ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 431 การเจรจาลับ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 431 การเจรจาลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 431 การเจรจาลับ

ลั่วอวี้เหิงต้องการผู้ชายที่มีโชคชะตาติดตัวตัวมาบำเพ็ญคู่ นางเป็นราชครู แต่กลับไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง…

นักบวชเต๋าจินเหลียนน่าจะรู้เรื่องที่ข้ามีโชคชะตาติดตัวเป็นอย่างดี นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยขอยาจากลั่วอวี้เหิงหลายครั้ง และระบุให้ข้าเป็นคนไปขอทุกครั้ง…

ก่อนออกเดินาทางไปฉู่โจว ลั่วอวี้เหิงฝากฉู่หยวนเจิ่นมอบดาบยันต์ให้ข้า…

ขณะที่ปกป้องเม็ดบัวที่เจี้ยนโจว นักบวชเต๋าจินเหลียนได้บังคับมอบยันต์ป้องกันตัวแก่ข้า และให้ข้าเรียกหาลั่วอวี้เหิงในช่วงเวลาวิกฤติ และนาง ก็มาจริงๆ…

รายละเอียดทุกอย่างที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล หรือไม่สมเหตุสมผล แวบเข้ามาในสมองของสวี่ชีอันทีละอย่าง

หากเจ้าต้องการเช่นนี้ ข้าคงลำบากใจมาก! สีหน้าของเขาดูสับสน

“แต่ข้าได้ยินมาว่าราชครูไม่ได้เลือกที่จะบำเพ็ญคู่กับหยวนจิ่ง”

สวี่ชีอันควบคุมอารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงคุยเล่น

พระมเหสีเหลือบตาขึ้นมอง แสดงสีหน้าครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า

“อืม…เรื่องนี้ข้าไม่รู้แล้ว ข้าเตือนนางบ่อยๆ ให้นางฝากตัวกับจักรพรรดิหยวนจิ่งไปเลยแล้วกัน เลือกจักรพรรดิเป็นคู่บำเพ็ญธรรม ก็ไม่นับว่าเสียหาย

“แต่ดูเหมือนนางจะไม่พึงพอใจจักรพรรดิหยวนจิ่ง ไม่พึงพอใจในทุกด้าน ไม่สิ ข้ารู้สึกได้ว่านางรังเกียจจักรพรรดิหยวนจิ่ง”

รังเกียจทุกด้าน ไม่ใช่แค่โชคชะตาไม่เพียงพอ…ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายแวบหนึ่ง ถามว่า

“ผู้หญิงที่บำเพ็ญเช่นราชครู น่าจะไม่เหมือนผู้หญิงทางโลกทั่วไป ที่ให้ความสนใจกับพิธีรีตองที่ยุ่งยากเช่นหลักสามคล้อยตามสี่เจ้าธรรม”

พระมเหสีทำเสียง ‘อืม’ “ลั่วอวี้เหิงย่อมไม่เป็นเช่นนั้น แต่การเลือกคู่บำเพ็ญธรรม เกี่ยวข้องอะไรกับพีธีรีตรองที่ยุ่งยาก การเลือกคู่บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง”

ลั่วอวี้เหิงเป็นฉลามตัวหนึ่งเชียวนะ…ในใจของสวี่ชีอันรู้สึกหดหู่

บำเพ็ญคู่ก็คือการเลือกคู่บำเพ็ญธรรม ดูออกว่าลั่วอวี้เหิงเป็นคนระมัดระวังในเรื่องระหว่างชายและหญิง ดังนั้น หลังจากที่นางสำรวจจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว ก็ต้องการเพียงใช้โชคชะตาในการระงับไฟแห่งกรรม แต่ไม่เคยคิดที่จะบำเพ็ญคู่กับเขาเลย

ถ้าการเดาของข้าเมื่อครู่นี้เป็นความจริง ลั่วอวี้เหิงก็กำลังสำรวจข้าอยู่เช่นกัน

เมื่อนางรู้สึกว่านางอยากจะลองบำเพ็ญคู่กับข้า นั่นก็หมายความว่านางต้องเลือกคู่บำเพ็ญธรรมแล้ว

จากการที่น้าเล็กให้ความสำคัญกับคู่บำเพ็ญธรรม ประกอบกับสถานะยอดฝีมือขั้นสองของนาง หากนางเลือกข้า ปลาในสระของข้า จะยังมีทางรอดอีกหรือ

หากเจ้าทำเช่นนี้ ข้าก็คงลำบากใจไม่ไหวแล้ว…เขาพึมพำในใจ

ทุกอย่างล้วนมีประโยชน์และโทษ ประโยชน์ก็คือ มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ ข้ามีไพ่ตายเพิ่มอีกใบ ในอนาคตหากเข้าตาจน ข้าสามารถขายตัวให้ลั่วอวี้เหิงเพื่อแลกกับการตอบแทนได้

แน่นอนว่า เงื่อนไขแรกคือนางค่อนข้างพอใจในตัวข้า และจัดให้ข้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของรายชื่อผู้สมัครคู่บำเพ็ญธรรม

อืม ต้องหาโอกาสหยั่งเชิงนางเสียหน่อย

“เจ้าถามละเอียดขนาดนี้ทำไม” พระมเหสีพูดด้วยความสงสัย

“ราชครูเป็นผู้หญิงที่งามหยาดเยิ้มเช่นนี้ หากได้เป็นคู่บำเพ็ญธรรมของนาง นั่นคงเป็นบุญวาสนาที่ได้บำเพ็ญมาเป็นเวลายาวนาน” สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นทอดถอนใจ

“เจ้าฝันหวานให้น้อยๆ หน่อย คุณสมบัติอันน้อยนิดของเจ้า ลั่วอวี้เหิงจะถูกใจเจ้าได้อย่างไร”

ปฏิกิริยาของพระมเหสีนั้นรุนแรงกว่าที่คิด เยาะเย้ยถากถางอย่างรุนแรง

จากนั้น นางก็ลูบคลำกำไลลูกประคำที่ข้อมือแล้วพูดเรียบๆ ว่า “รูปโฉมของลั่วอวี้เหิงนั้นไม่เลวจริงๆ แต่ถ้าจะพูดว่างามหยาดเยิ้ม ก็ออกจะเป็นการชมเกินไปหน่อย”

พูดจบ นางก็เชิดคางขึ้น ชำเลืองตามองสวี่ชีอัน

ท่าทางเช่นนี้ เป็นการบอกว่า ‘มองมาที่ข้า มองมาที่ข้า’ ‘ข้าต่างหากที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง’ ชัดๆ

สวี่ชีอันหัวเราะเยาะอย่างดูแคลนแล้วกล่าวว่า “เจ้ากลับไปส่องกระจกที่ห้องไป”

พระมเหสีโกรธจัด และคว้าหินก้อนเล็กๆ ทุบเขา

“ก็ได้ก็ได้ เทียบกับเจ้าแล้ว ห่างไกลกันมาก” สวี่ชีอันพูดแบบขอไปที

พระมเหสียังไม่ยอมแพ้ จับกำไลลูกประคำ จะต้องแสดงใบหน้าที่แท้จริงให้เจ้าหมอนี่ดูให้ได้ ให้เขาได้รู้ว่าความจริงแล้วลั่วอวี้เหิงสวย หรือว่านางสวยกว่า

“เจ้าลองคิดดูให้ดีนะ ที่นี่คือเมืองหลวง ถ้าเจ้าถอดกำไลออก พรุ่งนี้สำนักโหราจารย์อาจจะนำทหารมาจับกุมเจ้าก็ได้” สวี่ชีอันขู่

พระมเหสีสะดุ้งทันที

ท่านโหราจารย์คือท่านโหราจารย์ สำนักโหราจารย์คือสำนักโหราจารย์ สิ่งที่ท่านโหราจารย์รู้ โหรคนอื่นๆ ในสำนักโหราจารย์อาจไม่รู้ หากพวกเขาพบรูปโฉมอันงดงามของพระมเหสี พวกเขาก็อาจหันไปรายงานทางวังก็ได้

แม้ว่าสวี่ชีอันสามารถขัดขวางไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็จะเปิดเผยว่าเขาซ่อนภรรยาหม้ายของไหวอ๋องไว้

ทันทีที่ผู้คนรู้ความลับแล้ว ก็ยากป้องกัน

นอกจากนี้ ก็ยังมีความลับเล็กๆ ที่บอกใครไม่ได้ เขากลัวเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพระมเหสี ผู้หญิงที่ถูกซ่อนไว้งดงามมาก สมบูรณ์แบบจนไม่เหมือนคนทั่วไป

ขนาดต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงรูปโฉมธรรมดาๆ สวี่ชีอันก็ยังรู้สึกได้ว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ ต่อนางมากขึ้นทุกวัน ถ้าเขาได้เห็นหญิงงามที่น่าทึ่งคนนั้น สวี่ชีอันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคืนนี้ตัวเองจะไม่ทำอะไรนางเลย

ตัวอย่างเช่นทำให้นางรู้ว่าแตงสุกจนขั้วหลุดหมายความว่าอย่างไร

แม้ความชื่นชมที่สวี่ชีอันมีต่อลั่วอวี้เหิงจะทำให้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่โดยรวมแล้ว วันนี้นางค่อนข้างมีความสุขมากทีเดียว

ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่สวี่ชีอันจะจากไป นางได้ทำบะหมี่ให้สวี่ชีอันกิน

ทั้งเหนียวทั้งข้น เห็นได้ชัดว่าต้มนานเกินไป ผงปรุงรสไก่เยอะขนาดนี้ อยากให้ข้าเค็มตายหรืออย่างไร…วันหลังจะให้นางลองชิมฝีมือของข้า ตั้งใจฝึกให้ดี

สวี่ชีอันบ่นพึมพำพร้อมเดินเข้าไปในหอคณิกา เปลี่ยนโฉมหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกลับบ้าน

หลังจากบำเพ็ญเป็นเวลาสองชั่วยามแล้ว เขาก็ขี่แม่ม้าน้อย กุบกับกุบกับไปที่หอคณิการะดับสูงแห่งหนึ่ง

รอในห้องส่วนตัวที่คุ้นเคยอยู่เป็นเวลานาน ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเดินเฉื่อยๆ ตามมาทีหลัง โดยสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ผูกฆ้องทองแดง และถือดาบ

เนื่องจากพวกเขาต้องการคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกสาวๆ ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะ ดูการแสดงงิ้วในห้องโถงชั้นล่าง พร้อมดื่มเหล้าไปพลางกินถั่วลิสงไปพลาง

“เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชีอันเตะซ่งถิงเฟิงทีหนึ่ง

“เมื่อคืน มีกลุ่มชายชุดคลุมดำได้เข้าไปในเมืองชั้นในจริงๆ โดยเข้าทางประตูเมืองทางใต้ แล้วยังเตือนทหารรักษาเมืองไม่ให้แพร่งพรายออกไป หึ พวกชาวเหนือที่มาจากฉู่โจว ไม่มีวันรู้หรอกว่าเมืองหลวงเป็นเขตอิทธิพลของใคร ข้าจ่ายเงินไปหนึ่งชั่ง ก็ถามข้อมูลจากทหารที่อยู่เวรเมื่อคืนได้แล้ว”

ซ่งถิงเฟิงจิบเหล้าแล้วก็จุ๊ปากพูดว่า “พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเขตพระราชฐาน หลังจากเข้าสู่เมืองชั้นในแล้วก็หายตัวไปเลย เช้านี้ข้าให้ฆ้องเงินที่ลาดตระเวนในเขตพระราชฐานสืบข่าวให้ แต่ไม่มีใครเห็นกลุ่มสายลับเข้ามาในเขตพระราชฐานจริงๆ”

ไม่ได้เข้าเขตพระราชฐาน?

เหิงหย่วนถูกคุมขังอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองชั้นใน? ไม่ อาจเป็นไปได้ว่าถูกส่งไปยังเขตพระราชฐานทางช่องทางลับเช่นเดียวกับที่ผิงหย่วนป๋อส่งคนที่ลักพาตัวมาเข้าไปในเขตพระราชฐานอย่างเงียบๆ

“นักบวชเต๋ากล่าวว่าไต้ซือเหิงหย่วนจะไม่มีอันตรายถึงชีวิตในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ เหลือเวลาให้พวกเราเหลือเฟือ เราไม่ควรร้อนรนเกินไป หากเหิงหย่วนถูกพาเข้าไปในพระราชวัง ถ้าเช่นนั้นตอนที่พวกเราไปช่วยเขา ก็จะต้องบาดหมางกับจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างแน่นอน”

“หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ เตรียมตัวให้พร้อม จะช่วยคนแบบบุ่มบ่ามไม่ได้…”

ขณะที่ความคิดแวบเข้ามา สวี่ชีอันก็กล่าวว่า “แจ้งให้พี่น้องที่ลาดตระเวนตามท้องถนนรู้ว่า หากพบความผิดปกติใดๆ ในตัวเมืองชั้นใน หรือพบเห็นสายลับสวมชุดคลุมยาวสีดำและหน้ากาก จะต้องแจ้งให้ข้ารู้ทันที”

จูกว่างเสี้ยวพยักหน้าทำเสียง ‘อืม’

ซ่งถิงเฟิงก็พูดขึ้นทันทีว่า “จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าอีกสามวัน คณะทูตของเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทางภาคเหนือจะเข้าเมืองหลวงแล้ว”

คณะทูตของเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนเข้าเมืองหลวง? เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทั้งสองเผ่าได้ร่วมมือกันตีเมืองเมืองฉู่โจวแตก เพิ่งผ่านไปไม่นาน พวกเขากล้าเข้าเมืองหลวง? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”

ซ่งถิงเฟิงทำเสียง ‘เฮ้อ’ เมื่อคืนฝ่าบาทได้ทรงจัดประชุมเล็กๆ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อคืนฆ้องทองคำเจียงเปิดเผยเรื่องนี้ตอนที่พาพวกเราไปดื่มที่สำนักสังคีต”

การสู้รบทางภาคเหนือนั้นข้ารู้อยู่แล้ว ตามความเชื่องช้าในการส่งข่าว สงครามในภาคเหนือน่าจะเริ่มต้นมานานแล้ว แต่ถึงกระนั้น การที่คณะทูตเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทางภาคเหนือมาเมืองหลวง ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการสู้รบไม่เป็นผล…สวี่ชีอันพึมพำว่า

“เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทั้งสองเผ่าช่างใช้การไม่ได้จริงๆ ขอความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้เลย?”

เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทางภาคเหนือ ต้าฟ่ง และสำนักพ่อมด เป็นความสัมพันธ์แบบต่างฝ่ายต่างควบคุมเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างทั้งสามฝ่าย

ซ่งถิงเฟิงกล่าวว่า “ทหารม้าของจิ้งกั๋วนั้นดีที่สุดในจิ่วโจว ก่อนการทำสงครามที่ด่านซานไห่ ทหารม้าของเผ่าอนารยชนสามารถต่อสู้กับทหารม้าของจิ้งกั๋วได้ หลังจากการทำสงครามที่ด่านซานไห่ คนมีความสามารถของเผ่าอนารยชนบาดเจ็บล้มตายกันเกือบหมด ปัจจุบันทหารม้าของจิ้งกั๋วมีอิทธิพลในจิ่วโจว”

“ข้าคิดว่าสงครามทางภาคเหนือจะไม่ยืดเยื้อนานเกินไป และเผ่าอนารยชนทางภาคเหนือจะต้านไว้ได้ไม่เกินปีนี้”

จูกว่างเสี้ยวกล่าวเสริมว่า “หลังจากจี๋ลี่จือกู่ตายแล้ว เผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทั้งสองเผ่าก็มีจู๋จิ่วเพียงคนเดียว แต่สำนักพ่อมดไม่ขาดคนมีความสามารถระดับสูง นอกจากนี้ สนามรบยังเป็นสนามเหย้าของพ่อมด และความสามารถของสำนักพ่อมดในการควบคุมทหารศพนั้นน่ากลัวมาก”

จู๋จิ่วมีประสบการณ์การสู้รบในเมืองฉู่โจวมาก่อน อาการบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี การคิดเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล…สวี่ชีอันพยักหน้า

จูกว่างเสี้ยวถอนหายใจ “เมื่อเทียบกับกำลังของชาติที่อ่อนแอลงทุกวันของต้าฟ่ง กำลังของชาติทั้งสามที่สำนักพ่อมดปกครองอยู่กลับเติบโตขึ้นทุกวัน หากไม่ใช่เพราะยังมีเว่ยกงอยู่…”

จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คอยดูแลเหล่าขุนนาง พวกเขามีวิสัยทัศน์ที่ดี สามารถสังเกตเห็นความอ่อนแอของกำลังของชาติของต้าฟ่งได้อย่างชัดเจน

อ่อนแอลงทุกปี

ทว่าความรู้สึกห่วงใยประเทศชาติและประชาชน กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะอ่อนหวานของสาวๆ อย่างรวดเร็ว

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างคนต่างเลือกสาวสวยคนละคน โอบกอดพวกนางเข้าไปในห้องทำงานอย่างหนัก

สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ดื่มเหล้าเงียบๆ มองดูการแสดงงิ้วในห้องโถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ห้องหนังสือของสวี่เอ้อร์หลาง ในเวลากลางคืน

สวี่ชีอันถือถ้วยชา หลังจากฟังสวี่เอ้อร์หลางท่องจบ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีเท่านี้? ”

“ระยะนี้สำนักบัณฑิตฮั่นหลินมีงานมาก ราชสำนักต้องการปรับปรุงพิชัยสงคราม ข้าจึงไม่มีเวลาท่องจำบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อน” สวี่เอ้อร์หลางอธิบายอย่างจนใจ

“ปรับปรุงพิชัยสงคราม?”

“ปรับปรุงพิชัยสงครามทุกครั้งที่มีสงคราม นี่เป็นธรรมเนียม” สวี่เอ้อร์หลางจิบชาอึกหนึ่ง แล้วพูดว่า

“ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง อีกสามวัน คณะทูตปีศาจและเผ่าอนารยชนทางภาคเหนือจะเข้าเมืองหลวง สงครามในภาคเหนือกำลังดุเดือด หากไม่เหนือความคาดหมาย ราชสำนักจะส่งทหารไปสนับสนุนเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน

“อันที่จริง ราชสำนักได้ตัดสินใจเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการส่งข่าวมาจากฉู่โจวแล้ว เพียงแต่ยังจำเป็นต้องรอเวลา หึ พูดตรงๆ ก็เพื่อปลุกใจผู้คนก่อน พรุ่งนี้ราชวิทยาลัยหลวงจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมในเขตพระราชฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่แนวคิดของการต่อสู้”

ฮว๋ายชิ่งเคยบอกเรื่องนี้กับข้า จริงสิ ข้ายังต้องไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมกับนาง…สวี่ชีอันนึกขึ้นมาได้

ชาติที่แล้วเขาไม่เคยทำสงคราม แต่เขาก็เคยอ่านประวัติศาสตร์โบราณและประวัติศาสตร์ยุคใกล้มามากมาย จึงสามารถเข้าใจความหมายที่สวี่เอ้อร์หลางต้องการสื่อได้

การระดมพลในการทำสงครามทุกครั้ง เป็นวิธีการที่ใช้เป็นประจำมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต้องบอกประชาชนว่าทำไมเราถึงต้องต่อสู้และความหมายของการต่อสู้คืออะไร

แน่นอนว่า ในยุคนี้ คนที่ทางราชสำนักต้องการจะระดมพลไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นชนชั้นปัญญาชน

“ถ้าเช่นนั้น บันทึกชีวิตประจำวันที่ข้าท่องจำเหล่านี้ มีประโยชน์กับพี่ใหญ่หรือไม่” สวี่เอ้อร์หลางถาม

“มี!” สวี่ชีอันให้คำตอบยืนยัน โดยกล่าวว่า

“จากบันทึกชีวิตประจำวันนี้จะเห็นได้ว่า ความถี่ในการขอคำแนะนำเรื่องการเป็นอมตะจากนิกายมนุษย์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ถี่มาก แต่ก็ไม่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีความเพ้อฝันเรื่องการเป็นอมตะอยู่ในระดับหนึ่ง

“แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ไม่ได้เพ้อฝันเกี่ยวกับการเป็นอมตะอย่างมาก ข้ายังไม่เห็นความคิดของจักรพรรดิพระองค์ก่อนที่ต้องการบำเพ็ญธรรม”

“จักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ได้ทรงบำเพ็ญธรรมตั้งแต่แรกแล้ว” สวี่เอ้อร์หลางพูดจบ ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “เพราะเหตุผลบางอย่าง?” จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงพระปรีชา ทรงรู้ความสามารถของตัวเองดี…สวี่ชีอันยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร แต่กลับพูดว่า

“จักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ได้บำเพ็ญธรรม จนสิ้นพระชนม์ แต่พระองค์ทรงมีความเพ้อฝันเกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมจริงๆ ข้าเดาว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนอาจจะทรงมีอิทธิพลต่อจักรพรรดิหยวนจิ่ง เจ้าอ่านบันทึกชีวิตประจำวันต่อเถอะ รีบจำให้ได้โดยเร็วที่สุด”

วันรุ่งขึ้น ฝนตกกระหน่ำลงมา สายลมพัดพาละอองฝนมา นำความเย็นมาเล็กน้อย

น้ำฝนไหลลงมาตามชายคา กลายเป็นม่านหยดน้ำ

ฤดูร้อนค่อยๆสิ้นสุดลง พืชผลในท้องทุ่งก็เริ่มเป็นสีเหลือง

วันนี้หยุดพักผ่อนอาบน้ำ สวี่เอ้อร์หลางยืนอยู่ใต้ชายคาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่าทางคงไปงานชุมนุมวรรณกรรมไม่ได้แล้ว”

สวี่ชีอันเดินออกจากห้อง มองดูสายฝนเคียงข้างเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ดังนั้นเอ้อร์หลาง ขอยืมป้ายขุนนางของเจ้าไปใช้หน่อยสิ”

ฝั่งตรงข้ามของสองพี่น้องคือห้องปีกตะวันออก สวี่หลิงอินยืนอยู่ใต้ชายคา แกว่งกิ่งไม้ ‘ตัด’ ม่านหยดน้ำใต้ชายคาไม่หยุด โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

รองเท้าและชายกางเกงเปียกฝนไปหมด

ณ จุดนี้ ลี่น่ายังคงนอนหลับสบาย หลี่เมี่ยวเจินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้อง และอารองสวี่สวมเสื้อกันฝนและงอบไปเข้าเวรด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์

วันนี้สวี่ชีอันก็มีธุระเช่นกัน เขาต้องไปทำธุระสองเรื่องที่อารามรัตนะ หนึ่ง: ไปเพื่อหยั่งเชิงท่าทีที่แท้จริงของลั่วอวี้เหิงที่มีต่อเขา

สอง: ถามเรื่องของผู้นำนิกายมนุษย์รุ่นก่อน

ฝนตกหนัก รถม้าของเว่ยเยวียนวิ่งอยู่ในม่านฝน หยาดฝนหยดลงบนหลังคารถไม่หยุด ดังเป๊าะแป๊ะเป๊าแป๊ะ

ขุนนางใหญ่เปิดหน้าต่างรถ มองดูสายฝนที่ทำให้โลกพร่ามัวอย่างเงียบๆ

ในช่วงเวลาหนึ่ง ฝนดูเหมือนจะหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับภาพลวงตา

“น้ำฝนชะล้างฝุ่นละอองได้ แต่ชะล้างหัวใจคนไม่ได้”

เสียงทอดถอนใจดังขึ้นในรถม้า เสียงนั้นเต็มไปด้วยความปั่นป่วน

เว่ยเยวียนยังคงมองม่านฝนเช่นเดิม พูดเรียบๆ ว่า “หรือว่าทิวทัศน์ยามฝนตกของภูเขาชิงหยุน ยังไม่สวยเท่าที่นี่เชียวหรือ”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วปรากฏตัวอย่างเงียบๆ สีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากการทำสงครามที่ด่านซานไห่ ต้าฟ่งควรจะเติบโตขึ้นทุกวัน แต่เพราะ…”

จ้าวโส่วพยายามจะพูดหลายครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองจำไม่ได้

“เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเกิดความเปลี่ยนแปลง ในช่วงปลายปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก รูปปั้นในจี๋เยวียนเกิดแตกร้าว รูปปั้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็แตกร้าวเช่นกัน สุดท้ายแล้ว เจ้าต่อสู้เพื่อต้าฟ่งและมนุษย์เพียงยี่สิบปีเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาข้าคิดมาตลอดว่า ถ้าตอนนั้นท่านโหราจารย์ไม่นิ่งดูดาย ผลก็คงจะไม่เป็นเช่นตอนนี้”

เว่ยเยวียนยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ น้ำเสียงราบเรียบ “ความสำเร็จของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีวันเป็นไปตามความประสงค์ของท่านจ้าวโส่ว และก็ไม่มีวันเป็นไปตามความประสงค์ของข้าเช่นกัน ท่านโหราจารย์กับเจ้าและข้า เดิมทีก็เดินคนละเส้นทางอยู่แล้ว”

จ้าวโส่วพยักหน้า แล้วพูดว่า “เทพเจ้ากู่เป็นเทพเจ้าโบราณ แต่กลับเป็นจอกแหนที่ไม่มีราก แต่พ่อมดนั้นแตกต่างกัน เขาครอบงำภาคตะวันออกเฉียงเหนือและปกครองสิ่งมีชีวิตนับล้าน โชคชะตาของมนุษย์ เขายึดครองอย่างน้อยหนึ่งในสาม

“ถ้าเขาปลดตราผนึก ในจิ่วโจวไม่มีใครสามารถต้านทานได้ เว้นแต่ท่านนักปราชญ์จะฟื้นคืนชีพ”

เว่ยเยวียนถอนหายใจ “ข้าจะต้านทานเอง ข้าเริ่มวางแผนการตั้งแต่ปีก่อนแล้ว”

จ้าวโส่วจ้องหน้าเขา แล้วถามว่า “หากท่านพ่ายแพ้เล่า”

เว่ยเยวียนยิ้ม “เจ้าเคยเห็นข้าแพ้หรือ”

รถม้าค่อยๆ หยุดที่ด้านนอกประตูวัง

หนานกงเชี่ยนโหรวปลดบังเหียน ผลักประตูรถออก แล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ถึงแล้วขอรับ”

เขาสังเกตในรถอย่างละเอียด นอกจากเว่ยเยวียน ก็ไม่มีใครอีก แต่ขณะที่เขาขับรถ สัญชาตญาณของชาวยุทธจักรสามารถจับความผิดปกติได้ แต่ก็อันตรธานไปในพริบตา

หนานกงเชี่ยนโหรวกางร่มขนาดใหญ่คันหนึ่ง นำเว่ยเยวียนลงจากรถ เม็ดฝนตกลงบนร่มกระดาษน้ำมันดังเป๊าะแป๊ะเป๊าะแป๊ะ

เว่ยเยวียนรับร่มมา แล้วพูดเรียบๆ ว่า “รอข้าที่นี่”

เขาถือร่ม เข้าไปในวังเพียงลำพัง ชุดสีดำแกว่งไกวไปตามลมฝน ราวกับเผชิญกับพายุฝนในโลกนี้เพียงลำพัง

……………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด