บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 260 ส่งคืนกระบี่

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 260 ส่งคืนกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 260 ส่งคืนกระบี่

 

“ลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่ ช่างดีจริงๆ” หลังจากฟังเรื่องราวจากพยัคฆ์อัสนี หวังเย่หลิงก็พยายามเช็ดน้ําตาของตนเอง แต่ไม่ว่าจะซับไปเท่าไหร่น้ําตาของนางก็ยังไหลไม่หยุดอยู่ดี

 

“ทําไมเจ้าไม่หนีออกไปเล่า มังกรคู่นี้ก็น่าจะพอให้เจ้าหนีได้แล้วไม่ใช่หรือ” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองเจ้ามังกรสีดํา และขาวที่ลอยอยู่บนหัวตนเอง พวกมันมีพลังสูงกว่าพยัคฆ์อัสนีเสียอีก ซึ่งพยัคฆ์อัสนีไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ต่อต้านพวกมันทั้งสองได้ไม่กี่คนนักหรอก

 

“ไม่ได้หรอก” หวังเย่หลิงตอบพลางยื่นฝ่ามือให้พยัคฆ์อัสนีดู มือของนางมีรอยสีฟ้าปรากฏอยู่ตั้งแต่ข้อมือลามเข้าไปในเสื้อผ้า จึงไม่ทราบว่ารอยนั่นลามไปถึงไหนกันแน่ แต่แค่ที่เห็นภายนอกพยัคฆ์อัสนีก็เข้าใจทันทีว่าเย่หลิงหมายถึงอะไร

 

“ข้าโดนวิชาจิตภูติอุดรเข้าไป ตอนนี้หากไม่ได้ยาที่หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตทําทุกวันก็จะตายทันที” หวังเย่หลิงส่ายหน้าเบาๆพลางวางแขนของตัวเองลง หากไม่ได้รับยา ยามพระอาทิตย์ตกดินนางจะทรมานอย่างมาก บางครั้งรู้สึกราวกับจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ํา มีเพียงยาของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตเท่านั้นที่บรรเทาอาการเย็นยะเยียบนี้ได้ เพราะผู้ที่ทําให้นางมีอาการเช่นนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตนั่นเอง

 

“ถ้าเช่นนั้นไปกับข้า ข้ามีพี่ชายตนหนึ่งที่น่าจะสามารถรักษาเจ้าได้” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางทําท่าจะพังหน้าต่างของศาลาเข้าไป

 

“เจ้าเดินทางไปหาพี่ชายเจ้าได้ใน 1 วันงั้นหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนไปจับตัวเจ้ากลับมาใช้เวลาร่วม 3 เดือนเชียวนะ ต่อให้เป็นขาไปอย่างเดียวก็ต้องเดือนครึ่งเข้าไปแล้ว”มังกรสีขาวสวนออกมาทันที ไม่ช่าว่ามันไม่อยากพาเย่หลิงหนี แต่หากพาหนีแล้วรักษาอาการที่ว่าไม่ได้ใน 1 วันพวกมันก็เท่ากับฆ่าเย่หลิงด้วยตนเองนะสิ

 

“เรื่องนั้น…” พยัคฆ์อัสนี้เงียบไปครู่หนึ่ง แม้จะใช้ร่างสายฟ้า แต่ระยะทางขนาดนั้นไม่มีวันไปถึงใน 1 วันโดยต้องพามนุษย์คนหนึ่งติดไปด้วยแน่ๆ หรือมันจะไปคนเดียวดี ไม่ ไม่ได้ พวกมันขู่เอาไว้ว่าหากพวกมันหนีไปจะทรมานเย่หลิง ซึ่งอสูรทั้งหมดรวมทั้งพยัคฆ์อัสนีเองก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ๆ ยิ่งได้รู้ว่าเย่หลิงคือมารดาที่แท้จริงของไป๋จูเหวินมันยิ่งไม่มีทางยอม

 

“เจ้าออกมาทําอะไรที่นี่”อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่ประตูทางเข้า เพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องที่จะแก้ปัญหาของเย่หลิง มันเลยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

 

“ท่านรองท่านก็น่าจะทราบว่าอสูรทนแรงดึงดูดของข้าไม่ได้”เย่หลิงรีบตอบพลางมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา

 

“แต่มันก็หนีออกจากกรงอยู่ดี” คนที่ถูกเรียกว่าท่านรอง พูดพลางเดินมายืนอยู่ตรงหน้าพยัคฆ์อัสนี ทันทีที่เห็นพยัคฆ์อัสนีเริ่มมีท่าที่จะจู่โจมมันก็ชูสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา

 

“นี่คือยาที่จะทําให้หวังเย่หลิงไม่ตาย หากเจ้าโจมตีเข้ามา ข้าจะทําลายทิ้ง”ชายคนนั้นว่าพลางยื่นยาเม็ดนั้นให้เย่หลิง

 

“แน่นอน ว่าถ้าโจมตีข้าตอนนี้ ยาในวันต่อไปก็อย่าหวังเลย” พูดจบ มันก็มองพยัคฆ์อัสนีตั้งแต่หัวจรดเท้า มันไม่ทราบว่าพลังของพยัคฆ์อัสนี้อยู่ระดับไหน แต่สามารถหนีออกมาจากคุกใต้ดินได้โดยไม่มีคนรู้เลยแสดงว่ามันไม่ธรรมดาเหมือนกัน

 

“มันอยู่ระดับเดียวกับ เทียนหลิง และเย่หลิง”เย่หลิงพูด พลางมองไปทางมังกรทั้งสองตัวที่ลอยอยู่บนฟ้า แน่นอนว่าพวกมันแสดงท่าที่ไม่พอใจนิดหน่อย เพราะจริงๆแล้วพวกมันอยู่ระดับเหนือกว่าพยัคฆ์อัสนี

 

“งั้นหรือ เยี่ยมไปเลย”ได้ยินเช่นนั้นรองหัวหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เท่านี้พวกมันก็ได้ขุมกําลังเพิ่มแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก

 

“แล้วก็อย่าลืมล่ะ”รองหัวหน้าว่าพลางยื่นมือเข้าไปในหน้าต่างก่อนจะดึงเส้นผมของเย่หลิงขึ้นมาลูบคลําเบาๆ

 

“เป็นเพราะข้าขอร้องท่านหัวหน้าให้ไว้ชีวิตเจ้า เจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ได้”รองหัวหน้าหัวเราะพลางเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี เห็นท่าทีของมันเช่นนั้นแล้วก็ทําเอาเย่หลิงได้แต่กัดฟันแน่น

 

“อยู่แบบนี้สู้ตายไปซะดีกว่า”เย่หลิงว่าพลางหันหลังให้กับหน้าต่าง นางถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอาอสูรมาสร้างกองทัพ นางต้องทนเห็นเหล่าอสูรที่นางรักโดนจับมาขังตนแล้วตนเล่าทําเอานางแทบจะทนไม่ได้

 

“อย่าพูดเช่นนั้น” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางนั่งลงที่ข้างๆหน้าต่างอย่างช้าๆ

 

“หากเจ้าตายจูเอ๋อ…บุตรชายของเจ้าจะเสียใจแน่ๆ ข้าจะพยายามหาทางพาเจ้าออกไปเอง” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกําหมัดแน่น

 

“องค์จักรพรรดิ” ขณะเดียวกันในวังหลวงของอาณาจักรซิน อยู่ๆทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในท้องพระโรงที่ยังมีเหล่าขุนนางประชุมกันอยู่เต็มห้อง

 

“มีอะไร ทําไมเจ้าถึงรีบร้อนนัก” องค์จักรพรรดิถามพลางมองท่าทีของทหารที่พึ่งวิ่งเข้ามา

 

“มีชายคนหนึ่งมาขอพบท่านขอรับ” ทหารคนนั้นว่าพลางมองไปทางประตูที่ตนพึ่งวิ่งเข้ามา

 

“แล้วทําไมเจ้าต้องรีบร้อนขนาดนั้น มันเป็นใครกัน” องค์จักรพรรดิถามพลางถอนหายใจออกมา แค่คนมาขอพบทําไมต้องทําท่าร้อนรนปานนั้น

“มันอ้างว่าเป็นคนในราชวงศ์ชินขอรับ และยังนํากระบี่ทองราชวงศ์ชินมาด้วย”ได้ยินเช่นนั้นองค์จักรพรรดิก็ขมวดคิ้วนุ่น กระบี่ที่ว่าเป็นตํานานของแผ่นดิน ทําให้คนทั้งอาณาจักรทราบเรื่องนี้ดี สิ่งแรกที่องค์จักรพรรดิคิดคือพวกหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถอ้างตัวว่ามีกระบี่ทองราชวงศ์ชินได้กันทั้งนั้น

 

“พามันเข้ามา” จักรพรรดิว่าพลางลุกขึ้น ไม่ใช่ว่ามันเชื่อ แต่หากคนที่มาโกหก มันจะลงโทษและประจานกลางเมืองซะ

 

ตึง!! ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกระบี่สีทองที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม เพียงแต่ชายหนุ่มคนนั้นหาใช้ไป๋จูเหวินไม่

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ทองราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิถามพลางมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยท่าที่นิ่งเฉย ระดับพลังของมันอยู่เพียงชําระกระดูกไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอายุ

 

“ขอรับ นี่คือกระบี่ทองราชวงศ์ชิน บิดาของข้ามอบให้ข้า และบอกว่าจริงๆแล้วพวกเราสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชิน” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นกระบี่ทองไปด้านหน้า

 

กระบี่สีทองที่ประดับอย่างสวยงาม การตกแต่งนั้นตรงตามตํานานทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนทําให้เหล่าขุนนางที่อยู่ รอบๆพากันยิมออกมา

 

“ฮาๆ กระบี่ทองตามตํานานจริงๆด้วย”องค์จักรพรรดิหัวเราะพลางเดินลงมาจากบัลลังก์ ก่อนที่มันจะรับกระบี่มาจากชายหนุ่มตรงหน้า มันชักกระบี่ออกมาพลางมองคมกระบี่อย่างสนใจ กระบี่ถูกตีออกมาจากทองจริงๆ แถมยังมีสลักคําว่า ชิน เอาไว้จริงๆเสียด้วย

 

ฉับ! จักรพรรดิฟันกระบี่ใส่แขนของชายที่เอามาทําเอามือของมันขาดออกจากกันพร้อมหน้างงงวยของชายหนุ่ม

 

ตูมๆๆๆ !! ก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดลงมือทําอะไรทหารองครักษณ์ก็พุ่งเข้ามากดร่างของชายหนุ่มเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้

 

“คิดว่ากระบี่ราชวงศ์เป็นกระบี่ที่หลอมจากทองที่มีในเหรียญทองหรือยังไง”องค์จักรพรรดิว่าพลางฟาดกระบี่ลงพื้น ด้วยความเปราะของทองทําให้มันงอในพริบตา ถือว่าเป็นความโชคดีของราชวงศ์ชินก็ได้ที่ผู้วาดตํานานของกระบี่ทองนั้นแต่งแต้มเสริมแต่งจนกระบี่ในตํานานมีรูปร่างไม่เหมือนกระบี่ราชวงศ์ชินจริงๆเลย ผู้ที่รู้ว่ากระบี่ทองราชวงศ์ชินนั้นจริงๆแล้วมีรูปร่างเช่นใดมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็เป็นผู้มีอํานาจในราชวงศ์ทั้งสิ้น แต่ที่สังเกตง่ายที่สุดคือตัวกระบี่ แม้จะเป็นสีทองสุกสะกราว แต่ไม่ได้ตีจากทองจริงๆ มันตีมาจากโลหะที่ชื่อว่าโลหะอาบตะวัน สีของมันเหมือนทองและให้แสงที่อบอุ่นอย่างมาก และที่สําคัญมันแข็งแกร่งมากจนกลายเป็นกระบี่อันดับต้นๆของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“เอามันไปซึ่งประจานที่กลางเมืองหลวง เขียนอักษรตัวโตๆว่ามันคือผู้แอบอ้างเป็นผู้ถือครองกระบี่ทองราชวงศ์ซิน”องค์จักรพรรดิพูดด้วยท่าที่เกรียวโกรด พร้อมส่งกระบี่ทองให้กับพวกองครักษ์ของถูกๆเช่นนี้มีราคาไม่ถึง 1000 เหรียญทองเสียด้วยซ้ํา

 

“องค์จักรพรรดิ” อยู่ๆทหารอีกคนก็เข้ามาพร้อมทําท่าจะรายงานบางอย่าง

 

“มีอะไรอีก” องค์จักรพรรดิว่าพลางเดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์อีกครั้ง

 

“มีชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นคนของราชวงศ์ชินขอรับ และมันยังเอากระบี่ทองราชวงศ์ชิงมาด้วย” ราวกับบทท่องที่เตรียมมาด้วยกัน วันนี้ได้เจอมิจฉาชีพถึง 2 คนเลยงั้นหรือ

 

“เอาเจ้านี้ไปซ่อนไว้อีกห้อง จะได้เอาไปซึ่งประจานพร้อมกัน” องค์จักรพรรดิถอนหายใจออกมาพลางเท้าบัลลังก์อย่างเหนื่อยใจ ปกติจะมีพวกลองดีมาประมานปีละ 2 – 3 คน ไม่นึกว่าวันเดียวจะมีมา 2 คนพร้อมกัน

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิว่าพลางพูดด้วยน้ําเสียงเนือยๆ

 

“ขอรับ ท่านพ่อบอกข้าว่าตระกูลของท่านจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้หากนํากระบี่เล่มนี้มาส่งคืน”ไป๋จูเหวินพูดพลางยกกระบี่ขึ้นให้องค์จักรพรรดิได้เห็น

 

“ ”องค์จักรพรรดิที่มีท่าทีเนือยๆมาถึงเมื่อครู่ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองกระบี่ในมือไป๋จูเหวินนิ่ง ก่อนอื่นเลยตัวไป๋จูเหวินนั้นเป็นยอดฝีมือที่เกือบจะแตะระดับเทียนเซียนอยู่แล้ว ด้วยอายุของมันนับว่าไม่ธรรมดา ยิ่งหญิงสาวที่อยู่ข้างๆนางอยู่ระดับเทียนเซียนไปแล้ว อายุพวกมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ไม่นึกว่าจะมีอัจฉริยะแบบนี้อยู่ในอาณาจักรของพวกมันด้วย

 

“ขะ ขอข้าดูกระบี่หน่อย” แต่สิ่งที่ทําให้องค์จักรพรรดิอึ้งไปคือกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามา เมื่อเทียบกับกระบี่ก่อนหน้านี้ การตกแต่งของกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามางดงามกว่ามาก แม้จะไม่หรูหราเท่า แต่ความละเอียดลออของผลงานนั้นเทียบกันไม่ติดเลย

 

“นี่มัน”องค์จักรพรรดิรับกระบี่มาถือ พลางชักออกมาจากฝัก เพียงเห็นตัวอักษรชินบนกระบี่ มันก็ชะงักค้างไปหลายวินาที โดยเฉพาะเนื้อกระบี่นั้นเป็นโลหะที่สะท้อนแสงสีทองออกมาได้ละมุนยิ่งกว่าทองคําเสียอีก ไม่ผิดแน่ มันคือกระบี่ทองราชวงศ์ชินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“เจ้าเป็นบุตรชายของใคร”องค์จักรพรรดิถามพลางเก็บกระบี่ไป

 

“บิดาของข้ามีนามว่าชินหลุนขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองกระบี่ที่องค์จักรพรรดิถือเอาไว้ พอเห็นกระบี่มันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที ท่าทางกระบี่เล่มนี้จะใช้ได้กระมัง

 

“ชินหลุน.”องค์จักรพรรดิอึ้งไป ก่อนจะมองไปรอบๆ

 

“ขุนนางทุกท่าน…วันนี้ข้าขอรบกวนให้พวกท่านกลับไปก่อนได้หรือไม่” เห็นท่าทีแปลกๆขององค์จักรพรรดิเหล่าขุนนางก็พากันลิ้งเช่นกัน หรือว่ากระบี่เล่มนั้นจะเป็นของจริงกัน

 

“องค์จักรพรรดิ เช่นนั้นข้าขัวตัวก่อน” ชายคนหนึ่งพูดพลางเดินเข้ามาลาองค์จักรพรรดิ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีแดงเข้มตกแต่งอย่างสวยงาม ดูภายนอกแล้วเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางผอมบาง แต่พลังของมันนั้นกลับสูงจนน่าตกใจ

 

“ขอบคุณที่ท่านสละเวลามาร่วมประชุมท่านหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิต” องค์จักรพรรดิว่าพลางยิ้มบางๆ แต่ไป๋จูเหวินที่อยู่ข้างๆกลับสะดุ้งโหยง ตอนนี้มันยังไม่ทราบว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ ในใจของมันจึงตราหน้าหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าเป็นคนสังหารมารดาไปแล้ว ทําให้ไป๋จูเหวินเกิดพลังพุ่งพล่านขึ้นมา

 

“พี่ไป”เหม่ยหลินที่อยู่ข้างๆดึงแขนของไป๋จูเหวินเอาไว้ หากไป๋จูเหวินลงมือตอนนี้ได้เสียแผนแน่ๆ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าจักรพรรดิเกรงใจหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตแค่ไหน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินลดพลังตนเองลงมาพลางหายใจเข้าลึกๆ ยังไม่ใช่ตอนนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรอสูรบรรพกาลบุตรอสูรบรรพกาล 260 ส่งคืนกระบี่

Now you are reading บุตรอสูรบรรพกาล Chapter บุตรอสูรบรรพกาล 260 ส่งคืนกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 260 ส่งคืนกระบี่

 

“ลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่ ช่างดีจริงๆ” หลังจากฟังเรื่องราวจากพยัคฆ์อัสนี หวังเย่หลิงก็พยายามเช็ดน้ําตาของตนเอง แต่ไม่ว่าจะซับไปเท่าไหร่น้ําตาของนางก็ยังไหลไม่หยุดอยู่ดี

 

“ทําไมเจ้าไม่หนีออกไปเล่า มังกรคู่นี้ก็น่าจะพอให้เจ้าหนีได้แล้วไม่ใช่หรือ” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองเจ้ามังกรสีดํา และขาวที่ลอยอยู่บนหัวตนเอง พวกมันมีพลังสูงกว่าพยัคฆ์อัสนีเสียอีก ซึ่งพยัคฆ์อัสนีไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ต่อต้านพวกมันทั้งสองได้ไม่กี่คนนักหรอก

 

“ไม่ได้หรอก” หวังเย่หลิงตอบพลางยื่นฝ่ามือให้พยัคฆ์อัสนีดู มือของนางมีรอยสีฟ้าปรากฏอยู่ตั้งแต่ข้อมือลามเข้าไปในเสื้อผ้า จึงไม่ทราบว่ารอยนั่นลามไปถึงไหนกันแน่ แต่แค่ที่เห็นภายนอกพยัคฆ์อัสนีก็เข้าใจทันทีว่าเย่หลิงหมายถึงอะไร

 

“ข้าโดนวิชาจิตภูติอุดรเข้าไป ตอนนี้หากไม่ได้ยาที่หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตทําทุกวันก็จะตายทันที” หวังเย่หลิงส่ายหน้าเบาๆพลางวางแขนของตัวเองลง หากไม่ได้รับยา ยามพระอาทิตย์ตกดินนางจะทรมานอย่างมาก บางครั้งรู้สึกราวกับจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ํา มีเพียงยาของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตเท่านั้นที่บรรเทาอาการเย็นยะเยียบนี้ได้ เพราะผู้ที่ทําให้นางมีอาการเช่นนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตนั่นเอง

 

“ถ้าเช่นนั้นไปกับข้า ข้ามีพี่ชายตนหนึ่งที่น่าจะสามารถรักษาเจ้าได้” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางทําท่าจะพังหน้าต่างของศาลาเข้าไป

 

“เจ้าเดินทางไปหาพี่ชายเจ้าได้ใน 1 วันงั้นหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนไปจับตัวเจ้ากลับมาใช้เวลาร่วม 3 เดือนเชียวนะ ต่อให้เป็นขาไปอย่างเดียวก็ต้องเดือนครึ่งเข้าไปแล้ว”มังกรสีขาวสวนออกมาทันที ไม่ช่าว่ามันไม่อยากพาเย่หลิงหนี แต่หากพาหนีแล้วรักษาอาการที่ว่าไม่ได้ใน 1 วันพวกมันก็เท่ากับฆ่าเย่หลิงด้วยตนเองนะสิ

 

“เรื่องนั้น…” พยัคฆ์อัสนี้เงียบไปครู่หนึ่ง แม้จะใช้ร่างสายฟ้า แต่ระยะทางขนาดนั้นไม่มีวันไปถึงใน 1 วันโดยต้องพามนุษย์คนหนึ่งติดไปด้วยแน่ๆ หรือมันจะไปคนเดียวดี ไม่ ไม่ได้ พวกมันขู่เอาไว้ว่าหากพวกมันหนีไปจะทรมานเย่หลิง ซึ่งอสูรทั้งหมดรวมทั้งพยัคฆ์อัสนีเองก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ๆ ยิ่งได้รู้ว่าเย่หลิงคือมารดาที่แท้จริงของไป๋จูเหวินมันยิ่งไม่มีทางยอม

 

“เจ้าออกมาทําอะไรที่นี่”อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่ประตูทางเข้า เพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องที่จะแก้ปัญหาของเย่หลิง มันเลยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

 

“ท่านรองท่านก็น่าจะทราบว่าอสูรทนแรงดึงดูดของข้าไม่ได้”เย่หลิงรีบตอบพลางมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา

 

“แต่มันก็หนีออกจากกรงอยู่ดี” คนที่ถูกเรียกว่าท่านรอง พูดพลางเดินมายืนอยู่ตรงหน้าพยัคฆ์อัสนี ทันทีที่เห็นพยัคฆ์อัสนีเริ่มมีท่าที่จะจู่โจมมันก็ชูสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา

 

“นี่คือยาที่จะทําให้หวังเย่หลิงไม่ตาย หากเจ้าโจมตีเข้ามา ข้าจะทําลายทิ้ง”ชายคนนั้นว่าพลางยื่นยาเม็ดนั้นให้เย่หลิง

 

“แน่นอน ว่าถ้าโจมตีข้าตอนนี้ ยาในวันต่อไปก็อย่าหวังเลย” พูดจบ มันก็มองพยัคฆ์อัสนีตั้งแต่หัวจรดเท้า มันไม่ทราบว่าพลังของพยัคฆ์อัสนี้อยู่ระดับไหน แต่สามารถหนีออกมาจากคุกใต้ดินได้โดยไม่มีคนรู้เลยแสดงว่ามันไม่ธรรมดาเหมือนกัน

 

“มันอยู่ระดับเดียวกับ เทียนหลิง และเย่หลิง”เย่หลิงพูด พลางมองไปทางมังกรทั้งสองตัวที่ลอยอยู่บนฟ้า แน่นอนว่าพวกมันแสดงท่าที่ไม่พอใจนิดหน่อย เพราะจริงๆแล้วพวกมันอยู่ระดับเหนือกว่าพยัคฆ์อัสนี

 

“งั้นหรือ เยี่ยมไปเลย”ได้ยินเช่นนั้นรองหัวหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เท่านี้พวกมันก็ได้ขุมกําลังเพิ่มแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก

 

“แล้วก็อย่าลืมล่ะ”รองหัวหน้าว่าพลางยื่นมือเข้าไปในหน้าต่างก่อนจะดึงเส้นผมของเย่หลิงขึ้นมาลูบคลําเบาๆ

 

“เป็นเพราะข้าขอร้องท่านหัวหน้าให้ไว้ชีวิตเจ้า เจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ได้”รองหัวหน้าหัวเราะพลางเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี เห็นท่าทีของมันเช่นนั้นแล้วก็ทําเอาเย่หลิงได้แต่กัดฟันแน่น

 

“อยู่แบบนี้สู้ตายไปซะดีกว่า”เย่หลิงว่าพลางหันหลังให้กับหน้าต่าง นางถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอาอสูรมาสร้างกองทัพ นางต้องทนเห็นเหล่าอสูรที่นางรักโดนจับมาขังตนแล้วตนเล่าทําเอานางแทบจะทนไม่ได้

 

“อย่าพูดเช่นนั้น” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางนั่งลงที่ข้างๆหน้าต่างอย่างช้าๆ

 

“หากเจ้าตายจูเอ๋อ…บุตรชายของเจ้าจะเสียใจแน่ๆ ข้าจะพยายามหาทางพาเจ้าออกไปเอง” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกําหมัดแน่น

 

“องค์จักรพรรดิ” ขณะเดียวกันในวังหลวงของอาณาจักรซิน อยู่ๆทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในท้องพระโรงที่ยังมีเหล่าขุนนางประชุมกันอยู่เต็มห้อง

 

“มีอะไร ทําไมเจ้าถึงรีบร้อนนัก” องค์จักรพรรดิถามพลางมองท่าทีของทหารที่พึ่งวิ่งเข้ามา

 

“มีชายคนหนึ่งมาขอพบท่านขอรับ” ทหารคนนั้นว่าพลางมองไปทางประตูที่ตนพึ่งวิ่งเข้ามา

 

“แล้วทําไมเจ้าต้องรีบร้อนขนาดนั้น มันเป็นใครกัน” องค์จักรพรรดิถามพลางถอนหายใจออกมา แค่คนมาขอพบทําไมต้องทําท่าร้อนรนปานนั้น

“มันอ้างว่าเป็นคนในราชวงศ์ชินขอรับ และยังนํากระบี่ทองราชวงศ์ชินมาด้วย”ได้ยินเช่นนั้นองค์จักรพรรดิก็ขมวดคิ้วนุ่น กระบี่ที่ว่าเป็นตํานานของแผ่นดิน ทําให้คนทั้งอาณาจักรทราบเรื่องนี้ดี สิ่งแรกที่องค์จักรพรรดิคิดคือพวกหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถอ้างตัวว่ามีกระบี่ทองราชวงศ์ชินได้กันทั้งนั้น

 

“พามันเข้ามา” จักรพรรดิว่าพลางลุกขึ้น ไม่ใช่ว่ามันเชื่อ แต่หากคนที่มาโกหก มันจะลงโทษและประจานกลางเมืองซะ

 

ตึง!! ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกระบี่สีทองที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม เพียงแต่ชายหนุ่มคนนั้นหาใช้ไป๋จูเหวินไม่

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ทองราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิถามพลางมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยท่าที่นิ่งเฉย ระดับพลังของมันอยู่เพียงชําระกระดูกไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอายุ

 

“ขอรับ นี่คือกระบี่ทองราชวงศ์ชิน บิดาของข้ามอบให้ข้า และบอกว่าจริงๆแล้วพวกเราสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชิน” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นกระบี่ทองไปด้านหน้า

 

กระบี่สีทองที่ประดับอย่างสวยงาม การตกแต่งนั้นตรงตามตํานานทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนทําให้เหล่าขุนนางที่อยู่ รอบๆพากันยิมออกมา

 

“ฮาๆ กระบี่ทองตามตํานานจริงๆด้วย”องค์จักรพรรดิหัวเราะพลางเดินลงมาจากบัลลังก์ ก่อนที่มันจะรับกระบี่มาจากชายหนุ่มตรงหน้า มันชักกระบี่ออกมาพลางมองคมกระบี่อย่างสนใจ กระบี่ถูกตีออกมาจากทองจริงๆ แถมยังมีสลักคําว่า ชิน เอาไว้จริงๆเสียด้วย

 

ฉับ! จักรพรรดิฟันกระบี่ใส่แขนของชายที่เอามาทําเอามือของมันขาดออกจากกันพร้อมหน้างงงวยของชายหนุ่ม

 

ตูมๆๆๆ !! ก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดลงมือทําอะไรทหารองครักษณ์ก็พุ่งเข้ามากดร่างของชายหนุ่มเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้

 

“คิดว่ากระบี่ราชวงศ์เป็นกระบี่ที่หลอมจากทองที่มีในเหรียญทองหรือยังไง”องค์จักรพรรดิว่าพลางฟาดกระบี่ลงพื้น ด้วยความเปราะของทองทําให้มันงอในพริบตา ถือว่าเป็นความโชคดีของราชวงศ์ชินก็ได้ที่ผู้วาดตํานานของกระบี่ทองนั้นแต่งแต้มเสริมแต่งจนกระบี่ในตํานานมีรูปร่างไม่เหมือนกระบี่ราชวงศ์ชินจริงๆเลย ผู้ที่รู้ว่ากระบี่ทองราชวงศ์ชินนั้นจริงๆแล้วมีรูปร่างเช่นใดมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็เป็นผู้มีอํานาจในราชวงศ์ทั้งสิ้น แต่ที่สังเกตง่ายที่สุดคือตัวกระบี่ แม้จะเป็นสีทองสุกสะกราว แต่ไม่ได้ตีจากทองจริงๆ มันตีมาจากโลหะที่ชื่อว่าโลหะอาบตะวัน สีของมันเหมือนทองและให้แสงที่อบอุ่นอย่างมาก และที่สําคัญมันแข็งแกร่งมากจนกลายเป็นกระบี่อันดับต้นๆของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“เอามันไปซึ่งประจานที่กลางเมืองหลวง เขียนอักษรตัวโตๆว่ามันคือผู้แอบอ้างเป็นผู้ถือครองกระบี่ทองราชวงศ์ซิน”องค์จักรพรรดิพูดด้วยท่าที่เกรียวโกรด พร้อมส่งกระบี่ทองให้กับพวกองครักษ์ของถูกๆเช่นนี้มีราคาไม่ถึง 1000 เหรียญทองเสียด้วยซ้ํา

 

“องค์จักรพรรดิ” อยู่ๆทหารอีกคนก็เข้ามาพร้อมทําท่าจะรายงานบางอย่าง

 

“มีอะไรอีก” องค์จักรพรรดิว่าพลางเดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์อีกครั้ง

 

“มีชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นคนของราชวงศ์ชินขอรับ และมันยังเอากระบี่ทองราชวงศ์ชิงมาด้วย” ราวกับบทท่องที่เตรียมมาด้วยกัน วันนี้ได้เจอมิจฉาชีพถึง 2 คนเลยงั้นหรือ

 

“เอาเจ้านี้ไปซ่อนไว้อีกห้อง จะได้เอาไปซึ่งประจานพร้อมกัน” องค์จักรพรรดิถอนหายใจออกมาพลางเท้าบัลลังก์อย่างเหนื่อยใจ ปกติจะมีพวกลองดีมาประมานปีละ 2 – 3 คน ไม่นึกว่าวันเดียวจะมีมา 2 คนพร้อมกัน

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิว่าพลางพูดด้วยน้ําเสียงเนือยๆ

 

“ขอรับ ท่านพ่อบอกข้าว่าตระกูลของท่านจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้หากนํากระบี่เล่มนี้มาส่งคืน”ไป๋จูเหวินพูดพลางยกกระบี่ขึ้นให้องค์จักรพรรดิได้เห็น

 

“ ”องค์จักรพรรดิที่มีท่าทีเนือยๆมาถึงเมื่อครู่ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองกระบี่ในมือไป๋จูเหวินนิ่ง ก่อนอื่นเลยตัวไป๋จูเหวินนั้นเป็นยอดฝีมือที่เกือบจะแตะระดับเทียนเซียนอยู่แล้ว ด้วยอายุของมันนับว่าไม่ธรรมดา ยิ่งหญิงสาวที่อยู่ข้างๆนางอยู่ระดับเทียนเซียนไปแล้ว อายุพวกมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ไม่นึกว่าจะมีอัจฉริยะแบบนี้อยู่ในอาณาจักรของพวกมันด้วย

 

“ขะ ขอข้าดูกระบี่หน่อย” แต่สิ่งที่ทําให้องค์จักรพรรดิอึ้งไปคือกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามา เมื่อเทียบกับกระบี่ก่อนหน้านี้ การตกแต่งของกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามางดงามกว่ามาก แม้จะไม่หรูหราเท่า แต่ความละเอียดลออของผลงานนั้นเทียบกันไม่ติดเลย

 

“นี่มัน”องค์จักรพรรดิรับกระบี่มาถือ พลางชักออกมาจากฝัก เพียงเห็นตัวอักษรชินบนกระบี่ มันก็ชะงักค้างไปหลายวินาที โดยเฉพาะเนื้อกระบี่นั้นเป็นโลหะที่สะท้อนแสงสีทองออกมาได้ละมุนยิ่งกว่าทองคําเสียอีก ไม่ผิดแน่ มันคือกระบี่ทองราชวงศ์ชินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“เจ้าเป็นบุตรชายของใคร”องค์จักรพรรดิถามพลางเก็บกระบี่ไป

 

“บิดาของข้ามีนามว่าชินหลุนขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองกระบี่ที่องค์จักรพรรดิถือเอาไว้ พอเห็นกระบี่มันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที ท่าทางกระบี่เล่มนี้จะใช้ได้กระมัง

 

“ชินหลุน.”องค์จักรพรรดิอึ้งไป ก่อนจะมองไปรอบๆ

 

“ขุนนางทุกท่าน…วันนี้ข้าขอรบกวนให้พวกท่านกลับไปก่อนได้หรือไม่” เห็นท่าทีแปลกๆขององค์จักรพรรดิเหล่าขุนนางก็พากันลิ้งเช่นกัน หรือว่ากระบี่เล่มนั้นจะเป็นของจริงกัน

 

“องค์จักรพรรดิ เช่นนั้นข้าขัวตัวก่อน” ชายคนหนึ่งพูดพลางเดินเข้ามาลาองค์จักรพรรดิ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีแดงเข้มตกแต่งอย่างสวยงาม ดูภายนอกแล้วเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางผอมบาง แต่พลังของมันนั้นกลับสูงจนน่าตกใจ

 

“ขอบคุณที่ท่านสละเวลามาร่วมประชุมท่านหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิต” องค์จักรพรรดิว่าพลางยิ้มบางๆ แต่ไป๋จูเหวินที่อยู่ข้างๆกลับสะดุ้งโหยง ตอนนี้มันยังไม่ทราบว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ ในใจของมันจึงตราหน้าหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าเป็นคนสังหารมารดาไปแล้ว ทําให้ไป๋จูเหวินเกิดพลังพุ่งพล่านขึ้นมา

 

“พี่ไป”เหม่ยหลินที่อยู่ข้างๆดึงแขนของไป๋จูเหวินเอาไว้ หากไป๋จูเหวินลงมือตอนนี้ได้เสียแผนแน่ๆ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าจักรพรรดิเกรงใจหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตแค่ไหน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินลดพลังตนเองลงมาพลางหายใจเข้าลึกๆ ยังไม่ใช่ตอนนี้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+