I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 130 ลำบากนายแล้ว!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 130 ลำบากนายแล้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิงหลานทำลายสถิติจบการศึกษาการควบคุมพื้นฐานที่หลิงเซียวพ่อของเธอสร้างไว้ได้แล้ว ถึงแม้ว่านี่จะทำให้หลิงหลานตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง แต่เธอก็รู้ดีเช่นกันว่า นี่เป็นแค่ผลที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอคุ้นเคยกับแผนที่การประเมินผล เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงได้ใช้งานโหมดควบคุมล่วงหน้าฉุกเฉินด้วยความมั่นใจ และบังเอิญเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งละก็…อันที่จริงผลคะแนนของเธอกับผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ก็ต่างกันไม่มาก อย่างเร็วสุดเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งวินาทีก็นับว่าเป็นผลงานระดับสุดยอดแล้ว พูดได้เพียงในฐานะที่เธอเป็นสาวทะลุมิติ เธอถูกเทพแห่งการทะลุมิติเปิดโปรแล้ว

อย่างไรก็ตาม คราวนี้การเปิดโปรก็ทำให้ความสามารถในการควบคุมรวมไปถึงความเร็วมือของหลิงหลานเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ หลิงหลานอดทอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้ ขอบเขตสวรรค์รวดเร็วดุดันมากเกินไปแล้ว ทำให้ความสามารถเธอพุ่งสูงขึ้นทันที

หลิงหลานรีบเลือกเก็บตัวเพื่อที่จะเรียนรู้ขอบเขตการควบคุมของความเร็วมือกับขอบเขตสวรรค์ เธอหลบเข้าไปในมิติการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจทันที

ขอบเขตสวรรค์ไม่ได้มอบความสามารถนี้ให้คุณโดยตรง มันเพียงแต่ดึงสภาพที่ดีที่สุดที่คนผู้นั้นสามารถไปถึงในตอนนี้ออกมาชั่วคราว ถ้าอยากจะได้รับความสามารถพวกนี้อย่างแท้จริง จะต้องรู้แจ้งและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง ศึกษาอย่างจริงจังถึงจะได้มา ไม่เช่นนั้นเวลาผ่านไปนานเข้า การรู้แจ้งที่ขอบเขตสวรรค์มอบให้จะปลิวหายไปตามสายลม ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิดเดียว เวลานั้นความสามารถในการควบคุมและความเร็วมือจะกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น

หลิงหลานศึกษาอยู่ในมิติการเรียนรู้เกือบหนึ่งเดือนกว่า อันที่จริงด้านนอกเพิ่งจะผ่านไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อหลิงหลานออกมาจากแคปซูลล็อกอินเสมือนจริงแล้ว บรรยากาศบนตัวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย กลิ่นอายที่แต่เดิมเย็นเยียบบีบบังคับผู้คนอยู่บ้าง เวลานี้เก็บงำลงไปเล็กน้อยแล้ว ไม่ได้ดูเย็นยะเยือกเหมือนกับเมื่อก่อน

หลายปีมานี้ ความสามารถในการต่อสู้ของหลิงหลานสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ภารกิจสังหารไร้ที่สิ้นสุดของมิติการเรียนรู้ทำให้ไอชั่วร้ายบนตัวเธอรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซื่อพยายามช่วยเธอสะกดกลั้นไอชั่วร้ายกระหายเลือดพวกนั้นอย่างสุดชีวิต เพื่อนร่วมชั้นที่ความสามารถอ่อนแอกว่านิดหน่อยไม่สามารภเข้าใกล้เธอได้เลย ต่อให้พวกฉีหลงเข้าใกล้แล้ว ก็ได้แต่ฝืนประคับประคองร่างกายไว้ ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

แน่นอนว่า หลิงหลานที่เป็นแบบนี้ย่อมทำให้พวกอาจารย์ของสถาบันรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสงสัยได้ ถึงยังไงนักเรียนปีหนึ่งถึงปีสามก็ไม่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงอะไร มีแค่นักเรียนปีสี่ขึ้นไปถึงจะปรากฏภารกิจล่าสัตว์ขึ้น เด็กที่ไม่เคยเห็นการนองเลือดที่แท้จริงจะมีไอชั่วร้ายกระหายเลือดรุนแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน

ทว่าไอชั่วร้ายบนตัวหลิงหลานนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสี่ยวซื่อสะกดไอชั่วร้ายเหล่านี้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนท้ายที่สุดมันก็เล็ดลอดออกมาทีละเล็กทีละน้อย โชคดีที่ตอนนั้น หลิงหลานเดินไปบนเส้นทางหน้านิ่งเย็นชา ดังนั้นกลิ่นอายเย็นเยียบที่ปรากฏออกมาเล็กน้อยจนทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ นี่ทำให้หลิงหลานหลบความสงสัยของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของกองทัพได้อีกครั้ง

เสี่ยวซื่อเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงการเก็บงำกลิ่นอายเย็นเยียบของหลิงหลาน เขารีบโปรยดอกไม้ฉลอง เดิมทีเขาก็กังวลใจว่า ถ้ามันเพิ่มขึ้นแบบนี้ต่อไป เขาก็ไม่สามารถสะกดเอาไว้ได้แล้ว ความหวาดระแวงอยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนี้พวกเขาหลบวิกฤติพ้นไปได้อีกครั้ง

หลิงหลานที่อารมณ์ดีมากก็สวาปามอาหารมื้อใหญ่ดีๆ ไปหนึ่งมื้อ อีกนัยหนึ่งคือฉายาราชาพุงโตของเธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นอกจากนี้เธอยังทานเยอะมากกว่าเมื่อก่อนอีก แต่ตอนนี้หลานลั่วเฟิ่ง มารดาของหลิงหลานเห็นของแปลกจนชินแล้ว วันไหนที่หลิงหลานทานน้อยสิถึงจะเรียกว่าฟ้าถล่มดินทลาย โลกถึงกาลอวสานแล้ว

…………..

ผ่านไปอีกหลายวัน หลิงหลานที่ได้รับข่าวดีอันใหญ่หลวงก็เริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่เธออยู่ในมิติการเรียนรู้ก็เริ่มคำนวณความแตกต่างของเวลาด้านนอกกับเวลาในมิติการเรียนรู้ แม้ตัวจะอยู่ที่นี่แต่ใจกลับลอยไปอยู่ที่อื่นแบบนี้ได้ยั่วโทสะอาจารย์หมายเลขสามที่กำลังสอนท่วงท่าของหุ่นรบที่มีความยากระดับ F ให้กับหลิงหลานโดยสิ้นเชิง เขาเตะหลิงหลานออกมาจากมิติฝึกฝนหุ่นรบทันที ทำให้เธองุนงงอยู่ด้านนอกห้องโถงการเรียนรู้คนเดียว

แม่งเอ๊ย ไม่อยากเรียนเขาก็ไม่สอน! อาจารย์หมายเลขสามงอนแล้ว!

แต่ที่วันนี้หลิงหลานไม่มีอารมณ์เลย ความจริงแล้วก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน เพราะว่าในที่สุดวันนี้วิชาที่เธอเฝ้ารอคอยมาอย่างยิ่งยวดในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็มาถึงแล้ว นั่นก็คือการล่าสัตว์ที่ทุ่งป่า

การล่าสัตว์ที่ทุ่งป่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออย่างการวิ่งเข้าไปในป่า หยิบหนังสติ๊กยิงไก่ป่าห่านป่าแบบนี้ หากแต่ไปที่ดาวดึกดำบรรพ์สักดวงเพื่อเรียนรู้การเอาตัวรอดในทุ่งป่าเป็นเวลาสามเดือนเต็ม

แน่นอนว่าพวกเขายังเป็นเด็กอายุสิบขวบ ทางสถาบันไม่ให้พวกเขาไปล่าสัตว์ในที่สถานที่อันตรายน่ากลัวอะไรอยู่แล้ว มากสุดก็ไปฝึกฝนในเขตสัตว์ป่าระดับต้นที่มีระดับพลังรบค่อนข้างต่ำ อันที่จริงจากความสามารถของหลิงหลานในตอนนี้ การจัดการสัตว์ป่าระดับต่ำที่มีพลังรบกากๆ พวกนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรจากการฆ่าไก่ป่าห่านป่าพวกนั้นเลย

แต่…นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือพวกเขาจะไปที่ดาวดวงไหนต่างหาก นี่หมายความว่าในที่สุดหลิงหลานก็ได้นั่งยานอวกาศในเรื่องเล่าแล้ว นี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่หลิงหลานตื่นเต้น ที่รัก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

สรุปแล้ว เด็กบ้านนอกอย่างหลิงหลานของพวกเราก็ได้นั่งยานอวกาศที่แท้จริงไปเที่ยวนอกโลกในที่สุด ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถใจเย็นลงได้เลย ก็เหมือนกับตอนที่พวกเราอยู่โรงเรียนประถมแล้วคุณครูประกาศว่าจะออกไปทัศนศึกษาครั้งแรก จิตใจรู้สึกตื่นเต้นลิงโลด ตกกลางคืนก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ….

เมื่อหลิงหลานเห็นว่าตัวเองถูกเตะออกมาจากมิติการเรียนรู้หุ่นรบ เธอก็ออกจากมิติการเรียนรู้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิดเดียว เธอหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ข้างหมอนขึ้นดูเวลา เอ่อ ยังเช้าเกินไป เพิ่งตีสี่กว่าเอง…

แต่หลิงหลานนอนไม่หลับแล้ว เธอลุกจากเตียงทันที ก่อนจะสวมอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางของเธออีกครั้ง

อาวุธคือ กริชโลหะผสมแม่เหล็กสองเล่ม! ในสายตาคนภายนอก หลิงหลานเป็นผู้ใช้อาวุธมือขวามาตลอด แต่ความจริงแล้วพลังโจมตีของอาวุธมือซ้ายเธอดีกว่ามือขวาเสียอีก ความสามารถในการใช้อาวุธทั้งมือซ้ายและมือขวานี้คือสิ่งที่เธอได้เรียนมาจากอาจารย์หมายเลขห้า หมายเลขห้าเคยบอกว่า ไพ่ตายที่เก็บไว้คือไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเสมอ

ได้ยินว่าคราวนี้ทางสถาบันยังมอบปืนเลเซอร์ให้ทุกคนหนึ่งกระบอกเพื่อเป็นอาวุธสำรองฉุกเฉิน พวกเขาเริ่มเรียนการใช้อาวุธเลเซอร์ตั้งแต่ปีสามแล้ว ถึงแม้ว่าระดับการยิงปืนของหลิงหลานจะทำออกมาได้ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับท็อป หานจี้จวินกับหลินจงชิงอยู่เหนือกว่าเธอในด้านนี้อย่างชัดเจน พรสวรรค์ด้านการยิงปืนน่าตกตะลึงนัก

ด้วยเหตุนี้เอง คราวนี้เธอยังเอาอาวุธลับสุดยอดมาชิ้นหนึ่ง ก็คือกำไลข้อมือที่พ่อบ้านหลิงฉินเตรียมไว้ให้เธอเป็นพิเศษ หลิงหลานใส่กำไลนี้ไว้ที่ข้อมือข้างขวาของตัวเองด้วยความจริงจัง มองดูกำไลสีดำที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นโลหะเล็กน้อย ดูธรรมดาแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นเครื่องประดับ แล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

นี่คือเชือกที่บางสุดยอด แข็งแรงทนทาน ไม่มีทางขาดที่พ่อบ้านหลิงฉินใช้ในตอนนั้น เป็นอุปกรณ์สังหารคน บินข้าม ปีนผาที่ขาดไม่ได้เลย หลิงหลานมีเจ้านี่อยู่ก็สามารถแก้ไขอุปสรรคบางอย่างได้สบายๆ

แน่นอนว่าสิ่งที่มีเยอะมากที่สุดในกระเป๋าของหลิงหลานคือยาบำรุงรสชาติต่างๆ ที่เธอวิจัยออกมา ยาฟื้นฟู รวมไปถึงอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เวลานี้เธอหงุดหงิดเล็กน้อยว่า ทำไมมิติการเรียนรู้ถึงไม่มีฟังก์ชั่นเก็บของนะ ไม่อย่างนั้นเธอก็สามารถนำของที่ตัวเองต้องการทั้งหมดไปได้มากพอ ไม่ต้องมาไตร่ตรองของทีละชิ้นเหมือนกับในตอนนี้

เนื่องจากต้องแบกของพวกนี้ติดตัวไว้ ถ้าเกิดน้ำหนักมากกว่าคนละก็ ความสามารถในการล่าสัตว์ก็จะดิ่งลง พอถึงเวลานั้น พวกเขาไม่ได้ไปล่าสัตว์ แต่ว่าถูกพวกสัตว์ป่าล่าแทนแล้ว

หลิงหลานไม่ลืมแบกเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปอีกหลายชุด เวลานี้เธอดีใจที่ตอนนี้ตัวเองปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพราะว่าเธอถูกฉีดยาระงับไว้ ร่างกายเธอเลยอยู่ในสภาพไม่เติบโต ดังนั้นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนอย่างพวกประจำเดือนก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแบบนี้เลย และก็ไม่มีทางพบเจออันตรายในป่าเพราะว่ากลิ่นคาวเลือดดึงดูดฝูงสัตว์ป่าบุกโจมตีอะไรแล้ว….

หลังจากการค้นคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตัดให้น้อยลงแล้วให้น้อยลงอีกเช่นนี้เอง ในที่สุดก็จัดกระเป๋าตัวเองเสร็จ เวลานี้ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว หลิงหลานพุ่งไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า

เมื่อหลิงหลานเดินมาถึงห้องสเปเชียลเอชั้นปีสี่ก็พบว่าเธอคือเด็กไม่กี่คนสุดท้ายที่มาถึง ที่แท้ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้น

“ลูกพี่หลาน ทางนี้ ทางนี้!” เสียงกระตือรือร้นดังขึ้นมาในมุมหนึ่งของห้องเรียน หลิงหลานไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่านั่นคือใคร คนที่สามารถทักทายด้วยความเร่าร้อนแบบนี้ได้ นอกจากฉีหลงแล้วก็มีแค่หลินจงชิงเท่านั้น แต่เสียงของฉีหลงดังกระจ่างใสมากกว่า ยังคงแตกต่างจากเสียงนี้อยู่มาก

หลังจากที่หลินจงชิงติดตามฉีหลงมาสองปี นิสัยที่เดิมทีอึมครึมอยู่บ้างก็คล้ายกับหายไป ตรงกันข้ามเขากลับดูกระตือรือร้นเหมือนกับตอนที่เพิ่งเริ่มเข้าเรียน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม หลิงหลานรู้ดีว่านี่เป็นแค่การปฏิบัติต่อคนอื่นของหลินจงชิงเท่านั้น ภายในของเขาไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น

แต่หลิงหลานไม่ได้เตือนพวกฉีหลง เพราะว่านี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา สุดท้ายจะดีหรือไม่ ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ดี

หลิงหลานเงยหน้ามองไปก็เห็นหลินจงชิงยืนอยู่ด้านข้างที่นั่งของเขาขณะโบกมือมาให้เธอ

หลิงหลานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายเหล่านี้ยังไง เธอได้แต่ใช้รูปลักษณ์ตอแหลแบบนี้มารับมือเท่านั้น ถึงยังไงเด็กกลุ่มนี้ก็รับได้

“ลูกพี่หลาน ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้นายแล้ว” หลินจงชิงหยิบกล่องบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะยื่นส่งให้ด้วยรอยยิ้ม

หลิงหลานกวาดตามองแล้วพบว่าหานจี้จวินกับลั่วล่างต่างนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองถือกล่องแบบเดียวกัน ทานอาหารอย่างสง่างาม ส่วนฉีหลงก็นั่งอยู่บนโต๊ะของเขา ก้มหน้าก้มตาทานโดยไม่มีภาพลักษณ์เลยสักนิดเดียว

ดูท่าหลินจงชิงจะไม่ได้เตรียมให้เธอเพียงคนเดียว หลิงหลานยื่นมือไปรับแล้วเปิดดู มันคือเสี่ยวหลงเปาทองของสถาบันที่ซื้อได้ยากยิ่ง ดูเหมือนหลินจงชิงจะไปต่อแถวที่โรงอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ มุ่งมั่นพยายามจริงๆ

หลิงหลานใช้ตะเกียบเขี่ยเสี่ยวหลงเปาในกล่องอาหารเที่ยงไม่กี่ที แล้วเอ่ยอย่างเรียบๆ ว่า “ลำบากนายแล้ว!”

คำพูดประโยคนี้ของหลิงหลานฟังดูลวกๆ อยู่บ้าง แต่มันทำให้ใบหน้าของหลินจงชิงเผยร่องรอยความตื่นเต้นยินดีออกมา และก็ทำให้ฉีหลงที่สวาปามอยู่ด้านหลังเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะแอบใช้ข้อศอกแตะหลินจงชิงเบาๆ ว่ายินดีด้วย ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานสักที

เขาใช้เวลาสองปีกว่าจะได้รับคำพูดธรรมดาว่า ‘ลำบากนายแล้วนะ’ แบบนี้ ในใจหลินจงชิงเกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกดีใจหรือว่าโกรธเคืองไปชั่วขณะ…

ในเวลานี้เอง เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ปากก็ตะโกนเสียงดังว่า “เรื่องใหญ่! เรื่องใหญ่!”

อู่จย่งกับเยี่ยซวี่ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ทางด้านหนึ่งได้ยินเสียงนี้ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันหน้ามองไป

“การล่าสัตว์ที่ทุ่งป่าครั้งนี้ของเราอาจจะไม่มีแล้ว….” เพื่อนร่วมชั้นเข้ามาแล้วก็บอกข่าวร้ายให้กับทุกคน ทำให้นักเรียนทั้งหมดตื่นตระหนกอยู่บ้าง พวกเขารอวันนี้มาเนิ่นนาน หรือว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในช่วงเวลาสุดท้าย?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นายเอาข่าวนี้มาจากไหน?” เมื่อเห็นฉีหลงไม่คิดจะสอบถาม อู่จย่งเลยได้แต่ต้องเอ่ยปากถามเองเท่านั้น

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 130 ลำบากนายแล้ว!

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 130 ลำบากนายแล้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิงหลานทำลายสถิติจบการศึกษาการควบคุมพื้นฐานที่หลิงเซียวพ่อของเธอสร้างไว้ได้แล้ว ถึงแม้ว่านี่จะทำให้หลิงหลานตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง แต่เธอก็รู้ดีเช่นกันว่า นี่เป็นแค่ผลที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเธอคุ้นเคยกับแผนที่การประเมินผล เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงได้ใช้งานโหมดควบคุมล่วงหน้าฉุกเฉินด้วยความมั่นใจ และบังเอิญเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งละก็…อันที่จริงผลคะแนนของเธอกับผู้ควบคุมหุ่นรบเสือชีตาห์ก็ต่างกันไม่มาก อย่างเร็วสุดเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งวินาทีก็นับว่าเป็นผลงานระดับสุดยอดแล้ว พูดได้เพียงในฐานะที่เธอเป็นสาวทะลุมิติ เธอถูกเทพแห่งการทะลุมิติเปิดโปรแล้ว

อย่างไรก็ตาม คราวนี้การเปิดโปรก็ทำให้ความสามารถในการควบคุมรวมไปถึงความเร็วมือของหลิงหลานเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ หลิงหลานอดทอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้ ขอบเขตสวรรค์รวดเร็วดุดันมากเกินไปแล้ว ทำให้ความสามารถเธอพุ่งสูงขึ้นทันที

หลิงหลานรีบเลือกเก็บตัวเพื่อที่จะเรียนรู้ขอบเขตการควบคุมของความเร็วมือกับขอบเขตสวรรค์ เธอหลบเข้าไปในมิติการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจทันที

ขอบเขตสวรรค์ไม่ได้มอบความสามารถนี้ให้คุณโดยตรง มันเพียงแต่ดึงสภาพที่ดีที่สุดที่คนผู้นั้นสามารถไปถึงในตอนนี้ออกมาชั่วคราว ถ้าอยากจะได้รับความสามารถพวกนี้อย่างแท้จริง จะต้องรู้แจ้งและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง ศึกษาอย่างจริงจังถึงจะได้มา ไม่เช่นนั้นเวลาผ่านไปนานเข้า การรู้แจ้งที่ขอบเขตสวรรค์มอบให้จะปลิวหายไปตามสายลม ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิดเดียว เวลานั้นความสามารถในการควบคุมและความเร็วมือจะกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น

หลิงหลานศึกษาอยู่ในมิติการเรียนรู้เกือบหนึ่งเดือนกว่า อันที่จริงด้านนอกเพิ่งจะผ่านไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อหลิงหลานออกมาจากแคปซูลล็อกอินเสมือนจริงแล้ว บรรยากาศบนตัวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย กลิ่นอายที่แต่เดิมเย็นเยียบบีบบังคับผู้คนอยู่บ้าง เวลานี้เก็บงำลงไปเล็กน้อยแล้ว ไม่ได้ดูเย็นยะเยือกเหมือนกับเมื่อก่อน

หลายปีมานี้ ความสามารถในการต่อสู้ของหลิงหลานสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ภารกิจสังหารไร้ที่สิ้นสุดของมิติการเรียนรู้ทำให้ไอชั่วร้ายบนตัวเธอรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซื่อพยายามช่วยเธอสะกดกลั้นไอชั่วร้ายกระหายเลือดพวกนั้นอย่างสุดชีวิต เพื่อนร่วมชั้นที่ความสามารถอ่อนแอกว่านิดหน่อยไม่สามารภเข้าใกล้เธอได้เลย ต่อให้พวกฉีหลงเข้าใกล้แล้ว ก็ได้แต่ฝืนประคับประคองร่างกายไว้ ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

แน่นอนว่า หลิงหลานที่เป็นแบบนี้ย่อมทำให้พวกอาจารย์ของสถาบันรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสงสัยได้ ถึงยังไงนักเรียนปีหนึ่งถึงปีสามก็ไม่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงอะไร มีแค่นักเรียนปีสี่ขึ้นไปถึงจะปรากฏภารกิจล่าสัตว์ขึ้น เด็กที่ไม่เคยเห็นการนองเลือดที่แท้จริงจะมีไอชั่วร้ายกระหายเลือดรุนแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน

ทว่าไอชั่วร้ายบนตัวหลิงหลานนับวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสี่ยวซื่อสะกดไอชั่วร้ายเหล่านี้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนท้ายที่สุดมันก็เล็ดลอดออกมาทีละเล็กทีละน้อย โชคดีที่ตอนนั้น หลิงหลานเดินไปบนเส้นทางหน้านิ่งเย็นชา ดังนั้นกลิ่นอายเย็นเยียบที่ปรากฏออกมาเล็กน้อยจนทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ นี่ทำให้หลิงหลานหลบความสงสัยของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของกองทัพได้อีกครั้ง

เสี่ยวซื่อเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงการเก็บงำกลิ่นอายเย็นเยียบของหลิงหลาน เขารีบโปรยดอกไม้ฉลอง เดิมทีเขาก็กังวลใจว่า ถ้ามันเพิ่มขึ้นแบบนี้ต่อไป เขาก็ไม่สามารถสะกดเอาไว้ได้แล้ว ความหวาดระแวงอยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนี้พวกเขาหลบวิกฤติพ้นไปได้อีกครั้ง

หลิงหลานที่อารมณ์ดีมากก็สวาปามอาหารมื้อใหญ่ดีๆ ไปหนึ่งมื้อ อีกนัยหนึ่งคือฉายาราชาพุงโตของเธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นอกจากนี้เธอยังทานเยอะมากกว่าเมื่อก่อนอีก แต่ตอนนี้หลานลั่วเฟิ่ง มารดาของหลิงหลานเห็นของแปลกจนชินแล้ว วันไหนที่หลิงหลานทานน้อยสิถึงจะเรียกว่าฟ้าถล่มดินทลาย โลกถึงกาลอวสานแล้ว

…………..

ผ่านไปอีกหลายวัน หลิงหลานที่ได้รับข่าวดีอันใหญ่หลวงก็เริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่เธออยู่ในมิติการเรียนรู้ก็เริ่มคำนวณความแตกต่างของเวลาด้านนอกกับเวลาในมิติการเรียนรู้ แม้ตัวจะอยู่ที่นี่แต่ใจกลับลอยไปอยู่ที่อื่นแบบนี้ได้ยั่วโทสะอาจารย์หมายเลขสามที่กำลังสอนท่วงท่าของหุ่นรบที่มีความยากระดับ F ให้กับหลิงหลานโดยสิ้นเชิง เขาเตะหลิงหลานออกมาจากมิติฝึกฝนหุ่นรบทันที ทำให้เธองุนงงอยู่ด้านนอกห้องโถงการเรียนรู้คนเดียว

แม่งเอ๊ย ไม่อยากเรียนเขาก็ไม่สอน! อาจารย์หมายเลขสามงอนแล้ว!

แต่ที่วันนี้หลิงหลานไม่มีอารมณ์เลย ความจริงแล้วก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน เพราะว่าในที่สุดวันนี้วิชาที่เธอเฝ้ารอคอยมาอย่างยิ่งยวดในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็มาถึงแล้ว นั่นก็คือการล่าสัตว์ที่ทุ่งป่า

การล่าสัตว์ที่ทุ่งป่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออย่างการวิ่งเข้าไปในป่า หยิบหนังสติ๊กยิงไก่ป่าห่านป่าแบบนี้ หากแต่ไปที่ดาวดึกดำบรรพ์สักดวงเพื่อเรียนรู้การเอาตัวรอดในทุ่งป่าเป็นเวลาสามเดือนเต็ม

แน่นอนว่าพวกเขายังเป็นเด็กอายุสิบขวบ ทางสถาบันไม่ให้พวกเขาไปล่าสัตว์ในที่สถานที่อันตรายน่ากลัวอะไรอยู่แล้ว มากสุดก็ไปฝึกฝนในเขตสัตว์ป่าระดับต้นที่มีระดับพลังรบค่อนข้างต่ำ อันที่จริงจากความสามารถของหลิงหลานในตอนนี้ การจัดการสัตว์ป่าระดับต่ำที่มีพลังรบกากๆ พวกนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรจากการฆ่าไก่ป่าห่านป่าพวกนั้นเลย

แต่…นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือพวกเขาจะไปที่ดาวดวงไหนต่างหาก นี่หมายความว่าในที่สุดหลิงหลานก็ได้นั่งยานอวกาศในเรื่องเล่าแล้ว นี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่หลิงหลานตื่นเต้น ที่รัก คุณเข้าใจหรือเปล่า?

สรุปแล้ว เด็กบ้านนอกอย่างหลิงหลานของพวกเราก็ได้นั่งยานอวกาศที่แท้จริงไปเที่ยวนอกโลกในที่สุด ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถใจเย็นลงได้เลย ก็เหมือนกับตอนที่พวกเราอยู่โรงเรียนประถมแล้วคุณครูประกาศว่าจะออกไปทัศนศึกษาครั้งแรก จิตใจรู้สึกตื่นเต้นลิงโลด ตกกลางคืนก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ….

เมื่อหลิงหลานเห็นว่าตัวเองถูกเตะออกมาจากมิติการเรียนรู้หุ่นรบ เธอก็ออกจากมิติการเรียนรู้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิดเดียว เธอหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ข้างหมอนขึ้นดูเวลา เอ่อ ยังเช้าเกินไป เพิ่งตีสี่กว่าเอง…

แต่หลิงหลานนอนไม่หลับแล้ว เธอลุกจากเตียงทันที ก่อนจะสวมอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางของเธออีกครั้ง

อาวุธคือ กริชโลหะผสมแม่เหล็กสองเล่ม! ในสายตาคนภายนอก หลิงหลานเป็นผู้ใช้อาวุธมือขวามาตลอด แต่ความจริงแล้วพลังโจมตีของอาวุธมือซ้ายเธอดีกว่ามือขวาเสียอีก ความสามารถในการใช้อาวุธทั้งมือซ้ายและมือขวานี้คือสิ่งที่เธอได้เรียนมาจากอาจารย์หมายเลขห้า หมายเลขห้าเคยบอกว่า ไพ่ตายที่เก็บไว้คือไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเสมอ

ได้ยินว่าคราวนี้ทางสถาบันยังมอบปืนเลเซอร์ให้ทุกคนหนึ่งกระบอกเพื่อเป็นอาวุธสำรองฉุกเฉิน พวกเขาเริ่มเรียนการใช้อาวุธเลเซอร์ตั้งแต่ปีสามแล้ว ถึงแม้ว่าระดับการยิงปืนของหลิงหลานจะทำออกมาได้ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับท็อป หานจี้จวินกับหลินจงชิงอยู่เหนือกว่าเธอในด้านนี้อย่างชัดเจน พรสวรรค์ด้านการยิงปืนน่าตกตะลึงนัก

ด้วยเหตุนี้เอง คราวนี้เธอยังเอาอาวุธลับสุดยอดมาชิ้นหนึ่ง ก็คือกำไลข้อมือที่พ่อบ้านหลิงฉินเตรียมไว้ให้เธอเป็นพิเศษ หลิงหลานใส่กำไลนี้ไว้ที่ข้อมือข้างขวาของตัวเองด้วยความจริงจัง มองดูกำไลสีดำที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นโลหะเล็กน้อย ดูธรรมดาแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นเครื่องประดับ แล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

นี่คือเชือกที่บางสุดยอด แข็งแรงทนทาน ไม่มีทางขาดที่พ่อบ้านหลิงฉินใช้ในตอนนั้น เป็นอุปกรณ์สังหารคน บินข้าม ปีนผาที่ขาดไม่ได้เลย หลิงหลานมีเจ้านี่อยู่ก็สามารถแก้ไขอุปสรรคบางอย่างได้สบายๆ

แน่นอนว่าสิ่งที่มีเยอะมากที่สุดในกระเป๋าของหลิงหลานคือยาบำรุงรสชาติต่างๆ ที่เธอวิจัยออกมา ยาฟื้นฟู รวมไปถึงอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เวลานี้เธอหงุดหงิดเล็กน้อยว่า ทำไมมิติการเรียนรู้ถึงไม่มีฟังก์ชั่นเก็บของนะ ไม่อย่างนั้นเธอก็สามารถนำของที่ตัวเองต้องการทั้งหมดไปได้มากพอ ไม่ต้องมาไตร่ตรองของทีละชิ้นเหมือนกับในตอนนี้

เนื่องจากต้องแบกของพวกนี้ติดตัวไว้ ถ้าเกิดน้ำหนักมากกว่าคนละก็ ความสามารถในการล่าสัตว์ก็จะดิ่งลง พอถึงเวลานั้น พวกเขาไม่ได้ไปล่าสัตว์ แต่ว่าถูกพวกสัตว์ป่าล่าแทนแล้ว

หลิงหลานไม่ลืมแบกเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปอีกหลายชุด เวลานี้เธอดีใจที่ตอนนี้ตัวเองปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพราะว่าเธอถูกฉีดยาระงับไว้ ร่างกายเธอเลยอยู่ในสภาพไม่เติบโต ดังนั้นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนอย่างพวกประจำเดือนก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแบบนี้เลย และก็ไม่มีทางพบเจออันตรายในป่าเพราะว่ากลิ่นคาวเลือดดึงดูดฝูงสัตว์ป่าบุกโจมตีอะไรแล้ว….

หลังจากการค้นคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตัดให้น้อยลงแล้วให้น้อยลงอีกเช่นนี้เอง ในที่สุดก็จัดกระเป๋าตัวเองเสร็จ เวลานี้ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว หลิงหลานพุ่งไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า

เมื่อหลิงหลานเดินมาถึงห้องสเปเชียลเอชั้นปีสี่ก็พบว่าเธอคือเด็กไม่กี่คนสุดท้ายที่มาถึง ที่แท้ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้น

“ลูกพี่หลาน ทางนี้ ทางนี้!” เสียงกระตือรือร้นดังขึ้นมาในมุมหนึ่งของห้องเรียน หลิงหลานไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่านั่นคือใคร คนที่สามารถทักทายด้วยความเร่าร้อนแบบนี้ได้ นอกจากฉีหลงแล้วก็มีแค่หลินจงชิงเท่านั้น แต่เสียงของฉีหลงดังกระจ่างใสมากกว่า ยังคงแตกต่างจากเสียงนี้อยู่มาก

หลังจากที่หลินจงชิงติดตามฉีหลงมาสองปี นิสัยที่เดิมทีอึมครึมอยู่บ้างก็คล้ายกับหายไป ตรงกันข้ามเขากลับดูกระตือรือร้นเหมือนกับตอนที่เพิ่งเริ่มเข้าเรียน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม หลิงหลานรู้ดีว่านี่เป็นแค่การปฏิบัติต่อคนอื่นของหลินจงชิงเท่านั้น ภายในของเขาไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น

แต่หลิงหลานไม่ได้เตือนพวกฉีหลง เพราะว่านี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา สุดท้ายจะดีหรือไม่ ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ดี

หลิงหลานเงยหน้ามองไปก็เห็นหลินจงชิงยืนอยู่ด้านข้างที่นั่งของเขาขณะโบกมือมาให้เธอ

หลิงหลานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายเหล่านี้ยังไง เธอได้แต่ใช้รูปลักษณ์ตอแหลแบบนี้มารับมือเท่านั้น ถึงยังไงเด็กกลุ่มนี้ก็รับได้

“ลูกพี่หลาน ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้นายแล้ว” หลินจงชิงหยิบกล่องบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะยื่นส่งให้ด้วยรอยยิ้ม

หลิงหลานกวาดตามองแล้วพบว่าหานจี้จวินกับลั่วล่างต่างนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองถือกล่องแบบเดียวกัน ทานอาหารอย่างสง่างาม ส่วนฉีหลงก็นั่งอยู่บนโต๊ะของเขา ก้มหน้าก้มตาทานโดยไม่มีภาพลักษณ์เลยสักนิดเดียว

ดูท่าหลินจงชิงจะไม่ได้เตรียมให้เธอเพียงคนเดียว หลิงหลานยื่นมือไปรับแล้วเปิดดู มันคือเสี่ยวหลงเปาทองของสถาบันที่ซื้อได้ยากยิ่ง ดูเหมือนหลินจงชิงจะไปต่อแถวที่โรงอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ มุ่งมั่นพยายามจริงๆ

หลิงหลานใช้ตะเกียบเขี่ยเสี่ยวหลงเปาในกล่องอาหารเที่ยงไม่กี่ที แล้วเอ่ยอย่างเรียบๆ ว่า “ลำบากนายแล้ว!”

คำพูดประโยคนี้ของหลิงหลานฟังดูลวกๆ อยู่บ้าง แต่มันทำให้ใบหน้าของหลินจงชิงเผยร่องรอยความตื่นเต้นยินดีออกมา และก็ทำให้ฉีหลงที่สวาปามอยู่ด้านหลังเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะแอบใช้ข้อศอกแตะหลินจงชิงเบาๆ ว่ายินดีด้วย ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานสักที

เขาใช้เวลาสองปีกว่าจะได้รับคำพูดธรรมดาว่า ‘ลำบากนายแล้วนะ’ แบบนี้ ในใจหลินจงชิงเกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกดีใจหรือว่าโกรธเคืองไปชั่วขณะ…

ในเวลานี้เอง เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ปากก็ตะโกนเสียงดังว่า “เรื่องใหญ่! เรื่องใหญ่!”

อู่จย่งกับเยี่ยซวี่ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ทางด้านหนึ่งได้ยินเสียงนี้ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันหน้ามองไป

“การล่าสัตว์ที่ทุ่งป่าครั้งนี้ของเราอาจจะไม่มีแล้ว….” เพื่อนร่วมชั้นเข้ามาแล้วก็บอกข่าวร้ายให้กับทุกคน ทำให้นักเรียนทั้งหมดตื่นตระหนกอยู่บ้าง พวกเขารอวันนี้มาเนิ่นนาน หรือว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในช่วงเวลาสุดท้าย?

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นายเอาข่าวนี้มาจากไหน?” เมื่อเห็นฉีหลงไม่คิดจะสอบถาม อู่จย่งเลยได้แต่ต้องเอ่ยปากถามเองเท่านั้น

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+