I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 167 ล่องูออกจากถ้ำ?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 167 ล่องูออกจากถ้ำ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่ว่าพวกเขาจะสู้กันยังไง พวกเราได้แต่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการหลั่งเลือดบาดเจ็บเสียชีวิตตามขีดจำกัดสูงสุดเท่านั้น…” ในใจของอาจารย์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ตอนที่พวกเขายังเป็นลูกเสือ พวกเขาไม่เคยผ่านเหตุการณ์ต่อสู้ประจัญบานที่เลือดเดือดพุ่งพล่านระดับนี้มาก่อนเลย

อาจารย์ทั้งสองคนหิ้วเด็กไปคนละหนึ่งคนก่อนจะออกจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ก็เป็นเหมือนกับที่พวกเขาว่าไว้ ต่อให้คันไม้คันมืออีกแค่ไหนก็ได้แต่เปิดทวารบาลตามหน้าที่เพื่อพานักเรียนที่พ่ายแพ้ออกไปจากที่แห่งนี้ และเหม่อมองดูการต่อสู้ของพวกนักเรียนจนกระทั่งการต่อสู้ประจัญบานสิ้นสุดลงในตอนสุดท้ายเท่านั้น

จางจิงอันสัมผัสได้ว่าแรงกดดันหายไปก็รู้ว่าหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีหนึ่งฝ่ามือแล้วก็หนีไปไกล เขาหรี่ตาให้ตัวเองใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว อาจารย์แรกเริ่มของเขาเคยบอกว่า ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรในสนามรบก็ต้องเยือกเย็นเข้าไป เมื่อสูญเสียความเยือกเย็นไปก็หมายความว่าตัวเองอยู่ห่างไม่ไกลจากความตายแล้ว

ทั่วทั้งร่างเขาสงบเงียบลง หลังจากนั้นก็ระเบิดพลังสายหนึ่งออกมาอย่างลับๆ จังหวะการไหลผ่านของสายลมพัดพาผ่านจางจินอันราวกับโน้ตเพลง ทันใดนั้นจางจิงอันมองไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นายยังไม่ออกมาอีกหรือไง?”

ในเมื่อถูกคนสังเกตเห็นแล้ว หลิงหลานก็ไม่ได้ซ่อนตัวอีก เธอออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ทันที อยู่ห่างจากจางจิงอันยี่สิบเมตร ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่ห่างๆ

หลังจากนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดเครื่องแบบสีแดงเหมือนกัน ตัวเลขเจ็ดที่ส่องกระพริบตรงหน้าอกบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมาจากปีเจ็ดศัตรูของพวกเขาในการต่อสู้ประจัญบานจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับเย็นเยียบดวงนั้นไม่ใช่ฉีหลงที่อยู่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดที่พวกเขาคุ้นเคย จางจิงอันผุดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากว่า “ลูกพี่ของฉีหลง หลิงหลาน!”

หลิงหลานขมวดคิ้วราวกับประหลาดใจที่จางจิงอันรู้ชื่อของเธอ

“ปีเจ็ดมีราชาไร้มงกุฎไม่ใช่ความลับอะไร ขอเพียงอยากรู้ก็รู้ได้” จางจิงเอ่ยเอ่ยเรียบๆ ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะการต่อสู้ประจัญบานในครั้งนี้ เกรงว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าปีเจ็ดยังซ่อนยอดฝีมือระดับสุดยอดขนาดนี้เอาไว้คนหนึ่ง เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งอีกแค่ไหน ก็อยู่ในระดับของหลูจิ้งปีเก้าเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าใจผิดคาดการณ์พลาดอย่างเลินเล่อเสียแล้ว

“ดูเหมือนว่า นายจะจ้องฉันไว้แต่แรกแล้วสินะ! สถานการณ์ในตอนนี้น่าจะเป็นแผนการที่นายวางไว้ ในที่สุดพวกเราสองคนก็เผชิญหน้ากันหนึ่งต่อหนึ่งสักที…แต่นายคิดจริงๆ เหรอว่านายเป็นคู่ต่อสู้ของฉัน?” จางจิงอันกล่าวกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ในสายตาของเขา การวางแผนของหลิงหลานในครั้งนี้อวดดีมากเกินไปหน่อยไม่ต้องสงสัย

หลิงหลานไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ของจางจิงอัน เพียงแต่มองฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกทำให้จางจิงอันไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของหลิงหลานไปชั่วขณะหนึ่ง

ความจริงแล้วตอนนี้หลิงหลานกำลังสนทนากับเสี่ยวซื่อในห้วงสติว่า “เสี่ยวซื่อ ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

ที่แท้เมื่อสักครู่นี้ จู่ๆ เสี่ยวซื่อเตือนหลิงหลานว่า พวกคนที่เขาจับตามองได้เคลื่อนไหวแล้ว

“ห่างจากที่นี่ประมาณสามกิโลเมตร” เสี่ยวซื่อยืนยันตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม ตอนนี้เสี่ยวซื่ออยู่ในโหมดแบ่งปันข้อมูลกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก เขารู้เหตุการณ์ทุกอย่างในสถาบันอย่างทะลุปรุโปร่ง และจากคำขอของหลิงหลาน เขาจึงไม่ได้ใช้วิธีการปิดบังให้หลิงหลาน ขอเพียงมีคนตั้งใจก็สามารถหาตำแหน่งของหลิงหลานได้

“เสี่ยวซื่อ ดูเหมือนว่าของที่นายหาเจอจะแม่นยำมากๆ เลย” แววตาของหลิงหลานเผยจิตสังหารออกมาวูบหนึ่ง สาเหตุที่เธอเริ่มการต่อสู้ประจัญบานขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อจะล่องูออกจากถ้ำ ดูเหมือนว่าตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามจะอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เธอต้องรับจัดการคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด…หลิงหลานเหลือบมองไปที่จางจิงอันตรงหน้าเธอแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าหมอนี่จะขี้อวดหยิ่งทระนงมาก นิสัยก็ไม่ค่อยดี แต่หลิงหลานไม่อยากให้เขาเข้ามาพัวพันในเกมล่าสังหารของเธอกับฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขาโชคร้ายตายโหงด้วยเหมือนกัน เธอตัดสินใจต่อสู้รวบรัดไล่เขาออกไปจากการต่อสู้ประจัญบานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เวลานี้จางจิงอันรู้สึกตื่นเต้น แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของหลิงหลานจางๆ ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ นี่ทำให้เขาเห็นการล่าสัตว์แล้วจิตใจเบิกบาน[1]นับตั้งแต่ที่พวกรุ่นพี่จบการศึกษาออกไปจากสถาบัน เขาก็มีความรู้สึกเหมือนขึ้นยอดเขาไท่ซานแล้วเห็นว่าภูเขารายรอบช่างเล็กเหลือเกิน โดนเฉพาะหลังจากที่เขาใช้ร่างจิตที่กลายพันธุ์ของเขาได้ช่ำชองมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไร้เทียมทานในหมู่นักเรียนของสถาบัน! นี่ทำให้เขาหยิ่งผยองในขณะเดียวก็รู้สึกหงอยเหงาอยู่บ้าง ความจริงแล้วรสชาติของต๊กโกวคิ้วป้าย[2]ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น

บางทีเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อาจจะทำให้เขาต่อสู้สนุกๆ คลายเอ็นคลายกระดูกได้สักยกบ้าง! ถึงแม้ว่าจางจิงอันคิดว่าหลิงหลานสามารถนำความสนุกสนานมาให้เขาได้ แต่เขาไม่คิดว่าความสามารถของหลิงหลานจะเอาชนะเขาได้

จางจิงอันอยากสู้แล้วและก็พุ่งเข้าไปทันที เขาไม่ได้ใช้กระบองยางอะไร และก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากระบวนท่าแพรวพราวด้วย สิ่งที่เขาใช้ก็คือกำปั้นตรงไปตรงมา บางทีจางจิงอันอาจจะคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้แล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องการกระบวนท่าซับซ้อนอะไร อาศัยแค่ความสามารถเพียงอย่างเดียวก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้สบายๆ

จากนั้นก็เห็นจางจิงอันย่างเท้าธรรมดาออกมาแค่ก้าวเดียว แต่หนึ่งก้าวที่ธรรมดานี้ทำให้เขาข้ามมาได้ยี่สิบเมตร มาถึงเบื้องหน้าหลิงหลานในชั่วพริบตา

ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ในสายตาของหลิงหลานกลับเห็นได้ชัดเจนว่า จางจิงอันก้าวเท้าหลายสิบก้าวในช่วงเวลาสั้นสุดขีด พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิงหลาน ในขณะเดียวกัน หมัดที่กำแน่นของจางจิงอันก็โจมตีใส่ตรงหน้าเธอ

ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการพุ่งเข้ามาหรือว่าหมัดสุดท้าย ความเร็วของเขาไม่ถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว จางจิงอันถึงขนาดเกิดภาพลวงตาว่า วินาทีถัดมากำปั้นของเขาจะโจมตีใส่ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็ซัดเขาจนกระเด็นออกไป…รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเพิ่มจะแย้มขึ้น แต่แล้วมันกลับแข็งค้างในชั่วพริบตา

เนื่องจากเขารู้สึกว่ากำปั้นของตัวเองถูกพลังอ่อนๆ สายหนึ่งต้านทานไว้ ทำให้เขารุดหน้าเข้าไปไม่ได้

ที่แท้พริบตาที่หลิงหลานถูกโจมตี เธอกำหมัดเข้าปะทะกำปั้นของจางจิงอันเช่นเดียวกัน ถึงแม้กำปั้นทั้งสองจะดูปะทะกันอย่างรุนแรง แต่มันไม่ได้ส่งเสียงดังอะไรออกมาเลย ราวกับว่ากำปั้นทั้งสองนี้ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง เป็นเพียงการแตะกันเบาๆ แบบเพื่อนสนิทเท่านั้น

จางจิงอันรู้กำลังของตัวเองอยู่แก่ใจ เขาใช้แรงออกไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน ดังนั้นการที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายก็ใช้แรงเท่ากัน ลดทอนกำลังของเขาด้วยแรงอ่อนนุ่มอันน่ามหัศจรรย์

หมัดนี้ของจางจิงอันไม่ได้สร้างผลที่เขาติดว่า ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาแข็งทื่อ ตอนนี้เขาต้องเลือกว่าจะคลายพลังออกแล้วลงมือใหม่อีกครั้ง หรือว่าเพิ่มแรงบุกโจมตีมากขึ้นต่อไป ขอเพียงกำลังของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายก็จะทำลายการหยุดชะงักได้ ถึงขนาดสามารถสะท้อนพลังทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายกลับใส่ตัวของฝ่ายตรงข้ามได้

จางจิงอันไม่ยอมหยุดเท่านี้อยู่แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าเขาเป็นคนที่แกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงลอบตะโกนขึ้นมา ทั่วทั้งใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแดงฉาน เขาหดท้องฉับพลัน จากนั้นข้อมือก็สั่นติดต่อกันหลายที คลื่นพลังลึกลับส่งออกมาโจมตีใส่หลิงหลานสี่ระลอก

นี่เป็นไพ่ตายที่อาจารย์แรกเริ่มสอนให้เขา มันสามารถปล่อยพลังแฝงออกมาสี่สาย ยิ่งกว่านั้นพลังแต่ละสายต่างสะสมสายพลังก่อนหน้านั้นไว้ จนกระทั้งสายพลังสุดท้ายได้สร้างพลังน่ากลัวเหนือว่าพลังแฝงของร่างกายเขาแปดเท่า แน่นอนว่า อาจารย์แรกเริ่มย้ำเตือนเขาว่า ห้ามใช้ถ้าเกิดไม่จำเป็นจริงๆ แต่จางจิงอันคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีในการใช้มัน เพราะว่านี่เป็นศึกแห่งเกียรติยศของนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดของปีสิบกับปีเจ็ด!

หลิงหลานเห็นข้อมือของอีกฝ่ายแวบเดียวก็ตัดสินแล้วว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ฝ่ายตรงข้ามใช้กระบวนท่าสะสมพลัง เธอใช้หมัดหนึ่งนิ้วออกไปโดยไม่ลังเล พลังแฝงสองสายปะทะกันหลายครั้ง สุดท้ายพลังทั้งสองสายต่างข่มอีกฝ่ายไม่ลง แล้วระเบิดแยกออกมาพร้อมกัน

หลิงหลานกับจางจิงอันถูกพลังมหาศาลสายนี้ระเบิดใส่จนกระเด็นออกไป กระทั่งกิ่งของต้นไม้ใหญ่หนาแข็งแรงที่พวกเขายืนอยู่ก็ถูกระเบิดทำลายทันที กิ่งไม้ที่ถูกทำลายร่วงลงมาจากฟ้าก่อนจะกระแทกลงกับพื้น

หลิงหลานทำท่าสะพานโค้งกลางอากาศควบคุมร่างกายตัวเองไว้ ก่อนจะตกลงมาบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังอย่างมั่นคง ทว่าจางจิงอันไม่ได้สบายเหมือนหลิงหลาน หลังจากที่เขาลอยออกไปห้าหกเมตร เขาถึงค่อยใช้มือซ้ายคว้ากิ่งไม้เอาไว้ได้ ยืมแรงสายนี้ดึงตัวเองกลับมาบนต้นไม้ ให้ตัวเองยืนอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม มือขวาของเขากลับห้อยต่ำลง แขนส่ายไปตามร่างกาย

มือซ้ายของหลิงหลานแสร้งกดมือขวาของตัวเองไว้ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สมกับที่เป็นอันดับหนึ่งของปีสิบ กระบวนท่าเดียวก็หักแขนขวาฉันได้แล้ว”

ในขณะเดียวจางจิงอันก็กุมมือขวาของตัวเองไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “นายเองก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนกันนี่!” แขนขวาของเขาก็ถูกอีกฝ่ายหักเหมือนกัน ทั้งสองคนนับว่าพ่ายแพ้บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ เวลานี้จางจิงอันไม่มีความคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเหมือนในตอนแรกแล้ว เขารู้ดีว่าหลิงหลานที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับเขา

“แต่ว่า ต่อให้เป็นแบบนี้ พวกเรายังต้องตัดสินว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!” หลิงหลานคล้ายกับตั้งใจจะตัดสินแพ้ชนะออกมา เธอเพิ่งจะพูดจบก็พลันกระทืบเท้าทีหนึ่งโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่แขนขวา อาศัยแรงดีดของเท้าบนกิ่งไม้ส่งร่างของเธอให้กระแทกใส่จางจิงอันราวกับลูกปืนใหญ่ก็ไม่ปาน

สีหน้าของจางจิงอันดูจริงจังหนักแน่น เขารู้ว่าคราวนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว นักสู้ระดับพลังปราณอย่างพวกเขาตัดสินแพ้ชนะกันในชั่วพริบตา ดูว่าพลังปราณของใครจะเหนือกว่ากัน

คราวนี้หลิงหลานเลือกโจมตีด้วยมือซ้าย แน่นอนว่าเธอสามารถใช้ได้แค่มือซ้ายเท่านั้น แต่เธอเหมือนไม่มั่นใจมือซ้ายของตัวเองมากนัก ดังนั้นจึงเลือกใช้กระบองยางสั้นโจมตี

จางจิงอันก็เลือกใช้กระบองสั้นเช่นเดียวกัน เขาใช้มือซ้ายกุมมันเอาไว้แน่นๆ และเข้าไปรับมัน ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะปะทะกันนั้น จู่ๆ ก็เห็นหลิงหลานแสดงใบหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “หลบเร็วเข้า…”

จางจิงอันยังคงไม่ขยับเขยื้อน กระบองยางในมือซ้ายฟาดเข้าไปด้วยพละกำลังทั้งหมดของร่างเขา

เหอะ! คิดจะใช้ท่านี้มาหลอกฉันเหรอ? ไม่มีทาง! ในสมองจางจิงอันเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าด้านหลังศีรษะตนเองถูกพลังสายหนึ่งกระแทกเข้าใส่อย่างหนักหน่วง….

เขารู้สึกว่าร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง พริบตาสุดท้ายก่อนที่เขาจะล้มลงหมดสติไปนั้น เขาเห็นหลิงหลานที่อยู่ตรงข้าม ตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีไปด้วยความหวาดหวั่น ราวกับเห็นตัวตนอะไรบางอย่างที่น่ากลัว…

แม่งเอ๊ย ที่แท้เขาไม่ได้หลอกฉัน…เวลานี้ในใจของจางจิงอันรู้สึกเสียใจมาก ถ้าหากเขาฟังคำเตือนของอีกฝ่าย เขาคงไม่โดนคนลอบทำร้ายใช่หรือเปล่า?

ร่างของจางจิงอันร่วงลงมาจากต้นไม้ ในตอนที่ยังไม่ได้กระแทกลงกับพื้นนั้น ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเข้ามาในพริบตา แล้ววางเขาลงบนพื้นเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็กดปุ่มยอมแพ้ขอความช่วยเหลือของจางจิงอัน จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา

ห่างออกไปหนึ่งพันเมตร ทีมห้าที่สวมชุดเครื่องแบบอาจารย์กำลังหยุดชะงักอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีอาจารย์หนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกำลังเปิดใช้งานพลังจิตอยู่ เขาเจาะเข้าไปในสัญญาณสอดแนมที่ใกล้ที่สุด ค้นหาตำแหน่งที่เป้าหมายของพวกเขาอยู่ด้วยกำลังทั้งหมด

“ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว จากตอนแรกที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เขากำลังเคลื่อนที่มุ่งตรงไปทางทิศใต้แล้ว” อาจารย์คนนั้นลืมตาขึ้นมาและเอ่ยกับอาจารย์ผู้ชายอายุสามสิบห้าสามสิบหกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

……………………………………………..

[1] เปรียบเปรยว่า นิสัยและความเคยชินเดิมๆ นั้นยากที่จะลืม ยิ่งเมื่อพบแรงกระตุ้นเดิมๆ ก็มักจะอดใจไม่ไหว

[2] หมายถึง เดียวดายแสวงพ่าย เป็นตัวละครที่ไม่มีที่มาที่ไปหรือมีชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง ปรากฏตัวขึ้นในมังกรหยกภาคสอง พระเอกได้พบสุสานกระบี่ของเขาและข้อความที่สลักว่า ‘กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อพิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน จึงฝังกระบี่ไว้สถานที่นี้ โอ้อนิจจา เหล่าผู้กล้าอับจนวิธี เสียทีที่กระบี่คมกล้า เป็นที่น่าอนาถใจ’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 167 ล่องูออกจากถ้ำ?

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 167 ล่องูออกจากถ้ำ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่ว่าพวกเขาจะสู้กันยังไง พวกเราได้แต่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการหลั่งเลือดบาดเจ็บเสียชีวิตตามขีดจำกัดสูงสุดเท่านั้น…” ในใจของอาจารย์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ตอนที่พวกเขายังเป็นลูกเสือ พวกเขาไม่เคยผ่านเหตุการณ์ต่อสู้ประจัญบานที่เลือดเดือดพุ่งพล่านระดับนี้มาก่อนเลย

อาจารย์ทั้งสองคนหิ้วเด็กไปคนละหนึ่งคนก่อนจะออกจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ก็เป็นเหมือนกับที่พวกเขาว่าไว้ ต่อให้คันไม้คันมืออีกแค่ไหนก็ได้แต่เปิดทวารบาลตามหน้าที่เพื่อพานักเรียนที่พ่ายแพ้ออกไปจากที่แห่งนี้ และเหม่อมองดูการต่อสู้ของพวกนักเรียนจนกระทั่งการต่อสู้ประจัญบานสิ้นสุดลงในตอนสุดท้ายเท่านั้น

จางจิงอันสัมผัสได้ว่าแรงกดดันหายไปก็รู้ว่าหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีหนึ่งฝ่ามือแล้วก็หนีไปไกล เขาหรี่ตาให้ตัวเองใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว อาจารย์แรกเริ่มของเขาเคยบอกว่า ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรในสนามรบก็ต้องเยือกเย็นเข้าไป เมื่อสูญเสียความเยือกเย็นไปก็หมายความว่าตัวเองอยู่ห่างไม่ไกลจากความตายแล้ว

ทั่วทั้งร่างเขาสงบเงียบลง หลังจากนั้นก็ระเบิดพลังสายหนึ่งออกมาอย่างลับๆ จังหวะการไหลผ่านของสายลมพัดพาผ่านจางจินอันราวกับโน้ตเพลง ทันใดนั้นจางจิงอันมองไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นายยังไม่ออกมาอีกหรือไง?”

ในเมื่อถูกคนสังเกตเห็นแล้ว หลิงหลานก็ไม่ได้ซ่อนตัวอีก เธอออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ทันที อยู่ห่างจากจางจิงอันยี่สิบเมตร ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่ห่างๆ

หลังจากนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดเครื่องแบบสีแดงเหมือนกัน ตัวเลขเจ็ดที่ส่องกระพริบตรงหน้าอกบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมาจากปีเจ็ดศัตรูของพวกเขาในการต่อสู้ประจัญบานจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับเย็นเยียบดวงนั้นไม่ใช่ฉีหลงที่อยู่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดที่พวกเขาคุ้นเคย จางจิงอันผุดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากว่า “ลูกพี่ของฉีหลง หลิงหลาน!”

หลิงหลานขมวดคิ้วราวกับประหลาดใจที่จางจิงอันรู้ชื่อของเธอ

“ปีเจ็ดมีราชาไร้มงกุฎไม่ใช่ความลับอะไร ขอเพียงอยากรู้ก็รู้ได้” จางจิงเอ่ยเอ่ยเรียบๆ ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะการต่อสู้ประจัญบานในครั้งนี้ เกรงว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าปีเจ็ดยังซ่อนยอดฝีมือระดับสุดยอดขนาดนี้เอาไว้คนหนึ่ง เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งอีกแค่ไหน ก็อยู่ในระดับของหลูจิ้งปีเก้าเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าใจผิดคาดการณ์พลาดอย่างเลินเล่อเสียแล้ว

“ดูเหมือนว่า นายจะจ้องฉันไว้แต่แรกแล้วสินะ! สถานการณ์ในตอนนี้น่าจะเป็นแผนการที่นายวางไว้ ในที่สุดพวกเราสองคนก็เผชิญหน้ากันหนึ่งต่อหนึ่งสักที…แต่นายคิดจริงๆ เหรอว่านายเป็นคู่ต่อสู้ของฉัน?” จางจิงอันกล่าวกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ในสายตาของเขา การวางแผนของหลิงหลานในครั้งนี้อวดดีมากเกินไปหน่อยไม่ต้องสงสัย

หลิงหลานไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ของจางจิงอัน เพียงแต่มองฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกทำให้จางจิงอันไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของหลิงหลานไปชั่วขณะหนึ่ง

ความจริงแล้วตอนนี้หลิงหลานกำลังสนทนากับเสี่ยวซื่อในห้วงสติว่า “เสี่ยวซื่อ ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

ที่แท้เมื่อสักครู่นี้ จู่ๆ เสี่ยวซื่อเตือนหลิงหลานว่า พวกคนที่เขาจับตามองได้เคลื่อนไหวแล้ว

“ห่างจากที่นี่ประมาณสามกิโลเมตร” เสี่ยวซื่อยืนยันตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม ตอนนี้เสี่ยวซื่ออยู่ในโหมดแบ่งปันข้อมูลกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก เขารู้เหตุการณ์ทุกอย่างในสถาบันอย่างทะลุปรุโปร่ง และจากคำขอของหลิงหลาน เขาจึงไม่ได้ใช้วิธีการปิดบังให้หลิงหลาน ขอเพียงมีคนตั้งใจก็สามารถหาตำแหน่งของหลิงหลานได้

“เสี่ยวซื่อ ดูเหมือนว่าของที่นายหาเจอจะแม่นยำมากๆ เลย” แววตาของหลิงหลานเผยจิตสังหารออกมาวูบหนึ่ง สาเหตุที่เธอเริ่มการต่อสู้ประจัญบานขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อจะล่องูออกจากถ้ำ ดูเหมือนว่าตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามจะอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เธอต้องรับจัดการคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด…หลิงหลานเหลือบมองไปที่จางจิงอันตรงหน้าเธอแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าหมอนี่จะขี้อวดหยิ่งทระนงมาก นิสัยก็ไม่ค่อยดี แต่หลิงหลานไม่อยากให้เขาเข้ามาพัวพันในเกมล่าสังหารของเธอกับฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขาโชคร้ายตายโหงด้วยเหมือนกัน เธอตัดสินใจต่อสู้รวบรัดไล่เขาออกไปจากการต่อสู้ประจัญบานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เวลานี้จางจิงอันรู้สึกตื่นเต้น แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของหลิงหลานจางๆ ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ นี่ทำให้เขาเห็นการล่าสัตว์แล้วจิตใจเบิกบาน[1]นับตั้งแต่ที่พวกรุ่นพี่จบการศึกษาออกไปจากสถาบัน เขาก็มีความรู้สึกเหมือนขึ้นยอดเขาไท่ซานแล้วเห็นว่าภูเขารายรอบช่างเล็กเหลือเกิน โดนเฉพาะหลังจากที่เขาใช้ร่างจิตที่กลายพันธุ์ของเขาได้ช่ำชองมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไร้เทียมทานในหมู่นักเรียนของสถาบัน! นี่ทำให้เขาหยิ่งผยองในขณะเดียวก็รู้สึกหงอยเหงาอยู่บ้าง ความจริงแล้วรสชาติของต๊กโกวคิ้วป้าย[2]ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น

บางทีเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อาจจะทำให้เขาต่อสู้สนุกๆ คลายเอ็นคลายกระดูกได้สักยกบ้าง! ถึงแม้ว่าจางจิงอันคิดว่าหลิงหลานสามารถนำความสนุกสนานมาให้เขาได้ แต่เขาไม่คิดว่าความสามารถของหลิงหลานจะเอาชนะเขาได้

จางจิงอันอยากสู้แล้วและก็พุ่งเข้าไปทันที เขาไม่ได้ใช้กระบองยางอะไร และก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากระบวนท่าแพรวพราวด้วย สิ่งที่เขาใช้ก็คือกำปั้นตรงไปตรงมา บางทีจางจิงอันอาจจะคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้แล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องการกระบวนท่าซับซ้อนอะไร อาศัยแค่ความสามารถเพียงอย่างเดียวก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้สบายๆ

จากนั้นก็เห็นจางจิงอันย่างเท้าธรรมดาออกมาแค่ก้าวเดียว แต่หนึ่งก้าวที่ธรรมดานี้ทำให้เขาข้ามมาได้ยี่สิบเมตร มาถึงเบื้องหน้าหลิงหลานในชั่วพริบตา

ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ในสายตาของหลิงหลานกลับเห็นได้ชัดเจนว่า จางจิงอันก้าวเท้าหลายสิบก้าวในช่วงเวลาสั้นสุดขีด พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิงหลาน ในขณะเดียวกัน หมัดที่กำแน่นของจางจิงอันก็โจมตีใส่ตรงหน้าเธอ

ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการพุ่งเข้ามาหรือว่าหมัดสุดท้าย ความเร็วของเขาไม่ถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว จางจิงอันถึงขนาดเกิดภาพลวงตาว่า วินาทีถัดมากำปั้นของเขาจะโจมตีใส่ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็ซัดเขาจนกระเด็นออกไป…รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาเพิ่มจะแย้มขึ้น แต่แล้วมันกลับแข็งค้างในชั่วพริบตา

เนื่องจากเขารู้สึกว่ากำปั้นของตัวเองถูกพลังอ่อนๆ สายหนึ่งต้านทานไว้ ทำให้เขารุดหน้าเข้าไปไม่ได้

ที่แท้พริบตาที่หลิงหลานถูกโจมตี เธอกำหมัดเข้าปะทะกำปั้นของจางจิงอันเช่นเดียวกัน ถึงแม้กำปั้นทั้งสองจะดูปะทะกันอย่างรุนแรง แต่มันไม่ได้ส่งเสียงดังอะไรออกมาเลย ราวกับว่ากำปั้นทั้งสองนี้ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง เป็นเพียงการแตะกันเบาๆ แบบเพื่อนสนิทเท่านั้น

จางจิงอันรู้กำลังของตัวเองอยู่แก่ใจ เขาใช้แรงออกไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน ดังนั้นการที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายก็ใช้แรงเท่ากัน ลดทอนกำลังของเขาด้วยแรงอ่อนนุ่มอันน่ามหัศจรรย์

หมัดนี้ของจางจิงอันไม่ได้สร้างผลที่เขาติดว่า ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาแข็งทื่อ ตอนนี้เขาต้องเลือกว่าจะคลายพลังออกแล้วลงมือใหม่อีกครั้ง หรือว่าเพิ่มแรงบุกโจมตีมากขึ้นต่อไป ขอเพียงกำลังของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายก็จะทำลายการหยุดชะงักได้ ถึงขนาดสามารถสะท้อนพลังทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายกลับใส่ตัวของฝ่ายตรงข้ามได้

จางจิงอันไม่ยอมหยุดเท่านี้อยู่แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าเขาเป็นคนที่แกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงลอบตะโกนขึ้นมา ทั่วทั้งใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแดงฉาน เขาหดท้องฉับพลัน จากนั้นข้อมือก็สั่นติดต่อกันหลายที คลื่นพลังลึกลับส่งออกมาโจมตีใส่หลิงหลานสี่ระลอก

นี่เป็นไพ่ตายที่อาจารย์แรกเริ่มสอนให้เขา มันสามารถปล่อยพลังแฝงออกมาสี่สาย ยิ่งกว่านั้นพลังแต่ละสายต่างสะสมสายพลังก่อนหน้านั้นไว้ จนกระทั้งสายพลังสุดท้ายได้สร้างพลังน่ากลัวเหนือว่าพลังแฝงของร่างกายเขาแปดเท่า แน่นอนว่า อาจารย์แรกเริ่มย้ำเตือนเขาว่า ห้ามใช้ถ้าเกิดไม่จำเป็นจริงๆ แต่จางจิงอันคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีในการใช้มัน เพราะว่านี่เป็นศึกแห่งเกียรติยศของนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดของปีสิบกับปีเจ็ด!

หลิงหลานเห็นข้อมือของอีกฝ่ายแวบเดียวก็ตัดสินแล้วว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ฝ่ายตรงข้ามใช้กระบวนท่าสะสมพลัง เธอใช้หมัดหนึ่งนิ้วออกไปโดยไม่ลังเล พลังแฝงสองสายปะทะกันหลายครั้ง สุดท้ายพลังทั้งสองสายต่างข่มอีกฝ่ายไม่ลง แล้วระเบิดแยกออกมาพร้อมกัน

หลิงหลานกับจางจิงอันถูกพลังมหาศาลสายนี้ระเบิดใส่จนกระเด็นออกไป กระทั่งกิ่งของต้นไม้ใหญ่หนาแข็งแรงที่พวกเขายืนอยู่ก็ถูกระเบิดทำลายทันที กิ่งไม้ที่ถูกทำลายร่วงลงมาจากฟ้าก่อนจะกระแทกลงกับพื้น

หลิงหลานทำท่าสะพานโค้งกลางอากาศควบคุมร่างกายตัวเองไว้ ก่อนจะตกลงมาบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังอย่างมั่นคง ทว่าจางจิงอันไม่ได้สบายเหมือนหลิงหลาน หลังจากที่เขาลอยออกไปห้าหกเมตร เขาถึงค่อยใช้มือซ้ายคว้ากิ่งไม้เอาไว้ได้ ยืมแรงสายนี้ดึงตัวเองกลับมาบนต้นไม้ ให้ตัวเองยืนอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม มือขวาของเขากลับห้อยต่ำลง แขนส่ายไปตามร่างกาย

มือซ้ายของหลิงหลานแสร้งกดมือขวาของตัวเองไว้ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สมกับที่เป็นอันดับหนึ่งของปีสิบ กระบวนท่าเดียวก็หักแขนขวาฉันได้แล้ว”

ในขณะเดียวจางจิงอันก็กุมมือขวาของตัวเองไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “นายเองก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนกันนี่!” แขนขวาของเขาก็ถูกอีกฝ่ายหักเหมือนกัน ทั้งสองคนนับว่าพ่ายแพ้บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ เวลานี้จางจิงอันไม่มีความคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเหมือนในตอนแรกแล้ว เขารู้ดีว่าหลิงหลานที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับเขา

“แต่ว่า ต่อให้เป็นแบบนี้ พวกเรายังต้องตัดสินว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!” หลิงหลานคล้ายกับตั้งใจจะตัดสินแพ้ชนะออกมา เธอเพิ่งจะพูดจบก็พลันกระทืบเท้าทีหนึ่งโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่แขนขวา อาศัยแรงดีดของเท้าบนกิ่งไม้ส่งร่างของเธอให้กระแทกใส่จางจิงอันราวกับลูกปืนใหญ่ก็ไม่ปาน

สีหน้าของจางจิงอันดูจริงจังหนักแน่น เขารู้ว่าคราวนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว นักสู้ระดับพลังปราณอย่างพวกเขาตัดสินแพ้ชนะกันในชั่วพริบตา ดูว่าพลังปราณของใครจะเหนือกว่ากัน

คราวนี้หลิงหลานเลือกโจมตีด้วยมือซ้าย แน่นอนว่าเธอสามารถใช้ได้แค่มือซ้ายเท่านั้น แต่เธอเหมือนไม่มั่นใจมือซ้ายของตัวเองมากนัก ดังนั้นจึงเลือกใช้กระบองยางสั้นโจมตี

จางจิงอันก็เลือกใช้กระบองสั้นเช่นเดียวกัน เขาใช้มือซ้ายกุมมันเอาไว้แน่นๆ และเข้าไปรับมัน ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะปะทะกันนั้น จู่ๆ ก็เห็นหลิงหลานแสดงใบหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “หลบเร็วเข้า…”

จางจิงอันยังคงไม่ขยับเขยื้อน กระบองยางในมือซ้ายฟาดเข้าไปด้วยพละกำลังทั้งหมดของร่างเขา

เหอะ! คิดจะใช้ท่านี้มาหลอกฉันเหรอ? ไม่มีทาง! ในสมองจางจิงอันเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าด้านหลังศีรษะตนเองถูกพลังสายหนึ่งกระแทกเข้าใส่อย่างหนักหน่วง….

เขารู้สึกว่าร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง พริบตาสุดท้ายก่อนที่เขาจะล้มลงหมดสติไปนั้น เขาเห็นหลิงหลานที่อยู่ตรงข้าม ตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีไปด้วยความหวาดหวั่น ราวกับเห็นตัวตนอะไรบางอย่างที่น่ากลัว…

แม่งเอ๊ย ที่แท้เขาไม่ได้หลอกฉัน…เวลานี้ในใจของจางจิงอันรู้สึกเสียใจมาก ถ้าหากเขาฟังคำเตือนของอีกฝ่าย เขาคงไม่โดนคนลอบทำร้ายใช่หรือเปล่า?

ร่างของจางจิงอันร่วงลงมาจากต้นไม้ ในตอนที่ยังไม่ได้กระแทกลงกับพื้นนั้น ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเข้ามาในพริบตา แล้ววางเขาลงบนพื้นเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็กดปุ่มยอมแพ้ขอความช่วยเหลือของจางจิงอัน จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา

ห่างออกไปหนึ่งพันเมตร ทีมห้าที่สวมชุดเครื่องแบบอาจารย์กำลังหยุดชะงักอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีอาจารย์หนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกำลังเปิดใช้งานพลังจิตอยู่ เขาเจาะเข้าไปในสัญญาณสอดแนมที่ใกล้ที่สุด ค้นหาตำแหน่งที่เป้าหมายของพวกเขาอยู่ด้วยกำลังทั้งหมด

“ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว จากตอนแรกที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เขากำลังเคลื่อนที่มุ่งตรงไปทางทิศใต้แล้ว” อาจารย์คนนั้นลืมตาขึ้นมาและเอ่ยกับอาจารย์ผู้ชายอายุสามสิบห้าสามสิบหกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

……………………………………………..

[1] เปรียบเปรยว่า นิสัยและความเคยชินเดิมๆ นั้นยากที่จะลืม ยิ่งเมื่อพบแรงกระตุ้นเดิมๆ ก็มักจะอดใจไม่ไหว

[2] หมายถึง เดียวดายแสวงพ่าย เป็นตัวละครที่ไม่มีที่มาที่ไปหรือมีชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริง ปรากฏตัวขึ้นในมังกรหยกภาคสอง พระเอกได้พบสุสานกระบี่ของเขาและข้อความที่สลักว่า ‘กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อพิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน จึงฝังกระบี่ไว้สถานที่นี้ โอ้อนิจจา เหล่าผู้กล้าอับจนวิธี เสียทีที่กระบี่คมกล้า เป็นที่น่าอนาถใจ’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+