ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 405 กฎของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 405 กฎของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 405 กฎของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

การแสดงออกของโฉวเชียนทั้งบิดเบี้ยวและดิ้นรนอย่างหนัก นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันพบกับสถานการณ์เช่นนี้

หลี่เมี่ยวเจินบอกว่า คนเพิ่งตายภายใต้สถานการณ์ที่วิญญาณทั้งสามยังไม่ได้มารวมตัวกัน ก็จะว่าง่ายราวกับลูกชายในตระกูลร่ำรวย ถามอะไรก็ตอบไม่ใช่รึ?

เวลานี้เอง สีหน้าของโฉวเชียนก็ค่อยๆ สงบลง แววตาเลื่อนลอย และกล่าวพึมพำว่า “ข้าสงสัยว่าเขาจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง”

“…”

ราวกับฟ้าผ่าลงมาที่จิตใจของสวี่ชีอัน และระเบิดขบวนความคิดทั้งหมดจนแหลกละเอียด ในสมองของเขาก้องไปด้วยเสียงหึ่ง และเต็มไปด้วยความวุ่นวายทุกหนทุกแห่ง

เขาใช้เวลานานมาก ถึงจะกู้คืนข้อมูลในสติปัญญาที่แหลกละเอียดได้ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคำตอบของจีเชียน

ครั้งนี้จีเชียนใช้คำว่า ‘สงสัย’ จากคำสองพยางค์นี้ สวี่ชีอันสามารถสรุปข้อมูลสำคัญได้สองประการ

ประการแรก จีเชียนเป็นเพียงคนที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของคนคนนั้น ไม่ใช่บุคคลที่สำคัญที่สุด เขาจึงเข้าไม่ถึงความลับสุดยอด

ประการที่สอง ในเมื่อจีเชียนตั้งข้อสงสัยดังกล่าว แสดงว่าเขาเข้าใจเหตุการณ์ภายในเป็นอย่างดี

สวี่ชีอันสงบจิตใจลง และถามต่อไปทันทีว่า “อะไรคือข้ออ้างอิงของเจ้า?”

โฉวเชียนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “ข้าเคยได้ยินโดยบังเอิญ เขาเรียกท่านโหราจารย์คนปัจจุบันว่าลูกศิษย์ นอกจากนี้ เขายังเคยบอกข้าและเหล่าพี่น้องของข้าว่า มันเป็นของของพวกเรา ในที่สุดก็ต้องช่วงชิงกลับมาให้จงได้ การอดทนอดกลั้นกว่าห้าร้อยปีก็เพื่อความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ของตนเอง”

สวี่ชีอันนิ่งเงียบและวิเคราะห์อยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าการคาดเดาของจีเชียนนั้นถูกต้อง

ตอนนั้นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังไม่ตาย และเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ดังนั้นเขาจึงพาทายาทของจักรพรรดิองค์นั้นไปได้ นี่เป็นเหตุผลที่จักรพรรดิอู่จงไม่สามารถกำจัดศัตรูรอบตัวได้หมดสิ้น…

นี่สอดคล้องกับตรรกะและเหตุผลแล้ว

ในเวลาเดียวกัน สวี่ชีอันก็ได้นึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยมากมายเพื่อนำมายืนยันเรื่องนี้

ข้าจะทบทวนทุกเรื่องราว ทุกคดี ตั้งแต่ข้าเดินทางข้ามเวลามาอีกครั้ง…

เริ่มแรกคือคดีเงินภาษี อดีตรองเจ้ากรมกรมการคลังโจวเสี่ยนผิง เขาคือคนที่จงรักภักดีต่อสายเลือดของเจิ้งถ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ในที่สุดก็มีคำอธิบายสำหรับทิศทางการเงินที่เขาทุจริตไปกว่าล้านตำลึงในตลอดยี่สิบปี…สิ่งที่จำเป็นต่อการกบฎมากที่สุดคืออะไร? คือเงินไงล่ะ

คดีของอวิ๋นโจว เกิดจากการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้ากรมทหารพรรคฉีและสำนักพ่อมด แต่ตอนที่สืบคดีอวิ๋นโจว โหรปริศนาคนนั้นที่คล้ายจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ‘ปล่อย’ ให้ข้าหลุดมือ แต่กลับแอบช่วยข้าจับสายลับ เขาช่วยข้าด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ ไม่มีเหตุผลเลย…

เรื่องที่เกิดขึ้นที่อวิ๋นโจว เป็นเหมือนหนามที่ติดอยู่ในลำคอของสวี่ชีอันมาโดยตลอด แต่เขาขาดเบาะแสและหลักฐานที่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้

คดีสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือเมื่อเร็วๆ นี้ ในคดีนี้ พระมเหสีแอบตามสมณทูตไปที่ฉู่โจวอย่างลับๆ นั่นก็เพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งเตรียมรับมือกับคนทรยศในราชสำนัก ตอนนั้นข้าสันนิษฐานได้แล้วว่าขุนนางชั้นสูงจำนวนมากแอบติดต่อกับโหรปริศนา

ใช่ ถ้าโหรปริศนาคือโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง และอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคือสายเลือดราชวงศ์ต้าฟ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน งั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว ต้องรู้ว่า ข้าราชบริพารส่วนหนึ่งไม่พอใจกับการบำเพ็ญธรรมของจักรพรรดิหยวนจิ่งมานานแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะถูกโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งปลุกระดมอย่างลับๆ

ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นสายเลือดราชวงศ์ต้าฟ่ง ในเมื่อสายเลือดของเจ้าไร้ความสามารถ ทำไมข้าไม่ตรงไปพึ่งสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วเลยเล่า?

นอกจากนี้ โหรปริศนายังช่วยเผ่าอนารยชนลักพาตัวพระมเหสี นี่ก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากเช่นกัน ในเมื่อโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งต้องการก่อกบฎ เช่นนั้นก็คงไม่ปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนสู่ขั้นสองอย่างแน่นอน จึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกำจัดเขา

การดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ขั้นสองที่เชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม คงจะกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในการกบฏของพวกเขา ดังนั้น แผนการของโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทั้งหมด ล้วนต้องทำให้ความแข็งแกร่งของต้าฟ่งอ่อนแอลง ตราบใดที่ยึดมั่นในจุดประสงค์นี้และไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป้าหมายย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม…

เมื่อสวี่ชีอันนึกถึงตรงนี้ รูม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กน้อย และความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา แล้วเว่ยเยวียนล่ะ?

หากต้องการก่อกบฏ รายนามผู้ที่ต้องฆ่าอันดับแรกคือโหราจารย์ ต่อมาก็ควรจะเป็นเว่ยเยวียน

เมื่อเปรียบเทียบกับอ๋องสยบแดนเหนือแล้ว เว่ยเยวียนผู้ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามที่ทรงพลัง และเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ โจมตีเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจแดนเหนือจนพ่ายแพ้ยับเยิน วางกลยุทธ์การต่อสู้ เอาชนะประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสำหรับสงครามที่น่าสลดใจที่สุด และยังเป็นเทพสงครามแห่งยุคในสงครามที่ด่านซานไห่

เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องกำจัดจริงๆ นอกจากนี้ ระดับปัญหาของเว่ยเยวียนยังใหญ่เป็นอันดับสองรองจากท่านโหราจารย์คนปัจจุบันอีกด้วย

อืม เว่ยกงถูกเหล่าขุนนางแทะโลมโจมตีตลอดเวลาจริงๆ พวกขุนนางใกล้ชิดที่ดีแต่อ้าปากด่าคนอื่น เอะอะก็ตะโกนว่า ขอฝ่าบาททรงโปรดตัดศีรษะสุนัขตัวนี้

ไม่รู้ว่าในนั้นมีกี่คนที่พึ่งพาโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง….

ให้ตายเถอะ เดี๋ยวนะ!

จู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดลงมาที่สมองของเขา ส่องแสงสว่างให้กับสิ่งเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืด

เขานึกถึงคดีหนึ่ง หากมองเพียงผิวเผินจะเห็นว่าเป้าหมายคือฮองเฮา ซึ่งเกี่ยวพันถึงการต่อสู้ขององค์ชาย แต่จริงๆ แล้วพาดพิงถึงคดีของเว่ยเยวียน

คดีพระสนมฝู!

ลองนึกดูว่า ถ้าคดีนี้ไม่มีข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว งั้นผลที่ตามมาก็คือฮองเฮาจะถูกละทิ้ง องค์ชายสี่ถูกลดตำแหน่งจากทายาทสายตรงเป็นทายาทนอกสมรส และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสืบทอดสายเลือดอันยิ่งใหญ่

การสนับสนุนการสืบทอดตำแหน่งขององค์ชายสี่ เป็นจุดเริ่มต้นของความปรารถนาของเว่ยกง เช่นนี้ เว่ยกงและจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกษัตริย์และขุนนางที่แตกแยกกัน ระหว่างพวกเขาเหลือเพียงรอยร้าวที่ไม่มีทางซ่อมแซมได้

และผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคดีพระสนมฝูคือเฉินกุ้ยเฟย เป็นความจริงที่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเฉินกุ้ยเฟย อืม คิดเช่นนี้แล้ว สาวใช้นามว่าเหอเอ๋อร์คนนั้น สามารถสวมใส่อาวุธเวทมนตร์ที่ป้องกันกลิ่นอายได้ ช่างน่าสนใจจริงๆ

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้วแน่นและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “โหรล้วนเป็นตาแก่คร่ำครึ”

คดีของพระสนมฝูน่าจะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งในการจัดการเว่ยเยวียน หรือไม่ใช่กระทั่งบทนำ ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

“ทำไมโชคชะตาถึงอยู่กับสวี่ชีอัน?” ในที่สุดเขาก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุด

โฉวเชียนยืนนิ่งด้วยความตะลึงและตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงเหตุผลบางส่วน โชคชะตาต้องอยู่ที่เขา เดิมทีการตรวจสอบข้าราชสำนักในคดีเงินภาษีช่วงปลายปี เขาจะถูกส่งออกจากเมืองหลวง”

“ทำไมต้องทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้เพื่อ ‘ส่ง’ สวี่ชีอันออกไปจากเมืองหลวง? พวกเจ้าส่งคนไปลักพาตัวเขาโดยตรงไม่ได้รึ?”

การแสดงออกของโฉวเชียนดูเฉื่อยชา เขากล่าวพึมพำว่า “ข้าไม่รู้”

สวี่ชีอันถามว่า “เจ้าบอกว่าจะตัดแขนขาสวี่ชีอันให้กลายเป็นไม้เท้าและพากลับมา เจ้าเกลียดเขาขนาดนี้ ทำไมไม่ฆ่าเขาทิ้งซะล่ะ”

โฉวเชียนตอบว่า “เขาคือภาชนะบรรจุโชคชะตา หากโชคชะตายังไม่ถูกถอนออกมา ภาชนะจะแตกก่อนไม่ได้”

หากโชคชะตายังไม่ถูกถอนออกมา ภาชนะจะแตกก่อนไม่ได้ สำหรับข้า นี่ถือเป็นข่าวดี…

สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “จะถอนโชคชะตาออกไปได้อย่างไร”

โฉวเฉียน “ข้าไม่รู้ แต่ท่านพ่อกับใต้เท่าท่านนั้นตระเตรียมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปีแล้ว”

การถอนโชคชะตาออกไปเป็นเรื่องยากหรือเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เช่นเดียวกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งในตอนนี้ที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วงชิงชะตากรรมของประเทศ…

เมื่อวิเคราะห์จากแผนการของเขา ดูเหมือนโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งท่านนี้จะไม่ได้อยู่ในช่วงที่เบ่งบานอีกต่อไป จึงทำได้เพียงวางแผนเท่านั้น

เมื่อมองจากมุมอื่น หากความแข็งแกร่งของต้าฟ่งอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โหราจารย์คนปัจจุบันก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ด้วยใช่หรือไม่?

อืม นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญ

สวี่ชีอันคิดในใจ

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ หลังจากถอนโชคชะตาออกไปแล้ว ภาชนะจะเป็นอย่างไร?” เขาจ้องโฉวเชียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“แน่นอนว่าคือความตาย”

บัดซบ! สวี่ชีอันสบถคำหยาบในใจ

หลังจากถอนโชคชะตาออกไปแล้ว ข้าจะตายงั้นรึ?!

ถ้าเช่นนั้นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็คือศัตรูตัวฉกาจของเขา เรื่องนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาต่อรองอีกต่อไป

ตัวปัญหาคือ โหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง…ขณะเดียวกัน ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาด้วย

ตอนนี้เขาเป็นหมากในเกมของโหราจารย์ทั้งสองยุค สิ่งที่ท่านโหราจารย์ประพฤติต่อเขา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความปรารถนาดี อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร อันที่จริงก็ถึงวาระของจุดจบแล้ว

ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันต้องถอนโชคชะตาคืนสู่ร่างของเขาอย่างแน่นอน

มีเพียงการคืนโชคชะตาสู่ต้าฟ่งเท่านั้น ความแข็งแกร่งของต้าฟ่งถึงจะฟื้นตัว แต่ชะตากรรมของประเทศและราชวงศ์สัมพันธ์กับท่านโหราจารย์อย่างแนบแน่น หากพลังของประเทศอ่อนแอ ความแข็งแกร่งของท่านโหราจารย์ก็จะอ่อนแอลงเช่นกัน

เรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันจะไม่ถอนโชคชะตาคืนได้อย่างไร? แต่เหตุผลที่ไม่ถอนในตอนนี้ นั่นก็เพราะโอกาสยังมาไม่ถึง

แล้วอนาคตล่ะ?

ความรู้สึกลึกๆ ของสวี่ชีอันราวกับตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง และหนาวสั่นไปทั่วร่าง

“พวกเจ้าวางแผนก่อการจราจลเมื่อใด” สวี่ชีอันถาม

“รอให้เว่ยเยวียนตาย รอให้โชคชะตากลับคืนมาในร่างของสวี่ชีอัน และรอให้ข้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่” โฉวเชียนตอบกลับ

“ทำไมต้องรอให้เจ้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่?”

สำหรับสองคำตอบแรก เป็นคำตอบที่สวี่ชีอันคาดการณ์เอาไว้ในใจก่อนแล้ว จึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก

“เมื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่ ข้าก็จะสามารถรองรับโชคชะตาอันท่วมท้นนี้ได้ ข้าเป็นทายาทสายตรงของท่านพ่อ เป็นเจ้าของร่วมแห่งจิ่วโจวในอนาคต โชคชะตานี้เป็นของข้า”

มิน่าเขาถึงเกลียดและอิจฉาข้าถึงเพียงนี้ และยังกล่าวอ้างว่าทุกอย่างของข้าในตอนนี้ล้วนเป็นแค่การเอาเปรียบเขา…สวี่ชีอันครุ่นคิด และถามว่า

“นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อของเจ้าบอกเจ้ารึ”

“แน่นอน หากไม่ใช่เพราะเขาเลือกข้าเป็นทายาท เขาจะให้ ‘ฟันมังกร’ กับข้าทำไม” โฉวเชียนกล่าว

“ที่ซ่อนของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”

“ที่สวี่โจว”

สวี่โจว? ต้าฟ่งมีสถานที่เช่นนี้ด้วยรึ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว พลางรำลึกความทรงจำแบบผิวเผิน เขายืนยันได้ว่าตนเองไม่เคยได้ยินสถานที่นี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ต้าฟ่งมีถึงสิบสามรัฐ ในแต่ละรัฐก็ยังมีรัฐเล็กรัฐน้อยอีก จำนวนมากเกินไปที่จะนับ

ชาติก่อนเขายังเป็นคนโง่ด้านภูมิศาสตร์ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาตรฐานการแบ่งเขตระหว่างทางใต้กับทางเหนือคืออะไร

“สวี่โจวอยู่ที่ใด?” สวี่ชีอันถามอย่างตรงไปตรงมา

“ข้า ข้าจำไม่ได้แล้ว…” โฉวเชียนกล่าวพึมพำ

“?”

อะไรคือจำไม่ได้ บ้านของตัวเองก็ยังจำไม่ได้รึ

“สวี่โจวอยู่ที่ใด” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง

“ข้า ข้า…”

ใบหน้าเบลอของโฉวเชียนแสดงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขายกมือทั้งสองข้างกุมศีรษะ และคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด “ข้าจำไม่ได้…”

‘ตูม!’

วิญญาณระเบิดออก และกลายเป็นลมครึ้มที่ครอบคลุมทุกมุมของห้อง

บนเนินเขานอกป่าทึบ โหรชุดขาวถอนสายตาและสะบัดนิ้ว ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีแดงฉานก็โลมเลียซากศพและสุนัขจิ้งจอก เปลี่ยนพวกเขากลายเป็นเถ้าถ่าน

ด้วยคลื่นที่แขนเสื้อของเขา ขี้เถ้าลอยขึ้นอย่างรวดเร็วและล่องลอยไปไกล

“อ๋องสยบแดนเหนือตายแล้ว หลังจากหยวนจิ่งออกกฤษฎีกาต้องโทษ โชคชะตาก็จะลดลงอีกขั้นหนึ่ง คนต่อไปคือเว่ยเยวียน…จีเชียน ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าได้ตายอย่างมีคุณค่า”

เขาไขว้มือไว้ที่ด้านหลังอย่างอารมณ์ดี และเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

ช่วงกลางฤดูร้อน อุณหภูมิในห้องเย็นสบายราวกับช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง

สวี่ชีอันยืนตกตะลึงอยู่ในห้องที่เงียบงันเป็นเวลานาน เป็นเพราะคำถามของข้าสัมผัสกับข้อห้ามบางอย่าง และทำให้วิญญาณของจีเชียนระเบิดใช่หรือไม่?

ไม่ใช่ เขาพูดถึงสวี่โจวแล้ว โดยหลักการ ตอนที่ข้าถามคำถามนี้ วิญญาณของเขาน่าจะเกิดการขัดแย้งบางอย่าง หลังจากนั้นจึงระเบิดทำลายตนเอง นี่ถึงจะสมเหตุสมผล…

ตอนนี้ ต่อให้ข้าไม่รู้ว่าสวี่โจวอยู่ที่ใด แต่ข้าก็ยังกลับไปหาข้อมูลได้

เขานั่งลงที่โต๊ะ พยายามสงบสติอารมณ์ และทำความเข้าใจข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับในคืนนี้อย่างเงียบๆ

โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังไม่ตาย สายเลือดเจิ้งถ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วก็ยังหลงเหลือทายาท คนที่ขโมยชะตากรรมของต้าฟ่งเมื่อยี่สิบปีก่อนคือโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ที่แท้พวกเขาวางแผนก่อกบฎอย่างลับๆ มาโดยตลอด…

หากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ย่อมทำให้เกิดความโกลาหลอันใหญ่หลวงอย่างแน่นอน

คนทั้งประเทศต้องตื่นตระหนกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รุ่นที่หนึ่งใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการรองรับโชคชะตา รุ่นปัจจุบันใช้ข้าเป็นหมากในการเดินเกม จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องการฆ่าข้า ราชสำนักจะรอก็ช่าง แต่ข้าแทบอยากจะให้มีคนลากเขาลงจากเก้าอี้มังกรใจจะขาด

แต่เว่ยเยวียนปฏิบัติกับข้าราวกับลูก ยายตัวร้ายและฮว๋ายชิ่งก็เป็นเพื่อนสนิทของข้า…

เบื้องลึกของสวี่ชีอันตระหนักถึงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้เป็นอย่างดี เขาถูหว่างคิ้วและถอนหายใจยาว

ตามระเบียบเก่า หากพบความไม่แน่ชัด จงหาลูกพี่ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเว่ยกง จะทำอย่างไรก็ให้เขาคิดจนปวดหัวไปเลย

หลังจากตัดสินใจแล้ว เขาก็หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหยิบกระเป๋าหนังขนาดเล็กของจีเชียนออกมาจากทรวงอก ด้านในมีอาวุธเวทมนตร์ชนิดร้ายแรงถึงตาย เช่น ธนูหน้าไม้ ปืนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเกราะสมบัติและอาวุธเจ้าชะตา

สวี่ชีอันหาเพียงครู่หนึ่ง ก็พบกล่องที่ทำจากไม้จันทร์สีแดงกล่องหนึ่ง ขนาดยาวประมาณสามนิ้ว บนผิวกล่องแกะสลักลายมังกรและหงส์

เขานำกล่องไม้ออกมาจากกระเป๋าหนังและวางบนโต๊ะ เมื่อเปิดออกก็พบฟันที่มีความโค้งเล็กน้อยวางอยู่บนผ้าไหมสีทองอ่อน ลักษณะเหมือนกับงาช้างขนาดเล็ก

บนพื้นผิวสีขาวสะอาดถูกสลักด้วยอักษรรูนแน่นขนัดเต็มทุกพื้นที่ เพียงแค่มองผ่านๆ สวี่ชีอันก็รู้สึกมึนศีรษะและคลื่นไส้ จนแทบจะอาเจียน

เขาไม่กล้ามองนานเกินไป จึงปิดกล่องไม้จันทน์ทันที

“นี่คงจะเป็นฟันมังกร โอ้ อาวุธเวทมนตร์นี้แข็งแกร่งเกินไป…”

ตามที่จีเชียนบอก ฟันมังกรเป็นเหมือนสมบัติของสายเลือดพวกเขา มีเพียงทายาททางสายเลือดเท่านั้นที่สามารถถือครองได้รึ?

สวี่ชีอันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่าฟันมังกรนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต

ณ หมู่บ้านขนาดเล็ก ในบ้านที่มีทางเข้าสองทางหลังหนึ่ง แสงเทียนสว่างไสว เฉาชิงหยางซึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงนั่งอยู่ในห้องโถง มองผู้พิทักษ์ประตูและหัวหน้าทั้งสองฝ่ายอย่างสงบ

ที่นี่มีหัวหน้าและผู้พิทักษ์ประตูทั้งหมดสิบหกท่าน ในนั้นประกอบด้วยยอดฝีมือขั้นสี่สิบสองท่าน อีกห้าท่านคือยอดฝีมืออาวุโสขั้นสี่

เทียนจีที่สวมหน้ากากสีทองนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเฉาชิงหยาง

จอมยุทธ์ผู้จัดตั้งและรับผิดชอบกลุ่มชาวยุทธภพที่ใหญ่ที่สุดในเจี้ยนโจวท่านนี้ ถือถ้วยชาอยู่ในมือ ฝาถ้วยชากระทบที่ขอบถ้วย ภายในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝาถ้วยชากระทบกับขอบถ้วยดังขึ้นอย่างชัดเจน

“หยางซุยเสวี่ย ฟู่จิงเหมิน พวกเจ้าทั้งสองจะถอนตัวจากการเคลื่อนไหวครั้งนี้จริงๆ รึ?” เฉาชิงหยางกล่าวเสียงเบา

หยางซุยเสวี่ยเป็นเจ้าสำนักโม่ ฟู่จิงเหมินเป็นหัวหน้ากลุ่มหมัดเทพเจ้า เมื่อคืน ทั้งสองได้รวมกลุ่มกันสกัดกั้นนักพรตเหลียนฮวาสามท่านแทนที่จะจัดการสวี่ชีอัน

พวกเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทำให้สีหน้าซีดเซียว

เมื่อเผชิญกับคำถามของเฉาชิงหยาง พวกเขาทั้งสองก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ฟู่จิงเหมินกล่าวว่า “เฉาเหมิงจู่ สำหรับข้าแล้ว เมล็ดบัวคือสมบัติอย่างแน่นอน แต่กลับไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับข้า หากจะให้ข้าเป็นศัตรูกับฆ้องเงินสวี่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งได้”

เฉาชิงหยางส่งเสียง ‘หึ’ อยู่ในลำคอ “ฆ้องเงินสวี่มีพระคุณกับเจ้ารึ?”

ฟู่จิงเหมินส่ายศีรษะ “วิชามวยของกลุ่มหมัดเทพเจ้าของข้า แข็งแกร่ง เที่ยงตรง และใจกว้าง”

เฉาชิงหยางมองหยางซุยเสวี่ยอีกครั้งโดยไม่แสดงอารมณ์ “ผู้พิทักษ์ประตูหยาง วิชาดาบสำนักโม่ของเจ้า กระบวนท่าร้ายกาจไม่น้อย เจ้ามีเหตุผลอันใด?”

หยางซุยเสวี่ยยกกำปั้นขึ้นมาคารวะและทอดถอนใจ “ตาแก่อย่างข้าชอบผูกมิตรกับวีรบุรุษวัยหนุ่มมากที่สุด ข้าชื่นชมสวี่ชีอันมาก เหตุผลมีเพียงเท่านี้”

เฉาชิงหยางกล่าวเสียงเบา “ดังนั้น ดูเหมือนคำสั่งของข้าจะเป็นเหมือนเสียงเห่าของสุนัขที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับพวกเจ้า ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”

น้ำเสียงของเขาล้วนเฉื่อยชาและเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ แต่คนที่คุ้นเคยกับเขากลับรู้ดีว่า เฉาเหมิงจู่ที่เป็นคนกล้าหาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากแสดงออกเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาอารมณ์ไม่ดีมาก

อันตรายมาก

เซียวเยวี่ยหนูแห่งหอหมื่นบุปผากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เฉาเหมิงจู่ ท่านผู้อาวุโสหยางและศิษย์พี่ฟู่มิได้ตั้งใจจะฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน เพียงแต่ลูกผู้ชายกระทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ นอกจากนี้ ตอนที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก่อตั้งขึ้น ผู้นำรุ่นที่หนึ่งเคยให้คำมั่นสัญญากับพวกเราแต่ละฝ่ายว่า เชื่อฟังแต่ให้คงไว้ซึ่งความเป็นอิสระ หากคิดว่าคำสั่งของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ฝ่าฝืนคุณธรรม ขัดต่อเจตจำนงของตนเอง ก็สามารถปฏิเสธได้”

“เป็นเรื่องดีที่จะเชื่อฟังแต่คงไว้ซึ่งความเป็นอิสระ”

เทียนจียิ้มเยาะและกล่าวว่า “เฉาเหมิงจู่ เป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นตระกูลหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในเจี้ยนโจว คำพูดของท่านมีน้ำหนักมาก คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะเป็นข่าวลือจริงๆ ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ท่านจะมีที่ยืนบนแผ่นดินยุทธภพได้อย่างไร?”

สีหน้าของเฉาชิงหยางเต็มไปด้วยความเย็นชา “ใต้เท้าคิดว่าควรทำอย่างไร?”

เทียนจีหยิบเหรียญทองพระราชทานออกมาจากทรวงอก และวางลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากว่าตามระเบียบปฏิบัติของราชสำนัก การไม่เชื่อฟังอย่างเปิดเผย ต้องฆ่าสถานเดียว”

เฉาชิงหยางถอนหายใจ “ใต้เท้า คิดดูอีกครั้งเถอะ”

เทียนจีพ่นลมหายใจด้วยความเหยียดหยามและกล่าวว่า “เฉาเหมิงจู่ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะใหญ่โตเพียงใด ก็คงไม่ใหญ่ไปกว่าราชสำนักกระมัง ทุกคนรวมกลุ่มกันเพื่อช่วงชิงเมล็ดบัวก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ตอนนี้ สำนักโม่และกลุ่มหมัดเทพเจ้าเป็นพันธมิตรกับสวี่ชีอันอย่างเปิดเผย ฝ่าบาทคงทนพวกเขาไม่ไหวแล้ว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ฉวยโอกาสตัดแขนเอาชีวิตรอด หากจะทำความดีเพื่อชดเชยความผิดพลาดก็ยังพอใช้ได้ มิฉะนั้น หากฝ่าบาททรงส่งทหารมาโจมตีในกาลหน้า เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าผลที่ตามมาคืออะไร แม้ว่าผู้นำอาวุโสยังอยู่ แต่การตั้งตนเป็นศัตรูกับราชสำนักเพียงเพื่อคนสองคน คิดว่าคุ้มค่าหรือไม่?”

ครั้งนี้เทียนจีมาเพื่อประณามความผิดของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

กลุ่มชาวยุทธภพเกือบทำลายกิจอันสำคัญยิ่งของฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตา

เช่นนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้

“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” เฉาชิงหยางถอนหายใจ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนจีก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ แม้ว่ากฤษฎีกาต้องโทษของฝ่าบาทจะทำให้บารมีของเขาเสื่อมลงมาก ทำให้พลังต้านทานของราชสำนักเสื่อมลงมาก แต่อย่างไรราชสำนักก็คือราชสำนัก สำหรับชาวยุทธภพธรรมดาๆ เหล่านี้แล้ว คืออิทธิพลอันแข็งแกร่งที่ไม่มีทางตีเสมอได้

บางครั้งความประมาทหนึ่งหรือสองครั้งที่เกิดจากการไม่คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตราบใดที่ผู้กระทำความผิดถูกกำจัด กระแสลมก็จะเปลี่ยนไป

ครู่ต่อมา เฉาชิงหยางกดฝ่ามือลงบนหน้าผากของเทียนจี และผลักเขาออกจากบ้าน

พลังปราณระเบิดราวกับฟ้าร้อง เสาและกำแพงทรุดลงมาอย่างต่อเนื่อง

จากในห้องโถงไปถึงนอกขอบรั้วบ้าน ระยะทางสิบกว่าจั้ง ลมปราณของทั้งสองปะทะกันไม่ถึงร้อยครั้ง

ร่างของเทียนจีที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมสีดำตกลงบนถนนนอกลานบ้านอย่างแรง หน้ากากปริแตก เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามรอยแตกของหน้ากาก

ในขณะที่เฉาชิงหยางเพียงแค่สะบัดมือ ราวกับเพิ่งออกแรงเพียงเล็กๆ น้อยๆ

“เฉาชิงหยาง เจ้าคิดจะทำลายรากฐานที่มีมากว่าหกร้อยปีของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์รึ?” เทียนจีโกรธมาก

เขาเป็นยอดฝีมืออาวุโสขั้นสี่ แม้ว่าหนทางสู่ยอดเขาจะยังอีกยาวไกล แต่อย่างไรก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้ แต่การประมือกันเมื่อสักครู่ เขาไม่สามารถต้านทานพลังปราณของเฉาชิงหยางได้อย่างสมบูรณ์

รู้สึกเพียงว่าตนเองยังห่างไกลจากเขามาก หากลงมือจริงๆ ตนเองต้องตายภายในร้อยกระบวนท่าอย่างไม่ต้องสงสัย

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีกฎของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ หกร้อยปีที่ผ่านมา เปลี่ยนผู้นำมาแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เคยเป็นสุนัขให้ราชสำนักจูงจมูกด้วยรึ?” เฉาชิงหยางกล่าวเสียงเบา

“เจ้ากลับไปบอกจักรพรรดิ จะส่งทหารมาปราบปรามก็ดี จะส่งคนมาลักลอบฆ่าก็ดี จะมาเมื่อใดก็มาได้ตามสะดวก แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะถูกทำลายด้วยเหตุนี้ เหล่าบรรพบุรุษก็ยังยกนิ้วโป้งให้และกล่าวกับข้าว่า ชื่อเสียงของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่เคยถูกทำลาย”

สีหน้าของเทียนจีจมมืด แต่กลับไม่กล้าพูดคำหยาบ

“วันนี้ไม่ฆ่าเจ้า ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเจ้าไม่มีค่าพอต่างหาก” เฉาชิงหยางกล่าวจบแล้วก็หมุนตัวเดินกลับไป แขนเสื้อคลุมสีม่วงปลิวไสวอยู่ในสายลม

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด