ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 213 ตกตะลึง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 213 ตกตะลึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 213 ตกตะลึง

คิดไว้ไม่มีผิด ‘หลักฐาน’ ทุกอย่าง สวี่ชีอันเป็นผู้หาเจอ…

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลี่เมี่ยวเจินดูไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้เลย แค่เหลือบมองซูซูผีสาวซึ่งอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา

ซูซูแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สนใจม้วนเล่นแต่เส้นผมของตนเอง

ปีศาจสาวก็งุนงงไม่แพ้กัน นางรับรองได้ว่าตนไม่ได้แอบขี้เกียจแต่อย่างใด แต่ความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้าฆ้องทองแดงผู้นี้ได้นำหลักฐานมาอยู่ในมือต่อหน้าต่อตานาง

หลี่เมี่ยวเจินสูดหายใจเข้าลึก “ท่านผู้ตรวจการเจ้าคะ คดีนี้มีเงื่อนงำ…”

ผู้ตรวจการจางโบกมือขัดจังหวะนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม่ทัพหลี่ เจ้าเป็นเพียงพลทหารม้า ไม่ใช่คนของศาล ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของศาล ข้าจำได้ว่าเจ้ามีผลงานปราบปรามโจร และชื่นชมการทำงานของเจ้า ถึงได้ให้เข้ามาในจุดพักเปลี่ยนม้า”

“อะแฮ่ม!”

สวี่ชีอันแสร้งกระแอมไอดึงดูดความสนใจของทั้งสามในตอนนี้ “ท่านผู้ตรวจการจาง ไม่สู้ท่านฟังที่นางเอ่ยก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

เขาคิดว่าหมายเลขสองสนับสนุนหยางชวนหนาน อาจมีเหตุผลมาจากความรู้สึกส่วนตัว แต่นางไม่ได้ตาบอดและเป็นคนโง่เขลา จึงอยากฟังสิ่งที่นางเอ่ย

ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงมองหน้ากัน “ได้!”

หลี่เมี่ยวเจินหยักหน้าให้สวี่ชีอัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “ข้าและหยางชวนหนานรู้จักกันมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว เราได้ร่วมมือกันปราบปรามโจรหลายครั้ง ถือว่าสนิทสนมกันมากทีเดียว แต่ใช่ว่าข้าไม่รู้จักถูกผิด ข้าเข้าใจในความไม่แน่นอนและปีศาจร้ายที่อยู่ในใจของมนุษย์ดี ข้าเชื่อในตัวของหยางชวนหนาน ไม่เพียงเพราะสาเหตุที่เข้ากันได้ดีและต่อสู้เคียงข้างกันเท่านั้น หลังจากที่ข้ารู้จากแหล่งข่าวลับว่าราชสำนักส่งผู้ตรวจการไปยังอวิ๋นโจวเพื่อสอบสวนหยางชวนหนาน จึงได้มีการจัดเตรียมภูตผีคอยสอดแนมอยู่ข้างๆ เขา ยามนั้นหยางชวนหนานไม่ได้รับจดหมายลับจากพรรคฉี”

พอได้ยินคำว่าภูตผีสอดแนม เจียงลวี่จงก็เลิกคิ้วขึ้น

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาที่อวิ๋นโจวเพื่อสอบสวนหยางชวนหนาน” ผู้ตรวจการจางจ้องเขม็งไปยังนางด้วยสายตาเฉียบคม

รายงานผู้ตรวจการจาง พวกเราพบผู้ที่ทรยศแล้ว…นั่นก็คือข้าน้อยเองขอรับ…สวี่ชีอันคิดอย่างละอายใจ

เศษหนังสือปฐพีฉีกขาดกระจายไปทั่วในระยะหลายพันลี้ ภายในเวลาไม่นาน หลี่เมี่ยวเจินจึงรับรู้เรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผลและเร็วกว่าหยางชวนหนานเสียอีก

นางฟังคำพูดของหมายเลขสาม และมีการเฝ้าระวังไว้แต่แรก

หลี่เหมี่ยวเจินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “นี่เป็นความลับของข้า”

“หยางชวนหนานเป็นนักรบตำแหน่งระดับสูง ดังนั้นภูตผีสอดแนมของเจ้า เกรงว่าจะไม่สามารถซ่อนมันจากเขาได้กระมัง” สวี่ชีอันจงใจเปลี่ยนเรื่องอย่างร้อนตัว ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอย่างทอดถอนใจว่าที่ในที่สุดก็มีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องราวซึ่งเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้

เขาได้บอกหมายเลขสองล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้นางร่วมมือในการสืบสวน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมายเลขสองกับหยางชวนหนานจะเกินความคาดหมาย แต่ผลลัพธ์ก็ถือว่าไม่เลว

“รู้แล้วจะเป็นไรไป ตราบใดที่เขาอยู่ในสายตาของภูตผี เป้าหมายของข้าก็จะสำเร็จ” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ดีกว่าชาติที่แล้ว พอผู้คนเห็นกล้องวงจรปิดริมถนนกำลังบันทึกภาพพวกเขาอยู่คงไม่กล้าทำอะไรไม่ดีไม่งาม นอกเสียจากจะใช้หินทุบมันทิ้งไปเสีย

และถ้าหากหยางชวนหนานทุบ ‘กล้องวงจรปิด’ ด้วยหิน หลี่เมี่ยวเจินคงไม่สนับสนุนเขามากขนาดนี้

หยางชวนหนานมีภรรยาหรือเปล่านะ ภูตผีไม่ใช่แค่กระดาษที่มีขีดจำกัดเท่านั้นหรือ โชคยังดีที่ท่านอาจารย์ยังหลับใหล ไม่อย่างนั้นข้าคงกลายเป็นพระเอกละครระดับชาติไปแล้ว…คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของสวี่ชีอันก็ซับซ้อนขึ้นทันใด

“แค่นี้หรือ” เจียงลวี่จงไล่ถาม

“ข้าเป็นคนของนิกายสวรรค์” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยทีละคำ “ข้ามองธาตุแท้ของหยางชวนหนานออก”

หมายความว่ายังไงกัน สวี่ชีอันพบว่าเจียงลวี่จงลุ่มหลงอยู่ในภวังค์ความคิด พลางขมวดคิ้วแน่น

“นิกายสวรรค์ปลูกฝังให้สวรรค์และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียว เจ้าก็ทราบแล้วมิใช่หรือ” หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองไปที่ซูซูผีสาวผู้ขายความลับเพื่อผลประโยชน์ แล้วมองไปทางสวี่ชีอันอีกครั้ง

ตอนแรกนางแสร้งก้มหน้าอย่างกระดากอาย แต่ตอนหลังกลับเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”

เจียงลวี่จงรับช่วงต่อ ถอนหายใจเอ่ย “เพื่อให้บรรลุประสงค์สวรรค์และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียว จำเป็นต้องลืมความรู้สึกที่มากเกินไปเสียก่อน สวรรค์นั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายดั่งผู้คนเป็นหุ่นฟาง ว่ากันว่ายิ่งผู้ฝึกตนของนิกายสวรรค์สูงส่งเท่าใด ก็ยิ่งเหมือนมนุษย์หินมากขึ้นเท่านั้น ไร้ความสุขความเศร้า ไร้ความปรานี ต่อให้บุตรชายตายไปก็ไม่มีความเศร้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย”

งั้นถ้านางให้กำเนิดบุตร ข้าจะรับเลี้ยงดูเอง…สวี่ชีอันเหลือบมองหลี่เมี่ยวเจินโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่นางจะเลิกคิ้วขึ้นเพราะรู้สึกถึงความมุ่งร้ายบางอย่างในสายตาของเจ้าฆ้องทองแดง

เจียงลวี่จงเอ่ยต่อ “สวรรค์และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียว จำเป็นต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในกฎของสวรรค์และโลก รวมถึงสภาพอากาศนับพันเข้าไว้ในตนเอง ชาวนิกายสวรรค์รู้ดีกว่าปัญญาชนผู้อื่นว่าการเรียนรู้หลักพื้นฐานต่างๆ มีความหมายอย่างไรบ้าง จึงมีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งมากเกี่ยวกับคุณสมบัติ เช่น ความดี ความชั่ว และความโลภ”

นี่ไม่ใช่เครื่องจับเท็จมนุษย์หรอกหรือ…ไม่สิ เครื่องจับเท็จมนุษย์เป็นของโหรสำนักโหราจารย์ สำหรับชาวนิกายสวรรค์น่าจะเป็นเครื่องตรวจจับคนชั่ว? สวี่ชีอันพยักหน้าทันที ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเหตุใดหลี่เมี่ยวเจินถึงเชื่อหยางชวนหนานถึงเพียงนี้

“วิชามองปราณของสำนักโหราจารย์มีข้อเสียอยู่ นี่เจ้า…” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างมีทักษะ

“ในฐานะผู้ฝึกตนนิกายสวรรค์ ควรเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเองมากกว่า” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงราบเรียบ “นี่คือหลักการแห่งสวรรค์ หากเกิดความสงสัยในสัญชาตญาณของตนเอง นั่นนับเป็นการสงสัยในตนเองมากที่สุด ไม่ช้าก็เร็วอาจตายโดยปีศาจร้ายที่อยู่ภายในใจ”

“เช่นนั้นเจ้าช่วยกลั่นกรองให้ข้าหน่อย ลองดูธาตุแท้ของข้า” สวี่ชีอันพูด

หลี่เมี่ยวเจินส่ายศีรษะ “พวกเรารู้จักกันสั้นเกินไป นั่นเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำอย่างยาวนาน” นางหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนทำปากยื่นยาวพลางเอ่ย “นิสัยของเจ้าได้เขียนอยู่บนใบหน้าชัดแล้ว”

มารดานางเถอะ…

“หลังจากที่รู้ว่าตนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวนระหว่างสำนักพ่อมดและพรรคฉี หยางชวนหนานจึงได้คิดวิธีเอาตัวรอดอยู่ตลอด ทั้งสอบสวนคนของพรรคฉีที่อยู่ในกรมผู้บัญชาการ ทั้งตามหาหลักฐานที่โจวหมินทิ้งเอาไว้ ถ้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้จะเป็นการดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ ก็ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ทำลาย ‘หลักฐาน’ ทุกอย่างทิ้งเสีย” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างใจเย็นถึงการคิดคำนวณของหยางชวนหนาน…

นี่ช่างสมเหตุสมผลยิ่งนัก หากเปลี่ยนเป็นข้าที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ คงต้องปกป้องตัวเองไว้ก่อน…หลังจากนั้นก็ลองใช้ความสามารถในการสอบสวนคดีดู…สวี่ชีอันพยักหน้า

ผู้ตรวจการจางหรี่ตา ระลึกถึงความเกลียดชังของหยางชวนหนานที่มีต่อเขาตลอดทาง ในสายตาของอีกฝ่าย ตนเองที่เป็นผู้ตรวจการคงมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา

สวี่ชีอันหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ท่านแม่ทัพหลี่อาศัยแต่ลมปาก พวกเราได้หลักฐานมาแล้ว แม้ว่าหยางชวนหนานจะไม่ใช่ผู้บงการ แต่ในฐานะผู้บัญชาการ เขาจะต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้”

ที่ทำการปกครองแห่งใดเกิดปัญหา ผู้นำก็ต้องรับผิดชอบ กฎนี้มีมาแต่โบราณ

“ยิ่งไปกว่านั้น วิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ และหลักการเรียนรู้ของเจ้าก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจศาลได้เช่นกัน วิชามองปราณระดับสี่ขึ้นไปของสำนักโหราจารย์ก็ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ เพราะวิชามองปราณไม่สามารถโกหกได้ แต่โหรสามารถโกหกได้ ในเหตุผลเดียวกัน วิชายุทธ์ลัทธิเต๋าของนิกายสวรรค์โกหกไม่ได้ แต่หลี่เมี่ยวเจินโกหกได้”

สวี่ชีอันลุกขึ้นเดินมายังข้างๆ ซูซู จิ้มแก้มนางไปครั้งหนึ่ง ใบหน้างดงามราวกับดอกไม้เกิดรอยบุ๋มลึกลงไปทันที

“ท่านทำอะไรเจ้าคะ” ซูซูมีท่าทีตกใจ…ไม่สิ รูปทรงใบหน้าผิดรูปแล้ว

“ที่แท้ร่างเจ้าก็ทำมาจากกระดาษนี่เอง” สวี่ชีอันตบไหล่ของสาวงาม “ซูซู เจ้าอยากมีร่างกายที่มีชีวิตหรือไม่ ไม่ใช่แบบสิงร่าง แต่เป็นร่างกายที่ไร้เจ้าของน่ะ”

“คนตายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ซูซูหรี่ตามองเขา พลางหัวเราะเสียงเย็นแล้วกล่าวต่อไป “ผิวหนังที่ตายแล้วจะเน่าเปื่อยเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง”

“ไม่ใช่ เป็นร่างที่ไร้เจ้าของจริงๆ ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณ” สวี่ชีอันพูด

ซูซูทำหน้าไม่เชื่อ

“ข้ารู้จักซ่งชิงจากสำนักโหราจารย์มานานแล้ว เขากำลังฝึกเล่นแร่แปรธาตุชีวิตอยู่ เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการปรับแต่งร่างกายที่ไม่ต่างจากคนทั่วไป อีกอย่าง ยังมีการค้นพบครั้งสำคัญเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างจริงจัง

“จริง จริงหรือเจ้าคะ…”

บางทีอาจใช้แผ่นป้ายอักษรทองคำของสำนักโหราจารย์ก็เป็นได้ ซูซูเริ่มมีความสนใจ และก่อเป็นความปรารถนาที่แน่นอนขึ้น

“จริงแน่นอน หากเจ้าเลือกมาติดตามข้า ข้าจะทำร่างที่ไร้เจ้าของและสะอาดมาให้เจ้าแน่นอน ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่สามารถแยกจากเจ้านายของเจ้าได้นั้น ข้าขอคิดวิธีอื่นก่อน”

ถึงอย่างไรการโกหกย่อมดีกว่า เวลาหลอกลวงหญิงสาวเขาก็หลอกแบบนี้แหละ

ก่อนอื่นต้องให้นางวาดฝัน มองไปยังอนาคต และให้คำสัญญาที่ดูมีอนาคตเกินจริงแก่นางก่อน แค่นี้พวกนางก็จะทำในสิ่งที่เราต้องการทุกอย่างเพื่อคำสัญญาที่ไม่มีวันเอื้อมถึงนั้น

รอให้ภายภาคหน้าเกิดรู้เข้าว่าเป็นเรื่องโกหก ข้าวสารก็คงหุงสุกจนกลายเป็นข้าวสวยไปเสียแล้ว

“อะแฮ่ม!”

ผู้ตรวจการจางกระแอมไอ เตือนสติฆ้องทองแดงไม่ให้เบี่ยงเบนประเด็นหลัก เรื่องเกลี้ยกล่อมปีศาจสาวให้ไปว่ากันภายหลัง

เป็นไปได้ที่สวี่ชีอันจะตระหนักรู้ถึงความหมายที่แท้จริง ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการสืบคดีครั้งต่อไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยลองใจ “แม่ทัพหลี่ เจ้าบอกว่าได้ร่วมมือกับหยางชวนหนานแอบสืบสถานการณ์ในสำนักผู้บัญชาการ เช่นนั้นไม่ทราบว่าเจ้ามีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่”

ความนัยแฝงคือ หากไม่มีก็เชิญเจ้ากลับไปเสีย…

หลี่เมี่ยวเจินดูเหมือนจะร่างความคิดไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางแสงเทียน นางโค้งกายเล็กน้อย ขนตาโค้งงอนเป็นแพยาวกระทบแสง ทำให้เงามืดบดบังดวงตาคู่งามไว้

“หลังจากที่โจวหมินตายจากไป ข้าร่วมมือกับหยางชวนหนานเพื่อตรวจสอบสำนักผู้บัญชาการ สุดท้ายได้กักขังผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งไว้ นั่นก็คือคนของพรรคฉี แต่คนผู้นี้มีไหวพริบยิ่งนัก ดูเหมือนจะรู้ว่ามีภัย ไม่รอให้พวกเราหว่านแหก็หายตัวไปเสียแล้ว”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่พูดตั้งแต่แรกเล่า…เจ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาคนหรอกหรือ…ขนาดนายกองโจวเจ้ายังสามารถตามจับได้…” สวี่ชีอันพูดจาค่อนแขวะพลางส่ายศีรษะ

ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “คนผู้นั้นเป็นใคร”

“เป็นผู้บัญชาการเช่นเดียวกับโจวหมินเจ้าค่ะ เป็นผู้มีประสบการณ์ท่านหนึ่งในกรมเสมียนตรา ผู้ทำหน้าที่รับและส่งสินค้าในคลัง” หลี่เมี่ยวเจินตอบ

หากต้องการพิสูจน์ว่าคำพูดของหลี่เมี่ยวเจินจริงหรือเท็จ สามารถตรวจสอบง่ายนิดเดียว ทำเช่นเดียวกันกับตอนที่เปิดโปงคำโกหกของหยางอิงอิง สวี่ชีอันเอ่ยถามในทันที “ชื่อ อายุ หน้าตา ที่อยู่ รวมไปถึงคนรักและมิตรสหาย…ท่านแม่ทัพหลี่สามารถบอกข้อมูลทั้งหมดนี้ได้หรือไม่”

“ได้แน่นอน แต่ข้าไม่ได้พกติดตัวมาด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งมาที่จุดพักเปลี่ยนม้า” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “ส่วนหน้าตาของคนผู้นั้น ข้าสามารถวาดให้พวกท่านดูได้ตอนนี้”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้าเล็กน้อย สั่งให้ใครสักคนไปเอาพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งหมึกมา ซูซูที่มีใบหน้าผิดรูปรับหน้าที่ฝนหมึกให้อย่างเชื่อฟัง ขณะนั้นหัวใจกลับลอยละล่องราวไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว นางเหลือบมองสวี่ชีอันเป็นครั้งคราว จากนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อครุ่นคิดบางอย่าง

หลังเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ภาพเหมือนฝีมือหลี่เมี่ยวเจินก็เสร็จสมบูรณ์

คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอม ดวงตาหรี่เล็กแหลมคม

เถ้าแก่ร้านขายเนื้อติงหมายเลข ‘สิบห้า’ บนถนนหวงป๋อ

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด