดีกว่าจะได้ไม่ทำให้ตัวเองโมโห

ลั่วล่างคิดดีแล้ว เขาตัดสินใจจะไม่เสียเวลาไปชิงตำแหน่งลูกพี่กับหลิงหลาน แต่จะเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์แทน บางทีเขาอาจจะสามารถขอลูกพี่หลานให้พวกเขาสัมผัสหุ่นรบอย่างใกล้ชิดก็ได้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลั่วล่างก็เลือดเดือดพล่าน ดวงตาสองข้างส่องประกายพราวพร่าง

อืม อันที่จริงเป็นลูกน้องเขาก็มีสวัสดิการไม่เลวเหมือนกัน

สีหน้าของหานจี้จวินกลับแตกต่างมาก ดวงหน้าน้อยๆ ของเขาเคร่งเครียดมาก ในสมองมีเพียงคำถามเดียว นั่นก็คือหลิงหลานเป็นใครกันแน่ ถึงแม้ว่าการนั่งหุ่นรบมาจะทำให้หานจี้จวินตกตะลึง ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนขนาดพวกฉีหลง สิ่งที่ทำให้หานจี้จวินตกตะลึงมากที่สุดคือ ท่าทีและการตอบรับของทางฝั่งสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ

พวกฉีหลงกับลั่วล่างอาจจะไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่าอะไร แต่หานจี้จวินรู้ดี การขับหุ่นรบมายังสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่มีการป้องกันแน่นหนาแห่งนี้เป็นการกระทำที่หาเรื่องตายอย่างหนึ่ง ปกติแล้วการที่ยังคงเลือกเดินหน้าต่อหลังจากที่ถูกเตือนจะต้องได้รับการยิงโจมตีใส่จนมันร่วงอย่างไร้ความปรานีแน่นอน ไม่มีทางปรากฏเหตุการณ์ที่หุ่นรบหกตัวบินออกไปรับ แน่นอนว่าหุ่นรบหกตัวควบคุมบังคับหุ่นรบตัวนั้นให้ร่อนลงในระดับหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉากในวันนี้ย่อมไม่ปกติแน่นอน ตอนนี้ดูท่าตระกูลของหลิงหลานจะไม่ธรรมดาเลย

ตอนสอบเข้าโรงเรียน วิสัยทัศน์ การคาดการณ์ ความสามารถในการต่อสู้อันโดดเด่นของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินที่ทดสอบกลุ่มเดียวกันเลื่อมใสอย่างมาก ดังนั้นเมื่อฉีหลงพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาอยากจะรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ เขาจึงไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานะของหลิงหลานอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เขาต้องใคร่ครวญให้ดีว่าการยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่จะส่งผลร้ายต่อเขา ต่อฉีหลงหรือไม่…

หานจี้จวินยังจำเรื่องที่พ่อของเขาซึ่งทำหน้าที่เป็นอธิบดีสำนักงานข่าวกรองของสหพันธรัฐเคยสอนเขาได้ว่า จะต้องระวังทุกคนที่เข้ามาใกล้เขา รวมถึงเด็กด้วย ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่จะถูกใช้เป็นหมากตกอยู่ในกระดานได้ง่ายมากถ้าหากไม่ระมัดระวัง…

…………

หลิงหลานลงมาตามเชือกชักใบ สุดท้ายเท้าก็แตะพื้นอีกครั้ง หัวใจของเธอสงบลงในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาดีใจ เธอต้องควบคุมกล้ามเนื้อสองขาของตัวเองให้พวกมันสงบลงอย่าสั่นขึ้นมา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกห้องสเปเชียลเอที่ถูกฝากความหวัง เธอย่อมไม่อาจเปิดเผยจุดอ่อนเรื่องตัวเองกลัวความสูงนี้เด็ดขาด

หลิงหลานสูดลมหายใจลึกๆ ระงับอารมณ์ลงแล้วค่อยฉีกยิ้มทื่อๆ ออกมา เธอโบกมือบอกลาพ่อบ้านหลิงฉินที่อยู่ในห้องคนขับแรงๆ พ่อบ้านหลิงฉินไม่สามารถเข้าไปในโรงเรียนจัดการขั้นตอนการเข้าเรียนเป็นเพื่อนเธอได้ ทางโรงเรียนไม่มีทางให้หุ่นรบที่สามารถคุกคามความปลอดภัยของพวกเด็กๆ จอดอยู่ภายในโรงเรียนได้นานมากนัก

เมื่อเห็นหุ่นรบหกตัวที่อยู่ข้างกายจ้องตะครุบดั่งพญาเสือ หลิงฉินก็รู้ว่าจะถ่วงเวลาอีกต่อไปก็ไม่มีหวัง เขาได้แต่ขับหุ่นรบจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ภายใต้การคุ้มกันของหุ่นรบหกตัว สาเหตุที่หลิงฉินจากไปเฉยๆ แบบนี้เป็นเพราะเขารู้ว่าไม่มีสถานที่ไหนปลอดภัยยิ่งกว่าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือแล้ว ถึงขนาดที่มาตรการป้องกันความปลอดภัยของพวกเขายังร้ายกาจยิ่งกว่าตระกูลหลิงของพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกวางใจมาก

หลิงฉินรู้ดีว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน ถ้าหากถูกพวกศัตรูของตระกูลหลิงจับจุดอ่อนได้ละก็ ตระกูลหลิงก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ควรทราบว่าตอนนี้ตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลหลิงในช่วงเวลาของนายท่านหลิงเซียวแล้ว เวลานี้อำนาจและความแข็งแกร่งที่ไม่อาจถูกทำลายในตอนนั้นหายไปจนแทบไม่เหลือแล้ว พูดตรงๆ มันเป็นเพราะไม่มีผู้แข็งแกร่งสนับสนุนตระกูล ส่วนคุณชายหลิงหลานก็เด็กมากเกินไปจริงๆ ยังรับคลื่นพายุในชีวิตไม่ไหว พวกเขาจำเป็นต้องเลือกเก็บตัวเงียบ ซ่อนความแข็งแกร่งเพื่อรอคอยเวลา

หลิงหลานส่งหลิงฉินรวมไปถึงหุ่นรบหกตัวที่ตรวจตราควบคุมหลิงฉินแล้ว เธอถึงค่อยประเมินสภาพแวดล้อมข้างกายด้วยความสนใจ ที่แท้สถานที่ที่เธอหยุดลงมาคือป่าพุ่มไม้หร็อมแหร็มแห่งหนึ่ง ที่นี่แทบจะไม่มีใคร นอกจากนี้ยังปิดบังอำพรางอย่างมาก ทั้งยังมีพื้นที่เพียงพอที่จะรับหุ่นรบตัวหนึ่งให้ร่อนลงมา มิน่าล่ะ หุ่นรบหกตัวถึงได้พาพวกเขามาร่อนลงตรงนี้ เป็นสถานที่ดีในการทำลายศพให้ไม่เหลือร่องรอยไว้จริงๆ…..

ในขณะที่หลิงหลานกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นก็สุ่มเลือกเดินไปยังทิศทางหนึ่ง เธอเตรียมพร้อมจะออกจากป่า เมื่อเจอคนก็จะถามว่าวันนี้จุดลงทะเบียนของนักเรียนใหม่อยู่ที่ไหน

ในเมื่อมั่นใจว่าที่นี่มิดชิดมาก หลิงหลานก็ใจเย็นขึ้นมา ขอเพียงไม่มีคนรู้ว่าเธอปีนออกมาจากหุ่นรบ มันก็จะไม่ส่งผลร้ายต่อชีวิตการเรียนในอนาคตของเธอ เธอยังคงเป็นหลิงหลานคนธรรมดาที่หายไปท่ามกลางอัจฉริยะมากมาย

………..

เมื่อเห็นหลิงหลานเตรียมตัวออกมา หานจี้จวินก็ปิดอุปกรณ์สื่อสารโดยไม่ลังเล เขาเอ่ยกับพวกฉีหลงว่า “พวกเราไปรับลูกพี่หลานด้วยกันเถอะ”

เวลานี้นับว่าหานจี้จวินคิดดีแล้ว ตอนนั้นเด็กอย่างพวกเขาที่อยู่ในกลุ่มทดสอบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ได้พูดสถานะของตัวเองออกมา พวกเขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อแม่ของหลิงหลานเป็นใคร มาจากระบบไหน แต่ในขณะเดียวกัน หลิงหลานเองก็ไม่รู้เรื่องของพวกเขา ความจริงมันก็ยุติธรรมมาก ถ้าหากตอนนี้เขาไปยุ่งเรื่องสถานะที่แท้จริงของหลิงหลานอีก มันก็ดูใจแคบนิดหน่อยจริงๆ หานจี้จวินเลยเลือกจะปล่อยวางอย่างชาญฉลาดยิ่ง

ส่วนตัวหลิงหลานจะเหมาะให้พวกเขาคบหาหรือไม่ พวกเขามีเวลาที่จะตัดสิน ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน หานจี้จวินตัดสินใจสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหานจี้จวิน ฉีหลงก็ตอบสนองเป็นคนแรก “เอาสิ เดี๋ยวฉันจะไปถามลูกพี่หลานว่าให้ฉันนั่งหุ่นรบตัวนั้นได้หรือเปล่า” ฉีหลงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ถึงแม้ว่าลั่วล่างจะไม่ได้เอ่ยคำ แต่ในดวงตาเขาก็ส่องประกายความละโมบบอกกับทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีความคิดเหมือนกับฉีหลงทุกประการ

หานจี้จวินได้ยินคำพูดของฉีหลงก็อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเขาก็หุบปากลงอย่างรวดเร็ว ในใจเขามีความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นมา บางทีเขาอาจจะยืมคำถามของฉีหลงมาทดสอบนิสัยของหลิงหลานก็ได้…

………..

หลิงหลานเดินไปแทบจะประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว สุดปลายสายตาของเธอก็ปรากฏอาคารบางแห่งขึ้นมาอย่างรางๆ หลิงหลานรู้สึกดีใจ ในที่สุดก็เดินออกมาจากป่าพุ่มไม้แล้ว

เวลานี้เอง จู่ๆ หลิงหลานก็ขมวดคิ้วทีหนึ่ง มือขวาสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ กุมปืนพกเลเซอร์ขนาดเล็กที่เธอหยิบออกมาจากในโฮเวอร์คาร์ของบ้านเธอในตอนนั้นได้พอดี

ส่วนกล้ามเนื้อและประสาทในร่างกายของหลิงหลานที่อยู่ข้างในเสื้อผ้าก็เกร็งแน่นนานแล้ว ขอเพียงหลิงหลานสัมผัสได้ถึงอันตราย ไม่ว่าจะเป็นปืนเลเซอร์ในมือ หรือว่าร่างกายที่เตรียมตัวไว้อย่างดีมานานก็จะโจมตีใส่แขกที่มาในชั่วพริบตาเพื่อปกป้องตัวเอง

“ลูกพี่ ในที่สุดก็เจอนาย” เสียงตะโกนลั่นของฉีหลงดังมาจากปลายสุดของป่า

หลิงหลานไม่เกร็งร่างกายตัวเอง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นดำทะมึน เธอคิดอย่างกลัดกลุ้มว่า ทำไมเข้าโรงเรียนมาก็เจอหมอนี่เลยล่ะ เธอไม่อยากเป็นลูกพี่รับลูกน้องเสียหน่อย นี่มันขัดแย้งกับความธรรมดาที่เธอตั้งใจกำหนดไว้นะ

ในขณะที่หลิงหลานใคร่ครวญว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินดีหรือไม่ หรือว่าหลีกหนีไปอีกทางหนึ่ง พวกฉีหลงและหานจี้จวินทั้งห้าคนก็วิ่งตะบึงเข้ามาหาเธอ

เอาเถอะ หลบไม่ได้แล้ว เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ดึงมือขวากลับมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติมาก หลังจากนั้นก็โบกมือให้กับพวกฉีหลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเพื่อตอบกลับไป ในเวลาเดียวกัน กล้ามเนื้อที่เดิมทีเกร็งแน่นของเธอก็ผ่อนคลายลง เมื่อเผชิญหน้ากับเพื่อนที่เข้าสอบด้วยกันพวกนี้ เธอทำตัวระมัดระวังไม่ได้จริงๆ

“ลูกพี่ เมื่อตะกี้นายโคตรเจ๋งเกินไปแล้วจริงๆ นั่งหุ่นรบมาโรงเรียนด้วย” ฉีหลงเอ่ยปากก็ทำลายแผนการที่หลิงหลานดีดลูกคิดรางแก้วไว้

“ยังมีใครรู้อีกไหม” หลิงหลานจ้องฉีหลงอย่างเหี้ยมโหด ให้ฉีหลงพูดมาให้กระจ่าง ถ้าหากทุกคนรู้ขึ้นมาจริงๆ เธอจำเป็นต้องวางแผนรูปลักษณ์ต่อคนภายนอกใหม่อีกครั้ง

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 59 ลูกพี่โคตรเจ๋ง!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 59 ลูกพี่โคตรเจ๋ง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขยายขอบเขตการค้นหา” หานจี้จวินสั่งการ

“ค่ะ!” ไม่นาน หน้าจอเสมือนจริงของอุปกรณ์สื่อสารก็ปรากฏภาพมุมสูงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ สภาพการณ์ทั้งหมดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือปรากฏขึ้นในหน้าจอนี้ แน่นอนว่ามองเห็นจุดที่พวกหุ่นรบเลือกร่อนลงได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

หานจี้จวินแตะตำแหน่งที่พวกเขาร่อนลงในหน้าจอเสมือนจริงเบาๆ หน้าจอเสมือนจริงก็ขยายภาพสถานที่ที่แตะลงไปให้ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ

หานจี้จวินปรับมุมองศาอีกหลายครั้ง ไม่นาน ภาพพาโนรามาด้านหน้าหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนโดยสมบูรณ์ ผิวชั้นนอกที่ทำจากโลหะทั้งหมดส่องแสงสลัวที่มีเฉพาะในหุ่นรบ ตรงหน้าอกของหุ่นรบตัวนั้นวาดรูปนกสีแดงตัวใหญ่ที่มีไฟลุกไหม้ทั่วร่างขณะที่กำลังกางปีกโผบิน มันดูพราวพร่างละลานตาอย่างยิ่งในแสงแรกของรุ่งอรุณ

ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นอาวุธหนักอะไรในหุ่นรบตัวนี้ (ถ้าหากมีของพวกนี้จริงๆ ละก็ คาดว่ายังไม่ทันที่หุ่นรบจะเข้าใกล้ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ มันก็คงถูกจรวดป้องกันของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือยิงร่วงไปแล้ว) ทว่าดาบเลเซอร์สองเล่มตรงด้านหลังยิ่งเพิ่มพลังความองอาจของหุ่นรบให้โดดเด่นมากขึ้น ควรทราบว่าโดยปกติแล้วหุ่นรบจะมีดาบเลเซอร์ขนาดเล็กหนึ่งเล่มเป็นอาวุธมาตรฐาน ทว่าหุ่นรบตัวนี้กลับมีดาบขนาดใหญ่สองเล่ม เห็นได้ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบตัวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นรบต่อสู้ประชิดตัวที่โดดเด่นสุดขีด

นี่แตกต่างกับอาวุธของหุ่นรบมาตรฐานทั่วไป ทำให้ฉีหลงกับลั่วล่างสองคนตาร้อนน้ำลายไหลไม่หยุดอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้ ในฐานะที่หุ่นรบเป็นอาวุธระดับสูงของกองทัพ มันจึงถูกห้ามขายสู่คนภายนอกโดยสิ้นเชิง พวกเด็กๆ แทบจะไม่มีโอกาสเข้าไปมองของจริงใกล้ๆ ส่วนใหญ่แล้วทุกคนต่างเห็นมันผ่านทางหน้าจอ หรือว่าในรูปภาพคุณภาพต่ำนิดหน่อย

นอกเสียจากเป็นพวกลูกหลานสายตรงของตระกูลใหญ่ หรือว่าเป็นลูกหลานของทหารระดับสูงในกองทัพ (ทหารรุ่น N) อาจจะมีโอกาสได้สัมผัส

“เอ๋? ห้องคนขับของหุ่นรบสีเทาเข้มถูกเปิดแล้วเหรอ” ลั่วล่างตาแหลมคม เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาพในหน้าจอเสมือนจริง

“ดูเหมือนจะใช่นะ น่าเสียดายที่ภาพยังเล็กไปหน่อย พวกเรามองเห็นไม่ชัด” ฉีหลงพูดด้วยใบหน้าเสียดาย

หานจี้จวินมองคนทั้งสองแวบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ในแววตามีความเหยียดหยามอยู่ แต่เขาไม่ได้เอ่ยปากดูถูก เขาเพียงแต่ซูมเข้าไปใกล้หุ่นรบสีเทาเข้มอีกครั้ง ตำแหน่งของห้องคนขับปรากฏขึ้นทั่วทั้งหน้าจอ

ห้องคนขับของหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นถูกเปิดออกแล้วตามที่คาดคิดไว้จริงๆ พวกเขาเห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังก้มศีรษะปีนออกมาจากด้านใน

“ทำไมหมอนี่ดูคุ้นๆ นะ” ฉีหลงยังไม่มีสติตอบรับ

คำพูดนี้นำมาซึ่งความเหยียดหยามของลั่วล่างกับหานจี้จวินสองคน แม่งเอ๊ย ไอ้โง่นี่เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปยอมรับเขาว่าเป็นลูกพี่ ทำไมตอนนี้ถึงจำเขาไม่ได้ล่ะ

เมื่อลั่วเฉาเห็นร่างเล็กในหน้าจอ ทั่วทั้งใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย ดูท่าเธอเองก็จำได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หานซู่หย่าเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มองหน้าจอเสมือนจริง ความสนใจของเธอทั้งหมดถูกฉีหลงดึงดูดไปหมดแล้ว

เวลานี้เอง เด็กที่อยู่ในหน้าจอก็เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด

“เชี่ย ลูกพี่หลานนี่นา!” ในที่สุดฉีหลงก็จำได้ เขาตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เจ๋งเกินไปแล้ว นั่งหุ่นรบมาเลย! ลูกพี่จงเจริญ!”

ตอนนี้ความเคารพนับถือของฉีหลงที่มีต่อหลิงหลานราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไม่หยุด ให้ตายสิ นายว่า ใครจะโคตรเจ๋งขนาดลูกพี่ของเขาได้

ไม่เพียงฉีหลงที่เลื่อมใส แม้กระทั่งลั่วล่างเองก็ไม่มีใจแข่งขันกับหลิงหลานตั้งแต่แรกแล้ว ระยะห่างระหว่างหมอนี่กับคนอื่นแม่งแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว คิดดูสิ ตอนที่พวกเขายังอยากได้หุ่นรบในหน้าจอจนน้ำลายหก หมอนี่กลับใช้หุ่นรบเป็นยานพาหนะ…นี่ยังนับว่าเป็นคนอีกเหรอ เอาเถอะ เขาเลิกแข่งกับอมนุษย์ดีกว่าจะได้ไม่ทำให้ตัวเองโมโห

ลั่วล่างคิดดีแล้ว เขาตัดสินใจจะไม่เสียเวลาไปชิงตำแหน่งลูกพี่กับหลิงหลาน แต่จะเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์แทน บางทีเขาอาจจะสามารถขอลูกพี่หลานให้พวกเขาสัมผัสหุ่นรบอย่างใกล้ชิดก็ได้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลั่วล่างก็เลือดเดือดพล่าน ดวงตาสองข้างส่องประกายพราวพร่าง

อืม อันที่จริงเป็นลูกน้องเขาก็มีสวัสดิการไม่เลวเหมือนกัน

สีหน้าของหานจี้จวินกลับแตกต่างมาก ดวงหน้าน้อยๆ ของเขาเคร่งเครียดมาก ในสมองมีเพียงคำถามเดียว นั่นก็คือหลิงหลานเป็นใครกันแน่ ถึงแม้ว่าการนั่งหุ่นรบมาจะทำให้หานจี้จวินตกตะลึง ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนขนาดพวกฉีหลง สิ่งที่ทำให้หานจี้จวินตกตะลึงมากที่สุดคือ ท่าทีและการตอบรับของทางฝั่งสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ

พวกฉีหลงกับลั่วล่างอาจจะไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่าอะไร แต่หานจี้จวินรู้ดี การขับหุ่นรบมายังสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่มีการป้องกันแน่นหนาแห่งนี้เป็นการกระทำที่หาเรื่องตายอย่างหนึ่ง ปกติแล้วการที่ยังคงเลือกเดินหน้าต่อหลังจากที่ถูกเตือนจะต้องได้รับการยิงโจมตีใส่จนมันร่วงอย่างไร้ความปรานีแน่นอน ไม่มีทางปรากฏเหตุการณ์ที่หุ่นรบหกตัวบินออกไปรับ แน่นอนว่าหุ่นรบหกตัวควบคุมบังคับหุ่นรบตัวนั้นให้ร่อนลงในระดับหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉากในวันนี้ย่อมไม่ปกติแน่นอน ตอนนี้ดูท่าตระกูลของหลิงหลานจะไม่ธรรมดาเลย

ตอนสอบเข้าโรงเรียน วิสัยทัศน์ การคาดการณ์ ความสามารถในการต่อสู้อันโดดเด่นของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินที่ทดสอบกลุ่มเดียวกันเลื่อมใสอย่างมาก ดังนั้นเมื่อฉีหลงพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาอยากจะรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ เขาจึงไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานะของหลิงหลานอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เขาต้องใคร่ครวญให้ดีว่าการยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่จะส่งผลร้ายต่อเขา ต่อฉีหลงหรือไม่…

หานจี้จวินยังจำเรื่องที่พ่อของเขาซึ่งทำหน้าที่เป็นอธิบดีสำนักงานข่าวกรองของสหพันธรัฐเคยสอนเขาได้ว่า จะต้องระวังทุกคนที่เข้ามาใกล้เขา รวมถึงเด็กด้วย ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่จะถูกใช้เป็นหมากตกอยู่ในกระดานได้ง่ายมากถ้าหากไม่ระมัดระวัง…

…………

หลิงหลานลงมาตามเชือกชักใบ สุดท้ายเท้าก็แตะพื้นอีกครั้ง หัวใจของเธอสงบลงในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาดีใจ เธอต้องควบคุมกล้ามเนื้อสองขาของตัวเองให้พวกมันสงบลงอย่าสั่นขึ้นมา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกห้องสเปเชียลเอที่ถูกฝากความหวัง เธอย่อมไม่อาจเปิดเผยจุดอ่อนเรื่องตัวเองกลัวความสูงนี้เด็ดขาด

หลิงหลานสูดลมหายใจลึกๆ ระงับอารมณ์ลงแล้วค่อยฉีกยิ้มทื่อๆ ออกมา เธอโบกมือบอกลาพ่อบ้านหลิงฉินที่อยู่ในห้องคนขับแรงๆ พ่อบ้านหลิงฉินไม่สามารถเข้าไปในโรงเรียนจัดการขั้นตอนการเข้าเรียนเป็นเพื่อนเธอได้ ทางโรงเรียนไม่มีทางให้หุ่นรบที่สามารถคุกคามความปลอดภัยของพวกเด็กๆ จอดอยู่ภายในโรงเรียนได้นานมากนัก

เมื่อเห็นหุ่นรบหกตัวที่อยู่ข้างกายจ้องตะครุบดั่งพญาเสือ หลิงฉินก็รู้ว่าจะถ่วงเวลาอีกต่อไปก็ไม่มีหวัง เขาได้แต่ขับหุ่นรบจากไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ภายใต้การคุ้มกันของหุ่นรบหกตัว สาเหตุที่หลิงฉินจากไปเฉยๆ แบบนี้เป็นเพราะเขารู้ว่าไม่มีสถานที่ไหนปลอดภัยยิ่งกว่าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือแล้ว ถึงขนาดที่มาตรการป้องกันความปลอดภัยของพวกเขายังร้ายกาจยิ่งกว่าตระกูลหลิงของพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกวางใจมาก

หลิงฉินรู้ดีว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน ถ้าหากถูกพวกศัตรูของตระกูลหลิงจับจุดอ่อนได้ละก็ ตระกูลหลิงก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ควรทราบว่าตอนนี้ตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลหลิงในช่วงเวลาของนายท่านหลิงเซียวแล้ว เวลานี้อำนาจและความแข็งแกร่งที่ไม่อาจถูกทำลายในตอนนั้นหายไปจนแทบไม่เหลือแล้ว พูดตรงๆ มันเป็นเพราะไม่มีผู้แข็งแกร่งสนับสนุนตระกูล ส่วนคุณชายหลิงหลานก็เด็กมากเกินไปจริงๆ ยังรับคลื่นพายุในชีวิตไม่ไหว พวกเขาจำเป็นต้องเลือกเก็บตัวเงียบ ซ่อนความแข็งแกร่งเพื่อรอคอยเวลา

หลิงหลานส่งหลิงฉินรวมไปถึงหุ่นรบหกตัวที่ตรวจตราควบคุมหลิงฉินแล้ว เธอถึงค่อยประเมินสภาพแวดล้อมข้างกายด้วยความสนใจ ที่แท้สถานที่ที่เธอหยุดลงมาคือป่าพุ่มไม้หร็อมแหร็มแห่งหนึ่ง ที่นี่แทบจะไม่มีใคร นอกจากนี้ยังปิดบังอำพรางอย่างมาก ทั้งยังมีพื้นที่เพียงพอที่จะรับหุ่นรบตัวหนึ่งให้ร่อนลงมา มิน่าล่ะ หุ่นรบหกตัวถึงได้พาพวกเขามาร่อนลงตรงนี้ เป็นสถานที่ดีในการทำลายศพให้ไม่เหลือร่องรอยไว้จริงๆ…..

ในขณะที่หลิงหลานกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นก็สุ่มเลือกเดินไปยังทิศทางหนึ่ง เธอเตรียมพร้อมจะออกจากป่า เมื่อเจอคนก็จะถามว่าวันนี้จุดลงทะเบียนของนักเรียนใหม่อยู่ที่ไหน

ในเมื่อมั่นใจว่าที่นี่มิดชิดมาก หลิงหลานก็ใจเย็นขึ้นมา ขอเพียงไม่มีคนรู้ว่าเธอปีนออกมาจากหุ่นรบ มันก็จะไม่ส่งผลร้ายต่อชีวิตการเรียนในอนาคตของเธอ เธอยังคงเป็นหลิงหลานคนธรรมดาที่หายไปท่ามกลางอัจฉริยะมากมาย

………..

เมื่อเห็นหลิงหลานเตรียมตัวออกมา หานจี้จวินก็ปิดอุปกรณ์สื่อสารโดยไม่ลังเล เขาเอ่ยกับพวกฉีหลงว่า “พวกเราไปรับลูกพี่หลานด้วยกันเถอะ”

เวลานี้นับว่าหานจี้จวินคิดดีแล้ว ตอนนั้นเด็กอย่างพวกเขาที่อยู่ในกลุ่มทดสอบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ได้พูดสถานะของตัวเองออกมา พวกเขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อแม่ของหลิงหลานเป็นใคร มาจากระบบไหน แต่ในขณะเดียวกัน หลิงหลานเองก็ไม่รู้เรื่องของพวกเขา ความจริงมันก็ยุติธรรมมาก ถ้าหากตอนนี้เขาไปยุ่งเรื่องสถานะที่แท้จริงของหลิงหลานอีก มันก็ดูใจแคบนิดหน่อยจริงๆ หานจี้จวินเลยเลือกจะปล่อยวางอย่างชาญฉลาดยิ่ง

ส่วนตัวหลิงหลานจะเหมาะให้พวกเขาคบหาหรือไม่ พวกเขามีเวลาที่จะตัดสิน ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน หานจี้จวินตัดสินใจสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหานจี้จวิน ฉีหลงก็ตอบสนองเป็นคนแรก “เอาสิ เดี๋ยวฉันจะไปถามลูกพี่หลานว่าให้ฉันนั่งหุ่นรบตัวนั้นได้หรือเปล่า” ฉีหลงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ถึงแม้ว่าลั่วล่างจะไม่ได้เอ่ยคำ แต่ในดวงตาเขาก็ส่องประกายความละโมบบอกกับทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีความคิดเหมือนกับฉีหลงทุกประการ

หานจี้จวินได้ยินคำพูดของฉีหลงก็อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเขาก็หุบปากลงอย่างรวดเร็ว ในใจเขามีความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นมา บางทีเขาอาจจะยืมคำถามของฉีหลงมาทดสอบนิสัยของหลิงหลานก็ได้…

………..

หลิงหลานเดินไปแทบจะประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว สุดปลายสายตาของเธอก็ปรากฏอาคารบางแห่งขึ้นมาอย่างรางๆ หลิงหลานรู้สึกดีใจ ในที่สุดก็เดินออกมาจากป่าพุ่มไม้แล้ว

เวลานี้เอง จู่ๆ หลิงหลานก็ขมวดคิ้วทีหนึ่ง มือขวาสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ กุมปืนพกเลเซอร์ขนาดเล็กที่เธอหยิบออกมาจากในโฮเวอร์คาร์ของบ้านเธอในตอนนั้นได้พอดี

ส่วนกล้ามเนื้อและประสาทในร่างกายของหลิงหลานที่อยู่ข้างในเสื้อผ้าก็เกร็งแน่นนานแล้ว ขอเพียงหลิงหลานสัมผัสได้ถึงอันตราย ไม่ว่าจะเป็นปืนเลเซอร์ในมือ หรือว่าร่างกายที่เตรียมตัวไว้อย่างดีมานานก็จะโจมตีใส่แขกที่มาในชั่วพริบตาเพื่อปกป้องตัวเอง

“ลูกพี่ ในที่สุดก็เจอนาย” เสียงตะโกนลั่นของฉีหลงดังมาจากปลายสุดของป่า

หลิงหลานไม่เกร็งร่างกายตัวเอง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นดำทะมึน เธอคิดอย่างกลัดกลุ้มว่า ทำไมเข้าโรงเรียนมาก็เจอหมอนี่เลยล่ะ เธอไม่อยากเป็นลูกพี่รับลูกน้องเสียหน่อย นี่มันขัดแย้งกับความธรรมดาที่เธอตั้งใจกำหนดไว้นะ

ในขณะที่หลิงหลานใคร่ครวญว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินดีหรือไม่ หรือว่าหลีกหนีไปอีกทางหนึ่ง พวกฉีหลงและหานจี้จวินทั้งห้าคนก็วิ่งตะบึงเข้ามาหาเธอ

เอาเถอะ หลบไม่ได้แล้ว เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ดึงมือขวากลับมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติมาก หลังจากนั้นก็โบกมือให้กับพวกฉีหลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเพื่อตอบกลับไป ในเวลาเดียวกัน กล้ามเนื้อที่เดิมทีเกร็งแน่นของเธอก็ผ่อนคลายลง เมื่อเผชิญหน้ากับเพื่อนที่เข้าสอบด้วยกันพวกนี้ เธอทำตัวระมัดระวังไม่ได้จริงๆ

“ลูกพี่ เมื่อตะกี้นายโคตรเจ๋งเกินไปแล้วจริงๆ นั่งหุ่นรบมาโรงเรียนด้วย” ฉีหลงเอ่ยปากก็ทำลายแผนการที่หลิงหลานดีดลูกคิดรางแก้วไว้

“ยังมีใครรู้อีกไหม” หลิงหลานจ้องฉีหลงอย่างเหี้ยมโหด ให้ฉีหลงพูดมาให้กระจ่าง ถ้าหากทุกคนรู้ขึ้นมาจริงๆ เธอจำเป็นต้องวางแผนรูปลักษณ์ต่อคนภายนอกใหม่อีกครั้ง

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+