I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 268 นายจะบีบบังคับฉันเหรอ?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 268 นายจะบีบบังคับฉันเหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การควบคุมอารมณ์ของหลี่หลานเฟิงยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย เขากลับมาสงบนิ่งในชั่วพริบตา สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเยือกเย็นต่อไป ทว่าในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำความเข้าใจฝ่ายตรงข้ามหลายด้านเลยเพื่อการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเขาในวันข้างหน้า

หลิงหลานกวาดตามองทั้งสี่คนแวบหนึ่งอย่างครุ่นคิด สุดท้ายสายตาก็ทอดมองไปที่ตัวหลี่ซื่ออวี๋ เซี่ยอี๋บอกชัดเจนว่า คนที่ตัดสินใจเรื่องนี้คือนักเรียนดีเด่นคนนี้ ดังนั้นเธอเลยเอ่ยปากถามว่า “นายเป็นคนยื่นเรื่องย้ายคนของฉันไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารเหรอ?”

ถึงแม้ในใจหลี่ซื่ออวี๋ไม่พอใจสุดขีด แต่การอบรมสั่งสอนที่ดียังคงทำให้เขาพยักหน้าตอบรับ บ่งบอกว่าถูกต้องแล้ว

หลิงหลานเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “ฉันจำได้ว่า การยื่นคำขอยังต้องการการเห็นชอบจากผู้ถูกรักษาด้วยนี่นา” หลังจากที่เธอรู้เรื่องนี้ เสี่ยวซื่อก็หากฎที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายการรักษาออกมาทีละข้อทันที ตอนนี้หลิงหลานรู้กฎเกณฑ์ด้านในเป็นอย่างดี ในกฎเกณฑ์พวกนี้มีเนื้อหามากมายที่สามารถทำได้…

สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋หนักอึ้ง แต่เขายังคงตอบว่า “ฉันเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร ขอเพียงเป็นผู้ป่วยของศูนย์รักษา ฉันมีอำนาจกำหนดตัวผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องการความเห็นพ้องหรือการปฏิเสธของอีกฝ่าย” เขากล่าวจบก็ยังไม่ลืมถลึงตาใส่หลี่อิงเจี๋ยอย่างดุดันทีหนึ่ง…

เมื่อหลี่ซื่ออวี๋กล่าวคำพูดนี้ออกมา นักเรียนชั้นปีสูงต่างทยอยกันพยักหน้าบ่งบอกว่าไม่ผิด ทว่านักเรียนปีหนึ่งกลับมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าโรงเรียนทหารมีกฎข้อนี้จริงๆ หรือเปล่า

หลี่อิงเจี๋ยถูกหลี่ซื่ออวี๋ถลึงตาใส่ก็งุนงงสับสนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินพี่รองของเขาตรงไหนอีก? เขาที่เดิมทีรู้สึกไม่สบอารมณ์ก็ยิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น ค่าความโกรธพวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง แต่เขายังคงฝืนข่มกลั้นโทสะไว้ แค่ถลึงตาใส่กลับบ่งบอกถึงความไม่พอใจของเขา

ถึงแม้ทุกครั้งที่หลี่อิงเจี๋ยพบเจอหลี่ซื่ออวี๋จะดูเหมือนการจุดประทัด อีกนิดเดียวก็จะระเบิดแล้ว แต่ว่าความจริงแล้วหลายปีมานี้เขาก็รู้ดีว่า ญาติผู้พี่คนรองไม่มีทางทำร้ายเขา ไม่อย่างนั้นหลี่ซื่ออวี๋ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาคงไม่ทำแค่เอ่ยเหน็บแนมเยาะหยันอย่างเย็นชาไม่กี่ประโยคหรอก ไม่ใช่ว่าตั้งแต่เด็กจนโตหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีโอกาสลงมือกำจัดเขาจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างอำมหิตเลย…

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ประท้วงและถลึงตาใส่กลับเท่านั้น เขายังไม่อยากทำให้หลี่ซื่ออวี๋อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

“ยิ่งไปกว่านั้น หลี่อิงเจี๋ยคือญาติผู้น้องของฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นญาติผู้พี่ของเขา ฉันลงมือรักษาให้ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ฉันรับรองได้ว่าเขาจะกลับมาหายดีเป็นปลิดทิ้งได้ก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งหนึ่ง” แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานอย่างรุนแรงจากยาที่ไปปรับปรุงร่างกาย เชื่อว่าหลี่อิงเจี๋ยคงยากที่จะลืมมันไปชั่วชีวิต มุมปากของหลี่ซื่ออวี๋เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

คำพูดของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้นักเรียนปีหนึ่งหวั่นไหว เวลานี้เหล่าสมาชิกกลุ่มที่เดิมทีระแวดระวังหลี่ซื่ออวี๋ก็กำจัดความกังวลออกไปแล้วเช่นกัน หลี่อิงเจี๋ยยิ่งคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย ตอนที่เขากำลังพูดโพล่งออกมาว่า ‘เขายินดี’ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบกวาดมองเข้ามาตรงๆ แช่แข็งร่างของเขาไว้รวมถึงคำพูดประโยคนั้นที่มาถึงตรงมุมปากแล้วด้วย

น่ากลัวอะ! เมื่อเทียบกับสายตาเย็นชาของลูกพี่หลานแล้ว การถลึงตาของญาติผู้พี่คนรองของเขาดูไม่มีพิษมีภัยมากเลย หลี่อิงเจี๋ยกลืนคำพูดประโยคที่ว่า ‘เขายินดี’ ลงไป รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

หลี่อิงเจี๋ยเลือกฝั่งลูกพี่หลานโดยไม่ลังเลเลย ล่วงเกินญาติผู้พี่คนรองก็แค่โดนลิ้นอาบยาพิษไม่กี่ครั้ง มากสุดก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ถ้าทำให้ลูกพี่หลานไม่พอใจขึ้นมา…หลี่อิงเจี๋ยลอบหนาวสั่น เขายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเคยเห็นสภาพน่าอนาถของฉีหลงที่คลานกระเสือกกระสนดิ้นรนเฮือกสุดท้ายออกมาจากในห้องประลองที่หอต่อสู้ คู่ต่อสู้ของเขาในวันนั้นก็คือลูกพี่หลาน…

หลี่อิงเจี๋ยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฉีหลงถึงดูอเนจอนาถขนาดนั้นก็เลยถามเซี่ยอี๋ที่อยู่ในทีมหลิงหลานซึ่งมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับสมาชิกกลุ่มอื่นๆ เซี่ยอี๋บอกเขาว่า ฉีหลงเผลอล่วงเกินลูกพี่หลาน ดังนั้นลูกพี่หลานเลยตัดสินใจประลองแลกเปลี่ยนความรู้กับฉีหลงหนึ่งอาทิตย์…

อันที่จริงตลอดหนึ่งอาทิตย์นั้น ฉีหลงคลานออกมาอย่างน่าเวทนาทุกวัน หลี่อิงเจี๋ยไม่อยากกลายเป็นฉีหลงคนที่สองแน่นอน ดังนั้นเขาเลยเดินตามลูกพี่หลานอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

หลิงหลานเห็นหลี่อิงเจี๋ยให้ความร่วมมือก็เก็บสายตากลับไปด้วยความพึงพอใจ เดิมทีเธอรู้สึกเฉยๆ ต่อหลี่ซื่ออวี๋ ทว่าตอนนี้พอมองหลี่ซื่ออวี๋ที่มีดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับหมาป่าหิวโหยมองเห็นเนื้อติดมันชั้นหนึ่ง…เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็นเป้าหมายในการร่วมมือกันที่ดีเยี่ยม

ในใจหลิงหลานรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดต่อทั้งสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเข้าร่วมการประลอง เพราะเธอรู้ดีว่าการขาดเรียนวิชาด้านความสามารถทางร่างกายมากเกินไปจะส่งผลต่อคะแนนประเมินความแข็งแกร่งของร่างกายในตอนสุดท้ายได้ ถ้าหากสุดท้ายพวกเขาไม่สามารถผ่านการประเมินผลเพราะได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ ต่อให้กลุ่มนักเรียนใหม่ตั้งมั่นอยู่ในโรงเรียนทหารได้อย่างมั่นคง หลิงหลานก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าอยู่บ้าง

นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเธอรับการแสดงความยินดีจากสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่อย่างง่ายๆ แล้วก็รีบมาที่ศูนย์รักษาทันที เธออยากรู้ว่าอาการบาดเจ็บของทั้งสามคนรวมถึงสภาพการฟื้นตัวในตอนสุดท้ายด้วย เสี่ยวซื่อที่รู้ผลการรักษาบอกเวลาในการฟื้นตัวของพวกเขาสามคนให้เธอฟังระหว่างทางที่ผ่านมา ลั่วล่างใช้เวลาหนึ่งเดือน หลี่อิงเจี๋ยสองเดือนครั้ง แต่ฉีหลงกลับใช้เวลาสามเดือนเต็มๆ…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงเวลาในการรักษาที่ทั้งสามคนต้องการต่างใช้เวลายาวนานอย่างยิ่งยวด นี่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาในการเรียนวิชาฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายต่อไปมากๆ

ถึงแม้หลิงหลานให้เสี่ยวซื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาแล้ว แต่คำตอบที่เสี่ยวซื่อให้มากลับบอกว่าไม่มีวิธี นี่ทำให้หลิงหลานอารมณ์เสียสุดขีด ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเธอเข้ามาที่ศูนย์รักษาและเห็นว่ามีคนของชั้นปีสูงมาคุมเชิงกับพวกหลี่อิงเจี๋ย อารมณ์ของหลิงหลานก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น ดังนั้นกระทั่งไอเย็นที่ติดตัวเธอก็หนาวขึ้นหลายส่วน…

แต่ไม่นึกเลยว่าเธอจะโชคดีขนาดนี้ เธอกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของลูกน้องสามคน ก็มีคนส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาให้ หลิงหลานดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ลูกคิดตัวน้อยที่อยู่ในใจเริ่มดีดขึ้นมาว่าจะใช้ประโยชน์อีกฝ่ายให้ดีกว่าเดิมยังไงถึงจะสามารถทำให้พวกลูกน้องของเธอได้รับผลประโยชน์

หลิงหลานมองหลี่ซื่ออวี่ด้วยสายตาแปลกพิกลเช่นนี้อยู่หลายวินาที หลี่ซื่ออวี๋ที่เดิมทีคงความใจเย็นไว้บัดนี้แผ่นหลังของเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาภายใต้สายตาของหลิงหลาน เหมือนกับว่าเขาก้าวเข้าไปในกับดักอะไรสักอย่าง…

มุมปากของหลิงหลานโค้งขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยปากพูดว่า “น่าเสียดายที่เขามีกลุ่มแล้ว” สิ้นเสียงนี้หลิงหลานที่เดิมทีอยู่ห่างจากหลี่ซื่ออวี๋ออกไปห้าก้าวพลันมาถึงข้างกายของหลี่ซื่ออวี๋ มือข้างหนึ่งของเธอกดบ่าของหลี่ซื่ออวี๋ไว้พลางเขยิบเข้าไปที่ข้างหูเขาและเอ่ยเบาๆ ว่า “ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับกฎระเบียบและขั้นตอนด้านการโยกย้ายการรักษาไม่น้อยไปกว่านายเลย…”

หลี่ซื่ออวี๋หน้าเปลี่ยนสี แต่ยังไม่ทันที่จะพูดออกมา หลิงหลานก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมในชั่วพริบตา ราวกับว่าเธอไม่เคยขยับมาก่อนเลยก็ไม่ปาน ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่ในศูนย์รักษาตะลึงงัน และก็ทำให้แววตาของหลี่หลานเฟิงที่อยู่ข้างกายหลี่ซื่ออวี๋จริงจังขึ้นมา

“หลี่อิงเจี๋ย นายยินดีตามฉันไปไหม?”หลี่ซื่ออวี๋กลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว เขาหันหน้าไปถามหลี่อิงเจี๋ย เวลานี้กุญแจสำคัญที่สุดก็คือคำตอบของหลี่อิงเจี๋ย ถ้าหากหลี่อิงเจี๋ยตกลง ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา

หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจมานานแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำถามของหลี่ซื่ออวี๋ก็ตอบโดยที่ไม่ใคร่ครวญเลยว่า “ฉันเชื่อฟังลูกพี่หลาน”

“นายลืมไปแล้วหรือไงว่านายเป็นลูกหลานของตระกูลหลี่นะ?” คำตอบของหลี่อิงเจี๋ยทำให้หลี่ซื่ออวี๋เดือดดาลอีกครั้ง ไอ้เด็กอวดดีน่ารำคาญคนนั้นทำตัวนอบน้อมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ไม่ เขายังคงเป็นลูกหลานตระกูลหลี่ของพวกนาย แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นสมาชิกกลุ่มของฉัน” หลิงหลานเอ่ยปากขัดทันทีว่า “นายรู้ดีว่า ฉันมีอำนาจตัดสินเรื่องทุกอย่างของเขา”

“นาย…” หลี่ซื่ออวี๋พูดไม่ออกทันที เนื่องจากที่หลิงหลานพูดมานั้นถูกต้อง เมื่อนักเรียนเข้าร่วมกลุ่ม นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของคนๆ เดียว หากแต่เป็นตัวแทนของทั้งกลุ่ม และก็หมายความว่ามีเรื่องบางอย่างที่กระทั่งหลี่อิงเจี๋ยก็ตัดสินใจเองเป็นหลักไม่ได้

หลี่หลานเฟิงเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยว่า “อันที่จริงทุกคนต่างก็ทำเพื่อคุณชายอิงเจี๋ย หัวหน้าหลิง คุณชายซื่ออวี๋เป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร ว่าตามจริงแล้ว มีเพียงคุณชายซื่ออวี๋เท่านั้นที่มีอำนาจใช้ยาที่ดีที่สุดมารักษาคุณชายอิงเจี๋ย เพราะฉะนั้นให้คุณชายซื่ออวี๋รับช่วงต่อการรักษา จะมีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อคุณชายอิงเจี๋ยเลยนะ”

หลี่หลานเฟิงไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายแตกคอกัน ถ้าหากทำได้ เขายังอยากร่วมมือกับหลิงหลาน นอกจากนี้เขาเองก็เป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของหลี่อิงเจี๋ยด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากทำร้ายความรักที่มีต่อน้องชายด้วยความจริงใจของหลี่ซื่ออวี๋…

“ฉันรู้ แต่ว่าฉันยังมีสมาชิกกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บหนักมากอีกสองคน ไม่รู้ว่านักเรียนดีเด่นหลี่ยินดีให้ความช่วยเหลือหรือเปล่า?” หลิงหลานก็ไม่อยากพัวพันกับอีกฝ่ายเช่นกัน ยื่นความต้องการของเธอออกไปตรงๆ

“นายคิดว่ายื่นขอยาสรรพคุณพิเศษมาได้ง่ายมากเลยหรือไง?” สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋ดูไม่ได้มากๆ “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะหลี่อิงเจี๋ยเป็นญาติผู้น้องของฉัน ฉันไม่มีทางลงมือจัดการหรอกนะ”

“เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ ด้วย” หลิงหลานเลิกคิ้วมองหลี่ซื่ออวี๋แวบหนึ่ง ทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับมองเห็นความคิดของหลี่ซื่ออวี๋อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้หลี่ซื่ออวี๋พลันรู้สึกว่าตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง ไม่แน่ใจนิดหน่อยว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า…

“ถ้าฉันอยากให้นายรักษาทั้งสามคนด้วยกันให้ได้ล่ะ?”

“นายจะบีบบังคับฉันเหรอ?” นัยน์ตาทั้งสองข้างของหลี่ซื่ออวี๋หรี่ลง กลิ่นอายอันตรายสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา

นักเรียนแพทย์ทหารอยู่ในกลุ่มเป็นกลางในโรงเรียนทหาร ไม่มีใครหรือกลุ่มอำนาจไหนกล้าล่วงเกินพวกเขา ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บแล้วตกอยู่ในมืออีกฝ่ายหรือเปล่า ทุกคนจึงไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น

“นายอยากคิดแบบนี้ก็ได้” หลิงหลานตอบอย่างเฉยชา “นี่ก็ต้องดูว่าพี่ชายที่ดีอย่างนายจะทำเพื่อน้องชายได้ถึงขั้นไหน?”

หลี่ซื่ออวี๋กัดฟันจนแทบจะหัก ไม่นึกเลยว่าลูกพี่ที่หลี่อิงเจี๋ยยอมรับจะหน้าไม่อายขนาดนี้ ใช้หลี่อิงเจี๋ยเป็นเบี้ยเดิมพันเพื่อมาบีบบังคับ เขาเอ่ยกับหลี่อิงเจี๋ยด้วยความเดือดดาลว่า “นี่ก็คือลูกพี่ที่นายอยากยอมรับเหรอ? เขายินดีเสียสละนายเพื่อคนอื่นเลยนะ?”

สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มันก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องของฉันเหมือนกัน เสียสละเพื่อพี่น้องก็คุ้มค่าเหมือนกัน ถึงยังไงก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่หายดี แค่ใช้เวลานานขึ้นนิดหน่อย ทำเหมือนกับว่านายไม่ได้โผล่ออกมาก็เท่านั้น…” ความหมายในคำพูดนี้คือ เขายินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องตัวเอง ทำเหมือนหลี่ซื่ออวี๋ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

คำพูดเหล่านี้ทำให้คนของกลุ่มนักเรียนใหม่หวั่นไหว หานจี้จวิน หลินจงชิง เซี่ยอี๋และคนอื่นๆ มองไปที่หลี่อิงเจี๋ยด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

อันที่จริงชื่อเสียงของหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ดีมากนักในกลุ่มนักเรียนใหม่ ถึงยังไงนิสัยของอีกฝ่ายก็เป็นสันดานไปแล้ว น้ำเสียงการพูดจา ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองของเขาดูน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้พวกเขาเหมือนรู้จักหลี่อิงเจี๋ยใหม่อีกครั้ง ไอ้คนที่เดิมทีเย่อหยิ่งน่าโมโหคนนั้นไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวเลย ความจริงเขาเป็นยินดีเสียสละตัวเองเพื่อพี่น้องเหมือนกัน เพียงแต่ทุกอย่างนี้ถูกอำพรางอยู่ใต้ใบหน้าอวดดีนั่นโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้

หลี่ซื่ออวี๋ได้ยินคำตอบของหลี่อิงเจี๋ยก็โมโหจนแทบจะพูดโพล่งออกมาว่า ‘นายแม่งก็ตายไปตามยถากรรมเลย! ฉันไม่รักษาแล้ว’

——————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 268 นายจะบีบบังคับฉันเหรอ?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 268 นายจะบีบบังคับฉันเหรอ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การควบคุมอารมณ์ของหลี่หลานเฟิงยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย เขากลับมาสงบนิ่งในชั่วพริบตา สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเยือกเย็นต่อไป ทว่าในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำความเข้าใจฝ่ายตรงข้ามหลายด้านเลยเพื่อการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเขาในวันข้างหน้า

หลิงหลานกวาดตามองทั้งสี่คนแวบหนึ่งอย่างครุ่นคิด สุดท้ายสายตาก็ทอดมองไปที่ตัวหลี่ซื่ออวี๋ เซี่ยอี๋บอกชัดเจนว่า คนที่ตัดสินใจเรื่องนี้คือนักเรียนดีเด่นคนนี้ ดังนั้นเธอเลยเอ่ยปากถามว่า “นายเป็นคนยื่นเรื่องย้ายคนของฉันไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารเหรอ?”

ถึงแม้ในใจหลี่ซื่ออวี๋ไม่พอใจสุดขีด แต่การอบรมสั่งสอนที่ดียังคงทำให้เขาพยักหน้าตอบรับ บ่งบอกว่าถูกต้องแล้ว

หลิงหลานเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “ฉันจำได้ว่า การยื่นคำขอยังต้องการการเห็นชอบจากผู้ถูกรักษาด้วยนี่นา” หลังจากที่เธอรู้เรื่องนี้ เสี่ยวซื่อก็หากฎที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายการรักษาออกมาทีละข้อทันที ตอนนี้หลิงหลานรู้กฎเกณฑ์ด้านในเป็นอย่างดี ในกฎเกณฑ์พวกนี้มีเนื้อหามากมายที่สามารถทำได้…

สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋หนักอึ้ง แต่เขายังคงตอบว่า “ฉันเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร ขอเพียงเป็นผู้ป่วยของศูนย์รักษา ฉันมีอำนาจกำหนดตัวผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องการความเห็นพ้องหรือการปฏิเสธของอีกฝ่าย” เขากล่าวจบก็ยังไม่ลืมถลึงตาใส่หลี่อิงเจี๋ยอย่างดุดันทีหนึ่ง…

เมื่อหลี่ซื่ออวี๋กล่าวคำพูดนี้ออกมา นักเรียนชั้นปีสูงต่างทยอยกันพยักหน้าบ่งบอกว่าไม่ผิด ทว่านักเรียนปีหนึ่งกลับมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าโรงเรียนทหารมีกฎข้อนี้จริงๆ หรือเปล่า

หลี่อิงเจี๋ยถูกหลี่ซื่ออวี๋ถลึงตาใส่ก็งุนงงสับสนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินพี่รองของเขาตรงไหนอีก? เขาที่เดิมทีรู้สึกไม่สบอารมณ์ก็ยิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น ค่าความโกรธพวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง แต่เขายังคงฝืนข่มกลั้นโทสะไว้ แค่ถลึงตาใส่กลับบ่งบอกถึงความไม่พอใจของเขา

ถึงแม้ทุกครั้งที่หลี่อิงเจี๋ยพบเจอหลี่ซื่ออวี๋จะดูเหมือนการจุดประทัด อีกนิดเดียวก็จะระเบิดแล้ว แต่ว่าความจริงแล้วหลายปีมานี้เขาก็รู้ดีว่า ญาติผู้พี่คนรองไม่มีทางทำร้ายเขา ไม่อย่างนั้นหลี่ซื่ออวี๋ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาคงไม่ทำแค่เอ่ยเหน็บแนมเยาะหยันอย่างเย็นชาไม่กี่ประโยคหรอก ไม่ใช่ว่าตั้งแต่เด็กจนโตหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีโอกาสลงมือกำจัดเขาจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างอำมหิตเลย…

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ประท้วงและถลึงตาใส่กลับเท่านั้น เขายังไม่อยากทำให้หลี่ซื่ออวี๋อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

“ยิ่งไปกว่านั้น หลี่อิงเจี๋ยคือญาติผู้น้องของฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นญาติผู้พี่ของเขา ฉันลงมือรักษาให้ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ฉันรับรองได้ว่าเขาจะกลับมาหายดีเป็นปลิดทิ้งได้ก่อนเวลาที่กำหนดไว้ครึ่งหนึ่ง” แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานอย่างรุนแรงจากยาที่ไปปรับปรุงร่างกาย เชื่อว่าหลี่อิงเจี๋ยคงยากที่จะลืมมันไปชั่วชีวิต มุมปากของหลี่ซื่ออวี๋เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

คำพูดของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้นักเรียนปีหนึ่งหวั่นไหว เวลานี้เหล่าสมาชิกกลุ่มที่เดิมทีระแวดระวังหลี่ซื่ออวี๋ก็กำจัดความกังวลออกไปแล้วเช่นกัน หลี่อิงเจี๋ยยิ่งคล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย ตอนที่เขากำลังพูดโพล่งออกมาว่า ‘เขายินดี’ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบกวาดมองเข้ามาตรงๆ แช่แข็งร่างของเขาไว้รวมถึงคำพูดประโยคนั้นที่มาถึงตรงมุมปากแล้วด้วย

น่ากลัวอะ! เมื่อเทียบกับสายตาเย็นชาของลูกพี่หลานแล้ว การถลึงตาของญาติผู้พี่คนรองของเขาดูไม่มีพิษมีภัยมากเลย หลี่อิงเจี๋ยกลืนคำพูดประโยคที่ว่า ‘เขายินดี’ ลงไป รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

หลี่อิงเจี๋ยเลือกฝั่งลูกพี่หลานโดยไม่ลังเลเลย ล่วงเกินญาติผู้พี่คนรองก็แค่โดนลิ้นอาบยาพิษไม่กี่ครั้ง มากสุดก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ถ้าทำให้ลูกพี่หลานไม่พอใจขึ้นมา…หลี่อิงเจี๋ยลอบหนาวสั่น เขายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเคยเห็นสภาพน่าอนาถของฉีหลงที่คลานกระเสือกกระสนดิ้นรนเฮือกสุดท้ายออกมาจากในห้องประลองที่หอต่อสู้ คู่ต่อสู้ของเขาในวันนั้นก็คือลูกพี่หลาน…

หลี่อิงเจี๋ยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฉีหลงถึงดูอเนจอนาถขนาดนั้นก็เลยถามเซี่ยอี๋ที่อยู่ในทีมหลิงหลานซึ่งมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับสมาชิกกลุ่มอื่นๆ เซี่ยอี๋บอกเขาว่า ฉีหลงเผลอล่วงเกินลูกพี่หลาน ดังนั้นลูกพี่หลานเลยตัดสินใจประลองแลกเปลี่ยนความรู้กับฉีหลงหนึ่งอาทิตย์…

อันที่จริงตลอดหนึ่งอาทิตย์นั้น ฉีหลงคลานออกมาอย่างน่าเวทนาทุกวัน หลี่อิงเจี๋ยไม่อยากกลายเป็นฉีหลงคนที่สองแน่นอน ดังนั้นเขาเลยเดินตามลูกพี่หลานอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

หลิงหลานเห็นหลี่อิงเจี๋ยให้ความร่วมมือก็เก็บสายตากลับไปด้วยความพึงพอใจ เดิมทีเธอรู้สึกเฉยๆ ต่อหลี่ซื่ออวี๋ ทว่าตอนนี้พอมองหลี่ซื่ออวี๋ที่มีดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับหมาป่าหิวโหยมองเห็นเนื้อติดมันชั้นหนึ่ง…เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็นเป้าหมายในการร่วมมือกันที่ดีเยี่ยม

ในใจหลิงหลานรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดต่อทั้งสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเข้าร่วมการประลอง เพราะเธอรู้ดีว่าการขาดเรียนวิชาด้านความสามารถทางร่างกายมากเกินไปจะส่งผลต่อคะแนนประเมินความแข็งแกร่งของร่างกายในตอนสุดท้ายได้ ถ้าหากสุดท้ายพวกเขาไม่สามารถผ่านการประเมินผลเพราะได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ ต่อให้กลุ่มนักเรียนใหม่ตั้งมั่นอยู่ในโรงเรียนทหารได้อย่างมั่นคง หลิงหลานก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าอยู่บ้าง

นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเธอรับการแสดงความยินดีจากสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่อย่างง่ายๆ แล้วก็รีบมาที่ศูนย์รักษาทันที เธออยากรู้ว่าอาการบาดเจ็บของทั้งสามคนรวมถึงสภาพการฟื้นตัวในตอนสุดท้ายด้วย เสี่ยวซื่อที่รู้ผลการรักษาบอกเวลาในการฟื้นตัวของพวกเขาสามคนให้เธอฟังระหว่างทางที่ผ่านมา ลั่วล่างใช้เวลาหนึ่งเดือน หลี่อิงเจี๋ยสองเดือนครั้ง แต่ฉีหลงกลับใช้เวลาสามเดือนเต็มๆ…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงเวลาในการรักษาที่ทั้งสามคนต้องการต่างใช้เวลายาวนานอย่างยิ่งยวด นี่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาในการเรียนวิชาฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายต่อไปมากๆ

ถึงแม้หลิงหลานให้เสี่ยวซื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาแล้ว แต่คำตอบที่เสี่ยวซื่อให้มากลับบอกว่าไม่มีวิธี นี่ทำให้หลิงหลานอารมณ์เสียสุดขีด ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเธอเข้ามาที่ศูนย์รักษาและเห็นว่ามีคนของชั้นปีสูงมาคุมเชิงกับพวกหลี่อิงเจี๋ย อารมณ์ของหลิงหลานก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น ดังนั้นกระทั่งไอเย็นที่ติดตัวเธอก็หนาวขึ้นหลายส่วน…

แต่ไม่นึกเลยว่าเธอจะโชคดีขนาดนี้ เธอกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของลูกน้องสามคน ก็มีคนส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาให้ หลิงหลานดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ลูกคิดตัวน้อยที่อยู่ในใจเริ่มดีดขึ้นมาว่าจะใช้ประโยชน์อีกฝ่ายให้ดีกว่าเดิมยังไงถึงจะสามารถทำให้พวกลูกน้องของเธอได้รับผลประโยชน์

หลิงหลานมองหลี่ซื่ออวี่ด้วยสายตาแปลกพิกลเช่นนี้อยู่หลายวินาที หลี่ซื่ออวี๋ที่เดิมทีคงความใจเย็นไว้บัดนี้แผ่นหลังของเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาภายใต้สายตาของหลิงหลาน เหมือนกับว่าเขาก้าวเข้าไปในกับดักอะไรสักอย่าง…

มุมปากของหลิงหลานโค้งขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยปากพูดว่า “น่าเสียดายที่เขามีกลุ่มแล้ว” สิ้นเสียงนี้หลิงหลานที่เดิมทีอยู่ห่างจากหลี่ซื่ออวี๋ออกไปห้าก้าวพลันมาถึงข้างกายของหลี่ซื่ออวี๋ มือข้างหนึ่งของเธอกดบ่าของหลี่ซื่ออวี๋ไว้พลางเขยิบเข้าไปที่ข้างหูเขาและเอ่ยเบาๆ ว่า “ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับกฎระเบียบและขั้นตอนด้านการโยกย้ายการรักษาไม่น้อยไปกว่านายเลย…”

หลี่ซื่ออวี๋หน้าเปลี่ยนสี แต่ยังไม่ทันที่จะพูดออกมา หลิงหลานก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมในชั่วพริบตา ราวกับว่าเธอไม่เคยขยับมาก่อนเลยก็ไม่ปาน ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่ในศูนย์รักษาตะลึงงัน และก็ทำให้แววตาของหลี่หลานเฟิงที่อยู่ข้างกายหลี่ซื่ออวี๋จริงจังขึ้นมา

“หลี่อิงเจี๋ย นายยินดีตามฉันไปไหม?”หลี่ซื่ออวี๋กลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว เขาหันหน้าไปถามหลี่อิงเจี๋ย เวลานี้กุญแจสำคัญที่สุดก็คือคำตอบของหลี่อิงเจี๋ย ถ้าหากหลี่อิงเจี๋ยตกลง ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา

หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจมานานแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำถามของหลี่ซื่ออวี๋ก็ตอบโดยที่ไม่ใคร่ครวญเลยว่า “ฉันเชื่อฟังลูกพี่หลาน”

“นายลืมไปแล้วหรือไงว่านายเป็นลูกหลานของตระกูลหลี่นะ?” คำตอบของหลี่อิงเจี๋ยทำให้หลี่ซื่ออวี๋เดือดดาลอีกครั้ง ไอ้เด็กอวดดีน่ารำคาญคนนั้นทำตัวนอบน้อมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ไม่ เขายังคงเป็นลูกหลานตระกูลหลี่ของพวกนาย แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นสมาชิกกลุ่มของฉัน” หลิงหลานเอ่ยปากขัดทันทีว่า “นายรู้ดีว่า ฉันมีอำนาจตัดสินเรื่องทุกอย่างของเขา”

“นาย…” หลี่ซื่ออวี๋พูดไม่ออกทันที เนื่องจากที่หลิงหลานพูดมานั้นถูกต้อง เมื่อนักเรียนเข้าร่วมกลุ่ม นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของคนๆ เดียว หากแต่เป็นตัวแทนของทั้งกลุ่ม และก็หมายความว่ามีเรื่องบางอย่างที่กระทั่งหลี่อิงเจี๋ยก็ตัดสินใจเองเป็นหลักไม่ได้

หลี่หลานเฟิงเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยว่า “อันที่จริงทุกคนต่างก็ทำเพื่อคุณชายอิงเจี๋ย หัวหน้าหลิง คุณชายซื่ออวี๋เป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร ว่าตามจริงแล้ว มีเพียงคุณชายซื่ออวี๋เท่านั้นที่มีอำนาจใช้ยาที่ดีที่สุดมารักษาคุณชายอิงเจี๋ย เพราะฉะนั้นให้คุณชายซื่ออวี๋รับช่วงต่อการรักษา จะมีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อคุณชายอิงเจี๋ยเลยนะ”

หลี่หลานเฟิงไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายแตกคอกัน ถ้าหากทำได้ เขายังอยากร่วมมือกับหลิงหลาน นอกจากนี้เขาเองก็เป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บของหลี่อิงเจี๋ยด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากทำร้ายความรักที่มีต่อน้องชายด้วยความจริงใจของหลี่ซื่ออวี๋…

“ฉันรู้ แต่ว่าฉันยังมีสมาชิกกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บหนักมากอีกสองคน ไม่รู้ว่านักเรียนดีเด่นหลี่ยินดีให้ความช่วยเหลือหรือเปล่า?” หลิงหลานก็ไม่อยากพัวพันกับอีกฝ่ายเช่นกัน ยื่นความต้องการของเธอออกไปตรงๆ

“นายคิดว่ายื่นขอยาสรรพคุณพิเศษมาได้ง่ายมากเลยหรือไง?” สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋ดูไม่ได้มากๆ “ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะหลี่อิงเจี๋ยเป็นญาติผู้น้องของฉัน ฉันไม่มีทางลงมือจัดการหรอกนะ”

“เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ ด้วย” หลิงหลานเลิกคิ้วมองหลี่ซื่ออวี๋แวบหนึ่ง ทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับมองเห็นความคิดของหลี่ซื่ออวี๋อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้หลี่ซื่ออวี๋พลันรู้สึกว่าตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง ไม่แน่ใจนิดหน่อยว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า…

“ถ้าฉันอยากให้นายรักษาทั้งสามคนด้วยกันให้ได้ล่ะ?”

“นายจะบีบบังคับฉันเหรอ?” นัยน์ตาทั้งสองข้างของหลี่ซื่ออวี๋หรี่ลง กลิ่นอายอันตรายสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา

นักเรียนแพทย์ทหารอยู่ในกลุ่มเป็นกลางในโรงเรียนทหาร ไม่มีใครหรือกลุ่มอำนาจไหนกล้าล่วงเกินพวกเขา ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บแล้วตกอยู่ในมืออีกฝ่ายหรือเปล่า ทุกคนจึงไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่น

“นายอยากคิดแบบนี้ก็ได้” หลิงหลานตอบอย่างเฉยชา “นี่ก็ต้องดูว่าพี่ชายที่ดีอย่างนายจะทำเพื่อน้องชายได้ถึงขั้นไหน?”

หลี่ซื่ออวี๋กัดฟันจนแทบจะหัก ไม่นึกเลยว่าลูกพี่ที่หลี่อิงเจี๋ยยอมรับจะหน้าไม่อายขนาดนี้ ใช้หลี่อิงเจี๋ยเป็นเบี้ยเดิมพันเพื่อมาบีบบังคับ เขาเอ่ยกับหลี่อิงเจี๋ยด้วยความเดือดดาลว่า “นี่ก็คือลูกพี่ที่นายอยากยอมรับเหรอ? เขายินดีเสียสละนายเพื่อคนอื่นเลยนะ?”

สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มันก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องของฉันเหมือนกัน เสียสละเพื่อพี่น้องก็คุ้มค่าเหมือนกัน ถึงยังไงก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่หายดี แค่ใช้เวลานานขึ้นนิดหน่อย ทำเหมือนกับว่านายไม่ได้โผล่ออกมาก็เท่านั้น…” ความหมายในคำพูดนี้คือ เขายินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องตัวเอง ทำเหมือนหลี่ซื่ออวี๋ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

คำพูดเหล่านี้ทำให้คนของกลุ่มนักเรียนใหม่หวั่นไหว หานจี้จวิน หลินจงชิง เซี่ยอี๋และคนอื่นๆ มองไปที่หลี่อิงเจี๋ยด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

อันที่จริงชื่อเสียงของหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ดีมากนักในกลุ่มนักเรียนใหม่ ถึงยังไงนิสัยของอีกฝ่ายก็เป็นสันดานไปแล้ว น้ำเสียงการพูดจา ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองของเขาดูน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้พวกเขาเหมือนรู้จักหลี่อิงเจี๋ยใหม่อีกครั้ง ไอ้คนที่เดิมทีเย่อหยิ่งน่าโมโหคนนั้นไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวเลย ความจริงเขาเป็นยินดีเสียสละตัวเองเพื่อพี่น้องเหมือนกัน เพียงแต่ทุกอย่างนี้ถูกอำพรางอยู่ใต้ใบหน้าอวดดีนั่นโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้

หลี่ซื่ออวี๋ได้ยินคำตอบของหลี่อิงเจี๋ยก็โมโหจนแทบจะพูดโพล่งออกมาว่า ‘นายแม่งก็ตายไปตามยถากรรมเลย! ฉันไม่รักษาแล้ว’

——————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+