ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 507 เรื่องไม่เป็นธรรม

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 507 เรื่องไม่เป็นธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 507 เรื่องไม่เป็นธรรม

‘กับๆๆ…’

แม่ม้าน้อยย่ำด้วยจังหวะที่สั้นและเร็วอย่างสง่างาม บรรทุกพระมเหสีพร้อมวิ่งมาหา

มันร้องออกมาทางจมูก พลางเอาจมูกลูบๆ ถูๆ หน้าของสวี่ชีอัน สวี่ชีอันลูบต้นคอของมันไม่หยุด เพื่อเป็นการปลอบโยน

พระมเหสีปลดห่อของที่อยู่บนหลังมาออกมา หยิบชุดคลุมเขียวออกมาส่งให้สวี่ชีอัน จากนั้นนางก็เหลือบมองไปที่หญิงสาว ลังเลเล็กน้อยแล้วก็หยิบเสื้อนวมของตนเองออกมาด้วยเช่นกัน

“ใส่คลุมไว้เถอะ ถ้าเป็นหวัดขึ้นมา ช่วยคนก็ถือว่าสูญเปล่า”

ในปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นของยงโจวนั้นเย็นจนเข้าในกระดูก คนที่เพิ่งจะถูกช่วยขึ้นมาจากในแม่น้ำ ถ้าหากไม่เปลี่ยนชุดให้ทันเวลาเพื่อรับความอบอุ่น ถ้าหากว่าป่วยขึ้นมา อัตราการตายนั้นจะสูงมาก

“บ้านของท่านผู้เฒ่าก็อยู่ข้างหน้านี้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่บ้านของท่านผู้เฒ่าเถอะ”

ท่าผู้เฒ่าที่จับก้านไม้ไผ่อยู่รีบพูดขึ้น

สวี่ชีอันที่คลุมเสื้อคลุมเขียวกับเสื้อนวมอยู่นั้น โค้งคำนับพร้อมกับพูด

“ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามาก”

เขาลากจูงม้า ลากหญิงสาวตามหลังท่านผู้เฒ่าไป ประชาชนรอบข้างยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่พร้อมกับชี้นิ้ว บ้างก็ซุบซฺบนินทา บ้างก็ทอดถอนใจกับความโชคดีของภรรยาของจางปั่วจือ พบกับกระแสน้ำกับความลึกที่พอดี แล้วยังเจอคนที่พร้อมจะกระโดดลงไปช่วยโดยที่ไม่กลัวอากาศเย็นไม่กลัวเป็นหวัด

เดินไปไม่ถึงร้อยลี้ ท่านผู้เฒ่าก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ปูด้วยหินกรวด ผลักประตูไม้สีดำที่ปกคลุมไปด้วยรอยผุกร่อนให้เปิดออก หลังประตูนั้นเป็นซื่อเหอย่วน ข้างบนหลังคาสี่ทิศที่มีช่องแสง

ในเวลานี้สีหน้าของหญิงสาวซีดเซียว ริมฝีปากซีดขาว ทั้งร่างนั้นสั่นไม่หยุด

ถ้าหากว่าสวี่ชีอันยังเป็นทหารละก็ ก็คงจะสามารถส่งผ่านพลังปราณเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นภายในร่างกายของนางออกไปได้ง่ายๆ แต่พลังปราณขึ้นอยู่กับสิทธิ์ของทหารในระดับกลางและล่างเท่านั้น ในแต่ละระบบใหญ่ มีเพียงแค่ทหารเท่านั้นที่สามารถแสดงพลังปราณได้

เมื่อถึงระดับสูง ระบบอื่นๆ จะสามารถแสดงพลังปราณได้ตามระกับความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่จะไม่สามารถเทียบกับทหารได้ ก็เช่นเดียวกับลี่กู่ เมื่อถึงระดับของลี่น่า นางก็สามารถใช้พลังหลอมจิตได้ด้วยตัวเอง ใช้ร่างกายเป็นหลัก พลังปราณเป็นตัวเสริม เพื่อแสดงพลังต่อสู้ได้อย่างเต็มที่

“พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” สวี่ชีอันหยิบเอาห่อผ้าใหญ่ออกมา พลางส่งให้มู่หนานจือ

พระมเหสีกอดแน่นไว้ในอ้อมอก เหลือบมองไปที่หญิงสาว พลางเก็บเอาเสื้อนวมชุดสวยชุดนั้นยัดกลับเข้าไปในห่อผ้าอย่างเงียบๆ พร้อมกับหยิบเอาเสื้อนวมที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นักออกมาแทน

‘เมื่อครู่ที่รีบๆ ไม่ทันระวังจึงหยิบเสื้อผ้าดีๆ ไป…’

เมื่อมองดูทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ สวี่ชีอันก็ไปเปลี่ยนชุดที่ห้องข้างๆ ตามการชี้นำของท่านผู้เฒ่า

“ท่านผู้เฒ่า ทำไมท่านไม่หลบห่างออกไปไกลๆ ก่อนล่ะ?” สวี่ชีอันพูดอย่างนิ่มนวล

ชายชราชะงักไป พลางพูดอย่างอึดอัดปนสงสัย “ทำไม เจ้าหนุ่มเจ้ายังอายอยู่หรือ?”

เปล่า ข้ากลัวทำท่านตกใจน่ะ…สวี่ชีอันยิ้มอย่างรู้สึกผิด มองไปที่ชายชราโดยไม่ได้พูดอะไร

ชายชราว่างผ้าสะอาดสำหรับเช็ดเหงื่อไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปจากห้อง

สวี่ชีอันปลดกระดุมออก ถอดเสื้อด้านในออก หน้าท้องของเขาและด้านหลังนั้นมีตะปูสี่ดอกฝังอยู่ในเนื้อของเขา สีของบาดแผลนั้นแดงก่ำ หน้าตาดูน่ากลัวสยดสยอง จุดไป่ฮุ่ยบนกลางศีรษะของเขา จิตเดิมมีหนึ่งดอกที่ผนึกจิตเดิมเอาไว้

ตะปูตอกวิญญาณผนึกตบะของเขาเอาไว้ รวมถึงพลังของเขา ตอนนี้มีร่างกายร่างกายที่แข็งแกร่งของทหารระดับสาม แต่ไม่สามารถสั่งให้ออกพลังได้อย่างเต็มที่มากพอ ยิ่งคิดจะอาศัยร่างที่แข็งแกร่งนี้เพื่อฆ่าคนนั้นก็ยิ่งยากที่จะทำได้

หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดที่แห้งเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันและชายชราก็นั่งผิงไฟแบบง่ายๆ อยู่ในห้อง พร้อมกับวางไหเหล้าเหลืองไว้ข้างบน ทั้งสองต่างคุยไร้สาระกันไปเรื่อยเปื่อย

“ท่านอาวุโส ในบ้านนี้มีท่านอยู่เพียงแค่คนเดียวหรอกหรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ”

“แล้วคนในครอบครัวล่ะ?”

“ภรรยาข้าตายไปเมื่อปีที่แล้วแล้วล่ะ มีลูกสาวกับลูกชาย ลูกสาวแต่งงานออกเรือนไปอยู่ต่างเมืองแล้ว ไม่ได้กลับมาเยี่ยมหาข้าหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายนั้น…”

ชายชราหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาของความทุกข์ในใจนั้นฉายแววออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ภัยน้ำท่วมเมื่อหลายปีก่อน ทำให้พวกพืชเกษตรนั้นเสียหายไปหมด เพื่อที่จะเลี้ยงปากท้องของครอบครัว เขาจึงติดตามนายพรานขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่ดันก้าวพลาดตกหน้าผาสูงชันลงมาจนเสียชีวิต”

เกิดความเงียบขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง

ตัวของสวี่ชีอันเองนั้นเป็นคนที่ผ่านความเสียใจและความเจ็บปวดอย่างหนักมาก่อน ดังนั้นคงจะไม่สามารถพูดคำประเภทที่ว่า ‘เสียใจด้วยนะ’ ออกไปได้

เวลานี้ ท่านอาวุโสยกไหเหล้าขึ้นมา ยิ้มพลางพูด “เหล้านี้อุ่นกำลังได้ที่เลย ถ้าหากว่าเดือดแล้ว กลิ่นก็จะจางหายไป เจ้าหนุ่ม…ลองชิมดูสิ”

ในบ้านไม่ได้มีแก้วมากมายนัก

สวี่ชีอันยกไหเหล้าขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา รสชาตินั้นหวานสดและนิ่มนวล มีทั้งขมเปรี้ยวร้อนแรง แต่ก็ผสมกันได้ลงตัวพอดี หลังจากกลืนเหล้าลงคอไป กลิ่นของมันจะยังคงติดอยู่ระหว่างลิ้นกับฟันไปอีกนาน

เมืองหลวงมีเหล้าดีๆ มากมายนับไม่ถ้วน แต่เหล้าประเภทนี้ เขามั่นใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง

เวลานี้ถ้ามีไก่ต้มสับสักจานกับกับถั่วลิสงต้มเค็มก็คงจะดีเลย…สวี่ชีอันคิดเสียดายในใจ ร้อนใจคิดอยากจะหาโรงเตี๊ยมเพื่อพัก เพื่อดื่มเหล้าอย่างเต็มที่กับพระมเหสีจนถึงฟ้าสว่าง

ท่านอาวุโสพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขาค้างอยู่กับรสเหล้าที่กลืนลงไปอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นปรากฏรอยยิ้มหัวเราะออกมา

“ฟังจากสำเนียงของไอ้หนุ่มแล้ว คงไม่ใช่คนยงโจวหรอกใช่หรือไม่”

“มาจากเมืองหลวง”

ท่านอาวุโสลุกขึ้นด้วยความเคารพ พลางพูด “ที่แท้ก็เป็นคนจากเมืองหลวง มิน่าล่ะ เจ้าหนุ่มกับภรรยาของเจ้า ทั้งคู่ชายก็เก่งหญิงก็งามสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกแท้ๆ”

นี่นี่ ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดซะดิบดีเช่นนี้จะให้สบายใจได้จริงหรือ…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ

เวลานี้ พระมเหสีกับหญิงสาวก็เดินออกมาพอดิบพอดี หญิงสาวยังคงสีหน้าซีดขาวอยู่ ร่างกายเพรียวบางอ้อนแอ้นนั้นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความหนาว

ท่านอาวุโสเรียกให้ทั้งสองคนมาผิงไฟ สวี่ชีอันเห็นความผิดปกติจากสีหน้าของพระมเหสี ราวกับว่ากำลังระงับความโกรธเป็นอย่างมาก

“มีอะไรหรือ?”

สวี่ชีอันนำไหเหล้าส่งให้หญิงสาว เป็นการให้นางดื่มเสียหน่อยเพื่อให้ร่างกายได้อุ่นขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้นก็หันหน้าไปมองทางมู่หนานจือ

ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ “จางปั่วจือไปเล่นพนันอีกแล้วใช่หรือไม่? ”

หญิงสาวห้มหน้าลง พร้อมกับพยักหน้า

เห็นเช่นนี้ ชายชราจึงพูดอย่างประเมินสถานการณ์ “ดูท่าชีวิตความเป็นอยู่คงจะหมดหนทางไปต่อแล้ว”

หญิงสาวส่ายหน้า พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา

มู่หนานจือพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ชายของนางมอบตัวนางให้ผู้อื่นไปแล้ว…”

มอบตัวให้ผู้อื่นเป็นวิธีการใช้คำพูดที่อ้อมค้อม เรื่องของเรื่องก็คือสามีของหญิงสาวที่ชื่อจางโหย่วฝูเป็นคนขาพิการ เนื่องจากว่าร่างกายที่ไม่สมประกอบ ทำให้เขาทำงานหนักมากไม่ได้ ฐานะการเงินทางบ้านจึงยากจนข้นแค้นมาโดยตลอด

จางปั่วจือเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเป้าหมายที่สูงส่งแต่มีความสามารถที่น้อยนิด ไม่ยอมใช้ชีวิตแบบยากลำบาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาติดการพนันอย่างหนัก

ไม่กี่ปีต่อมา ชีวิตที่ไม่ร่ำรวยมั่งคั่งนักก็ยิ่งทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาแพ้พนันไปเก้าในสิบครั้ง จางปั่วจือไม่ใช่คนที่พิเศษอะไร ไม่เพียงแต่จะเสียทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดในบ้าน เขายังได้รับหนี้สินติดตัวมาอีกมากมาย

หนึ่งในเจ้าหนี้เจ้าใหญ่ของเขานั่นก็คือนักเลงขาใหญ่ที่ชื่อจูเอ้อร์

จูเอ้อร์สมรู้ร่วมคิดกับบ่อนการพนัน รีดคั้นเงินทองของจางปั่วจือ หลังจากนั้นก็ให้เขาหยิบยืมเงิน จ่ายไปเก้าได้คืนสิบสาม เป้าหมายอื่นนอกจากเงินแล้ว ยังหมายปองภรรยาของจางปั่วจือ ซึ่งก็คือหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เอง

จางปั่วจือโดนขู่เข็ญให้จ่ายหนี้ โดยบีบบังคับให้เขาต้องเอาภรรยาของตนเองมาจำนำ เมื่อไหร่ที่เขาสามารถหาเงินมาคืนได้ เมื่อนั้นจึงจะสามารถนำตัวภรรยากลับไปได้ จางปั่วจือผู้จนตรอกตกลงอย่างจำใจ ลงชื่อในสัญญา

เมื่อวานหญิงสาวจึงโดนจูเอ้อร์นำตัวไป และถูกบีบบังคับให้มอบกายให้กับเขา เช้าวันนี้อาศัยช่วงที่จูเอ้อร์กำลังหลับอยู่ นางก็แอบหลบหนีออกมา เพื่อต้องการจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

เมื่อท่านผู้เฒ่าฟังจบ ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าคาดเดาไว้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วจางปั่วจือจะต้องมาถึงที่นี่

การจำนำภรรยาเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติในทางใต้ของต้าฟ่ง การมีชีวิตความเป็นอยู่แบบธรรมดานั้นก็ดี แต่ในเมื่อเจอกับภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อขึ้น กระแสความนิยมของการจำนำภรรยานั้นก็ยิ่งแพร่หลายยอย่างกว้างขวาง สำหรับกระแสความนิยมเช่นนี้ กฎหมายนั้นห้ามอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับฝ่ายราชการนั้นกลับทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับเลือกใช้ท่าทีนิ่งเฉย

สวี่ชีอันมองที่หญิงสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง นางนั้นงดงามจริงๆ บุคคลิกดูอ่อนแอบอบบาง กระตุ้นความปรารถนาของชายที่อยากจะครอบครองอย่างมาก

มู่หนานจือใช้สายตาบอกเป็นนัยๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อถามสวี่ชีอันว่าจะจัดการกับหญิงสาวผู้นี้อย่างไร

“สามีของเจ้าติดหนี้จูเอ้อร์ผู้นั้นอยู่เท่าไหร่?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขาด้วยสายตาขลาดกลัว พลางพูดเสียงต่ำ “สามสิบตำลึง”

เงินสามสิบตำลึงนั้นไม่น้อยเลย ในเมืองหลวง นี่เป็นเงินรายรับที่ผู้คนในครอบครัวร่ำรวยหาได้ในหนึ่งปี ในเขตเมืองเล็กๆ อย่างอำเภอฟู่หยางนี้ เงินสามสิบตำลึงก็มากเพียงพอที่จะสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ได้หนึ่งหลังเลย เพียงแต่ว่านี่เป็นการเล่นการพนัน จึงไม่สามารถคำนวณได้เลย

ถ้าหากว่าหญิงสาวไม่ได้หลอกลวง และจูเอ้อร์ผู้นั้นกับบ่อนร่วมมือกันจริงๆ เช่นนั้นเงินสามสิบตำลึงนั้นก็คงจะไม่มีส่วนแบ่งอื่นใดเลย การจับเสือด้วยมือเปล่านี้ เป็นกับดักเพื่อจะครอบครองหญิงสาวที่งดงามผู้นี้

ผู้เฒ่าอาวุโสพูดเสียงต่ำ “จูเอ้อร์ผู้นี้เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งอำเภอ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลานของภรรยานายอำเภอ มีคนอยู่หลายสิบคนคอยเกื้อหนุนอยู่ภายใต้น้ำมือเขา ถนนที่ในอำเภอที่คึกคักรื่นเริงที่สุดในอำเภอนั้น ล้วนต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับเขาทั้งสิ้น

“คนไม่พอใจเขานั้นมีมากมาย แต่คนที่กลัวเขานั้นมีมากกว่า เมื่อมีนายอำเภอคอยคุ้มกะลาหัวเขาอยู่ เขาก็สามารถทำชั่วได้โดยไม่สนใจกฎหมายใดๆ”

อีกทั้งยังฉลาดหลักแหลม จึงมีอุบายที่ ‘ชอบธรรม ’ที่จะสามารถกดขี่บังคับทั้งชายและหญิง…สวี่ชีอันเติมประโยคอยู่ในใจ

“ดั่งสุภาษิตที่ว่าเป็นคนดีเป็นให้ถึงที่สุด ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือ เงินสามสิบตำลึงที่สามีเจ้าติดหนี้จูเอ้อร์ไว้ พวกข้าจะใช้หนี้แทนให้ แล้วเจ้ากลับไปใช้ชีวิตธรรมดากับสามีของเจ้าต่อไป

“สองคือ ข้อตกลงนั้นขัดกับกฎหมาย ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้า แต่เจ้าต้องแยกทางกับสามี ถ้าเลือกอย่างหลังข้าจะให้เงินเจ้าจำนวนหนึ่ง เจ้ากลับบ้านพ่อแม่ก็ดี หรือจะไปที่อื่นแล้วแต่ ตามใจเจ้า”

หญิงสาวก้มหน้าลง พลางพูดเสียงเล็ก “ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนมาแล้วก็เปรียบดั่งน้ำที่สาดออกจากเรือน จะกลับบ้านพ่อแม่ได้อย่างไร ข้าเป็นคนพื้นเมือง ออกนอกอำเภอแล้วจะไปทำมาหากินที่ไหนได้? ”

สวี่ชีอันรู้ว่านางเลือกตัวเลือกที่หนึ่งแล้ว เขาทิ้งเงินสามสิบตำลึงไว้ให้หญิงสาวทันที พร้อมกับจูงม้าไปพร้อมมู่หนานจือ

ออกจากบ้านของท่านผู้เฒ่าไป

“ถ้ามีปัญหาอะไรตามมาหลังจากนี้ ให้มาหาข้าที่โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในอำเภอ

“ท่านผู้เฒ่า เหล้านี้ไม่เลวเลย ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างดี ”

สองคนกับม้าหนึ่งตัวเดินออกจากซอยเล็กๆ ค่อยๆ ไกลออกไป

ท่านผู้เฒ่าส่งพวกเขาจนลับสายตา ครั้นกลับมาที่ห้องก็ตกตะลึง พบว่าที่นั่งที่เจ้าหนุ่มเคยนั่งเมื่อครู่นี้ มีเงินราชการหนึ่งก้อนวางทิ้งไว้อยู่ ในชีวิตนี้ของท่านผู้เฒ่าไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน

ในอำเภอ ณ ลานบ้านใหญ่

จูเอ้อร์ผู้มีใบหน้าดุร้ายน่ากลัวนั่งอยู่ในห้องโถง สีหน้าอึมครึม หันไปมองทางลูกน้องพร้อมกับตะโกน

“ไปจับตัวหญิงคนนั้นกลับมาให้ได้ ไม่ต้องไว้หน้าใดๆ จากนั้นก็อยู่ในบ้านนี้เพื่อให้เหล่าพี่น้องได้ระบายความโมโห เหล่าพี่น้องที่ยังหาภรรยาไม่ได้มีมากมายขนาดนี้ พอดีจะได้ใช้ของที่มีให้คุ้มค่า”

รสชาติของหญิงสาวผู้นั้นเขาเคยได้ลิ้มลองมาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจูเอ้อร์เป็นคนที่ชอบของใหม่และเบื่อของเก่า

แม้ว่าในสัญญาจะไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนี้ แต่จางปั่วจือยากจนข้นแค้น อย่าว่าแต่สามสิบตำลึงเลย แค่เงินสองสามตำลึงก็คงไม่มีมาให้ นับตั้งแต่นี้ต่อไปหญิงผู้นี้ก็เป็นของเขาแล้ว เขาคิดจะจัดการยังไงก็จัดการเช่นนั้น

‘โครก คราก…’

ชายสองสามคนกลืนน้ำลายลงคอ

จูเอ้อร์พอใจกับท่าทีโต้ตอบของเหล่าลูกน้องเป็นอย่างมาก คิดว่าการตัดสินใจของตนเองนั้นถูกต้องอย่างที่สุดและเอาชนะใจคนได้อย่างมาก

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จูเอ้อร์คิดว่าโชคชะตาของตนกำลังผลิกผันกลับร้ายกลายเป็นดี โดยแสดงออกมาให้เห็นหลักๆ สี่ด้าน สิ่งแรกก็คือเขาเล่นพนันที่บ่อน ชนะมากขึ้นและเสียน้อยลง นี่หมายความว่าเป็นโชคล้วนๆ โดยไม่ต้องใช้กลโกงใดๆ

สอง เขาวางแผนจัดการค้าขายหน้าร้าน ทำอสังหาริมทรัพย์ กิจการก็ไปได้ดีเจริญรุ่งเรืองอย่างฉับพลัน

สาม แต่เดิมที่นายอำเภอเป็นคนนิ่งๆ ไม่รุนแรง รับสินบนจากเขาไปด้วยพร้อมกับดูถูกเขาไปด้วยในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าที กลับมาเรียกเขาว่าพี่ชาย จากการวางกลอุบายของทางบ่อน ให้บีบคั้นจางปั่วจือ จากนั้นก็บังคับให้ใช้หนี้โดยตั้งใจรวมหญิงสาวเข้ามาในแผนการ ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่นายอำเภอเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน มิฉะนั้น ด้วยนิสัยของจูเอ้อร์ เขาชอบข่มขืนกระทำชำเรา จากนั้นก็ขู่เข็ญบังคับให้หญิงสาวเชื่อฟัง ขุนนางปกครองอำเภอนั้นสมกับที่เป็นปัญญาชน แผนการของเขาช่างมิดชิดไร้ช่องโหว่ ไม่มีร่องรอยใดๆ

สี่ เหล่าพี่น้องใต้บัญชาของเขานั้นเคารพยำเกรง และซื่อสัตย์ต่อเขา

จูเอ้อร์ที่ทั้งกำลังทรัพย์และอิทธิพลกำลังขยายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ถึงขนาดที่มีความคิดที่จะขยายไปยังเมืองยงโจวด้วย

เทียบกับเมืองยงโจวแล้ว อำเภอเล็กๆ อย่างอำเภอฟู่หยางนี้นับว่าไม่มีอะไรเลย…จูเอ้อร์เก็บความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านของตนเองไว้ คิดไตร่ตรองว่าควรจะหาของขวัญแบบไหนส่งให้ขุนนางปกครองอำเภอดี

หญิงสาวถูกคัดออกในตัวเลือก ขุนนางปกครองอำเภอจะขาดผู้หญิงเชียวหรือ?

เงินก็ถูกคัดออกเช่นกัน เพราะเงินนั้นถูกส่งให้มาโดยตลอด ไม่พิเศษมากพอที่จะแสดงออกถึงน้ำใจของเขาได้

เวลานี้ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมกับพูด “นายสอง จางปั่วจือกับภรรยาของเขามาหา บอกว่านำเงินมาคืน”

‘คืนเงิน?’ จูเอ้อร์ตะลึง นึกว่าตนเองนั้นฟังผิดไป พร้อมกับพูดเสียงทุ้มต่ำ “ให้พวกเขาเข้ามา”

ในเวลาอันสั้น ชายร่างผอมแห้งก็กะโผลกกะเผลกเข้ามา พร้อมกับจูงหญิงสาวหน้าตาสวยงามเข้ามาด้วย นางกอดของที่พองโตอยู่ในอ้อมอกไว้อย่างแน่นหนา บนใบหน้านั้นมีรอยเขียวๆ อยู่ คล้ายเพิ่งโดนทุบตีมา แต่ก็ยังคงกอดของที่อยู่ในอ้อมอกไว้อย่างแน่นหนา ไม่ยอมปล่อยเลยแม้แต่นิดเดียว

“นายสอง พวกข้ามาเพื่อคืนเงิน”

จางปั่วจือโค้งแสดงความเคารพ สีหน้าสอพลอ

จูเอ้อร์ไม่ได้สนใจ แต่กลับมองไปที่หญิงสาว พลางหรี่ตาแล้วพูด

“เจ้าวิ่งหนีไปหลบที่ไหนมา”

หญิงสาวยิ่งกอดของในอ้อมอกแน่นขึ้นไปอีก หวาดกลัวเล็กน้อย แต่พยายามฝืนทำเป็นท่าทางใจกล้า

“พวกเรามาเพื่อคืนเงิน แล้วสัญญาล่ะ?”

จูเอ้อร์จ้องนางเขม็ง “แล้วเงินล่ะ”

หญิงสาวหยิบห่อผ้าออกมา ในนั้นมีเงินราชการอยู่สามก้อนใหญ่ แต่ละก้อนสิบตำลึง

เงินราชการไม่ใช่เงินที่ประชาชนคนธรรมดาจะสามารถใช้ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่ ‘มูลค่า’ มันมากมายมหาศาล ประชาชนทั่วไปมักจะใช้เหรียญกษาปณ์ทองแดงหรือเศษเงินมากกว่า

“เอาเงินราชการมาจากไหน!”

จูเอ้อร์ถลึงตาใส่ พร้อมกับถามเสียงดัง

หญิงสาวสั่นด้วยความตกใจ จนจางปั่วจือต้องรีบตอบกลับ “คนนอกพื้นที่คนหนึ่งให้ข้ามา”

เขาเล่าเรื่องราวในตอนนั้นทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากที่หญิงสาวกลับไป ก็นำเรื่องราวทั้งหมดเล่าให้จางปั่วจือฟัง ความคิดของจางปั่วจือในตอนนั้นไม่ใช่การนำเงินมาคืน แต่เป็นการนำเงินกลับไปเล่นพนัน ทว่าภรรยาที่เขานำไปจำนำไว้ผู้นี้ปกป้องมันอย่างสุดชีวิต ร่างกายเขาซูบผอม ขาก็เดินไม่สะดวก ทำให้แย่งชิงมาไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ประนีประนอม และนำเงินกลับมาไถ่ตัวนางก่อนเป็นอันดับแรก

‘คนนอกพื้นที่ มีเงิน’ แววตาของจูเอ้อร์เปลี่ยนไป ตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโกรธ

“นังสารเลว เจ้ากล้ามากนะที่ฉวยโอกาสตอนข้าหลับ ขโมยเงินของข้าไป นำตัวพวกมันทั้งสองมัดไว้แล้วไปเก็บไว้ที่ห้องฟืน”

สีหน้าของจางปั่วจือและภรรยาเปลี่ยนไปทันที ร้องไห้พร้อมกับถูกลากออกไปส่งไว้ที่ห้องฟืน “นายสองช่างปราดเปรื่อง!”

ลูกน้องหัวเราะพลางพูด “จางปั่วจือจะไปเอาเงินสามสิบตำลึงมาจากไหน? พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ต้องเป็นการขโมยมาจากนายสองแน่ๆ”

“นายสอง หญิงสาวนางนั้น…”

ลูกน้องคนหนึ่งแสดงท่าทางน้ำลายสอด้วยความอยากได้ คำพูดของจูเอ้อร์เมื่อครู่นี้ พวกเขาจำได้ขึ้นใจ

“จะรีบร้อนอะไร ตัวคนก็ถูกส่งตัวมาแล้ว กลัวจะหลบหนีไปหรือไง? ”

จูเอ้อร์ขมวดคิ้ว พลางกล่าวตำหนิ “ของที่ไร้คุณค่า…เจ้าไปสืบค้นหาว่าคนต่างเมืองผู้นั้นมาจากเส้นทางไหน เหอะ…ถ้าสามารถเอาสามสิบตำลึงออกมาได้ง่ายๆ เช่นนั้นก็สามารถเอาสามร้อยตำลึงออกมาได้ หรืออาจจะมากกว่านั้น”

ในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในอำเภอ ในมือของสวี่ชีอันนั้นหิ้วไหเหล้าไว้อยู่ เหล้าที่เพิ่งอุ่นร้อน ทำให้โถเหล้าอุ่นขึ้นเล็กน้อยด้วยเช่นเดียวกัน

พระมเหสีนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ข้างมือนั้นก็มีไหเหล้าเช่นเดียวกัน ในเหล้านั้นแช่ไปด้วยขิงสับ เครื่องเทศ เหล้าของนางไม่นับว่าดีแต่ก็ไม่ได้แย่ หลังจากดื่มไปไม่กี่อึก สีหน้าก็แดงขึ้นมาราวกับคนเมา ดูออดอ้อนขึ้นมาเล็กน้อย

“ตั้งแต่โบราณกาลมา นักปราชญ์ทั้งหลายล้วนเปล่าเปลี่ยว มีเพียงผู้ที่ชื่นชอบในรสสุราเท่านั้นที่ทิ้งชื่อไว้…” เขาพูดเบาๆ

“เป็นบทกวีที่ดี!”

พระมเหสีถูกใจมาก พลางหันหน้าไปทางเขา “แล้วบทต่อไปล่ะ?”

สวี่ชีอันพูดด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยดีนัก “บทต่อไปไม่มีแล้ว”

เขาดื่มเหล้าอย่างเอ้อระเหย “รอสักครู่ ข้าจะแอบไปส่องที่บ้านของหญิงสาวนางนั้นเสียหน่อย ในเมื่อช่วยแล้ว ก็ช่วยจนถึงที่สุด”

พระมเหสีพูดอย่างทอดถอนใจ “จริงๆ ไม่ควรสนใจเลย ระหว่างเส้นทางที่เดินทางมานี้ก็พบเจอกับปัญหามากมายอยู่แล้ว”

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด