I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 85 ฉีหลง VS หลี่อิงเจี๋ย

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 85 ฉีหลง VS หลี่อิงเจี๋ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยอยากโจมตีหยั่งเชิงก่อนสักครั้งเพื่อดูพื้นฐานของฉีหลง แต่ไม่นึกเลยว่า เขาเพิ่งจะคิดในใจ ตรงหน้าเขาก็ปรากฎหมัดขวาของฝ่ายตรงข้าม ลมอัดที่มาจากกำปั้นอันดุดันทำให้แก้มของเขารู้สึกเจ็บนิดๆ

หลี่อิงเจี๋ยตอบสนองรวดเร็วมาก เขาเอนไปด้านหลังเว้นระยะห่างของพวกเขาสองคน เอาสองมือไขว้กันมาขวางไว้ตรงหน้า….

“ผัวะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ นี่เป็นเสียงที่กำปั้นซัดใส่กายเนื้อ จากนั้นก็เห็นหลี่อิงเจี๋ยถอยหลังติดกันสามเก้า ปัดแรงกำปั้นของฉีหลงออกไปให้พ้นตัว การถอยหลังนี้ทำให้เขาสูญเสียโอกาสสำคัญไป

ฉีหลงฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่สามารถโจมตี ซัดใส่หลี่อิงเจี๋ยหนึ่งชุดราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีการต่อสู้ที่ฉีหลงชอบมากที่สุด เขาโจมตีได้อย่างคล่องแคล่วตามใจนึก ตั้งแต่ที่เริ่มการประลองเลื่อนอันดับ คู่ต่อสู้ต่างก็ถูกฉีหลงโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนพ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง ควรทราบไว้ว่าคู่ต่อสู้ที่ตื่นเต้นฮึกเหิมได้ยากจนเข้าสู่สภาวะเชื่องช้านั้นปรับตัวให้เข้ากับการโจมตีอย่างไร้เหตุผลของฉีหลงได้ยากมากๆ

การโจมตีอันป่าเถื่อนของฉีหลงในรอบนี้ทำให้อาจารย์ที่ชมดูอยู่ด้านล่างสนามประลองต่างพยักหน้าติดต่อกัน คิดว่าเจ้าเด็กนี่เก่งในเรื่องฉวยจังหวะมาก มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งมาก เป็นนักสู้โดยกำเนิด

ชายที่ทำหน้าเป็นโลงศพกำลังชมการต่อสู้ของฉีหลงอยู่ด้านข้างด้วยความจริงจัง พอเขาเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าก็เริ่มเคร่งขรึมขึ้นมา ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง

ชายหน้ายิ้มเห็นแล้วก็อดเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ไม่ได้ว่า “นายสังเกตเห็นอะไร?”

“ดูต่อไป ถ้าเกิดเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ…อวิ๋นเยี่ย ฉันอาจจะแจ็คพอตแตกแล้ว” ดวงตาของชายหน้าโลงศพที่เดิมทีราบเรียบราวกับน้ำพลันส่องแสงประหลาดวาบขึ้นมา ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะไม่มั่นคงเลย

ชายหน้ายิ้มรู้จักเพื่อนสนิทของตัวเองดี รู้ว่าเพื่อนสนิทของเขาไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากในสิ่งที่ไม่มั่นใจออกมาง่ายๆ เขาเองก็ไม่ได้ถามต่อ หากแต่ชมการประลองของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยด้วยความตั้งใจ หวังว่าตัวเองจะสามารถมองอะไรบางอย่างได้ ชายหน้ายิ้มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทตื่นเต้นเกี่ยวกับใคร

ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยจะหยิ่งยโสขี้โอ่ทำให้คนไม่ชอบจนถึงขนาดเกลียดขี้หน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของหลี่อิงเจี๋ยไม่เลวมากๆ การต่อสู้พื้นฐานแน่นปึกสุดขีด ต่อให้เขาถูกฉีหลงโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรงฉุกละหุกรับมือไม่ทัน แต่ว่าผ่านไปไม่นาน เขาก็ค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าเขายังคงเป็นฝ่ายรับ แต่ ก็หาโอกาสโต้กลับไปได้ไม่น้อย การกระทำของเขาก็ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่อยู่ตรงสนามไม่น้อย

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความความว่าหลี่อิงเจี๋ยกอบกู้สถานการณ์กลับมาต่อสู้เทียบเคียงกับฉีหลงได้แล้ว อันที่จริงยังคงเป็นฉีหลงที่ได้เปรียบอยู่ โดยภาพรวมแล้วหลี่อิงเจี๋ยไม่มีหวังที่คิดจะพลิกสถานการณ์กลับมาภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า

หลี่อิงเจี๋ยเองก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประมือกับคู่ต่อสู้แล้วตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ เขาอดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาบ้างไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ พ่อของเขาก็เคยบอกเขาว่า ศึกจัดอันดับครั้งแรกมีความสำคัญมาก มันไม่ได้สำคัญที่สวัสดิการที่จะได้รับหลังจากการจัดอันดับ ทว่าการทดสอบคัดเลือกที่บุคคลที่โดดเด่นอย่างยากลำบากจะทำให้นักเรียนที่โดดเด่นที่สุดได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์ที่โดดเด่นที่สุด นี่ก็คือโครงการสอนแรกเริ่มของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือซึ่งเป็นโครงการเฉพาะของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ

อย่างไรก็ตาม มีเพียงเด็กจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้ นอกจากนี้โครงการสอนแรกเริ่มเป็นโครงการลับสุดขีด วิธีการสอนก็เป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง นอกจากเด็กที่ถูกเลือกสามารถรู้เรื่องนี้แล้ว เด็กคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างไม่รู้ความลับนี้เลย

แน่นอนว่าสำหรับคนระดับสูงที่มีอำนาจในตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่แล้ว ความลับนี้ย่อมไม่ใช่ความลับเลย ดังนั้นพวกเขาเลยเตือนเด็กในตระกูลล่วงหน้าก่อนว่าให้สนใจเรื่องนี้ นี่ก็คือสาเหตุที่หลี่อิงเจี๋ยรู้ล่วงหน้าได้

อันที่จริงสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็รู้ดีอยู่แล้วว่า โครงการนี้ปกปิดต่อชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น แต่ทางสถาบันก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากปกติแล้วเด็กที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมความสามารถโดดเด่นก็มักจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ชนชั้นสูงทรงอิทธิพลเหล่านี้ ถึงยังไงยีนของคนพวกนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ทายาทรุ่นหลังที่เกิดมาย่อมไม่มีทางย่ำแย่

ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยจะร้อนใจอยู่บ้าง แต่พื้นฐานที่แน่นปึกจากการสั่งสอนของตระกูลหลี่ทำให้เขามีนิสัยอดทน เมื่อต่อสู้กับฉีหลงไปมาจนเกือบถึงหนึ่งร้อยท่า เดิมทีเขาคิดว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง แต่หลังจากที่ผ่านหนึ่งร้อยกระบวนท่าไป เขาก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายรับ ตอนนี้หัวใจเขาเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา ยิ่งเขาต่อสู้ก็ยิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ

ชายหน้ายิ้มมองดูถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “อาไท่ ดูเหมือนว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแล้วนะ”

ชายหน้าโลงศพผงกศีรษะ “ดูเหมือนความอดทนของคู่ต่อสู้เด็กหัวเกรียนจะไม่แย่เอามากๆ นี่เป็นโอกาสดี แต่จะคว้าได้หรือเปล่า ยังต้องดูว่าเด็กหัวเกรียนจะทำยังไง” ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ เด็กคนนั้นก็จะไม่มีทางแพ้….

หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจแล้วว่าเขาไม่อาจพัวพันกับฉีหลงได้อีกต่อไป เขาต้องชิงรุก รีบจบการประลองรอบนี้และเลื่อนอันดับสู่รอบชิง มีเพียงแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด

หลี่อิงเจี๋ยทำการตัดสินใจแล้ว กลิ่นอายบนตัวเขาก็เปลี่ยนไป ความร้อนใจเล็กน้อยที่มีอยู่แต่เดิมนั้นอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่แผ่ออกมาทั่วทั้งร่างมีเพียงความมืดครึ้มเท่านั้น

นักเรียนที่ชมดูอาจจะสัมผัสไม่ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายแบบนี้ แต่สายตาของเหล่าอาจารย์ที่ชมการต่อสู้ต่างจริงจังขึ้นมา ชายหน้ายิ้มกับชายหน้าโลงศพเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะชายหน้าโลงศพ เขาบีบเหรียญสหพันธรัฐในมืออย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย

ตอนนี้ฉีหลงคล้ายกับสัมผัสไม่ได้ถึงความแตกต่างของหลี่อิงเจี๋ย ทว่าการโจมตีของเขาไม่ได้หยุดลง ตรงกันข้ามมันกลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ดวงตาทั้งสองข้างของชายหน้าโลงศพเย็นเยียบ สีหน้ายิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น หรือว่าฉีหลงเองสัมผัสได้ถึงอันตรายดังนั้นเขาถึงได้โจมตีอย่างสุดความสามารถ?

หลี่อิงเจี๋ยป้องกันไปเรื่อยๆ สองเท้าถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง ทว่าสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาสุดขีด จนถึงขนาดที่ยังมีจิตสังหารจางๆ จนไม่อาจจางได้อีก

ไม่ว่าฉีหลงจะบ้าคลั่งอีกยังไง การโจมตีของเขาก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดชะงัก และสิ่งที่หลี่อิงเจี๋ยรอคอยก็คือการหยุดชะงักนี้ เขาอยากจะเอาชนะฉีหลง ก็จำเป็นต้องเว้นระยะห่างที่เพียงพอ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกฉีหลงพัวพันจนไม่สามารถลงมือใช้ไพ่ตายของเขาได้

ไม่ผิด หลี่อิงเจี๋ยมั่นใจในตัวเองขนาดนี้เป็นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ทรงพลังอยู่ พ่อของเขาเคยเตือนว่าเขาไม่สามารถใช้ไพ่ตายนี้มั่วซั่วได้ เนื่องจากนี่เป็นวิชาสังหารของตระกูลหลี่ เป็นทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงที่ตระกูลหลี่สืบทอดกันมาหลายพันปี

มีระยะห่างแล้ว ในที่สุดหลี่อิงเจี๋ยก็ตั้งท่าวิชาปลิดชีพของตระกูลหลี่ออกมา….

ชายหน้าโลงศพเห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพลิกนิ้วมือ เหรียญที่บีบไว ในฝ่ามือถูกเขาคีบอยู่ระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วชี้ ขอเพียงฉีหลงเข้าไปโจมตี เขาก็จะดีดเหรียญใส่ฉีหลงให้ออกจากขอบเขตการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าฉีหลงยังคงพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่อิงเจี๋ยอย่างดุดันอยู่นั้น ฉีหลงกลับกระทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ ฉีหลงที่เดิมทีเตรียมตัวโจมตีเหมือนกับสัมผัสอะไรได้กะทันหัน เขาขมวดคิ้วแน่น หยุดฝีเท้า ไม่เพียงแค่นั้น เขายังถอยไปข้างหลังด้วยความฉับไวยิ่ง เว้นระยะห่างกับหลี่อิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉีหลงหยุดการเคลื่อนไหว ท่วงท่าโจมตีแต่เดิมของเขาก็เปลี่ยนเป็นท่าป้องกัน เขาทำหน้าระมัดระวัง ราวกับกังวลกับท่าทีของหลี่อิงเจี๋ย

ชายหน้าโลงศพเห็นถึงตรงนี้ ใบหน้าที่เดิมทีไร้ความรู้สึกก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา เหรียญที่ตั้งอยู่ระหว่างนิ้วมือถูกเขาเก็บกลับเข้าไปในฝ่ามืออีกครั้ง และเอ่ยติดต่อกันว่า “ไม่เลว นี่แหละ นี่แหละ”

“อาไท่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชายหน้ายิ้มพบว่าเขาดูอยู่เนิ่นนานก็ยังคงมึนงงสับสน ในที่สุดก็อดไม่ไหวเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“อย่ารีบร้อน อวิ๋นเยี่ย พอผลแพ้ชนะออกมา ฉันจะอธิบายให้นายฟังอีกครั้ง” ตอนนี้ชายหน้าโลงศพไม่มีใจจะอธิบายให้เพื่อนสนิทของตัวเองฟัง ดวงตาสุกสว่างคู่นั้นของเขาจ้องเขม็งไปที่ฉีหลง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา เดิมทีเป็นเพราะชายหน้ายิ้ม เขาถึงคิดจะรับฉีหลงเป็นลูกศิษย์แรกเริ่มของเขา ทว่าตอนนี้เขาต้องการอย่างหมดหัวใจจริงๆ

หานจี้จวินที่ชมการต่อสู้เองก็ทำหน้าเคร่งเครียดขึ้น กลิ่นไอของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าเขาไม่เหมือนกับอาจารย์ที่สัมผัสได้แม่นยำ ทว่าเขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บวกกับท่าทีประหลาดของหลี่อิงเจี๋ย หานจี้จวินรู้ว่าท่าจะไม่ดีแล้ว หานจี้จวินที่ชาญฉลาดคาดเดาออกได้ในพริบตาว่า หลี่อิงเจี๋ยน่าจะหยิบไพ่ตายของเขาที่ซ่อนเอาไว้ลึกๆ ออกมา เนื่องจากท่วงท่าที่ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวอยู่นิดหน่อยแบบนี้ไม่เคยปรากฎขึ้นในการประลองรอบก่อนๆ เลย

ตอนนี้เอง หานจี้จวินอดกังขาขึ้นมาไม่ได้ มิน่าล่ะ หลายปีที่ผ่านมาอันดับหนึ่งถึงถูกลูกหลานของตระกูลเก่าแก่พวกนี้ยึดครองไว้ รากฐานของพวกเขาล้ำลึกมากจริงๆ ควรทราบว่าครอบครัวชนชั้นกลางในระบบทหารอย่างพวกเขาสามารถเรียนรู้วิชาการต่อสู้พื้นฐานระดับสูงของกองทัพได้ก็นับว่าโชคดีสุดยอดแล้ว แต่ว่าตระกูลเก่าแก่กลับมีวิชาการต่อสู้ที่คล้ายคลึงแบบนี้มากมายและหลากหลาย จนถึงขนาดที่ยังมีวิชาต่อสู้ที่สืบทอดกันมาอย่างแท้จริง เช่น วิชาของตระกูลหลี่

ทั้งสองคนก็คุมเชิงกันเช่นนี้ แต่คราวนี้ฉีหลงกลับแสดงความอดทนที่หาได้ยากยิ่งออกมา ไม่ได้พุ่งเข้าไปโจมตี

หลี่อิงเจี๋ยอดด่าในใจไม่ได้ ทำไมฉีหลงถึงได้โชคดีขนาดนี้ ต้องรู้ไว้ว่าการตั้งท่าของเขาในตอนนี้เป็นท่าตอบโต้ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหลี่ ขอเพียงชั่วพริบตาที่ฉีหลงโจมตี เขาก็สามารถฉวยโอกาสโจมตีจุดอ่อนถึงแก่ชีวิตของอีกฝ่ายที่สูญเสียการป้องกันได้ มีประสิทธิภาพถึงขั้นโจมตีทีเดียวจอด แต่น่าเสียดายที่ฉีหลงไม่ยอมโจมตีมา…

ไม่ใช่ว่าหลี่อิงเจี๋ยไม่เคยคิดว่าฝ่ายตรงข้ามมองกระบวนท่าของเขาออกหรือเปล่า เพียงแต่เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมามันก็ถูกเขาปัดทิ้งไป เนื่องจากพ่อเคยบอกว่า ศัตรูที่เคยเห็นวิชาสังหารของตระกูลหลี่ต่างตายหมดแล้ว ฉีหลงย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

สุดท้าย คนที่พ่ายแพ้ด้านความอดทนอีกครั้งก็ยังคงเป็นหลี่อิงเจี๋ย หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รออีกต่อไป เนื่องจากเขาไม่ได้มีแค่กระบวนท่าสังหารนี้ท่าเดียว เขายังมีท่าสังหารที่ใช้บุกโจมตีอีกมากมาย

ดังนั้น หลี่อิงเจี๋ยจึงเปลี่ยนท่า เขาพุ่งเข้าไปหาฉีหลงก่อน พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายฉีหลง สองนิ้วบนมือข้างซ้ายตรงไปที่สีข้างด้านขวาของฉีหลง ส่วนมือขวาก็ตั้งฝ่ามือให้กลายเป็นคมมีด…..

ฉีหลงเห็นดังนั้นก็อึ้งไป หลังจากนั้นเขาก็กำหมัดที่มือขวาประจันหน้ากับนิ้วมือข้างซ้ายของอีกฝ่ายโดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิด

ชายหน้าโลงศพลดมือลงต่ำ เหรียญเล็กๆ นั้นปรากฏขึ้นที่ตรงระหว่างนิ้วของเขาอีกครั้ง

“ผัวะ!” เสียงร่างกายกระแทกกันอีกครั้ง ร่างของทั้งสองกระเด็นออกไปคนละทิศทาง

“อ๊ากก!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตาม จากนั้นก็เป็นเสียงกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรงดังขึ้นมาสองเสียง ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหนักหน่วงจนไม่สามารถต้านทานพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ร่างหนึ่งในนั้นกระแทกกับด้านหลังสนามประลองแล้วก็กลิ้งติดต่อกันไปหลายตลบก่อนจะเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ตรงออกไปจากสนามประลอง ก่อนจะล้มลงไปที่ด้านล่างของสนามประลอง

ส่วนอีกคนก็กระแทกกับสนามประลองจนลากเป็นรอยครูดลึกๆ หลังจากนั้นก็ไถลไปที่ขอบสนามประลองอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เห็นว่ากำลังจะไถลตกจากสนามประลองนั้น มือซ้ายของคนผู้นั้นก็ทำท่ากางกรงเล็บขูดไปบนพื้นสนามประลองโดยอย่างเฉียบขาด

นิ้วมือส่งเสียงฝังลงไปกับพื้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ พื้นสนามประลองยังคงเหลือร่องรอยขูดเป็นทางยาวประมาณสามเซนติเมตร แต่เป็นเพราะพละกำลังนี้ทำให้คนผู้นี้หยุดร่างกายไม่ให้ร่วงลงไปได้ หลังจากนั้นก็เห็นเขาพลิกตัวกลางอากาศราวกับเหยี่ยวก่อนจะยืนบนขอบสนามอย่างมั่นคงอีกครั้ง บอกกับทุกคนว่าผู้ชนะในการต่อสู้รอบนี้คือเขา ไม่ใช่คนอื่น

อาจารย์ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ด้านข้างสนามประลองมองร่างคนที่ตกลงมาอยู่ด้านล่างสนามประลองแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังนักเรียนที่ยืนอย่างมั่นคงอยู่ทางด้านข้างอีกครั้ง สีหน้าของเขาประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘ดูท่าปีหนึ่งห้องเอจะเกิดเรื่องสะเทือนฟ้าดินจริงๆ’

“ฉันขอประกาศว่า ผู้ชนะที่ได้เลื่อนเข้าสู่รอบชิงคือ ฉีหลง!”

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ 85 ฉีหลง VS หลี่อิงเจี๋ย

Now you are reading I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ Chapter 85 ฉีหลง VS หลี่อิงเจี๋ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยอยากโจมตีหยั่งเชิงก่อนสักครั้งเพื่อดูพื้นฐานของฉีหลง แต่ไม่นึกเลยว่า เขาเพิ่งจะคิดในใจ ตรงหน้าเขาก็ปรากฎหมัดขวาของฝ่ายตรงข้าม ลมอัดที่มาจากกำปั้นอันดุดันทำให้แก้มของเขารู้สึกเจ็บนิดๆ

หลี่อิงเจี๋ยตอบสนองรวดเร็วมาก เขาเอนไปด้านหลังเว้นระยะห่างของพวกเขาสองคน เอาสองมือไขว้กันมาขวางไว้ตรงหน้า….

“ผัวะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ นี่เป็นเสียงที่กำปั้นซัดใส่กายเนื้อ จากนั้นก็เห็นหลี่อิงเจี๋ยถอยหลังติดกันสามเก้า ปัดแรงกำปั้นของฉีหลงออกไปให้พ้นตัว การถอยหลังนี้ทำให้เขาสูญเสียโอกาสสำคัญไป

ฉีหลงฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่สามารถโจมตี ซัดใส่หลี่อิงเจี๋ยหนึ่งชุดราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีการต่อสู้ที่ฉีหลงชอบมากที่สุด เขาโจมตีได้อย่างคล่องแคล่วตามใจนึก ตั้งแต่ที่เริ่มการประลองเลื่อนอันดับ คู่ต่อสู้ต่างก็ถูกฉีหลงโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนพ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง ควรทราบไว้ว่าคู่ต่อสู้ที่ตื่นเต้นฮึกเหิมได้ยากจนเข้าสู่สภาวะเชื่องช้านั้นปรับตัวให้เข้ากับการโจมตีอย่างไร้เหตุผลของฉีหลงได้ยากมากๆ

การโจมตีอันป่าเถื่อนของฉีหลงในรอบนี้ทำให้อาจารย์ที่ชมดูอยู่ด้านล่างสนามประลองต่างพยักหน้าติดต่อกัน คิดว่าเจ้าเด็กนี่เก่งในเรื่องฉวยจังหวะมาก มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งมาก เป็นนักสู้โดยกำเนิด

ชายที่ทำหน้าเป็นโลงศพกำลังชมการต่อสู้ของฉีหลงอยู่ด้านข้างด้วยความจริงจัง พอเขาเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าก็เริ่มเคร่งขรึมขึ้นมา ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง

ชายหน้ายิ้มเห็นแล้วก็อดเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ไม่ได้ว่า “นายสังเกตเห็นอะไร?”

“ดูต่อไป ถ้าเกิดเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ…อวิ๋นเยี่ย ฉันอาจจะแจ็คพอตแตกแล้ว” ดวงตาของชายหน้าโลงศพที่เดิมทีราบเรียบราวกับน้ำพลันส่องแสงประหลาดวาบขึ้นมา ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะไม่มั่นคงเลย

ชายหน้ายิ้มรู้จักเพื่อนสนิทของตัวเองดี รู้ว่าเพื่อนสนิทของเขาไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากในสิ่งที่ไม่มั่นใจออกมาง่ายๆ เขาเองก็ไม่ได้ถามต่อ หากแต่ชมการประลองของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยด้วยความตั้งใจ หวังว่าตัวเองจะสามารถมองอะไรบางอย่างได้ ชายหน้ายิ้มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทตื่นเต้นเกี่ยวกับใคร

ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยจะหยิ่งยโสขี้โอ่ทำให้คนไม่ชอบจนถึงขนาดเกลียดขี้หน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของหลี่อิงเจี๋ยไม่เลวมากๆ การต่อสู้พื้นฐานแน่นปึกสุดขีด ต่อให้เขาถูกฉีหลงโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรงฉุกละหุกรับมือไม่ทัน แต่ว่าผ่านไปไม่นาน เขาก็ค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าเขายังคงเป็นฝ่ายรับ แต่ ก็หาโอกาสโต้กลับไปได้ไม่น้อย การกระทำของเขาก็ได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่อยู่ตรงสนามไม่น้อย

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความความว่าหลี่อิงเจี๋ยกอบกู้สถานการณ์กลับมาต่อสู้เทียบเคียงกับฉีหลงได้แล้ว อันที่จริงยังคงเป็นฉีหลงที่ได้เปรียบอยู่ โดยภาพรวมแล้วหลี่อิงเจี๋ยไม่มีหวังที่คิดจะพลิกสถานการณ์กลับมาภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า

หลี่อิงเจี๋ยเองก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประมือกับคู่ต่อสู้แล้วตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ เขาอดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาบ้างไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ พ่อของเขาก็เคยบอกเขาว่า ศึกจัดอันดับครั้งแรกมีความสำคัญมาก มันไม่ได้สำคัญที่สวัสดิการที่จะได้รับหลังจากการจัดอันดับ ทว่าการทดสอบคัดเลือกที่บุคคลที่โดดเด่นอย่างยากลำบากจะทำให้นักเรียนที่โดดเด่นที่สุดได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์ที่โดดเด่นที่สุด นี่ก็คือโครงการสอนแรกเริ่มของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือซึ่งเป็นโครงการเฉพาะของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ

อย่างไรก็ตาม มีเพียงเด็กจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้ นอกจากนี้โครงการสอนแรกเริ่มเป็นโครงการลับสุดขีด วิธีการสอนก็เป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง นอกจากเด็กที่ถูกเลือกสามารถรู้เรื่องนี้แล้ว เด็กคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างไม่รู้ความลับนี้เลย

แน่นอนว่าสำหรับคนระดับสูงที่มีอำนาจในตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่แล้ว ความลับนี้ย่อมไม่ใช่ความลับเลย ดังนั้นพวกเขาเลยเตือนเด็กในตระกูลล่วงหน้าก่อนว่าให้สนใจเรื่องนี้ นี่ก็คือสาเหตุที่หลี่อิงเจี๋ยรู้ล่วงหน้าได้

อันที่จริงสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็รู้ดีอยู่แล้วว่า โครงการนี้ปกปิดต่อชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น แต่ทางสถาบันก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากปกติแล้วเด็กที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมความสามารถโดดเด่นก็มักจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ชนชั้นสูงทรงอิทธิพลเหล่านี้ ถึงยังไงยีนของคนพวกนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ทายาทรุ่นหลังที่เกิดมาย่อมไม่มีทางย่ำแย่

ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยจะร้อนใจอยู่บ้าง แต่พื้นฐานที่แน่นปึกจากการสั่งสอนของตระกูลหลี่ทำให้เขามีนิสัยอดทน เมื่อต่อสู้กับฉีหลงไปมาจนเกือบถึงหนึ่งร้อยท่า เดิมทีเขาคิดว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นบ้าง แต่หลังจากที่ผ่านหนึ่งร้อยกระบวนท่าไป เขาก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายรับ ตอนนี้หัวใจเขาเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา ยิ่งเขาต่อสู้ก็ยิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ

ชายหน้ายิ้มมองดูถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “อาไท่ ดูเหมือนว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแล้วนะ”

ชายหน้าโลงศพผงกศีรษะ “ดูเหมือนความอดทนของคู่ต่อสู้เด็กหัวเกรียนจะไม่แย่เอามากๆ นี่เป็นโอกาสดี แต่จะคว้าได้หรือเปล่า ยังต้องดูว่าเด็กหัวเกรียนจะทำยังไง” ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ เด็กคนนั้นก็จะไม่มีทางแพ้….

หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจแล้วว่าเขาไม่อาจพัวพันกับฉีหลงได้อีกต่อไป เขาต้องชิงรุก รีบจบการประลองรอบนี้และเลื่อนอันดับสู่รอบชิง มีเพียงแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด

หลี่อิงเจี๋ยทำการตัดสินใจแล้ว กลิ่นอายบนตัวเขาก็เปลี่ยนไป ความร้อนใจเล็กน้อยที่มีอยู่แต่เดิมนั้นอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่แผ่ออกมาทั่วทั้งร่างมีเพียงความมืดครึ้มเท่านั้น

นักเรียนที่ชมดูอาจจะสัมผัสไม่ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายแบบนี้ แต่สายตาของเหล่าอาจารย์ที่ชมการต่อสู้ต่างจริงจังขึ้นมา ชายหน้ายิ้มกับชายหน้าโลงศพเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะชายหน้าโลงศพ เขาบีบเหรียญสหพันธรัฐในมืออย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย

ตอนนี้ฉีหลงคล้ายกับสัมผัสไม่ได้ถึงความแตกต่างของหลี่อิงเจี๋ย ทว่าการโจมตีของเขาไม่ได้หยุดลง ตรงกันข้ามมันกลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ดวงตาทั้งสองข้างของชายหน้าโลงศพเย็นเยียบ สีหน้ายิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น หรือว่าฉีหลงเองสัมผัสได้ถึงอันตรายดังนั้นเขาถึงได้โจมตีอย่างสุดความสามารถ?

หลี่อิงเจี๋ยป้องกันไปเรื่อยๆ สองเท้าถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง ทว่าสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาสุดขีด จนถึงขนาดที่ยังมีจิตสังหารจางๆ จนไม่อาจจางได้อีก

ไม่ว่าฉีหลงจะบ้าคลั่งอีกยังไง การโจมตีของเขาก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดชะงัก และสิ่งที่หลี่อิงเจี๋ยรอคอยก็คือการหยุดชะงักนี้ เขาอยากจะเอาชนะฉีหลง ก็จำเป็นต้องเว้นระยะห่างที่เพียงพอ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องถูกฉีหลงพัวพันจนไม่สามารถลงมือใช้ไพ่ตายของเขาได้

ไม่ผิด หลี่อิงเจี๋ยมั่นใจในตัวเองขนาดนี้เป็นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ทรงพลังอยู่ พ่อของเขาเคยเตือนว่าเขาไม่สามารถใช้ไพ่ตายนี้มั่วซั่วได้ เนื่องจากนี่เป็นวิชาสังหารของตระกูลหลี่ เป็นทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงที่ตระกูลหลี่สืบทอดกันมาหลายพันปี

มีระยะห่างแล้ว ในที่สุดหลี่อิงเจี๋ยก็ตั้งท่าวิชาปลิดชีพของตระกูลหลี่ออกมา….

ชายหน้าโลงศพเห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพลิกนิ้วมือ เหรียญที่บีบไว ในฝ่ามือถูกเขาคีบอยู่ระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วชี้ ขอเพียงฉีหลงเข้าไปโจมตี เขาก็จะดีดเหรียญใส่ฉีหลงให้ออกจากขอบเขตการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าฉีหลงยังคงพุ่งเข้าไปโจมตีหลี่อิงเจี๋ยอย่างดุดันอยู่นั้น ฉีหลงกลับกระทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ ฉีหลงที่เดิมทีเตรียมตัวโจมตีเหมือนกับสัมผัสอะไรได้กะทันหัน เขาขมวดคิ้วแน่น หยุดฝีเท้า ไม่เพียงแค่นั้น เขายังถอยไปข้างหลังด้วยความฉับไวยิ่ง เว้นระยะห่างกับหลี่อิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉีหลงหยุดการเคลื่อนไหว ท่วงท่าโจมตีแต่เดิมของเขาก็เปลี่ยนเป็นท่าป้องกัน เขาทำหน้าระมัดระวัง ราวกับกังวลกับท่าทีของหลี่อิงเจี๋ย

ชายหน้าโลงศพเห็นถึงตรงนี้ ใบหน้าที่เดิมทีไร้ความรู้สึกก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา เหรียญที่ตั้งอยู่ระหว่างนิ้วมือถูกเขาเก็บกลับเข้าไปในฝ่ามืออีกครั้ง และเอ่ยติดต่อกันว่า “ไม่เลว นี่แหละ นี่แหละ”

“อาไท่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชายหน้ายิ้มพบว่าเขาดูอยู่เนิ่นนานก็ยังคงมึนงงสับสน ในที่สุดก็อดไม่ไหวเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“อย่ารีบร้อน อวิ๋นเยี่ย พอผลแพ้ชนะออกมา ฉันจะอธิบายให้นายฟังอีกครั้ง” ตอนนี้ชายหน้าโลงศพไม่มีใจจะอธิบายให้เพื่อนสนิทของตัวเองฟัง ดวงตาสุกสว่างคู่นั้นของเขาจ้องเขม็งไปที่ฉีหลง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา เดิมทีเป็นเพราะชายหน้ายิ้ม เขาถึงคิดจะรับฉีหลงเป็นลูกศิษย์แรกเริ่มของเขา ทว่าตอนนี้เขาต้องการอย่างหมดหัวใจจริงๆ

หานจี้จวินที่ชมการต่อสู้เองก็ทำหน้าเคร่งเครียดขึ้น กลิ่นไอของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าเขาไม่เหมือนกับอาจารย์ที่สัมผัสได้แม่นยำ ทว่าเขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บวกกับท่าทีประหลาดของหลี่อิงเจี๋ย หานจี้จวินรู้ว่าท่าจะไม่ดีแล้ว หานจี้จวินที่ชาญฉลาดคาดเดาออกได้ในพริบตาว่า หลี่อิงเจี๋ยน่าจะหยิบไพ่ตายของเขาที่ซ่อนเอาไว้ลึกๆ ออกมา เนื่องจากท่วงท่าที่ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวอยู่นิดหน่อยแบบนี้ไม่เคยปรากฎขึ้นในการประลองรอบก่อนๆ เลย

ตอนนี้เอง หานจี้จวินอดกังขาขึ้นมาไม่ได้ มิน่าล่ะ หลายปีที่ผ่านมาอันดับหนึ่งถึงถูกลูกหลานของตระกูลเก่าแก่พวกนี้ยึดครองไว้ รากฐานของพวกเขาล้ำลึกมากจริงๆ ควรทราบว่าครอบครัวชนชั้นกลางในระบบทหารอย่างพวกเขาสามารถเรียนรู้วิชาการต่อสู้พื้นฐานระดับสูงของกองทัพได้ก็นับว่าโชคดีสุดยอดแล้ว แต่ว่าตระกูลเก่าแก่กลับมีวิชาการต่อสู้ที่คล้ายคลึงแบบนี้มากมายและหลากหลาย จนถึงขนาดที่ยังมีวิชาต่อสู้ที่สืบทอดกันมาอย่างแท้จริง เช่น วิชาของตระกูลหลี่

ทั้งสองคนก็คุมเชิงกันเช่นนี้ แต่คราวนี้ฉีหลงกลับแสดงความอดทนที่หาได้ยากยิ่งออกมา ไม่ได้พุ่งเข้าไปโจมตี

หลี่อิงเจี๋ยอดด่าในใจไม่ได้ ทำไมฉีหลงถึงได้โชคดีขนาดนี้ ต้องรู้ไว้ว่าการตั้งท่าของเขาในตอนนี้เป็นท่าตอบโต้ป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหลี่ ขอเพียงชั่วพริบตาที่ฉีหลงโจมตี เขาก็สามารถฉวยโอกาสโจมตีจุดอ่อนถึงแก่ชีวิตของอีกฝ่ายที่สูญเสียการป้องกันได้ มีประสิทธิภาพถึงขั้นโจมตีทีเดียวจอด แต่น่าเสียดายที่ฉีหลงไม่ยอมโจมตีมา…

ไม่ใช่ว่าหลี่อิงเจี๋ยไม่เคยคิดว่าฝ่ายตรงข้ามมองกระบวนท่าของเขาออกหรือเปล่า เพียงแต่เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมามันก็ถูกเขาปัดทิ้งไป เนื่องจากพ่อเคยบอกว่า ศัตรูที่เคยเห็นวิชาสังหารของตระกูลหลี่ต่างตายหมดแล้ว ฉีหลงย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

สุดท้าย คนที่พ่ายแพ้ด้านความอดทนอีกครั้งก็ยังคงเป็นหลี่อิงเจี๋ย หลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รออีกต่อไป เนื่องจากเขาไม่ได้มีแค่กระบวนท่าสังหารนี้ท่าเดียว เขายังมีท่าสังหารที่ใช้บุกโจมตีอีกมากมาย

ดังนั้น หลี่อิงเจี๋ยจึงเปลี่ยนท่า เขาพุ่งเข้าไปหาฉีหลงก่อน พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายฉีหลง สองนิ้วบนมือข้างซ้ายตรงไปที่สีข้างด้านขวาของฉีหลง ส่วนมือขวาก็ตั้งฝ่ามือให้กลายเป็นคมมีด…..

ฉีหลงเห็นดังนั้นก็อึ้งไป หลังจากนั้นเขาก็กำหมัดที่มือขวาประจันหน้ากับนิ้วมือข้างซ้ายของอีกฝ่ายโดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิด

ชายหน้าโลงศพลดมือลงต่ำ เหรียญเล็กๆ นั้นปรากฏขึ้นที่ตรงระหว่างนิ้วของเขาอีกครั้ง

“ผัวะ!” เสียงร่างกายกระแทกกันอีกครั้ง ร่างของทั้งสองกระเด็นออกไปคนละทิศทาง

“อ๊ากก!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตาม จากนั้นก็เป็นเสียงกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรงดังขึ้นมาสองเสียง ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหนักหน่วงจนไม่สามารถต้านทานพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ร่างหนึ่งในนั้นกระแทกกับด้านหลังสนามประลองแล้วก็กลิ้งติดต่อกันไปหลายตลบก่อนจะเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ตรงออกไปจากสนามประลอง ก่อนจะล้มลงไปที่ด้านล่างของสนามประลอง

ส่วนอีกคนก็กระแทกกับสนามประลองจนลากเป็นรอยครูดลึกๆ หลังจากนั้นก็ไถลไปที่ขอบสนามประลองอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เห็นว่ากำลังจะไถลตกจากสนามประลองนั้น มือซ้ายของคนผู้นั้นก็ทำท่ากางกรงเล็บขูดไปบนพื้นสนามประลองโดยอย่างเฉียบขาด

นิ้วมือส่งเสียงฝังลงไปกับพื้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ พื้นสนามประลองยังคงเหลือร่องรอยขูดเป็นทางยาวประมาณสามเซนติเมตร แต่เป็นเพราะพละกำลังนี้ทำให้คนผู้นี้หยุดร่างกายไม่ให้ร่วงลงไปได้ หลังจากนั้นก็เห็นเขาพลิกตัวกลางอากาศราวกับเหยี่ยวก่อนจะยืนบนขอบสนามอย่างมั่นคงอีกครั้ง บอกกับทุกคนว่าผู้ชนะในการต่อสู้รอบนี้คือเขา ไม่ใช่คนอื่น

อาจารย์ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ด้านข้างสนามประลองมองร่างคนที่ตกลงมาอยู่ด้านล่างสนามประลองแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังนักเรียนที่ยืนอย่างมั่นคงอยู่ทางด้านข้างอีกครั้ง สีหน้าของเขาประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘ดูท่าปีหนึ่งห้องเอจะเกิดเรื่องสะเทือนฟ้าดินจริงๆ’

“ฉันขอประกาศว่า ผู้ชนะที่ได้เลื่อนเข้าสู่รอบชิงคือ ฉีหลง!”

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+