ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 435 ทุกฝ่าย

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 435 ทุกฝ่าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 435 ทุกฝ่าย

ทั่วทั้งสถานที่เงียบเชียบกระทั่งได้ยินเสียงเข็มหล่น หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ความตกใจและประหลาดใจอย่างขีดสุดก็ปะทุขึ้นในจิตใจของทุกคน จากนั้น เสียงแสดงความเห็นก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ความโกลาหลครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดๆ ก่อนหน้านี้มาก

หนังสือทางทหารที่สามารถโน้มน้าวเผยหม่านซีโหลวผู้ยโสโอหัง ทำให้จางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับตบโต๊ะชื่นชม กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ผลงานของสวี่ซินเหนียน แต่เป็นของบุคคลที่มีชื่อเกือบจะเป็นสิ่งต้องห้าม…

อดีตฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นผู้เขียน?

“ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้เขียนหนังสือทางทหาร นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…เขาไม่ใช่แม้แต่ปัญญาชน”

“ฆ้องเงินสวี่ เขาเป็นเพียงแค่ทหารคนหนึ่ง…”

แม้ว่าสวี่ชีอันจะไม่ได้รับตำแหน่งทางราชการแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคุ้นเคยในการเรียกเขาว่าฆ้องเงินสวี่

บรรดาบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงต่างก็ลุกฮือ ข้าพูดคำ เจ้าพูดคำ แสดงมุมมองและความคิดเห็นของตนเอง จนกระทั่งไม่สนใจฤกษ์อีกต่อไป

คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและยากที่จะเชื่อ ไม่ใช่เพราะดูถูกสวี่ชีอัน แต่เพราะเรื่องราวไม่สมเหตุสมผล ทำให้ผู้คนตกใจ ทำให้ผู้คนสับสน ทำให้ผู้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก

เวลานี้เอง มีบัณฑิตในราชวิทยาลัยหลวงกล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้าอย่าลืมว่าฆ้องเงินสวี่เป็นนักกวี ตอนแรกใครจะไปคิดว่าเขาจะสร้างผลงานชิ้นเอกอันน่าทึ่งออกมาได้?”

คำพูดของเขาดึงดูดให้เหล่าบัณฑิตเห็นพ้องต้องกันในทันที ตะโกนเสียงดังสนั่น ราวกับต้องการพูดโน้มน้าวสหายร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่ไม่กล้าเชื่อ

“ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน แต่เขาแต่งกวีได้ แล้วทำไมจะเขียนตำรายุทธ์ไม่ได้? นอกจากนี้ พวกเจ้าลืมไปแล้วรึ ฆ้องเงินสวี่เคยผ่านสนามรบมาแล้ว ที่อวิ๋นโจววันนั้น เขาสกัดกั้นกองทัพกบฏกว่าแปดพันคนด้วยตัวคนเดียวจนแทบสิ้นลม”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บัณฑิตคนอื่นๆ ก็นึกขึ้นได้เช่นกัน ใช่แล้ว ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยผ่านสนามรบมาก่อน เขาสกัดกั้นกองทัพกบฏนับพันที่อวิ๋นโจวด้วยตัวคนเดียว

“ฆ้องเงินสวี่คืออัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง”

“ใช่ ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากบนโลก”

“ช่างน่ารังเกียจ ทำไมคนเช่นนี้ถึงเดินบนสายวิทยายุทธ์ สวี่…ไม่ใช่มนุษย์แล้ว”

คำชมของบัณฑิตแห่งราชวิทยาลัยหลวงปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่งชั่วขณะ

แม้กระทั่งบัณฑิตที่อดกลั้นมานานก็ยังตะโกนยั่วยุเสียงดังว่า “เผยหม่านซีโหลว เจ้าพูดว่าเจ้าศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ ช่างบังเอิญเสียจริง ฆ้องเงินสวี่ของพวกเราก็ศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จเช่นกัน ข้าต้องยอมรับว่าเจ้ามีพรสวรรค์มาก แต่ยอดภูเขาสูงยังมีที่สูงกว่า และฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งของพวกเรา ก็คือยอดภูเขานั้นที่เจ้าไม่มีวันข้ามขึ้นไปได้”

ทุกคนคล้อยตามกันทันที

สีหน้าของเผยหม่านซีโหลวสงบนิ่ง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

ชายหนุ่มที่มีรูม่านตาแนวตั้งกำหมัดแน่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก เขาอยากจะลงมือฆ่าปัญญาชนเหล่านี้ให้สิ้นเรื่อง แต่ก็พยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

เขาใกล้บ้าแล้วกระมัง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เป็นไปด้วยดี ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนของศิษย์พี่เผยหม่าน นอกจากปราชญ์ขงจื๊อผู้มีคุณธรรมสูงส่งที่มีจุดจบไม่ดีนักคนนั้น ไม่ว่าปัญญาชนคนใดที่นี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่เผยหม่านสักคน

สวี่ชีอันที่มาเพียงแต่ชื่อ และไร้ซึ่งการปรากฏตัว จู่ๆ ก็ขัดขวางแผนของศิษย์พี่เผยหม่านอย่างไม่คาดคิด ทำให้พวกเขาคว้าน้ำเหลว

หวงเซียนเอ๋อร์กัดริมฝีปาก แววตานุ่มลึกสั่นระริก ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ผู้เขียนตำรายุทธ์กลับกลายเป็นพี่ใหญ่ของเขา สวี่ต้าหลางต้องมอบหนังสือพิสดารเช่นนี้ให้เขาแน่นอน สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องลึกซึ้งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากนัก…หลังจากหวางซือมู่ตกตะลึงและไม่รู้สึกผิดหวัง ก็ทั้งรู้สึกลึกซึ้งและยินดีกับความสัมพันธ์ระหว่างเอ้อร์หลางกับพี่ชายใหญ่ของเขา

ลำพังความสามารถของเอ้อร์หลางเพียงคนเดียว เขาค่อนข้างดูอ่อนแอในสายตาของท่านพ่อ แต่หากมีพี่ชายใหญ่คอยสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง ท่านพ่อก็จะไม่ดูหมิ่นเอ้อร์หลาง

เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ชายตามองท่านพ่อเล็กน้อย สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังมองสวี่เอ้อร์หลางอย่างลึกซึ้งตามที่คาดไว้จริงๆ

หวางซือมู่แอบดีใจอย่างลับๆ นอกจากนี้ เรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมในวันนี้ ชื่อเสียงของเอ้อร์หลางก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ชั่วขณะนั้น ฮว๋ายชิ่งแทบอดใจไม่ไหวที่จะหันไปมองทหารรักษาพระองค์บางคนที่ด้านหลัง แต่นางควบคุมความปรารถนาในจิตใจของตนเองอยู่ ทำให้ลำคอแข็งและนั่งด้วยท่าทางที่เข้าใจยาก

ความอยากรู้อยากเห็นในจิตใจสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าใจตำราพิชัยสงครามด้วยรึ? เขียนตำรายุทธ์? ตั้งแต่รู้จักเขามา ก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามเลยสักครั้ง หรือว่าเว่ยกงเป็นผู้เขียนหนังสือนั่น? และยืมมือเขาส่งมอบให้สวี่เอ้อร์หลาง…

องค์หญิงองค์โตผู้เฉลียวฉลาดนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น นางสงสัยว่าเว่ยเยวียนคือผู้เขียนตำรายุทธ์เล่มนี้

ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปที่ตำรายุทธ์ในมือของจางเซิ่นอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่เยือกเย็นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แทบจะลุกไหม้ด้วยไฟปรารถนาใคร่รู้

เป็นหนังสือที่เขียนโดยสุนัขรับใช้…ยายตัวร้ายฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน ใบหน้ารูปไข่จุดประกายความสดใสให้กับโลกใบนี้ สวี่เอ้อร์หลางแสดงตัวออกมา นางก็รู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็มีคนที่สามารถปราบปรามคนเผ่าอนารยชนที่หยิ่งผยองได้ นอกจากนี้ ยังทำให้ไร้ความคับข้องใจอีกต่อไป

ทันทีที่ได้ยินว่าสวี่ชีอันเป็นผู้เขียนตำรายุทธ์ ยายตัวร้ายก็มีกำลังฮึกเหิมขึ้นมา จิตใจเบิกบานและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะผิดฤกษ์ นางก็คงจะเป็นเหมือนนกกระจอกตัวหนึ่ง ที่กระพือปีกบินร้องจิบๆ อยู่รอบตัวสวี่ชีอัน

มหาราชครูยกยิ้มด้วยความปลื้มปีติ ใบหน้าชราเบิกบานราวกับดอกไม้ “ต้าฟ่งของข้าคือเขตกำเนิดของอัจฉริยะบุรุษ ยังมีคนรุ่นหลังที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่งในความเก่งกาจ”

เขากล่าวแล้วก็มองไปที่จางเซิ่นที่ยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นประติมากรรม และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “จางจิ่นเหยียน ส่งตำรายุทธ์มาให้ข้าดู”

จางเซิ่นกลับมารู้สึกตัวทันที ก่อนจะส่งตำรายุทธ์ไปให้มหาราชครู

มหาราชครูกระชับไม้เท้า หลังจากกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ชายชราก็หรี่ดวงตาที่พร่าเลือนอ่านตำรายุทธ์เล่มนั้น

ไม่ถึงสิบห้านาที มหาราชครูที่อ่านไปเพียงสองบท จู่ๆ ก็ปิดหนังสือดัง ‘ปัง’ มือของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น และกล่าวด้วยความเคร่งขรึมว่า

“หนังสือเล่มนี้ไม่สามารถเผยแพร่ได้ ไม่สามารถให้เผ่าอนารยชนคัดลอกได้ นี่คือตำรายุทธ์ของต้าฟ่ง ย่อมไม่สามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้”

นี่…

ชั่วพริบตาเดียว บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหาร บัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แน่นอนว่ารวมทั้งฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ ต่างก็มองตำรายุทธ์ที่อยู่ในมือของมหาราชครูด้วยความกระตือรือร้นและปรารถนามากขึ้นเรื่อยๆ

ขันทีหนุ่มวิ่งมาที่ประตูห้องบรรทมด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แทนที่จะก้มศีรษะลงตามปกติ เขากลับมองเข้าไปด้านในด้วยท่าทีตื่นเต้น

แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่เดือดดาลอยู่ในจิตใจของเขา

ขันทีชราเหลือบตามองจักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิด้วยเนื้อตัวสั่นระริก ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องบรรทมอย่างเงียบๆ และขมวดคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ขันทีหนุ่มกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

ขันทีชราเบิกตาโพลงอย่างทันทีทันใดด้วยสีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง เขาก้มศีรษะลง พลางกลับไปอยู่ข้างๆ จักรพรรดิหยวนจิ่ง และกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม…กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา และตอบรับง่ายๆ ว่า “อืม” ด้วยท่าทางไม่สนใจ

“มีสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้นที่ฝั่งงานชุมนุมวรรณกรรมพ่ะย่ะค่ะ หลังจากจางเซิ่นยอมรับความพ่ายแพ้ ซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินสวี่ซินเหนียนก็แสดงตัวออกมา และโต้แย้งเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเผยหม่านซีโหลวพ่ะย่ะค่ะ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาขึ้น

ขันทีชรากล่าวต่อไปว่า “เผยหม่านซีโหลวยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจพ่ะย่ะค่ะ”

จักรรรดิหยวนจิ่งมีท่าทีตกตะลึง ราวกับไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวช้าๆ ว่า “สวี่ซินเหนียนเป็นลูกศิษย์ของจางเซิ่น วิชาเอกคือตำราพิชัยสงคราม คิดไม่ถึงว่าเขาจะแตกฉานเช่นนี้ หาได้ยากจริงๆ ถึงแม้ลูกศิษย์คนนี้จะเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน แต่ก็เป็นซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เขาเอาชนะเผยหม่านซีโหลว ก็สามารถเป็นที่ยอมรับได้”

สวี่ชีอันเป็นคนริเริ่มที่จะลาออกจากราชการ แต่ต่อมาจักรพรรดิหยวนจิ่งก็มีพระราชกฤษฎีกากีดกันตำแหน่งบรรดาศักดิ์และตำแหน่งทางราชการของเขา ขับไล่เขาออกจากราชสำนัก

สวี่ซินเหนียนเป็นญาติผู้น้องของไอ้ทาสหมานั่น และตอนนี้ก็เอาชนะเผยหม่านซีโหลวได้แล้ว เมื่อคนนอกพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องพาดพิงถึงสวี่ชีอันที่มีความเก่งกาจอันท่วมท้นเหมือนกัน หลังจากนั้นก็จะกล่าวโทษว่าเขา ‘กดขี่’ ผู้จงรักภักดี

นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เป็นผลดี

อย่างไรก็ตาม ฐานะซู่จี๋ซื่อของสวี่ซินเหนียนที่เขาเป็นคนแต่งตั้ง ก็เป็นเพราะสายตาที่เฉียบแหลมของเขาเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

กล่าวโดยรวมแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งค่อนข้างโล่งใจ เมื่อเทียบกับเรื่องซุบซิบนินทาที่พ่ายแพ้ให้กับเผยหม่านซีโหลว นั่นถึงจะเป็นการเสียหน้าอย่างแท้จริง

ราชสำนักเสียหน้า เขาที่เป็นราชาของประเทศก็เสียหน้าเช่นกัน

การเป็นจักรพรรดิ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุดคือ อำนาจและภาพลักษณ์

ความคับข้องใจที่หว่างคิ้วของจักรพรรดิหยวนจิ่งค่อยๆ เลือนหายไป รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “เจ้าบอกขั้นตอนมาให้ละเอียด ข้าอยากรู้ว่าเขาเอาชนะเผยหม่านซีโหลวได้อย่างไร”

ขันทีชราลังเลเล็กน้อย พลางเดินถอยหลังลงไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ซู่จี๋ซื่อสวี่ซินเหนียนหยิบตำรายุทธ์เล่มหนึ่งออกมาพ่ะย่ะค่ะ หลังจากเผยหม่านซีโหลวอ่านแล้ว เขาก็ชื่นชมด้วยความศรัทธา และยอมแพ้ด้วยความเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ”

“ตำรายุทธ์?”

นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อน เขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ตำรายุทธ์อะไร”

จางเซิ่นแห่งสำนักอวิ๋นลู่ยอมรับไปแล้วว่าหนังสือกลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการของตนเองไม่ดีเท่าบันทึกทางทหารของเผยหม่านซีโหลว และหนังสือทางทหารของสำนักอวิ๋นลู่เหล่านั้น ล้วนเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ทั้งนั้น

ขันทีชรากลืนน้ำลายอึกใหญ่และกล่าวว่า “ตำรายุทธ์เล่มนั้นชื่อว่า ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ เป็น…เป็น…หนังสือที่สวี่ชีอันเป็นผู้เขียนพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อกล่าวจบแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงหายใจถี่ดังขึ้นในห้องบรรทม

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่เขาก็จินตนาการได้ว่าสีหน้าของฝ่าบาทในเวลานี้อัปลักษณ์เพียงใด

ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ดังขึ้น “ออกไป!”

ขันทีชรารู้สึกโล่งใจ เขาก้มศีรษะลง และออกจากห้องบรรทมราวกับวิ่งหนีสัตว์ร้าย จากนั้น เสียงภาชนะและแจกันดอกไม้แตกก็ดังตามหลังเขาขึ้นมา

ราชสำนักไม่ได้เสียหน้า แต่ครั้งนี้ฝ่าบาทเสียทั้งหน้าทั้งศักดิ์ศรี…ขันทีชราถอนหายใจยาว

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าทั่วทั้งเมืองหลวงจะพูดถึงฝ่าบาทอย่างไร จักรพรรดิไม่เพียงแต่กดขี่ผู้จงรักภักดีเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ตอนนี้ปัญญาชนของเมืองหลวงยังถูกคนเผ่าอนารยชนเหยียดหยาม ท้ายที่สุด คนที่ถูกจักรพรรดิขับไล่ออกจากราชการกลับเป็นผู้เปลี่ยนกระแสน้ำอย่างไม่คาดคิด

ราชาผู้สง่างามของประเทศกลายเป็นตัวตลก ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ

งานชุมนุมวรรณกรรมสิ้นสุดลง แต่สุดท้ายตำรายุทธ์ก็ไม่หวนคืนสู่มือของสวี่ซินเหนียน แต่กลับถูกมหาราชครู ‘ใช้อำนาจปล้นไป’

ผู้เรืองอำนาจ ผู้บัญชาการทหารและปัญญาชนที่อยู่ในสถานที่ต่างก็มีความเห็นมากมาย แต่ก็ไม่กล้าขัดขวางผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพอย่างสูงท่านนี้อย่างเปิดเผย

แม้แต่ฮว๋ายชิ่งก็ยังไม่กล้า ดังนั้น นางจึงจากไปด้วยความขุ่นเคืองใจ และตรงไปยังพระตำหนักฮว๋ายชิ่งพร้อมกับทหารรักษาพระองค์

ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพแยกย้ายกันไป ส่วนทางด้านเผ่าอนารยชน เผยหม่านซีโหลวมีสีหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย ทัศนคติที่อวดดีและใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของหวงเซียนเอ๋อร์ก็จางหายไป

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตรงที่อารมณ์หุนหันพลันแล่น

หลังจากทั้งสามเข้าไปนั่งในรถม้า ก็ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ทำให้บรรยากาศคุกรุ่นและหายใจไม่ออก หวงเซียนเอ๋อร์จึงเป็นผู้เริ่มทำลายความอึดอัดด้วยการถามว่า

“เจ้ายังมีแผนอะไรอีก?”

ใบหน้าของเผยหม่านซีโหลวสงบนิ่ง เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้ข้าจะพ่ายแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรม ชื่อเสียงของข้าก็ไม่พัฒนาขึ้น และยังโดนเล่นงานอย่างหนัก แต่ขุนนางของต้าฟ่งก็จะไม่เพิกเฉยต่อข้าด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ถูกฆ้องเงินสวี่นั่นขัดขวาง แผนการที่จะตามมาทั้งหมดก็สูญเปล่า”

เขาถอนหายใจยาว “บุคคลนี้มีความสามารถน่าทึ่งมาก ข้าไม่สามารถคัดค้านได้ ก่อนหน้านี้ข้าชื่นชมความสามารถด้านกวีของเขา ชื่นชมพรสวรรค์ของเขา อิจฉาชื่อเสียงของเขา แต่หลังจากวันนี้ ข้ากลับมีความรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ลึกๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ญาติดีกับจักรพรรดิแห่งต้าฟ่ง ไม่สิ โชคดีที่เขาและจักรพรรดิแห่งต่าฟ่งคือศัตรูกัน มิฉะนั้น หากเขารับราชการทหารในอนาคต เผ่าเทพของข้าก็จะตกอยู่ในอันตราย”

หวงเซียนเอ๋อร์ยิ้มหวาน “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้น ข้าจึงวางแผนจะคัดหญิงงามสักสองสามคนส่งไปให้เขา”

เผยหม่านซีโหลวส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เขาน่าจะขาดแคลนผู้หญิง?”

หวงเซียนเอ๋อร์พ่นลมหายใจเบาๆ เผยเรียวขายาวด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ พลางลูบไล้บริเวณทรวงอก และกล่าวอย่างทรงเสน่ห์ว่า “งั้นข้าออกโรงเอง ก็ไม่เป็นไรแล้วกระมัง”

เผยหม่านซีโหลวยกยิ้มและกล่าวว่า “ข้ารอคำพูดนี้ของเจ้าอยู่”

เพียงอึดใจหนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ช่วงนี้ข้าจะวิ่งวุ่นก่อน พยายามดึงเหล่าขุนนางของต้าฟ่งมาเป็นพวกให้ได้มากที่สุด ยิ่งกอบกู้ความสูญเสียมาได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งกู้คืนกลับมาได้มากเท่านั้น รอหลังจากการเจรจาสิ้นสุดลง เราค่อยไปเยี่ยมเยียนบุคคลในตำนานท่านนี้ด้วยกัน เสวียนอิน เจ้าไปด้วยไม่ได้”

ชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งรีบกล่าวด้วยความคัดค้านว่า “ทำไม?”

เผยหม่านซีโหลวหัวเราะเยาะ “สวี่ชีอันเป็นนักรบที่สมบูรณ์แบบ เจ้าพูดจาประมาทขาดการวิเคราะห์ หากกระตุ้นให้เขาโกรธ เจ้าอาจถูกฆ่าในสถานที่นั้นก็ได้”

รูม่านตาแนวตั้งจ้องมาที่เขา “เขากล้ารึ! พวกเราคือคณะทูต หากเขากล้าฆ่าคณะทูต ราชสำนักต้าฟ่งคงไม่ละเว้นเขาเป็นแน่”

การฆ่าคณะทูต หมายถึงความแตกร้าวระหว่างสองประเทศ ภายใต้ฉากหลังที่ร่วมกันต่อสู้กับสำนักพ่อมดในตอนนี้ ราชสำนักต้าฟ่งคงไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

หวงเซียนเอ๋อร์จิ้มศีรษะของเสวียนอิน และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กระทั่งกั๋วกง เขาก็กล้าฆ่ามาแล้ว หากเจ้าไม่กลัวตาย พวกเราก็จะไม่ขัดขวางเขา ประมาณตนเองบ้างเถอะ จู๋จิ่วให้เจ้ามาฝึกฝน เพราะคาดหวังกับเจ้า แต่หากเจ้าตายที่นี่ ตาเฒ่าก็คงไม่สนใจ”

เผ่าพันธุ์ปีศาจเลือดเย็นในการฝึกฝนรุ่นหลังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และจู๋จิ่วก็เป็นงู ซึ่งเลือดเย็นเป็นพิเศษ

หากสามารถเติบโตขึ้นมาได้ ก็บ่มเพาะปลูกฝังอย่างขันแข็ง หากตาย นั่นก็เป็นเพราะตนเองรับไม่ไหว

ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ นั่นคือกฎของการอยู่รอด

พระตำหนักฮว๋ายชิ่ง

หลังจากกลับมาที่พระตำหนัก ฮว๋ายชิ่งก็สั่งให้นางกำนัลและทหารรักษาพระองค์ออกไป เหลือเพียงยายตัวร้ายและสวี่ชีอันในห้องรับแขกเท่านั้น

“เป็นเจ้าอย่างที่คาดไว้จริงๆ ข้ามองหาเจ้าตั้งนานแต่ก็ไม่พบ ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าไปในศาลา ข้าคงไม่กล้ายืนยันตัวตนของเจ้า”

ยายตัวร้ายดึงสวี่ชีอันเข้าไปนั่งประจำที่ด้วยความเบิกบานใจ ก่อนจะนั่งลงด้วยกันกับเขา

องค์หญิง พวกเราไม่สามารถนั่งด้วยกันได้ เช่นนี้มันฝ่าฝืนกฎระเบียบเกินไป…

นอกจากนี้ ใบหน้าโลกก่อนหน้านี้ของข้า หล่อเหลาจนผู้คนตกตะลึง เจ้าไม่เล็งเห็นตั้งแต่แรก ความสามารถในการจดจำใบหน้าของเจ้าค่อนข้างร้ายแรงนะ

ในขณะที่สวี่ชีอันคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินยายตัวร้ายกล่าวด้วยความชื่นชม “เจ้าฉลาดจริงๆ ปลอมตัวเป็นชายธรรมดาๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่ชายตามองแล้วลืมเลย สังเกตไม่ออกจริงๆ”

สวี่ชีอันเหลือบมองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางนั่งลงที่โต๊ะอื่นอย่างเงียบๆ

ดวงตาดอกท้อที่งดงามของยายตัวร้ายเบิกกว้างด้วยสีหน้าเศร้าใจ

“เว่ยกงเป็นผู้เขียนตำรายุทธ์ และยืมมือเจ้าปราบเผยหม่านซีโหลวใช่หรือไม่?” ฮว๋ายชิ่งดื่มชา และชายตามองน้องสาวที่นับวันยิ่งไม่สามารถควบคุมความบ้าคลั่งของตนเองได้

“ใช่แล้ว!”

สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว ตำรายุทธ์ในโลกนี้ที่สามารถโน้มน้าวเผยหม่านซีโหลวได้ ทำให้จางเซิ่นอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ทำให้มหาราชครูตื่นเต้นได้เช่นนี้ ในความรู้สึกของนาง ก็มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้นที่สามารถเขียนออกมาได้

เว่ยเยวียนเป็นผู้เขียนตำรายุทธ์…ยายตัวร้ายผิดหวังเล็กน้อย ในความรู้สึกของนาง ไม่มีอะไรที่สุนัขรับใช้ทำไม่ได้

“เจ้าคงไม่ลืมกระมังว่าตำรายุทธ์เขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง” ฮว๋ายชิ่งถาม

“จำไม่ได้แล้ว” สวี่ชีอันส่ายศีรษะ

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าด้วยความผิดหวัง แม้ว่าสุดท้ายนางจะมั่นใจว่าจะได้อ่านตำรายุทธ์แน่นอน แต่ในฐานะที่มันเป็นหนังสือแสนวิเศษ นางก็ไม่เต็มใจที่จะรอนัก

ช่างเถอะ ค่อยไปพบเว่ยกงภายหลัง…ฮว๋ายชิ่งคิดในใจ

หลังจากสนทนากันอีกเล็กน้อย สวี่ชีอันก็ขอตัวจากไป

ยายตัวร้ายออกมาด้วยกันกับเขา หลังจากออกจากจวนของฮว๋ายชิ่ง นางก็จ้องสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ “ตำรายุทธ์ เว่ยเยวียนเป็นผู้เขียนจริงๆ รึ?”

………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด