ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 188 ใต้เท้าผู้นี้คือ…

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 188 ใต้เท้าผู้นี้คือ... at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 188 ใต้เท้าผู้นี้คือ…
เขานี่เอง…สวี่ชีอันตระหนักขึ้นได้ในทันใด นึกถึงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้กลอนของตนไปฟรีๆ ผู้นั้น

หยางกงเป็นใครไม่รู้หรอก แต่เมื่อพูดถึงฆราวาสจื่อหยาง ชื่อนั้นก็ดังก้องหูประหนึ่งฟ้าร้อง เจ้านี่ฉวยโอกาสที่ตนลืมชื่อกลอนเลี้ยงส่งบทนั้น บังคับให้ตั้งชื่อกลอนหลังจากเอ้อร์หลางอ่านจบ

ช่างไร้ยางอายที่สุด

ภายหลังสวี่ชีอันใช้บทกลอนไว้อาลัยแก่สามนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนัก จากนั้นก็ปอกลอกพวกนั้นอย่างสบายใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ได้ฆราวาสจื่อหยางชี้ทางสว่างให้ ในใจจึงไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย

ผู้คนในยุทธภพล้วนปลิ้นปล้อน ไม่ใช่เจ้าก็เป็นข้าที่จะตกเป็นเหยื่อ

เขาจ้างรถม้าแถวท่าเรือ หลังจากที่ผู้ตรวจการจางเข้าไปนั่งก็เลิกม่านรถพร้อมกล่าวต่อ “ฆราวาสจื่อหยางคือบัณฑิตจอหงวน 14 ปีของหยวนจิ่ง ลาออกจากราชการในปีถัดมา อบรมสั่งสอนผู้คนอยู่ที่สำนัก ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง”

สวี่ชีอันใจเต้น “ลาออกจากราชการในปีถัดมาหรือขอรับ”

บัณฑิตจอหงวนเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ ขนาดบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการประจำสำนักบัณฑิตฮั่นหลินยังถูกเรียกว่าอัครมหาเสนาบดี นั่นก็แปลว่าบัณฑิตจอหงวนสามารถชิงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการได้เลย

ลาออกจากราชการในปีถัดมาเนี่ยนะ จะเป็นลม!

“ถูกเลื่อยขาเก้าอี้ในสงครามพรรคการเมืองในท้องพระโรง อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าสงครามพรรคการเมืองแต่ละพรรคกำลังดุเดือด ทันทีที่ต้องเผชิญกับปัญญาชนจากสำนักอวิ๋นลู่ หัวหอกก็หันไปภายนอกพร้อมเพรียงกัน[1]” ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ

“หลังจากฆราวาสจื่อหยางเข้ารับตำแหน่งจอหงวน ก็ถูกทิ้งไว้ที่ซอกมุม ไม่มีผู้ใดเหลียวแล ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมดอาลัยตายอยากอยู่หนึ่งปี เที่ยวเตร่สำนักสังคีตไปวันๆ ปีถัดมาก็ลาออกจากราชการ แล้วกลับไปสอนที่สำนักอวิ๋นลู่”

…ข้าเคยได้ยินว่ากินฟรีไปเกือบหนึ่งปี สวี่ชีอันนึกอิจฉาจากใจจริง

เรื่องที่ฆราวาสจื่อหยางถูกเลื่อยขาเก้าอี้จากพรรคการเมืองต่างๆ ในท้องพระโรง ผู้ตรวจการจางนอกจากทอดถอนใจก็ไม่ได้อธิบายเกินกว่านี้

สวี่ชีอันมีเจ้าน้องชายอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ จึงเข้าใจโดยกระจ่างแจ้ง

เหตุการณ์ศึกชิงบัลลังก์เมื่อสองร้อยปีก่อน ทำให้ราชวงศ์ทั้งหวาดกลัวทั้งรังเกียจปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ ดังนั้นรองปราชญ์เอกสกุลเฉิงจึงลุกขึ้นก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง เพื่อผลิตอัจฉริยบุคคลให้แก่ราชสำนักแทนสำนักอวิ๋นลู่

กล่าวได้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีทั้งความขัดแย้งทางผลประโยชน์และความคิดด้านลัทธิเต๋า หากจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่คนบ้าสมดุล ป่านนี้ฆราวาสจื่อหยางก็คงจะยังคงอบรมสั่งสอนผู้คนในสำนักต่อไป

“พรสวรรค์และฝีไม้ลายมือของฆราวาสจื่อหยางกล่าวได้ว่าเป็นเลิศในใต้หล้า ยามที่เขามาถึงชิงโจวในคราแรกก็ใช้อานุภาพแห่งอสนีบาตกวาดล้างที่ว่าการมณฑล ภายในหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ขุนนางที่ทุจริตรับสินบนทั้งหมด 178 คนก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งเข้าคุก ทำให้วงราชการของชิงโจวทั้งหมดสั่นคลอน” น้ำเสียงของผู้ตรวจการจางเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

มุทะลุเช่นนี้เลยหรือ แม้จะเป็นขุนนางหน้าใหม่ไฟแรง ทว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกส่งมาประจำการนอกเมืองหลวงคนหนึ่ง แม้อยากจะกวาดล้างขุนนางของชิงโจวก็ควรจะค่อยๆ วางแผนการสิ…ฆราวาสจื่อหยางได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในราชสำนักและกลายเป็นสมุหเทศาภิบาลของชิงโจวนานเท่าไรกัน

สวี่ชีอันนึกสงสัยอยู่ในใจ แล้วขมวดคิ้วเอ่ย “แต่ละพรรคในท้องพระโรงยอมให้เขากระทำการใหญ่เช่นนี้หรือขอรับ”

ผู้ตรวจการจางยิ้มพลางเอ่ย “ระหว่างตรวจสอบข้าราชการ สงครามพรรคการเมืองในท้องพระโรงดุเดือด มิอาจร่วมมือกันได้อีก ทั้งยังมีการควบคุมของเว่ยกง…”

เขาส่งสายตา ‘ทำความเข้าใจเอาเอง’ ให้สวี่ชีอันแล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ในความมุทะลุของฆราวาสจื่อหยางยังมีความรอบคอบอยู่ หลักฐานกระทำผิดที่ควรมีก็เสาะหามาได้ แถมยังบีบให้พวกขุนนางกังฉินคายคำพูดที่เป็นหลักฐานได้ด้วย…อืม ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ชำนาญด้านเหตุผลที่สุดมิใช่หรือ”

‘เหตุผล’ จากปากของใต้เท้าคือเหตุผลทางฟิสิกส์สินะ…สวี่ชีอันซาบซึ้ง แล้วสบตากับผู้ตรวจการจางพลางหัวเราะ

หลังจากมาถึงจุดพักม้าที่ดำเนินการโดยรัฐของชิงโจว ผู้ตรวจการจางตั้งใจพาสวี่ชีอันมุ่งไปยังที่ว่าการมณฑลเพื่อเยี่ยมเยียนฆราวาสจื่อหยางโดยเฉพาะ

บัดนี้สวี่ชีอันเข้าใจเหตุผลที่ผู้ตรวจการจางเป็นฝ่ายชวนสนทนาผูกไมตรี ผู้ตรวจการผู้มีประสบการณ์แก่กล้ากลัวฆราวาสจื่อหยางจะไม่เล่นด้วย จึงลากเขามาด้วยกัน

อย่างไรเสียผู้ตรวจการคนนี้ก็ลาดตระเวนที่อวิ๋นโจวมิใช่ชิงโจว

มีสวี่ชีอันตามมาด้วย ฆราวาสจื่อหยางต้องไว้หน้าและตอบรับคำขออย่างแน่นอน

เมื่อเข้าสู่ที่ว่าการมณฑล เจ้าพนักงานก็นำบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปในโถงด้านใน นั่งลงรินชา

“ท่านสมุหเทศาภิบาลไปตรวจสอบเรื่องของแผ่นจารึกเตือนใจที่ทำการปกครองใหญ่”

ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขาคือรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายของที่ว่าการมณฑล ขุนนางระดับสี่ชั้นโท

ผู้ตรวจการจางเอ่ยพึมพำ “หมายถึงศิลาจารึกที่ตั้งอยู่หน้าสำนักนั่นหรือ”

รองเสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มพร้อมพยักหน้า “ท่านสมุหเทศาภิบาลต้องการสร้างแผ่นจารึกเตือนใจเพื่อเตือนเหล่าขุนนางจำนวนมากของชิงโจว ให้ขุนนางซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา สร้างความผาสุกแก่ท้องถิ่น”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้า นี่เป็นควันหลงหลังจากกระแสนิยมการกวาดล้างขุนนาง “สมุหเทศาภิบาลทุ่มเทแรงกายแรงใจกระทำการนี้ แต่เหตุใดบนแผ่นจารึกเตือนใจจึงว่างเปล่าไร้ตัวอักษร”

รองเสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านสมุหเทศาภิบาลยังคิดไม่ออกว่าจะสลักอะไร หมู่นี้ก็กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ ขอให้พวกเราระดมความคิด หาแรงบันดาลใจ แม้กระทั่งพวกเรายังเหนื่อยใช้สมองอย่างหนัก”

ฆราวาสจื่อหยางช่างเลิศล้ำ เข้าใจจัดกิจกรรมเขียนเรียงความ…สวี่ชีอันคิดในใจ

อาณาเขตของต้าฟ่งแบ่งเป็น 16 เมือง สวี่ชีอันเข้าใจว่าเมืองคือมณฑล ทว่าไม่ใช่ทุกเมืองจะเป็นมณฑล ยังมีเมืองเล็กอีกมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น มีสิบกว่าเมืองขึ้นตรงต่อชิงโจว นอกจากนี้ยังมีจังหวัดและอำเภอเป็นอาทิ

หยางกงสมุหเทศาภิบาลคนปัจจุบันนำเหล่าขุนนางของชิงโจวทั้งหลายเข้ามาในที่ว่าการเมืองชิงโจว ท่านข้าหลวงของที่ว่าการเมืองคอยตามเขาอยู่ข้างกายอย่างนอบน้อม

หยางกงอยู่ในชุดคลุมสีแดงยืนอยู่หน้าแผ่นจารึก แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ใต้เท้าทุกท่านมีข้อเสนอสำหรับอักษรจารึกหรือไม่”

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน กลิ่นอายความสง่าลุ่มลึกที่คอยอบรมสั่งสอนผู้คนเช่นนั้นค่อยๆ จางหายและแทนที่ด้วยขุนนางบ้าอำนาจผู้ปกครอง

“ข้าน้อยคิดว่าสลักเรื่องที่ท่านสมุหเทศาภิบาลกวาดล้างขุนนางทุจริต คอยประคับประคองสายลมอันชอบธรรมไว้บนจารึกเพื่อตักเตือนคนรุ่นหลัง” ข้าหลวงชิงโจวคารวะพร้อมเอ่ย

หยางกงคล้อยตามเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้อักษรจารึกจะถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมท้องถิ่นของชิงโจว ให้คนรุ่นหลังกล่าวขานอย่างแพร่หลาย

ทว่าเขาก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างรวดเร็ว “อักษรจารึกไม่ควรยาวเกินไป มิฉะนั้นจะซับซ้อนยืดยาว ไม่สะดุดตามากพอ”

“เช่นนั้นก็สลักบทกลอนเถิด” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวโดยไม่รู้ตัว

จากนั้นเขาก็พบว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจ้องมาที่เขาด้วยสายตาอันราบเรียบ…

ขุนนางผู้นี้หัวเราะแห้งแล้วไม่กล่าวสิ่งใดอีก

สำหรับปัญญาชนที่ช่ำชองบทกวี การแต่งกลอนก็คงไม่ยาก สมัยเยาว์วัยใครจะไม่มีผลงานบ้าง แต่จะควรค่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เฉกเช่นบทกวีที่สลักไว้บนอักษรจารึกนี้ ไม่เพียงจะต้องแต่งได้ดี ยังต้องมีหน้าที่เตือนสติปุถุชนด้วย ใช่ว่าอยากจะเขียนก็เขียน

ในระหว่างการปรึกษาหารือ เจ้าพนักงานจากที่ว่าการมณฑลก็มายังที่ว่าการเมือง วิ่งเหยาะๆ เข้ามายืนไม่ไกลนัก แสดงคารวะพร้อมกล่าว

“ท่านสมุหเทศาภิบาล ผู้ตรวจการมาเยือนเมืองหลวงและได้มาถึงที่ว่าการมณฑลแล้วขอรับ”

‘ผู้ตรวจการหรือ ผู้ตรวจการของปีนี้มาเร็วเช่นนี้เชียว ปีเกิงจื่อเป็นปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนัก ตามธรรมเนียมควรจะรอผลการตรวจสอบข้าราชสำนักจากฝั่งเมืองหลวงเสียก่อน ค่อยส่งผู้ตรวจการจากเมืองหลวงมาสิ’

สิ่งนี้เกี่ยวเนื่องถึงกติกาซ่อนเร้น[2]ของวงราชการ เมื่อการตรวจสอบข้าราชสำนักทางด้านนั้นสิ้นสุดลง ก็หมายความว่าสงครามพรรคการเมืองได้ผลสรุปแล้ว ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะได้ถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนแล้ว

จากนั้นจึงค่อยส่งผู้ตรวจการลงไปปลดขุนนางฝ่ายที่พ่ายแพ้ออก

หยางกงที่ได้รับจดหมายก่อนล่วงหน้าไม่กี่วันอธิบาย “ไม่ได้จะมาชิงโจวทว่าไปอวิ๋นโจว ชิงโจวของพวกเราเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น”

อวิ๋นโจวสินะ…เหล่าขุนนางแสดงสีหน้าเข้าใจ

หยางกงมองไปทางเจ้าพนักงานแล้วเอ่ย “รายงานให้ผู้ตรวจการทราบ ข้ายังมีภารกิจสำคัญมิอาจไปพบได้ หากต้องการสิ่งใดก็เรียกหารองเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา”

หยางกงเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ถูกโรคกับท่านทั้งหลายในท้องพระโรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิตรภาพที่มีต่อกัน ตนเองยังคงกลัดกลุ้มเรื่องอักษรจารึก ไม่อยากจะโต้ตอบกับผู้ตรวจการที่ไม่รู้จัก

“ขอรับ! ”เจ้าพนักงานขานรับ ก่อนจะกล่าวเสริม “ท่านผู้ตรวจการยังฝากให้ข้าน้อยนำความมาบอกท่าน”

หยางกงและเหล่าขุนนางทั้งหลายจ้องมอง

เจ้าพนักงานกล่าว “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันติดตามมาด้วย”

ฆ้องทองแดงสวี่ชีอัน ใครกัน เหล่าขุนนางทั้งหลายไม่ได้มีปฏิกิริยาในทันที แต่หยางกงกลับมีท่าทีตอบกลับมา เนื่องจากเขาให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในเมืองหลวงเสมอและคอยส่งจดหมายไปมาหาสู่กับเหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่อยู่ไม่ขาด

“ขึ้นเกี้ยว กลับที่ว่าการมณฑลโดยด่วน” ท่าทีของหยางกงพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ความเร่งรีบและความยินดีปรากฏอยู่ในน้ำเสียง

“รีบขึ้นเกี้ยวเร็ว”

พูดจบก็ละทิ้งเหล่าขุนนาง แล้วมุ่งตรงไปยังด้านนอกที่ว่าการเมือง

นี่…เหล่าขุนนางชิงโจวได้แต่มองหน้ากัน ทอดมองแผ่นหลังของหยางกงอย่างงงงวย

“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันเป็นใครกัน ชื่อฟังแล้วช่างคุ้นหูยิ่งนัก” ข้าหลวงชิงโจวขมวดคิ้วเอ่ย

“สู้ไปที่ว่าการมณฑลต้อนรับผู้ตรวจการที่มาจากเมืองหลวงด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ”

“มีเหตุผล ไปกันเถอะ”

เหล่าขุนนางรวมตัวกันออกจากที่ว่าการเมือง เกี้ยวเคลื่อนตัวออกทีละคัน มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการมณฑล

สวี่ชีอันรออยู่ที่ว่าการมณฑลไม่นานนัก ใต้เท้าสวมชุดคลุมแดงก็ได้มาถึง คนผู้นี้ใบหน้างดงามในแบบฉบับโบราณ ไว้เคราแพะอันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงวัย นัยน์ตาเฉียบคมเป็นประกาย ท่าทางสุขุมน่าเกรงขาม

ช่างเป็นใต้เท้าที่ทรงอำนาจมากทีเดียว

หน้าอกปักลายไก่ฟ้าสีทอง…เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสอง สมุหเทศาภิบาลเหมือนจะเป็นขั้นสองชั้นโท

สวี่ชีอันรู้จักเพียงเครื่องแต่งกายไม่รู้จักคน เดาว่าชุดคลุมแดงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจผู้นี้น่าจะเป็นสมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ ฆราวาสจื่อหยางที่เอาบทกวีอำลาของไปเขาไปฟรีๆ

หลังแสดงคารวะกับผู้ตรวจการจาง ฆราวาสจื่อหยางก็เบือนสายตาสำรวจสวี่ชีอันมองที่อยู่ในเครื่องแบบสีดำ ผูกฆ้องทองแดงบนหน้าอกอย่างเงียบๆ

บัดนี้เขากลับไม่ตื่นเต้น ในความอ่อนโยนแฝงด้วยความน่าเกรงขาม

…มีเพียงฆ้องทองแดงเช่นเขาคนเดียว คิดๆ ดูแล้วถึงจะเป็นญาติผู้น้องของสวี่ฉือจิ้ว…แต่มองจากโฉมภายนอกเพียงอย่างเดียว ทั้งสองพี่น้องไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย…เทียบกับฉือจิ้ว ยังห่างชั้นกันมากนัก…หยางกงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าก็คือสวี่หนิงเยี่ยนสินะ”

สวี่ชีอันรีบคารวะ “ข้าน้อยเองขอรับ”

“ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องเกร็งมาก คิดเสียว่าตนเป็นนักเรียนก็ได้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางกงขยายกว้างพร้อมเอ่ย “สมเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่แพ้ฉือจิ้วจริงๆ”

สายตาของฆราวาสจื่อหยางยอดเยี่ยมจริงๆ…สวี่ชีอันเอ่ยด้วยความปลาบปลื้ม “ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้ว”

หลังจากกล่าวทักทายพอเป็นพิธีอยู่พักหนึ่ง หยางกงก็เอ่ยถามสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองหลวง แม้ว่าเขาจะส่งสารผ่านสำนัก รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ไม่น้อยก็ตาม

การพาสวี่หนิงเยี่ยนมาเยี่ยมเยียนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ มิฉะนั้นสมุหเทศาภิบาลคงไม่มีท่าทีเช่นนี้… ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ “สถานการณ์ในเมืองหลวงอลหม่าน สงครามพรรคการเมืองยังคงดุเดือด…”

จากนั้นก็กล่าวถึงคดีซังผอต่อเนื่องไปจนถึงคดีอวิ๋นโจวของเจ้ากรมกรมโยธา

ฆราวาสจื่อหยางได้ฟังก็ยิ้มเยาะไม่หยุด แต่กลับไม่ได้ประเมินสถานการณ์ในท้องพระโรงจนเกินควร เหตุผลหลักคือผู้ตรวจการจางมิใช่คนของตน หากตรงนี้มีเพียงสวี่ชีอัน เขาก็คงพูดออกมาตรงๆ แล้ว

หลังตะวันลาลับ ฆราวาสจื่อหยางจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้ตรวจการจางที่ลานเล็กอันงามวิจิตร เจียงลวี่จงก็ได้รับเชิญเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีข้าหลวงชิงโจวและขุนนางระดับสูงอีกจำนวนมาก

แสงไฟภายในลานเล็กสว่างไสว ม่านผืนใหญ่ห้อยลง เหล่าขุนนางนั่งลงที่โต๊ะยาว ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญใจ

วงดนตรีและนางระบำเชิญมาจากสำนักสังคีตร่ายระบำอย่างพลิ้วไหวอยู่ในลานบ้านอันหนาวเหน็บ เพิ่มความสนุกสนานให้กับเหล่าใต้เท้า

อันที่จริงสำนักสังคีตในแรกเริ่มเป็นฝ่ายให้ความบันเทิงทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว ร้องรำทำเพลงเพิ่มความสนุกสนานเฉพาะบนโต๊ะอาหารของวงราชการ ต่อมาจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นหอนางโลมที่ดำเนินการโดยรัฐ

เหล่าพี่สาวขายตั้งแต่ศิลปะยันเรือนร่าง ถูกบังคับให้ทำการค้า

บุคคลสำคัญของงานเลี้ยงคือสมุหเทศาภิบาลหยางกงและผู้ตรวจการจางสิงอิง ส่วนเจียงลวี่จงแม้จะเป็นฆ้องทองคำฝีมือเหนือชั้น ทว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับขุนนางบุ๋นเป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติ จึงไม่มีใครสนใจเขา

เดิมทีสวี่ชีอันคิดว่าตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หาความสุขสำราญไปตามสบาย ไม่ต้องไปสนใจคบค้าสมาคมกับพวกขุนนาง

ใครจะรู้ว่าขุนนางที่สวมชุดคลุมแดงลวดลายถักรูปห่านงดงามผู้หนึ่งจะชูแก้วส่งสัญญาณมาทางสวี่ชีอันและกล่าวหยั่งเชิง “ใต้เท้าผู้นี้เป็นผู้แต่งบทกลอน ‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ใช่หรือไม่”

……………………………………….

[1] หมายถึง ยุติความขัดแย้งภายในชั่วคราวและร่วมกันเผชิญกับศัตรูภายนอก

[2] กติกาซ่อนเร้น หมายถึง คนใหญ่คนโตหรือผู้มีอำนาจหวังเคลมเด็กหน้าใหม่หรือผู้มาใหม่ที่ใช้ทางลัด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด