ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 406 ระดับสามหรือ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 406 ระดับสามหรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 406 ระดับสามหรือ

“ตามคำกล่าวของจีเชียน ก่อนที่โชคชะตาจะถูกนำออกมา ภาชนะจะแตกไม่ได้ ในทางกลับกัน หาก ‘ภาชนะ’ แตก โชคชะตาจะกลับคืนสู่ต้าฟ่งหรือไม่ เช่นนั้นหากข้าบอกเรื่องพวกนี้กับเว่ยกง เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร”

หลังจากเป่าเทียนดับ สวี่ชีอันที่นอนอยู่บนเตียงจู่ๆ ก็มีคำถามนี้ผุดขึ้นมา

เขาสามารถตัดทอนได้และบอกเว่ยกงเพียงแค่การมีอยู่ของเชื้อสายราชวงศ์ของท่านโหราจารย์รุ่นแรกกับต้าฟ่ง โดยไม่เปิดเผยข้อมูลของโชคชะตา

แต่ปัญหาคือ เขาไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนอยู่ขั้นใด เช่นเดียวกับที่เขามองไม่ออกว่าท่านโหราจารย์อยู่ขั้นใด

หากบอกข้อมูลเหล่านี้กับเว่ยเยวียน เว่ยเยวียนก็จะผนวกข้อมูลที่เขาควบคุมกับความรู้เพื่ออนุมานเบื้องหลังของโชคชะตา…

อ้อ ที่แท้ต้าฟ่งอ่อนกำลังลง ประชาชนลำบากยากแค้น ท้องพระโรงทุจริตหนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการสูญเสียโชคชะตาและโชคชะตาอยู่ที่สวี่ชีอัน

ในฐานะวีรบุรุษผู้มีความทะเยอทะยานและปณิธานแน่วแน่ที่อุทิศชีวิตเพื่อกวาดล้างโรคเรื้อรัง เว่ยเยวียนจะจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดกฎหมายเพื่อประเทศและประชาชนหรือจะเลือกปกปิดและเพิกเฉย

ข้าไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ แต่จากความสามารถที่เว่ยเยวียนแสดงออกมากับตำนานของเขา หากข้าอยู่ระดับสิบแปด เช่นนั้นเขาคงอยู่ระดับเก้าสิบเก้า…สวี่ชีอันพลิกกายลุกขึ้นนั่งและครุ่นคิดในความมืด

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกหวาดระแวงว่า โลกทั้งใบกำลังจะทำร้ายเขา

รุ่นแรกกับรุ่นปัจจุบันไม่น่าเชื่อถือ เดิมทีก็ประจบสอพลอเว่ยเยวียน หากรู้เรื่องโชคชะตา คงกลายเป็นศัตรูกัน

“ข้าควรทำเช่นไร”

ในยามค่ำคืน สวี่ชีอันบ่นพึมพำถามตัวเอง

“หากข้ามีพลังต่อสู้ขั้นสามหรือขั้นสอง ข้าคงเดินด้วยลำแข้งของตัวเองได้และกระโดดออกจากกระดานหมากรุกมาเป็นนักเล่นหมากรุก แต่ข้าเป็นเพียงทหารขั้นหก ท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็เหมือนดาบที่ห้อยอยู่เหนือหัว แม้ว่าจะไม่ตกในเร็ววัน แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ระยะเวลาก็คงไม่นานเกินไป ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถกลายเป็นสุดยอดทหารในเวลาอันสั้นได้ หากเป็นเช่นนี้ วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือต้อนเสือขย้ำหมาป่า ใช้ศัตรูของศัตรูจัดการกับศัตรู แต่รุ่นแรกกับรุ่นปัจจุบันต่างก็ไม่ใช่คนดี…”

หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก เสียงหัวเราะเบาๆ ของสวี่ชีอันก็ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบ “ข้าคิดวิธีออกแล้ว”

“ปกป้องเม็ดบัวก่อนแล้วเลื่อนสู่ขั้นห้าให้เร็วที่สุด…หลังจากนั้นก็กลับเมืองหลวงและเล่นเกมพูดความจริงหรือทำตามคำสั่งกับเว่ยกง…”

ยามรุ่งสาง แสงอรุณแรกสาดส่องลงมา เหล่าสายลับที่สวมชุดคลุมสีดำขนย้ายปืนใหญ่ยี่สิบกว่ากระบอกและเดินช้าๆ ไปตามถนนที่เชิงเขาคฤหาสน์เยวี่ยจือ

เทียนจีกับเทียนซูยืนอยู่ริมถนน เอามือไพล่หลังและมองลูกน้องวางปืนใหญ่เรียงเป็นแถวอยู่เคียงข้างกัน

เหล่าสายลับตระเตรียมการยิงอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาไม่กลัวว่าศัตรูในคฤหาสน์จะลงมือโจมตีหรือทำลาย เพราะไม่ไกลจากหน่วยปืนใหญ่มีนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีกับลูกศิษย์ของพวกเขาอยู่

นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่นำโดยเฉาชิงหยางอีก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ลงรอยกัน แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน หากคฤหาสน์เยวี่ยจือคิดจะทำลายปืนใหญ่ด้วยวิธีการลอบโจมตี คนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะขัดขวางอย่างแน่นอน

“เมื่อวานเจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรเอาป้ายทองคำที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ไปข่มขู่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์” เทียนซูเอ่ยเสียงเรียบ

เสียงของนางเย็นชาและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของสตรีสูงวัย

“ข้าเพียงแค่ดูท่าทีของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เท่านั้น แม้ว่าเฉาชิงหยางจะมีทิฐิสูง แต่สุดท้ายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ยังคงยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคฤหาสน์เยวี่ยจือ” เทียนจีเอ่ยเสียงเย็น

ท่าทีของสำนักโม่กับกลุ่มหมัดเทพเจ้าเมื่อคืนนี้ทำให้เขาระแวดระวังมาก หากภายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เกิดเสียงขัดแย้งขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นนั้นยักษ์ใหญ่ของเจี้ยนโจวกลุ่มนี้ แม้ว่าจะไม่ขบถต่อคฤหาสน์เยวี่ยจือ พลังต่อสู้ก็ลดลงอย่างมาก

ดังนั้นเขาจึงต้องรู้เบื้องหลังของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ แน่นอนว่า การซักไซ้เอาความเป็นความจริง หากเฉาชิงหยางยอมจำนนต่ออำนาจของราชสำนัก เช่นนั้นเขาก็เดิมพันถูกต้องแล้ว

ในทางกลับกัน แม้ว่าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่การประเมินของเขาก็ถูกต้อง เฉาชิงหยางไม่ได้ฆ่าเขา

ในฐานะผู้นำกลุ่มพันธมิตร แม้ว่าเขาจะดื้อรั้นและหยิ่งทะนง เขาก็ยังแตกต่างจากชาวยุทธภพที่หัวเดียวกระเทียมลีบ เรื่องที่ต้องครุ่นคิดก็มากขึ้นเช่นกัน

กำไรไม่เลว แต่ราคาก็มหาศาลเช่นกัน ในฐานะยอดฝีมือขั้นสี่และหนึ่งในหัวหน้าสายลับ เขาถูกเฉาชิงหยางทำให้อับอายและทุบตี หากไม่ฉลาดมากพอ เขาคงสลัดเงามืดในใจไม่ออกไปอีกสักพัก

เทียนจีกระซิบ “พวกเราเพียงแค่ต้องยิงสนับสนุน เพื่อเปิดช่องว่างให้นิกายปฐพี การแย่งชิงเม็ดบัวหลังจากนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเรา แต่เป็นการฆ่าสวี่ชีอัน เข้าใจหรือไม่”

เทียนซูร้อง ‘อืม’ ออกมาและยิ้ม “เมื่อคืนนี้เขาใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดินและยังใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊ออีก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟื้นตัวภายในเวลาไม่กี่ชั่วยาม ไม่ฆ่าตอนนี้แล้วจะฆ่าตอนไหน”

ในฐานะสายลับของไหวอ๋อง ซึ่งตอนนี้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ พวกเขารู้จักสวี่ชีอันเป็นอย่างดี ภายหลังจากการวิเคราะห์กับประเมินในที่เกิดเหตุและอาวุธเวทมนตร์ที่แตกละเอียดบนร่างของชายหนุ่มที่มีภูมิหลังลึกลับ

นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนที่ในพริบตากะทันหันท่ามกลางสายตาของทุกคนและใช้ดาบยันต์สังหารผู้ติดตามขั้นสี่สองคนอีก

พวกเขาสรุปเบื้องต้นได้ว่า สวี่ชีอันใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ กับวรยุทธ์ของขงจื๊อ และจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า สองเคล็ดวิชานี้ต้องจ่ายในราคามหาศาล

สามกองกำลัง กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพีกับสายลับของไหวอ๋องรวมตัวกันและข้างหลังพวกเขายังมีชาวยุทธภพที่มามุงดูอีกหลายร้อยคน

บางคนเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาๆ บางคนเป็นคนที่สำนักเล็กๆ ส่งมาเพื่อฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน

หลังจากประสบศึกลอบโจมตีที่เมืองเล็กๆ เมื่อวานนี้ ความกระตือรือร้นของชาวยุทธภพกลุ่มนี้ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก ด้านหนึ่งเกรงกลัวความแข็งแกร่งของคฤหาสน์เยวี่ยจือและตระหนักถึงความเป็นจริง

อีกด้านหนึ่งตัวตนของสวี่ชีอันเริ่มก่อหวอด อิทธิพลของเขาค่อยๆ มากขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเกรงกลัวขึ้นเรื่อยๆ และไม่กล้าเป็นศัตรูกับเขา

“ข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว ช่างน่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่เวทีของพวกเรา” ในฝูงชน หลิวหู่ที่ใช้กระบองทองแดงยันกายทอดถอนใจ

“ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น” มีสหายที่ยังมีความหวัง

“เมื่อวานนี้ข้าคำนวณพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจากพลังต่อสู้ที่คฤหาสน์เยวี่ยจือแสดงออกมา มันแตกต่างกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพีและยอดฝีมือจากราชสำนักกลุ่มนั้นมาก”

“ไม่เพียงแตกต่างกันมากเท่านั้น พวกเจ้าอย่าลืมว่า ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพียังไม่ปรากฏตัว เขาอยู่ขั้นสอง หากเขามา เขาจะกวาดล้างทั้งสนาม”

“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะจับปลาในน้ำขุ่นด้วยซ้ำ”

“เอ๊ะ พวกเจ้าว่าหากฆ้องเงินสวี่ใช้พลังในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ พอมีหวังที่จะสู้กับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีได้หรือไม่”

“ไม่ใช่ว่าในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธมีท่านโหราจารย์แอบช่วยหรอกหรือ”

“คุยกันสบายๆ ข้าพูดว่าพลังของฆ้องเงินสวี่ตอนพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ แน่นอนว่าข้ารู้ว่าท่านโหราจารย์แอบช่วย”

คุณชายหลิวถือดาบและเดินไปทางสาวๆ แห่งหอหมื่นบุปผา เขาเผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาและพูดว่า “หรงหรง ข้าได้ยินจากท่านอาจารย์ว่า คฤหาสน์เยวี่ยจือเพียงแค่กำลังต่อต้านอย่างดื้อรั้นเท่านั้นและโอกาสที่จะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้ก็มีไม่มาก”

หรงหรงหันไปมองไปคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีสัมพันธไมตรีไม่เลวคนนี้ แต่กลับพบว่าสายตาของเขาลอบมองแผ่นหลังอันงดงามของเจ้าของหออยู่

“ข้าไม่สนว่าคฤหาสน์เยวี่ยจือจะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้หรือไม่” หรงหรงเอ่ยเสียงเบา

ในความคิดของหรงหรง สายตาของคุณชายหลิวยับยั้งชั่งใจมากแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียสาวงามเช่นเจ้าของหอก็เด่นสะดุดตาเกินไป หากผู้ชายคนใดไม่แอบมอง ตรงกันข้ามเขามีปัญหา

“พวกเราคิดเหมือนกัน” คุณชายหลิวหัวเราะ

นี่เป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ รวมถึงเหล่านางฟ้าแห่งหอหมื่นบุปผาที่อยู่ตรงนั้น คฤหาสน์เยวี่ยจือจะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้หรือไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา

ขอเพียงฆ้องเงินสวี่ไม่ประสบอุบัติภัยก็พอ

พวกเขาชื่นชมความชอบธรรมของฆ้องเงินสวี่ แต่ก็ไม่อยากเห็นเขาสิ้นชีพลงที่นี่ ซึ่งไม่ขัดแย้งกับการแย่งชิงเม็ดบัวของพวกเขา

ภายในคฤหาสน์เยวี่ยจือ

เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินรวมตัวกัน ถืออาวุธเวทมนตร์ของตนเองและเตรียมพร้อมรบ

เดิมทีเป็นการประชุมระดมพล แต่นักพรตหญิงไป๋เหลียนพบว่า ความกังวลกับความกลัวของเหล่าลูกศิษย์ก่อนออกศึกมากกว่าที่จินตนาการไว้

นักพรตหญิงไป๋เหลียนยืนอยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ทุกคนและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จากการกรีธาทัพก่อนหน้านี้ รักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ อย่ากังวลและอย่ากลัวไป พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจัดการยอดฝีมือขั้นสี่”

เหล่าลูกศิษย์พยักหน้า แต่สีหน้ากังวลยังไม่คลายลง

พวกเขายังเด็กและแทบจะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ในระดับนี้ ไม่สิ เรียกได้ว่าเป็นสงครามด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินก็มาปลอบโยนทีละคน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ค่อยดีนัก

ตะโกนคำพูดติดปากไปจะมีประโยชน์อะไร…สวี่ชีอันถือดาบพกและเดินมาอย่างสงบนิ่ง เขามองเห็นความกังวลบนใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

เขายืนอยู่ต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ กุมดาบยืนตัวตรงและเอ่ยเสียงเรียบ “สำหรับพวกเจ้า อันที่จริงแล้วนี่เป็นโอกาสหนึ่ง”

ชิวฉานอีและลูกศิษย์คนอื่นๆ มองมาที่เขาทันทีและฟังอย่างตั้งใจ

“เป้าหมายของพรรคฟ้าดินคืออะไร พวกเจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้า พวกเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับใครในอนาคต ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดใช่หรือไม่” สวี่ชีอันมองทุกคนรอบๆ

ลูกศิษย์ทุกคนพยักหน้า

แน่นอนว่าพวกเขารู้ แต่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและไม่มีพละกำลังเพียงพอ ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับเหล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีล่วงหน้า นี่ทำให้เหล่าลูกศิษย์หนุ่มสาวรู้สึกตื่นตระหนกที่ถูกบีบให้ทำอะไรเกินความสามารถ

“ตอนข้ารับช่วงต่อคดีซังผอ ความรู้สึกของข้าก็ไม่ต่างจากพวกเจ้า วิตกกังวลและไม่สบายใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่สุดท้ายข้าก็ไขคดีได้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”

เมื่อได้ยินฆ้องเงินสวี่เล่าประสบการณ์ของตัวเอง ความวิตกกังวลภายในใจของลูกศิษย์ทุกคนก็คลายลง

“เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเจ้า ข้าไม่มีทางให้ถอยกลับ ตอนนั้นข้าถูกตัดสินให้ตัดเอวเพราะใช้ดาบฟันหัวหน้า หากไม่ทำคุณไถ่โทษ ตายสถานเดียว”

ชิวฉานอีเอ่ยเสียงดัง “คุณชายสวี่ทำถูกแล้ว”

ลูกศิษย์ทุกคนรีบเห็นด้วย

“นี่ไม่ใช่คำถามว่าถูกหรือผิด โปรดเข้าใจความหมายหลักของข้าด้วย”

สวี่ชีอันจ้องมองนักพรตหญิงตัวน้อยและเอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่มีทางให้ถอยกลับ ดังนั้นข้าจึงสามารถแลกด้วยทุกอย่างได้ รวมถึงตอนข้าอยู่ที่อวิ๋นโจวหลังจากนั้น ข้าขวางกองทัพกบฏเพียงลำพัง…เพราะไม่มีทางให้ถอยกลับเช่นเดิม ตอนนั้นสถานการณ์เข้าตาจนมาก หากไม่สู้ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะพ่ายแพ้ย่อยยับ…”

สวี่ชีอันพูดจาฉะฉานและเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง เหล่าลูกศิษย์ต่างก็ฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งในเวลาต่อมา อารมณ์ของพวกเขาถูกกระตุ้นและรู้สึกว่าเลือดในกายกำลังเดือดพล่านอย่างช้าๆ

การฟังเกียรติประวัติอันรุ่งโรจน์ของบุคคลที่บูชาจะก่อให้เกิดเสียงสะท้อนทางอารมณ์บางอย่าง สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการก็คือเสียงสะท้อนแบบนี้

“ตอนนี้พวกเจ้ามีโอกาสแล้ว สู้จนสุดใจขาดดิ้น ปกป้องศักดิ์ศรีสุดท้ายของนิกายปฐพี ในอนาคตหลังจากที่นิกายฟื้นฟู ในประชุมพงศาวดารของนิกายปฐพีจะมีชื่อของพวกเจ้าทุกคนและตำนานของพวกเจ้าก็จะอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน”

นักพรตหญิงไป๋เหลียนประหลาดใจเมื่อพบว่า อารมณ์ของเหล่าลูกศิษย์เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น ตื่นตัวและไม่เกรงกลัว

‘คนที่มีอำนาจบารมีพูดอะไรก็ถูกไปเสียหมดจริงๆ…อืม วาทศิลป์ของเขาก็มีชั้นเชิงมากเช่นกัน ผสมผสานกับประสบการณ์ของตัวเองเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของเหล่าลูกศิษย์…’ นักพรตหญิงไป๋เหลียนมองชายหนุ่มที่กุมดาบยืนตัวตรงแล้วสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

นางเพียงแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นสหายที่คู่ควรแก่การพึ่งพา เชื่อถือได้และทำให้สบายใจ

ทั้งสองฝ่ายต่างก็เฝ้ารอคอย ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนชะเง้อมองและตั้งหน้าตั้งตารอ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นอยู่เหนือศีรษะ

ประมาณเที่ยง ในส่วนลึกของคฤหาสน์เยวี่ยจือ แสงสายัณห์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้านล่างของเสาแสงสายัณห์ สีทั้งเก้าสีค่อยๆ เปล่งประกาย

เม็ดบัวกำลังจะสุกงอม…

เทียนจีสะบัดมือและตะโกน “ยิง!”

บนตัวเหล็กของปืนใหญ่ อักขระมนตร์มากมายสว่างขึ้น วินาทีต่อมา เสียงปืนใหญ่ยิงกระสุนก็ราวกับเสียงฟ้าร้อง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

แรงถีบกลับมหาศาลทำให้ตัวปืนเหล็กอันแสนหนักเลื่อนถอยไปข้างหลัง ก้อนดินจำนวนมากสาดกระเซ็น

‘ฟ้าววว…’

ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง กระสุนปืนใหญ่หลายลูกลอยโค้งเป็นรูปพาราโบลาอย่างสวยงามและปะทะเข้ากับม่านปราณด้านนอกคฤหาสน์เยวี่ยจือเสียงดังสนั่น

มันเป็นม่านปราณทรงครึ่งวงกลมที่ปกคลุมทั้งคฤหาสน์ ซึ่งเป็นสีกึ่งโปร่งแสง กระสุนปืนใหญ่ระเบิดผิวม่านปราณจนเกิดประกายไฟพร่างพราว คลื่นกระแทกโหมกระหน่ำราวกับพายุเฮอริเคน

ด้านนอกคฤหาสน์ ณ ตำแหน่งตาวงแหวนของค่ายกลป้องกันชั้นที่หนึ่ง ใบหน้าของหนานกงเชี่ยนโหรวแดงก่ำ การระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ทุกลูกราวกับระเบิดบนร่างของเขา กระเทือนจนเลือดลมของเขาพลุ่งพล่านและมีกลิ่นคาวพุ่งขึ้นมาจากลำคอ

แสงเทวะบนผิวกายของเขาเปล่งประกายและส่งพลังปราณเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพของม่านปราณ

“นี่ นี่มันค่ายกลอะไร พลังป้องกันแข็งแกร่งเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานปืนใหญ่ที่แน่นหนาเช่นนั้นได้”

กองกำลังต่างๆ ที่มามุงดูตกตะลึง

ปืนใหญ่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ราชสำนักแห่งต้าฟ่งใช้ครองจิ่วโจวและข่มขู่ทุกฝ่าย พลังสังหารของพวกมันไม่ต้องสงสัยเลย

ปืนใหญ่ยี่สิบกระบอกระดมยิงพร้อมกันรอบเดียว ทหารขั้นสี่ก็เกือบไม่รอดเช่นกัน แต่ค่ายกลป้องกันตรงหน้ากลับเพียงแค่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเท่านั้น

นี่หมายความว่าพลังป้องกันของค่ายกลแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อของทหารขั้นสี่

“นี่ทำให้ข้านึกถึงค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองหลักแถบชายแดน…คฤหาสน์เยวี่ยจือจะมีค่ายกลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”

“จริงสิ ในการต่อสู้เมื่อคืนนี้มีโหรเข้าร่วมด้วยไม่ใช่หรือ” มีคนได้สติทันใด

ไม่แปลกที่ค่ายกลป้องกันของคฤหาสน์เยวี่ยจือจะแข็งแกร่งเช่นนี้

“ยิง!”

เทียนจีเปิดปากอย่างสงบนิ่งและออกคำสั่งให้ยิงรอบที่สอง

ในฐานะสายลับของไหวอ๋อง เขาถวายความจงรักภักดีอยู่ที่ดินแดนทางเหนือมาหลายปี ปราดเดียวเขาก็มองสถานการณ์จริงของค่ายกลออก อย่างมากที่สุดก็ทนรับการระเบิดได้สามรอบและจำนวนกระสุนปืนใหญ่ที่พวกเขาขนมาในครั้งนี้ก็เพียงพอ แม้แต่ทำให้คฤหาสน์เยวี่ยจือราบเป็นหน้ากลองก็ไม่ใช่ปัญหา

“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา!”

ทันใดนั้นเสียงขับบทกวีทุ้มลึกก็ดังขึ้นในหูของเหล่าวีรบุรุษอย่างชัดเจน ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่แน่นหนา

พวกเขาหันไปมองตามเสียงด้วยความประหลาดใจและเห็นเพียงแค่โหรชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนเนินเขาทางทิศใต้ โดยหันท้ายทอยไปทางทุกคน

เขายกเท้าขึ้นและกระทืบเบาๆ แสงลวดลายอักขระสว่างขึ้น

ปืนใหญ่หลายกระบอกกับหน้าไม้หลายคันวางเรียงอยู่รอบตัวเขา ปากกระบอกปืนกับลูกศรหน้าไม้หันและเล็งไปทางทุกคนที่อยู่เบื้องล่างอย่างพร้อมเพรียง

สีหน้าของเทียนซูเปลี่ยนไป เขาตะโกนว่า “ถอย!”

‘ปังๆๆ…’

‘ตูมๆๆ…’

ลูกไฟทุกลูกขยายตัวและระเบิด โดยระเบิดปืนใหญ่ยี่สิบกระบอกเป็นชิ้นๆ ในทันทีและทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่เพียงเท่านั้น ปืนใหญ่กับหน้าไม้ยังครอบคลุม ‘ฝูงชนที่มามุงดู’ ด้วย

แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือมีปัญหาด้านความแม่นยำ ปืนใหญ่เพียงแค่ระเบิดใกล้ๆ ฝูงชนเท่านั้น ทำให้ชาวยุทธภพตกใจกลัวหนีหัวซุกหัวซุนและตัวสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใครจนถึงชีวิต

กลับกันสายลับของไหวอ๋องยี่สิบกว่าคนสิ้นชีพไปเกือบครึ่งด้วยปืนใหญ่ นี่เป็นผลจากการที่เทียนซูกับเทียนจีสัมผัสได้ถึงวิกฤตล่วงหน้าและสั่งให้ล่าถอย

ระหว่างที่คุณชายหลิวหนีหัวซุกหัวซุน เขาก็อดหันกลับไปมองไม่ได้และเกิดความสงสัยขึ้นในใจ

‘เมื่อสักครู่นี้หากโหรคนนั้นลอบโจมตี เขาคงสังหารศัตรูได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน เหตุใดเขาถึงต้องขับบทกวี’

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว โหรระดับสูงแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”

“ใช่ นี่คือพลังที่ทหารไม่มีวันเข้าถึงได้”

หลังรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดของปืนใหญ่ กลุ่มต่างๆ ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับเหล่าคนพเนจรในยุทธภพก็หยุดและหันกลับไปมองที่เกิดเหตุอย่างหวาดผวา

หลังจากนั้นพวกเขาถึงค้นพบเรื่องหนึ่ง…

“โหรระดับสูงคนนั้นออมมือให้แล้ว ปืนใหญ่จงใจหลีกเลี่ยงฝูงชน”

“นี่เป็นการเตือนพวกเราหรือไม่”

“ตอนนี้ปืนใหญ่ของคนชุดดำเหล่านั้นถูกทำลายแล้วและค่ายกลป้องกันก็ยังอยู่ พวกเขาคิดจะโจมตีอย่างไร”

‘นี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยากจริงๆ’ กลางอากาศ นักบวชเต๋าชื่อเหลียนที่เหยียบกระบี่บินเอ่ยเสียงดัง “เฉาเหมิงจู่ เจ้าตั้งใจจะชมการแสดงไปถึงเมื่อไหร่ เม็ดบัวใกล้จะสุกงอมแล้ว พวกเรารีบร่วมมือกันทำลายค่ายกล”

“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น!”

ชุดสีม่วงเคลื่อนผ่านฟ้าเข้ามาราวกับดาวตกตัดผ่านและปะทะเข้ากับม่านปราณโดยตรง

ม่านปราณทรงกลมบุบลงไป มันต้านทานไว้ได้ไม่ถึงสองวินาทีก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นสายลมพัดจนฝุ่นคลุ้ง

หนานกงเชี่ยนโหรวกระอักเลือดออกมา ใบหน้างามเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

“เอ๊ะ…”

จากที่ไกลๆ หยางเชียนฮ่วนร้อง ‘เอ๊ะ’ ออกมาด้วยความประหลาดใจ

‘ค่ายกลถูกทำลายเช่นนี้…’ เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าวีรบุรุษที่อยู่ด้านนอกสนามก็งุนงงไปชั่วขณะ เฉาเหมิงจู่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด

เขาโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำลายค่ายกลที่ปืนใหญ่ยี่สิบกระบอกยิงพร้อมกันไม่อาจทำลายได้ลงได้

‘ขั้นสามหรือ?!’

เทียนจีกับเทียนซูมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขาติดตามอ๋องสยบแดนเหนือไปทุกที่ จึงคุ้นเคยกับกลิ่นอายของยอดฝีมือขั้นสามเป็นอย่างดี

แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งเท่าอ๋องสยบแดนเหนือ แต่กลิ่นอายนี้ทำให้พวกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก

“ขั้นสามหรือ”

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนชะงัก เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศและมองชุดคลุมสีม่วงอย่างลึกซึ้ง “เฉาชิงหยาง เจ้าเลื่อนสู่ขั้นสามตั้งแต่เมื่อใด”

ประโยคนี้ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทุ่มใส่ฝูงชนจนทำให้เกิดเสียงเอะอะขึ้น

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด