ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 333 คำถาม

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 333 คำถาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 333 คำถาม

ลั่วอวี้เหิงชะงักไป นัยน์ตางดงามสาดประกายวาบ นางมองไปยังฉู่หยวนเจิ่นแล้วเม้มปากก่อนเอ่ยว่า “สวี่ชีอันแทรกแซงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์และเอาชนะเจ้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้อย่างนั้นหรือ”

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าแล้วยิ้มขมขื่น “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงได้ลงมือเช่นนั้น”

ความจริงแล้วเขาก็พอจะเดาได้บ้าง นี่อาจเป็นเพราะถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนยุยงอย่างลับๆ ก็ได้ ส่วนเหตุผลก็ทำเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สมาชิกของพรรคฟ้าดินต้องเสี่ยงชีวิต ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้บอกการคาดเดานี้กับลั่วอวี้เหิง

“บอกข้ามาให้ละเอียด เขาเอาชนะเจ้าได้อย่างไร” ลั่วอวี้เหิงปรายตามองเขา จากนั้นก็หันความสนใจไปที่แปลงดอกไม้หลากสีสัน

ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่าราชครูดูสวยละลานตาขึ้นมาทันใด ราวกับบุปผาที่เบ่งบานอยู่ในสวน ไม่ดูหนักอึ้งเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป

“ความจริงเขาเอาชนะข้ากับหลี่เมี่ยวเจินเพราะยืมกำลังมาจากภายนอก ตัวของเขามีหนังสือจากลัทธิขงจื๊ออยู่เล่มหนึ่ง มันบันทึกวิชาเวทเอาไว้มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น ดาบและอาวุธเวทมนตร์ก็ถือเป็นของภายนอกเช่นกัน แพ้แล้วก็คือแพ้” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างยอมรับ

ลั่วอวี้เหิงเอ่ยพึมพำ “อาศัยแค่หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊ออย่างเดียวไม่มีทางเอาชนะเจ้าและหลี่เมี่ยวเจินได้หรอก มิใช่หรือ”

น้ำเสียงของนางหนักแน่นมาก

เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นก็พลันแปลกพิกล เขามองดูใบหน้างามล่มบ้านล่มเมืองของลั่วอวี้เหิงแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้ ต้องขอให้ท่านราชครูชี้แนะด้วยขอรับ…”

หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจและแฝงความไม่อยากเชื่อ “สวี่ชีอันฝึกวิชาพลังเทพวชิระจนสำเร็จ หากข้าไม่ดึงดาบก็ไม่อาจทำลายการป้องกันของเขาได้เลย แต่ท่านราชครูขอรับ เขาฝึกวิชาพลังเทพวชิระมาเดือนกว่าเอง เหตุใดถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรือ”

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่แค่คำว่า ‘พรสวรรค์จากฟ้า’ ก็สามารถอธิบายได้แล้ว ฉู่หยวนเจิ่นครุ่นคิดดูก็เห็นว่าอรหันต์ตู้เอ้อร์เรียกสวี่ชีอันว่าพุทธบุตร บางทีนี่อาจจะมีอีกความหมายหนึ่งก็ได้

เช่น การกลับชาติมาเกิดของภิกษุระดับสูงของสำนักพุทธ

ลั่วอวี้เหิงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่วงหลายวันนี้มีแมวตัวหนึ่งมาหาข้าและเอ่ยขอยาชิงตัน บอกว่ามันสามารถช่วยชะลอศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้”

‘แมวตัวหนึ่ง…ปีศาจแมว? ไม่สิ เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาในเขตพระราชฐานไม่ได้ ยิ่งไม่อาจเข้ามาในอารามรัตนะได้ด้วย…มันอาจจะใช้ร่างของแมวเพื่อเข้ามาในอารามรัตนะเพื่อพูดคุยกับราชครูเรื่องศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ก็ได้ หรืออีกฝ่ายอาจเป็นสหายเก่าของราชครู หรือไม่ก็คนในลัทธิเต๋า…’

ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนฉลาดและเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ เขาจึงมุ่งเป้าไปที่บุคคลผู้น่าสงสัยคนหนึ่งได้ นั่นก็คือนักบวชเต๋าจินเหลียน

และเมื่อคิดต่อจากตรงนี้ สาเหตุที่สวี่ชีอันเข้ามาแทรกแซงในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ก็พอจะอธิบายได้แล้ว เขาถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนยุยงมานั่นเอง

ฉู่หยวนเจิ่นรู้สรรพคุณของยาชิงตันเป็นอย่างดี เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดที่สวี่ชีอันกล่าวอย่างภาคภูมิในระหว่างการต่อสู้ว่า ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินเป็นผู้ช่วยหลอมร่างกายให้พอดี…

ทันใดนั้นทุกอย่างก็แจ่มชัด นักบวชเต๋าจินเหลียนและราชครูบรรลุข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน คนแรกช่วยยืดเวลาของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ส่วนคนหลังก็ต้องจ่ายสิ่งตอบแทนที่มีค่าพอกันให้

และสิ่งตอบแทนย่อมไม่ใช่แค่ยาชิงตัน ยาชิงตันเอาไปให้สวี่ชีอันแล้ว ส่วนนักบวชเต๋าจินเหลียนมีแผนอีกอย่าง

ดังนั้น สาเหตุที่ร่างทองของสวี่ชีอันก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเขาใช้ยาชิงตันนั่นเอง

‘แต่ตอนที่ได้ยินว่าสวี่ชีอันเอาชนะข้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้ ความตกตะลึงของราชครูกลับมิใช่เรื่องเสแสร้ง…อืม เช่นนั้นก็แสดงว่านางไม่ได้เชื่อมั่นในข้อตกลงนี้สักเท่าใด…’ ฉู่หยวนเจิ่นโค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า

“ก่อนที่หลี่เมี่ยวเจินจะทะลวงระดับร่างทอง นางจะไม่ท้าทายศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อีก ท่านราชครูวางใจได้ขอรับ”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า

ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาเอ่ยลาแล้วก็จากไป

ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป แมวสีส้มตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนกำแพง ดวงตาสีอำพันจ้องมองไปที่ลั่วอวี้เหิง

“ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำได้ถึงขั้นนี้จริงๆ” ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจแผ่ว

“แสดงว่าสิ่งที่ข้าคาดเดานั้นเป็นความจริง ในร่างกายของเขาซ่อนความลับบางอย่างไว้” แมวส้มเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“วันนั้นที่เขาหนีออกมาจากสุสานได้ เขาพูดกับข้าว่า ที่เขาสามารถเอาชนะศพโบราณได้ก็เป็นเพราะท่านโหราจารย์ทิ้งบางอย่างไว้ในร่างของเขา ฮ่าๆ เพราะเขาคิดว่าข้าเป็นเพียงนักพรตเต๋านิกายปฐพีธรรมดาๆ ข้าก็เลยแสร้งทำเป็นเชื่อวาจาไร้สาระนั่น วันนั้นข้าบังเอิญได้เห็นร่างทองของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มันก็ยิ่งทำให้ข้าสงสัยมากเข้าไปอีก ดังนั้นจึงผลักเรือไปตามน้ำ ยุให้เขาแสดงฝีมือออกมาเพราะอยากเห็นว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นไหน ไม่คิดเลยว่าเขาจะเรียกขอยาชิงตัน และดูดซับฤทธิ์ยาได้อย่างไร้อุปสรรค จากนั้นก็ฝึกฝนวิชาพลังเทพวชิระจนสำเร็จ”

คลื่นในดวงตาของลั่วอวี้เหิงสั่นไหว นางมองไปที่แมวส้มด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคาดเดาว่าอย่างไร”

แมวสีส้มครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “จากการสังเกตของข้าและจากวิธีการที่ท่านโหราจารย์ชอบใช้ ข้าสงสัยว่าความลับในตัวเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เจ้าคิดว่าการที่ท่านโหราจารย์เลือกเขาให้เข้าร่วมการประลองพิธีต้าวฮวดไม่ใช่เรื่องแปลกหรือ เหมือนตั้งใจจะให้เขาเข้าสู่เขตแดนแห่งพุทธแล้วฝึกฝนวิชาพลังเทพวชิระให้ได้”

“ก็มิถือว่าแปลก แต่เมื่อรวมกับสิ่งที่เจ้าพูดเข้าด้วยกัน มันก็เป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว ทั้งยังไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เสียด้วย” ลั่วอวี้เหิงมองผิวน้ำอันสงบนิ่ง จากนั้นนัยน์ตาก็เบิกกว้าง แววตาเริ่มฟุ้งซ่าน นางตกอยู่ในภวังค์ความคิดพลางกล่าวว่า “สำนักพุทธก็ยื่นมือมาแทรกแซงหรือ”

แมวส้มหัวเราะ “หมากของท่านโหราจารย์ พุทธบุตร และโชคชะตาแปลกประหลาดคุ้มกาย ศิษย์น้องเอ๋ย ตอนนี้หากเจ้าไม่ตัดสินใจ ต่อไปคนเขาอาจจะไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเจ้าก็ได้นะ”

ลั่วอวี้เหิงเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่แมวสีส้มด้วยท่าทางทรงเสน่ห์

“ท่านเหมือนจะมีความสุขมากนะ” นางกล่าว

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ยิ่งตัวของสวี่ชีอันมีความลับมากเท่าใด ก็หมายความว่าเขามิใช่คนธรรมดา การสังหารมารในอนาคตก็จะยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นอย่างไรเล่า” แมวสีส้มเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ

ลั่วอวี้เหิงยกยิ้มมุมปากแล้วแค่นหัวเราะออกมา “ของขวัญที่อยู่ในตัวเขาเหล่านั้น ล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ศิษย์พี่ ท่านมองโลกในแง่ดีเร็วเกินไปนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของแมวส้มก็แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “บนตัวเขาเต็มไปด้วยเรื่องชวนสับสน เมื่อเขาต้องชำระบัญชีในอนาคต ก็หวังว่าเขาจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัยนะ พอถึงตอนนั้น ในฐานะที่ศิษย์น้องเป็นคู่เต๋า เจ้าต้องช่วยเขาด้วยล่ะ”

“ข้าย่อม…” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ฟื้นคืนสติแล้วกล่าวอย่างโมโห “ไสหัวไปซะ”

พระราชวัง

ขันทีเฒ่าวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องบรรทมของจักรพรรดิ ก่อนร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้นทันที เขาไม่ได้โทษขันทีชราเรื่องการเสียกิริยา แต่ก็ไม่ได้เผยความยินดีใดๆ ออกมา เขากลับถอนหายใจแทน “ฉู่หยวนเจิ่นชนะพ่ะย่ะค่ะ…”

ชนะแล้วอย่างไร ก็แค่เอาชนะแทนราชครูสามกระบวนท่า แต่ความต่างของระดับสองและระดับหนึ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามกระบวนท่าจะสามารถเติมเต็มได้เลย

“ไม่ใช่สิๆ” ขันทีชรากล่าวอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ยังไม่ทันได้ต่อสู้กันพ่ะย่ะค่ะ เพราะถูกฆ้องเงินสวี่หยุดไว้เสียก่อน “

นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ลงเล็กน้อย เขาตกใจกับข่าวที่ได้รับกะทันหันนี้จนต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น พูดมาตามตรง”

ขันทีชรารายงานข่าวที่ได้จากทหารรักษาพระองค์ไปตามความจริง

ตั้งแต่การปรากฏตัวของสวี่ชีอัน บทกวีอันน่าอับอายของสวี่ชีอัน สวี่ชีอันทำข้อตกลงกับหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่อหน้าฝูงชน ตลอดจนกระบวนการต่อสู้ และอื่นๆ

ขันทีเฒ่ายิ้มอย่างประจบสอพลอ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็มิต้องทรงกังวลเรื่องราชครูแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ ฆ้องเงินสวี่ช่างเก่งกาจเสียจริง ทำให้รู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว”

เหมือนกับการประลองในพิธีต้าวฮวดก่อนหน้านี้ และเหมือนกับคดีสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก ขอเพียงมีฆ้องเงินสวี่อยู่ก็สามารถจัดการได้อย่างสวยงาม

เมื่อพูดจบ ขันทีชราก็พบว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งงันไปแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

“ฝ่าบาท?”

นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งสั่นไหวเล็กน้อยก่อนกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายพูดกับขันทีเฒ่า แต่ก็เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ข้าจำได้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือในสมัยนั้นยังไม่ดีเท่าเขาเลย…”

ขันทีเฒ่าก้มศีรษะทันที ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

อีกด้านหนึ่ง เหล่าฆ้องทองคำที่กำลังสับสนอยู่ในใจล้วนกลับมาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกันแล้ว เจียงลวี่จงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปพบเว่ยกงด้วยกันเถิด แล้วบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เสีย”

หนานกงเชี่ยนโหรวยิ้มเยาะ “จะเลียแข้งเลียขาแทนสวี่ชีอันเช่นนั้นหรือ”

หยางเยี่ยนผู้มีสีหน้าราวกับประติมากรรมแกะสลักตลอดปีเอ่ยพูดเสียงเรียบ “ไปคุยด้วยสักหน่อยไม่เป็นอะไรหรอก”

มีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับสายการฝึกยุทธ์เท่านั้o ที่จะทำให้ชายไร้สีหน้าผู้นี้รู้สึกสนใจขึ้นมาได้ สำหรับหยางเยี่ยนแล้ว หากโลกอันหนาวเหน็บมีเส้นทางท่าเรืออันอบอุ่นอยู่หนึ่งแห่ง ที่นั่นไม่มีทางเป็นขุมนรกที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะมุ่งหน้าไปอย่างแน่นอน ทว่าเป็น ‘เส้นทางการฝึกยุทธ์’ เท่านั้นที่เขาจะไปหา

ฆ้องทองคำแปดคนเข้าสู่หอเฮ่าชี่

ในห้องน้ำชา เว่ยเยวียนถือหนังสือหนึ่งม้วน พร้อมกับน้ำชาและขนมสำหรับอ่านเล่นท่ามกลางแสงแดดยามเช้าอันสดใส

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว”

เว่ยเยวียนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขาเอ่ยต่อ “ขอข้าเดาก่อนว่าใครจะชนะ อืม หลี่เมี่ยวเจินเพิ่งขึ้นระดับสี่ใหม่ๆ รากฐานยังไม่มั่นคง การฝึกตนของฉู่หยวนเจิ่นคือกระบี่เฉียง ทั้งคู่น่าจะฝีมือพอๆ กัน แต่ข้าได้ยินสวี่ชีอันบอกว่า ฉู่หยวนเจิ่นสร้างเคล็ดวิชาจิตดาบขึ้นมาเอง ยอดเขาเขียวสามฉื่อซ่อนอยู่ในคมฝัก หลายปีมิเคยชักออก แต่หากเขาชักดาบออกมาละก็…”

พอฟังเว่ยเยวียนพูดพึมพำกับตัวเองแบบนี้แล้ว เขาก็ดูราวกับเป็นเสนาธิการผู้วางกลยุทธ์ที่กำลังวิเคราะห์บทสรุปของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ แต่หยางเยี่ยนคิดอยากจะพูดแทรกหลายครั้งแล้วบอกกับท่านพ่อบุญธรรมของตนว่า

‘ท่านอย่าเดาส่งเดชเลย เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดแม้แต่นิด’

ทว่าก็ถูกพวกฆ้องทองคำอย่างเจียงลวี่จงใช้สายตาและมือเท้าหยุดยั้งเอาไว้

“ดังนั้นข้าคิดว่า…” เว่ยเยวียนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ ของพวกเขาและเห็นสีหน้าของหยางเยี่ยนดูลำบากใจ เขาจึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“มีเรื่องใดหรือ”

หยางเยี่ยนพยักหน้าทันที เขาเอ่ยเสียงขรึม “ท่านพ่อบุญธรรม สวี่ชีอันเป็นผู้ชนะในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ขอรับ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ หยางเยี่ยนก็ราวกับโล่งอก เขาไม่ต้องมองดูท่านพ่อบุญธรรมด้วยความกระอักกระอ่วนอีกแล้ว

“???”

เว่ยเยวียนตกตะลึง เขานิ่งงันไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วกล่าวความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ”

“ยามเหม่าเช้านี้ สวี่ชีอันเข้าไปแทรกแซงในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ขอรับ เขาคนเดียวเอาชนะศิษย์ผู้โดดเด่นของลัทธิเต๋าทั้งสองคนได้ แล้วทำข้อตกลงกับพวกเขาว่าหากจะเปิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ก็ให้เอาชนะร่างทองของเขาเสียก่อน…” หนานกงเชี่ยนโหรวรู้ว่าหยางเยี่ยนไม่ชอบกล่าวคำพูดยาวๆ จึงเป็นผู้เล่ากระบวนการต่อสู้ให้กับเว่ยเยวียนฟังแทน

“แม้ว่าจะใช้เวทมนตร์จากลัทธิขงจื๊อมาเอาชนะฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างทองของสวี่หนิงเยี่ยนแข็งแกร่งไม่แพ้กายเนื้อของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่เลยขอรับ” เจียงลวี่จงกล่าวอย่างทอดถอนใจ

ฆ้องทองคำคนอื่นๆ พากันปลงไปตามๆ กัน ก่อนหน้านี้พวกเขายังพูดคุยกันเกี่ยวกับสวี่ชีอันด้วยท่าทีดูแคลนอยู่เลย แต่หลังจากวันนี้ ตำแหน่งของสวี่ชีอันในใจของพวกเขาได้เปลี่ยนจากรุ่นน้องผู้มีศักยภาพ ไปเป็นคนที่แม้จะด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็จะตามทันในอีกไม่ช้าแล้ว

เว่ยเยวียนไม่อาจสงบลงได้ในเวลาอันสั้น จากนั้นก็นึกถึงการวิเคราะห์เมื่อครู่ของตนได้ จึงอธิบายว่า “อ้อ นี่เป็นเรื่องที่ข้าคาดไม่ถึงทีเดียว”

ฆ้องทองคำทั้งหลายลอบหัวเราะในใจ แต่พวกเขาได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ ไม่มีทางหลุดหัวเราะได้ง่ายๆ

เว่ยเยวียนกวาดตามองพวกเขาแล้วเอ่ย “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะอ่านหนังสือ ต้องการความสงบ”

ฆ้องทองคำทั้งหมดหันกายออกไป พร้อมกันนั้นเว่ยเยวียนก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษสองสามใบ จากนั้นก็เรียกเจ้าพนักงานเข้ามา “นำไปส่งให้พวกฆ้องทองคำ”

“ฮ่าๆ ยากนักที่จะได้เห็นเว่ยกงเสียกิริยา ข้ารู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกเชียว” เจียงลวี่จงที่กำลังลงจากบันไดกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ต้องโทษหยางเยี่ยน ไม่เคยอั้นอะไรได้เลย ทำเอาเว่ยกงสังเกตเห็นจนได้” จางไคไท่กล่าวโทษหยางเยี่ยน

หนานกงเชี่ยนโหรวก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน

เขาก็คิดว่าบางครั้ง การทำให้ท่านพ่อบุญธรรมเสียกิริยาก็เป็นเรื่องที่ทำให้สุขกายสบายใจนัก

“ฮ่าๆๆๆ” ฆ้องทองคำทั้งหมดหัวเราะพร้อมกัน

“น่าเบื่อ” หยางเยี่ยนเอ่ยประเมิน

เจียงลวี่จง หยางเยี่ยน และฆ้องทองคำคนอื่นๆ เพิ่งจะลงจากบันได ข้างหลังก็มีเสียงของเจ้าพนักงานตะโกนเรียก “ฆ้องทองคำทุกท่านโปรดรอก่อน เว่ยกงฝากข้อความมาให้ขอรับ”

ฆ้องทองคำรับมันด้วยความงุนงง พอคลี่กระดาษออกมาอ่าน ทุกคนตกตะลึงอยู่กับที่

“ขะ ของข้าต้องลาดตระเวนยามกลางคืนเพิ่มหนึ่งเดือน เหตุผลคือข้ามักออกจากที่ทำการปกครองโดยพลการกลางดึกบ่อยๆ…บ่อยที่ไหนกัน ข้าแค่แอบไปสำนักสังคีตเท่านั้น แค่ครั้งเดียวด้วย” เจียงลวี่จงตะลึง

“ข้าถูกปรับเงินเดือนสามเดือน เนื่องจากทรมานนักโทษประหารจนตาย” หนานกงเชี่ยนโหรวมุมปากกระตุก

“ข้าถูกปรับเงินเดือนสองเดือน เหตุผลคือฉู่หยวนเจิ่นที่แพ้ข้าในปีนั้น ตอนนี้กลับมีพลังต่อสู้ที่ไม่แพ้ข้าแล้ว เว่ยกงคิดว่าข้าหย่อนยานในการฝึกตน…แต่ข้าอยู่ระดับสี่ชั้นยอดแล้ว ทั้งไม่มีชะตา ไม่อาจเลื่อนขั้นถึงระดับสามได้นะ”

“ข้าถูกปรับเงินหนึ่งเดือน ของเจ้าจะถือเป็นอะไรได้ เหตุผลของข้าคือก้าวเดินออกจากห้องโดยใช้ขาซ้ายนำ เว่ยกงเลยคิดว่าข้าไม่เคารพเขา…”

จากนั้นเหล่าฆ้องทองคำก็พากันมองไปที่หยางเยี่ยนโดยพร้อมเพรียง มือของเขาว่างเปล่า ไม่มีกระดาษสักใบ

“น่าสนุก!” หยางเยี่ยนเอ่ยประเมิน

ฆ้องทองคำทุกคน “…”

ห้องน้ำชา

“พลังเทพวชิระที่เทียบได้กับกายเนื้อระดับสี่ พลังเทพวชิระที่เทียบได้กับกายเนื้อระดับสี่…” เว่ยเยวียนใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะและพึมพำกับตัวเอง

‘สวี่ชีอันหนอสวี่ชีอัน’

เว่ยเยวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องน้ำชา เขาไพล่มือไว้ด้านหลังและพูดว่า “เตรียมรถม้า ข้าจะไปที่สำนักโหราจารย์”

จวนสกุลสวี่

เมื่อสวี่ชีอันตื่นขึ้นก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เขาลืมตา จากนั้นสมองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปะทุขึ้นมา เขาจึงต้องร้องครางออกมาอย่างอดไม่ได้

“เจ้าตื่นแล้ว”

ซูซูนั่งอยู่ข้างเตียงและมองเขาด้วยรอยยิ้ม

สวี่ชีอันพยักหน้า เขานั่งปิดหน้าผากและคร่ำครวญต่อ “ข้าไม่ค่อยได้นอน…อา ปวดหัวแทบแตก แต่ว่าผลข้างเคียงของเวทมนตร์จากสำนักขงจื๊อก็ถือว่าพอรับได้อยู่”

ได้ยินเช่นนั้นซูซูก็ยิ้มเยาะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองตายไปอีกรอบแล้ว”

ข้าตายไปอีกรอบแล้วหรือ เหตุใดตัวข้าเองกลับไม่รู้ล่ะว่าข้าเคยตายไปอีกรอบ…สวี่ชีอันมองผีสาวด้วยสายตาว่างเปล่า

“กล่าวให้ถูกก็คือ วิญญาณของเจ้าออกจากร่างแล้ว หากไม่กลับเข้าร่างภายในสิบวัน เจ้าก็คงตายไปแล้วจริงๆ” ซูซูย่นจมูกแล้วเอ่ยว่า

“เจ้านายของข้าเป็นคนดึงวิญญาณของเจ้ากลับมาและชดใช้ความคับแค้นด้วยคุณธรรม ช่างยิ่งใหญ่นัก แล้วเจ้าดูตัวเจ้าสิ นางมองว่าเจ้าเป็นสหาย แต่เจ้ากลับลอบแทงนางจากข้างหลัง เชอะ น่ารังเกียจจริง”

สวี่ชีอันใช้นิ้วจิ้มร่างของซูซูอย่างแรง แต่ได้ยินแค่เสียง ‘ฉึบ’ กระดาษถูกเจาะทะลุเสียแล้ว

ซูซูตกตะลึงหน้าถอดสี นางยกมือปิดหน้าอกแล้วร้องไห้จ้าวิ่งออกไป พลางตะโกนร้องว่า “นายท่าน สวี่หนิงเยี่ยนเจาะหน้าอกของข้า ท่านซ่อมให้ข้าหน่อย”

ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่หลิงอินก็วิ่งเข้ามาอยู่ข้างเตียง ในมือของนางถือน่องไก่ที่กัดกินไปคำหนึ่ง นางยื่นให้กับสวี่ชีอัน “พี่หย่าย กินน่องไก่”

“เจ้าเอาน่องไก่มาจากไหน” สวี่ชีอันรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย “มีน้ำลายเจ้าติดอยู่เต็มไปหมดเลย”

“ข้าเก็บมาจากตอนกลางวัน”

เสี่ยวโต้วติงกระโดดโหยงๆ แล้วเอ่ยเสียงดัง “พอกินน่องไก่แล้วท่านก็จะได้ดีขึ้นไงล่ะ อาจารย์บอกข้ามาแบบนั้น”

พูดพลางนางก็ขมวดคิ้วแล้วอธิบายว่า “แต่ข้าอยากกินมากๆ ก็เลยแอบกัดไปคำหนึ่ง ท่านก็ทำเป็นไม่รู้สิ ดีหรือไม่”

เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่พูด นางก็ตะโกนเสียงดังอีก “ได้หรือไม่”

สวี่ชีอันจึงต้องรับมาแล้วกัดคำใหญ่ เสี่ยวโต้วติงยืนจ้องอยู่ข้างเตียงพลางกลืนน้ำลายไปด้วย

เมื่อหลี่เมี่ยวเจินเข้ามาพร้อมกับผีสาวใช้ นางก็เห็นสองพี่น้องนั่งอยู่บนเตียงพลางกัดน่องไก่กันเจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ นางชะงักงัน สีหน้าเย็นชาดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

ในที่สุดนางก็เปลี่ยนไปสวมชุดเต๋าที่เป็นกระโปรงยาวกับเสื้อคลุมสีชมพูอ่อน สายรัดสีเดียวกันประดับอยู่ที่เอว ลวดลายเมฆาที่แขนเสื้อมีความประณีตงดงาม ขับเน้นหน้าอกอวบอิ่มเอวคอดบาง เป็นการแต่งตัวที่สมกับหญิงสาวตระกูลดีผู้งดงามอย่างที่ควรเป็น

แต่กลิ่นอายดุดันของนางกลับทำลายภาพลักษณ์ไปเสียหมด

สวี่ชีอันคิดว่านางเหมาะกับชุดเกราะ หรือไม่ก็ชุดลายพรางและชุดเครื่องแบบต่างๆ ถ้าแบบนั้นจะต้องช่วยขับเน้นความดุดันเฉียบคมของนางได้แน่

เทพธิดาจากนิกายสวรรค์นั่งอยู่ที่โต๊ะกลมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าต้องการเหตุผล”

ต้องการเหตุผลหรือ ต้องการด้วยหรือ ต้องการด้วยหรือ…ในหัวของสวี่ชีอันผุดประโยคกวนๆ ขึ้นมา แต่ไม่กล้าที่จะพูดออกไปเพราะกลัวว่าจะถูกหลี่เมี่ยวเจินทุบตีจนตาย

“นักบวชเต๋าจินเหลียนขอให้ข้าช่วย รางวัลชดเชยก็คือยาชิงตัน ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ” สวี่ชีอันกล่าว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์มันไม่อาจหยุดยั้งได้ แล้วไยต้องลงมาลุยน้ำโคลนด้วย ยาชิงตันสำคัญกว่าชีวิตอีกหรือ?” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ

เจ้าไม่เข้าใจหรอก ข้ามีความลับมากเกินไป การมีพลังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ข้า…สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ “หากนิกายสวรรค์ให้เจ้าฆ่าข้า เจ้าจะทำตามหรือไม่”

“ข้าไม่รู้”

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ทำท่าทางเจ้าเล่ห์ประมาณว่าคำสั่งยากจะขัดขืน แต่กลับบอกสวี่ชีอันด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง “หากสุดท้ายข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ผู้อาวุโสของสำนักก็จะลงมือเองอยู่ดี เชื่อข้าเถอะ แม้พวกเขาจะไม่ลงมือฆ่าใครก่อน แต่หากคิดสังหารคนจริงๆ ก็ไม่มีความลังเลในใจแม้แต่นิด อย่าว่าแต่สังหารเจ้าเลย หากจำเป็นจริงๆ ต่อให้ต้องล้างทั้งเมืองพวกเขาก็ยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว แต่พวกเขาก็ยังรังเกียจการกระทำเช่นนั้นเหมือนกัน”

มารดามันเถอะ รู้สึกว่านิกายสวรรค์จะน่ากลัวกว่าลัทธินอกรีตเสียอีกนะเนี่ย อย่างน้อยลัทธินอกรีตก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องผิด หรือไม่ก็มีเหตุผลในการกระทำความผิด แต่นิกายสวรรค์นั้นไร้ความรู้สึกกับเรื่องเช่นนี้จริงๆ…สวี่ชีอันคิด

“ในอนาคตเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้หรือไม่”

หลี่เมี่ยวเจินชะงัก ในดวงตาที่ฉายแววอ่อนล้านั้นมีความห่วงใยอยู่ เป็นความห่วงใยที่ไร้สิ่งใดเจือปน

หลังจากจ้องมองกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้า “ใช่”

สวี่ชีอันยิ้มอย่างขมขื่น “เช่นนั้นก็น่าเศร้าจริงๆ”

จากนั้นก็เป็นความเงียบงันยาวนานถึงหนึ่งเค่อ ทั้งคู่ล้วนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สวี่หลิงอินนอนอยู่ในอ้อมแขนของพี่ใหญ่และส่งเสียงดูดแทะกระดูกน่องไก่อย่างตั้งอกตั้งใจ

“ข้าสามารถช่วยเจ้ารับมือกับทางสำนักได้ หากถึงที่สุดจริงๆ ก็ให้เจ้ารีบยอมแพ้ไปเสีย พวกเรานิกายสวรรค์ไม่เคยมีความคับแค้นกับใคร”

เป็นเพราะเคาะสมองสุนัขของศัตรูออกมาในตอนนั้นทันทีเลยใช่หรือไม่…สวี่ชีอันพยักหน้า “ได้”

หลังจากที่หลี่เมี่ยวเจินจากไป สวี่ชีอันก็ลูบหัวทุยของสวี่หลิงอินพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เรียกลี่น่าเข้ามาให้พี่ใหญ่หน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับนาง”

“อื้ม”

สวี่หลิงอินนั่งตัวตรงแล้วกระโดดผลุงลงจากเตียง มือจับกระดูกไก่แล้วหันกายป้อมๆ วิ่งออกไป

ไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าของเจ้าเด็กน้อยจากซินเจียงตอนใต้ก็วิ่งเข้ามา ท่าทางมีชีวิตชีวา ดวงตาโค้งเป็นรอยยิ้มอยู่เสมอ ยังไม่พูดอะไรก็ยิ้มแย้มนำก่อน

“หาข้ามีเรื่องใดหรือ” สำเนียงของนางมาจากซินเจียงตอนใต้แท้ๆ

ลี่น่า เจ้าอาศัยอยู่ในบ้านข้ามานานแล้ว มีเรื่องไม่พอใจอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันถามด้วยรอยยิ้มใจดี

ลี่น่าเอียงศีรษะแล้วครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “ไม่มี”

‘อาหารที่นี่อร่อยกว่าที่ซินเจียงตอนใต้มาก อาหารมังสวิรัติก็ปรุงได้สดใหม่จริงๆ ถนนก็กว้าง บ้านหลังใหญ่มาก อีกทั้งเตียงนอนก็นุ่มสบายเป็นอย่างยิ่ง…’ พูดตามตรง ลี่น่าไม่อยากกลับซินเจียงตอนใต้ด้วยซ้ำ

ตราบใดที่ครอบครัวนี้ไม่ขับไล่นาง นางก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป

“เจ้าพอใจก็ดีแล้ว พวกเราชาวต้าฟ่งจะต้อนรับเป็นอย่างดี” สวี่ชีอันกล่าว จากนั้นก็หยุดไปพักหนึ่ง เขามองหน้าลี่น่าแล้วกล่าวว่า

“มีคำถามหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้ามาตลอด เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่เก็บเงินได้คือข้า แล้วเจ้ายังรู้เรื่องใดอีก ใครเป็นคนบอก”

……………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด