ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 395 ไปเจี้ยนโจว

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 395 ไปเจี้ยนโจว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 395 ไปเจี้ยนโจว

นักบวชเต๋าไป๋เหลียน อยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกยอดฝีมือจากยุทธภพคนไหนมาเป็นผู้ถือเศษหนังสือปฐพีบ้าง เขาเป็นดอกบัวที่มีสีสัน สถานะสูงส่ง

เมื่อรู้เบื้องหลังบางอย่างแล้ว ผู้ถือเศษหนังสือที่นักบวชเต๋าจินเหลียนคัดเลือก ว่ากันว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือรุ่นหลังผู้มีบุญวาสนา ภายภาคหน้าพวกเขาจะเป็นที่พึ่งที่สำคัญสำหรับของนักบวชเต๋าจินเหลียนในการขจัดความคิดอันชั่วร้าย

แต่ปัญหาคือ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือรุ่นหลัง แม้จะมีกำลังแข็งแกร่ง แต่จะแข็งแกร่งถึงไหนกัน

เว้นเสียแต่ว่าทุกคนล้วนอยู่ในขั้นสี่ มิเช่นนั้น ไป๋เหลียนไม่คิดว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้จะสามารถต้านทานนักพรตดอกบัวจากนิกายปฐพี สามารถต้านทานผู้นำเต๋าดอกบัวดำ สามารถต้านทานกำลังคนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้

แต่ทว่า ดูเหมือนนักบวชเต๋าจินเหลียนจะมั่นใจต่อ ‘พรรคฟ้าดินหนังสือปฐพี’ ที่ตนก่อตั้งขึ้นเป็นอย่างมาก

ทั่วทุกแห่งในจิ่วโจว มีชายหนุ่มที่มีสติปัญญาล้ำเลิศอยู่มากมาย ราวกับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่บนผิวน้ำ เดาไม่ถูกจริงๆ ว่าชายหนุ่มที่นักบวชเต๋าจินเหลียนกำลังมองหาจะเป็นใคร…ไป๋เหลียนทั้งวิตกกังวลและตั้งตารอ

ภูเขาเฉวี่ยนหรง

กลางดึก เฉาชิงหยาง ผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงและปักลายเมฆซ้อนกันเป็นชั้นๆ ด้วยด้ายสีทอง เดินออกจากจวนตามลำพัง มุ่งหน้าไปทางภูเขาด้านหลัง

ที่ภูเขาด้านหลังมีบุคคลคนหนึ่ง อายุยาวนานเท่าการก่อตั้งราชวงศ์

แสงจันทร์สลัว และเงาของต้นไม้โอนเอนไปมา เขาเดินเสียงดังกรอบแกรบไปตามทางเดินบนภูเขา ชายเสื้อคลุมยาวสีม่วงระต้นหญ้าริมทาง

เฉาชิงหยางอายุมากกว่าสี่สิบปี หน้าตาคมคาย นัยน์ตาคม โหงวเฮ้งดี ‘ไร้ที่ติ’

เกี่ยวกับผู้นำพันธมิตรท่านนี้ ในยุทธภพของเจี้ยนโจวมีข่าวลือที่ลือกันอย่างสนุกปากมาตลอด ว่ากันว่าอดีตผู้นำพันธมิตรนั้นงมงายกับศาสตร์โหงวเฮ้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยความบังเอิญ เขาได้พบกับเฉาชิงหยางซึ่งเวลานั้นยังคงเป็นเพียงกำลังสำคัญของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เท่านั้น

เขารู้สึกดีกว่าที่คาดคิด พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าโหงวเฮ้งดียิ่ง เป็นลักษณะโฮ่วถู่ที่หายากมาก ฟ้ากลมปฐพีเหลี่ยม ปฐพีมีศีลธรรมแบกรับภาระยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีโหงวเฮ้งลักษณะโฮ่วถู่มีพร้อมทั้งคุณธรรมและความประพฤติที่ดี สามารถเป็นผู้นำกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ได้

จึงได้รับไว้เป็นศิษย์ ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ และมอบตำแหน่งผู้นำของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ให้กับเขา

ไม่ว่าศาสตร์โหงวเฮ้งจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม แต่ในสายตาของอดีตผู้นำนั้นแม่นยำจริงๆ ในแง่ของความสำเร็จในด้านวรยุทธ์ เฉาชิงหยางนับเป็นทหารอันดับหนึ่ง และผู้นำทหารแห่งเจี้ยนโจว

ในแง่ของความเป็นมืออาชีพ เฉาชิงหยางเป็นผู้ควบคุมและผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจว และไม่เคยทำผิดพลาดใหญ่หลวงตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยุทธภพของเจี้ยนโจวอยู่ในระเบียบและมั่นคง และยังได้ร่วมมือกับทางการ ในการจับกุมนักโทษชาวยุทธภพที่หลบหนีบางส่วนด้วย

หลังจากเดินทางอย่างลำบากลำบนอยู่ในป่าเขาเป็นเวลาหนึ่งเค่อ เบื้องหน้าก็สว่างโร่ขึ้น ปรากฏหน้าผาสูงชันขนาดใหญ่ ด้านล่างของหน้าผาที่สูงชัน มีประตูหินบานหนึ่ง

ประตูหินปิดสนิท ปากประตูมีใบไม้ที่เน่าเปื่อยร่วงอยู่เต็มไปหมด ต้นหญ้าขึ้นรก เหมือนฝุ่นจับมาเป็นเวลานาน โดยไม่เคยเปิดมาก่อน

ทันทีที่เขาก้าวออกจากป่า และมองเห็นหน้าผา เฉาชิงหยางก็สังเกตเห็นที่ยอดหน้าผามีโคมไฟส่องสว่างอยู่สองดวง ‘ส่อง’ มาที่ตัวเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดับไป

นั่นคือเฉวี่ยนหรง

เฉาชิงหยางเดินมาที่ข้างประตูหิน โค้งตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเคร่งขรึมว่า “ผู้อาวุโส ข้าจะชิงรากบัวเก้าสีแทนท่าน เพื่อช่วยให้ท่านผ่านความยากลำบาก”

ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในประตู

เฉาชิงหยางกล่าวต่อว่า “นับตั้งแต่การต่อสู้ที่ด่านซานไห่เมื่อสิบปีก่อน กำลังของต้าฟ่งก็ค่อยๆ อ่อนแอลงทุกวัน กำลังการควบคุมของราชสำนักที่มีต่อแคว้นต่างๆ ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ในแต่ละแคว้นเกิดความหายนะขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ศิษย์หลานมีลางสังหรณ์ว่า กำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในเร็ววันนี้”

ในที่สุดก็มีเสียงคนชราดังลอยมาจากด้านในประตู “จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งยังบำเพ็ญพรตอยู่หรือไม่”

เฉาชิงหยางพยักหน้า “ขอรับ”

“หึ!”

เสียงหึ ดังออกมาจากช่องประตู

เฉาชิงหยางกล่าวต่อว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวแพร่สะพัดมาจากเมืองหลวง ว่าอ๋องสยบแดนเหนือที่รักษาการณ์อยู่ที่ชายแดน ได้สังหารประชาชนสามแายแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว เพื่อต้องการบรรลุขั้นสอง และถูกผู้กล้าลึกลับตัดศีรษะที่เมืองฉู่โจว”

รีบเล่าข่าวแบบรวบรัดทันที

“สรุปได้ดี!” เสียงนั้นตอบกลับมา

“หลังจากเกิดเรื่อง เพื่อปกปิดโทษ จักรพรรดิหยวนจิ่งได้สังหารสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวที่เดินทางเข้ามาร้องเรียนที่เมืองหลวง เพื่อปกป้องฮู่กั๋วกงที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคนสำคัญ”

“เหล่าขุนนางในราชสำนักไม่สนใจ? ท่านโหราจารย์ไม่สนใจ?” เสียงนั้นเบาลงเล็กน้อย

“ขอรับ”

เมื่อเสียงพูดของเฉาชิงหยางจบลง ก็รู้สึกได้ว่าพื้นใต้เท้าของเขาสั่นเล็กน้อย ประตูหินก็เริ่มสั่นเช่นกัน ฝุ่นละอองร่วงหล่นลงมา

บนหน้าผา โคมไฟสองดวงส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง จ้องมองมาที่เขาอย่างเย็นชา

“ผู้อาวุโสระงับความโกรธด้วย เรื่องนี้ยังไม่จบ…” เฉาชิงหยางพูดต่อทันที

เสียงภูเขาสั่นสะเทือนหยุดลง และโคมไฟสีแดงสองดวงบนหน้าผาก็ดับลงในทันที

เฉาชิงหยางถอนหายใจ ใบหน้าคมคายน่าเกรงขาม แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผ่อนคลายอย่างชัดเจน แล้วพูดต่อว่า

“ต่อมา ฆ้องเงินคนหนึ่งได้บุกเข้าไปในพระราชวัง เพื่อจับกุมฮู่กั๋วกง พร้อมกล่าวโทษจักรพรรดิ กล่าวโทษอ๋องสยบแดนเหนือ และตัดศีรษะกั๋วกงที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ไช่ซื่อโข่ว”

ด้านในประตูหิน ไม่มีเสียงดังออกมาเป็นเวลานาน และหลังจากเงียบไปครึ่งเค่อ เสียงถอนหายใจก็ดังลอยมา “ตั้งแต่โบราณมาคนไร้สติปัญญาน่าชังที่สุด ตั้งแต่โบราณมาไร้สติปัญญาบริสุทธิ์ใจที่สุด”

เฉาชิงหยางใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงอธิบายว่า “ผู้อาวุโส ฆ้องเงินคนนั้นยังไม่ตาย”

“อ้อ?”

คราวนี้ ในน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ลอยมาแฝงความอยากรู้

“คนคนนี้ชื่อสวี่ชีอัน เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมาจากตรวจสอบข้าราชสำนักเมื่อปีที่แล้ว หากผู้อาวุโสต้องการฟัง ศิษย์หลานสามารถเล่าให้ท่านฟังได้ ท่านอย่าได้โทษว่าข้าน่ารำคาญก็แล้วกัน”

น้ำเสียงคนชรามีแววขบขันเล็กน้อย “สาเหตุที่ข้ากักขังตัวเองนับร้อยปี และไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอก และยุทธภพของจิ่วโจว นอกจากเจียดเวลาฟังเจ้าพล่ามแล้ว เวลาอื่นๆ ก็น่าเบื่อมาก”

เฉาชิงหยางนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูหิน และพูดอย่างจริงจังว่า “หลายปีมานี้ คนที่น่าสนใจที่สุดในยุทธภพนี้คือจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน และคนที่น่าชื่นชมที่สุดในราชสำนักก็คือฆ้องเงินที่ชื่อสวี่ชีอัน…”

เวลานี้ เขาเล่าเรื่องราวและคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนักจนทำให้สวี่ชีอันเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

การที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สามารถวางอำนาจในยุทธภพของเจี้ยนโจว ทำให้ทางการหวาดกลัว ราชสำนักต้องยินยอม ย่อมต้องมีเอกลักษณ์ของมัน สิ่งที่ทำให้เฉาชิงหยางภูมิใจในตัวเองที่สุดไม่ใช่การเป็นยอดฝีมือในกลุ่มพันธมิตร และไม่ใช่ทหารม้าแปดพันนาย

แต่เป็นเป็นระบบข่าวกรองที่เขาสร้างขึ้นเพียงผู้เดียว

ระบบข่าวกรองที่ประกอบด้วยชนชั้นล่าง จอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ ในสายตาของเฉาชิงหยาง แม้จะสู้บุตรในเงามืดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลของเว่ยชิงอีไม่ได้ แต่เมื่อพูดถึงข่าวกรองข้อมูลพื้นฐาน กลับดีกว่า

ตั้งแต่การคลี่คลายคดีเงินภาษี ไปจนถึงการสังหารเบื้องบน ตั้งแต่คดีซังผอไปจนถึงคดีอวิ๋นโจว จนกระทั่งคดีฉู่โจวเมื่อเร็วๆ นี้ เฉาชิงหยางสามารถเล่าได้อย่างละเอียดทุกเรื่อง

เจี้ยนโจวทุ่มเทกับฆ้องเงินสวี่คนนี้อย่างมาก

แน่นอนว่า เพราะสิ่งที่คนคนนั้นทำนั้นมันเกินกว่าการทำให้ทุกคนพากันตื่นตะลึง เกินกว่าการคุยโว และเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่อยากรู้

ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านในประตูหินรับฟังอย่างอดทน ฟังเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ด้วยความสนใจอย่างมาก

“น่าสนใจ น่าสนใจ หากคนคนนี้ไม่ตายก่อนวัยอันควร ต้าฟ่งก็จะมีสุดยอดทหารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน” เสียงคนชรามีแววขบขัน

“มีข่าวลือในยุทธภพว่าความสามารถของคนคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าอ๋องสยบแดนเหนือ” เฉาชิงหยางพยักหน้า ไม่มีความเห็นต่างกับการประเมินของผู้อาวุโส

“เมื่อเทียบกับอ๋องสยบแดนเหนือ ข้าอยากเห็นทหารเช่นคนแซ่สวี่เกิดขึ้นมากกว่า” เสียงคนชราถอนหายใจแล้วพูดว่า

“ทหารใช้กำลังในการฝ่าฝืนคำสั่งห้าม ยิ่งไม่สนใจกฎหมายและหลักธรรม ความคิดก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทหารฝึกฝนคือตนเอง…อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารแท้คนหนึ่ง ดังนั้นเขาจงสามารถเดินถึงระดับสูงเช่นนั้น แต่ก็เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงสังหารคนทั้งเมืองได้ ดังนั้น ตั้งแต่โบราณมาคนไร้สติปัญญาจึงน่าชังที่สุด”

“คนแซ่สวี่นั่นก็เป็นคนไม่สนใจกฎหมายและหลักธรรมเช่นเดียวกัน เขาทำอะไรขอแค่ไม่ต้องละอายแก่ใจเท่านั้น ดังนั้น การที่เขาใช้ดาบสังหารผู้บังคับบัญชา เพื่อเด็กผู้หญิงที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขาย่อมต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพราะความวู่วามชั่วขณะ…กองกำลังกบฏมากันกี่คน”

“สังหารกองกำลังกบฏไปสองร้อยกว่าคน” เฉาชิงหยางหวนคิดครู่หนึ่ง จึงตอบ

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเขารับมือกองกำลังกบฏหนึ่งหมื่นคนเพียงลำพัง” เสียงคนชรากล่าว

…ใบหน้าของเฉาชิงหยาง กระตุกเล็กน้อยและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “บางคนบอกว่าแปดพันบางคนบอกว่าห้าพันแล้วยังมีบางคนบอกว่าหนึ่งหมื่นและสองหมื่น…มีข่าวลือมากมายเหลือเกิน จนทำให้ข้าจำผิด”

“อืม” น้ำเสียงคนชราดังขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “รวมถึงคดีสังหารคนทั้งเมืองที่ฉู่โจวครั้งนี้ ทุกคนต่างก็เกรงกลัวอำนาจของจักรพรรดิ ไม่กล้าพูด มีเพียงเขาคนเดียวที่กล้าที่จะยืนขึ้น แสดงความโกรธเคือง ดังนั้นตั้งแต่โบราณมาไร้สติปัญญาบริสุทธิ์ใจที่สุด”

เฉาชิงหยางก้มศีรษะ “ขอจดจำคำสั่งสอนของผู้อาวุโสไว้”

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวถึงเรื่องการมาเยือนครั้งนี้อีกครั้ง “ดอกบัวเก้าสีของนิกายปฐพีอยู่ในเจี้ยนโจว อีกไม่กี่วันก็สมบูรณ์แล้ว ข้าจะชิงรากบัวเก้าสีแทนท่าน เพื่อช่วยให้ท่านผ่านความยากลำบาก

“เพียงแต่ว่า ผู้นำนิกายปฐพีตกสู่ทางมาร ไม่น่าเชื่อถือ ศิษย์หลานก้าวสู่ขั้นสามเพียงครึ่งเท้า ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ เกรงว่าจะไม่มีแรงต้านผู้นำนิกายปฐพี จึงต้องการขอให้ผู้อาวุโสช่วยข้า”

“นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์ของลัทธิเต๋าทั้งสามนิกาย ผู้นำทุกยุคล้วนเป็นขั้นสอง ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร”

“ผู้อาวุโส ที่มาเป็นเพียงการแยกร่างมาหนึ่งร่าง อย่างมากที่สุดก็แค่ระดับสาม” เฉาชิงหยางกล่าวเสริม

หลังช่องโหว่ของประตูหิน มีหยดเลือดใสหยดหนึ่งแทรกออกมา ปะทะหว่างคิ้วของเฉาชิงหยาง

เช้าตรู่ แสงอาทิตย์ส่องมายังพื้นโลก ทำให้เกิดความร้อนแรงและมีพลัง

สวี่ชีอันตื่นขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสม รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาหาวพร้อมกับพึมพำในใจว่า “ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนฝูเซียงนานมากแล้ว คิดถึงจังเลย”

หลังจากแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ก็ปลุกจงหลีซึ่งนอนหมดแรงอยู่ไม่ไกล เรียกให้นางไปล้างหน้าและแปรงฟันด้วยกัน

ทั้งสองนั่งยองๆ อยู่ใต้ชายคา มือถือแปรงสีฟันขนหมู แปรงจนฟองเต็มปาก

“อาวุธเวทมนตร์ชั้นยอดที่แท้จริง ไม่ใช่ค่ายกลที่น่าประทับใจ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษ”

ในเวลานี้ จู่ๆ จงหลีก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ จากนั้นจึงเอียงศีรษะ และมองดูเขาเงียบๆ

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ตำหนิว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาให้หมด ส่งสายตาให้ข้า ข้าจะเข้าใจรึ”

“เอ้อ เอ้อ…”

นางร้อง ‘เอ้อ’ สองครั้งไม่ชัดเจน แล้วก็อมน้ำในปากแล้วบ้วนฟองขาวทิ้ง พูดเบาๆ ว่า “ดาบที่อาจารย์ให้เจ้ามา มีแต่ชื่อว่าเป็นดาบไร้เทียมทานแห่งยุค แต่กลับไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่เลย”

สวี่ชีอันรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “แล้วอย่างไร”

จงหลีแนะนำอย่างจริงจัง เสียงใสอ่อนโยน ราวกับกระดิ่งลมใต้ชายคา “จะต้องชิงดอกบัวมาให้ได้ มันสามารถ มันสามารถเสกอาวุธ ทำให้ดาบของเจ้าเกิดความศักดิ์สิทธิ์

“การมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้กลายเป็นเครื่องมือสังหารที่แท้จริง ของวิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจิ่วโจว เช่น ดาบสยบดินแดน และหนังสือปฐพี ล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมีความศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นพื้นฐานในการก้าวสู่การเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจิ่วโจว ดาบที่ท่านโหราจารย์มอบให้เจ้า หากมีความศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของทหารระดับสูงก็จะไม่ไร้เทียมทานอีกต่อไป”

ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ถึงเลย ดอกบัวสามารถเสกทุกสิ่งทุกอย่างได้ ก็ย่อมต้องเสกดาบของข้าได้…สวี่ชีอันสนใจขึ้นมาทันที

เขาประเมินในใจว่า หากดาบยาวสีทองดำมีความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของเขา ก็จะไม่ใช่แค่ไร้เทียมทานในระดับเดียวกันเท่านั้น

มีความเป็นไปได้สูง มีความเป็นไปได้สูงที่จะฆ่าศัตรูข้ามขั้นได้

เมื่อเขาได้รับการเลื่อนสู่ขั้นห้าอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถสังหารทหารขั้นสี่ได้ อืม แม้ว่าสังหารยอดฝีมือขั้นสี่ไม่ได้ แต่ขั้นสี่ทั่วไปนั้นไม่น่าจะยาก

การอนุมานเช่นนี้ หากเลื่อนเป็นขั้นที่สี่แล้ว ถ้าเช่นนั้นฝีมือในการโจมตีสังหารระดับเดียวกัน ก็ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดใช่หรือไม่

สิ่งที่สวี่ชีอันขาดมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือพลังการต่อสู้ที่แท้จริง และอาวุธก็เป็นพลังต่อสู้ประเภทหนึ่งเช่นกัน

จงหลีบ้วนปาก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลังจากเกิดความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดาบก็ไม่ใช่ของตาย เจ้าคอยดูแลรักษามันทุกวัน มันก็จะจำเจ้าของได้ คนอื่นไม่สามารถใช้มันได้ เจ้ามีเศษหนังสือปฐพี เจ้าควรเข้าใจ”

จงหลีเก่งมาก…สวี่ชีอันแทบอดใจไม่ไหวที่จะไปเจี้ยนโจวในทันที เขาเจตนาทำหน้าเคร่งขรึม พูดเสียงเข้มว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเศษหนังสือปฐพี เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไปปกป้องดอกบัว เจ้าแอบเห็นข้าส่งข้อความอย่างนั้นหรือ”

“?” จงหลีมองเขาอย่างไร้เดียงสา

สวี่ชีอันลูบมุมปาก วางโฟมในฝ่ามือลงบนหัวของนาง แล้วทำผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้กลายเป็นรังไก่

เขาหัวเราะคิกคัก มองดูผลงานของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจ

“ข้า ข้าอยากสระผม…”

จงหลีเหลือบมองเขาอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกกระทำเช่นนี้ แล้วเดินจากไปด้วยความข้องใจ

ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นพระมเหสีล่ะก็ ป่านนี้คงจะกระโจนมาข่วนหน้าข้าแล้ว…สวี่ชีอันออกอาการพึงพอใจ “หึหึ”

ความรู้สึกหัวใจเต้นแรงที่คุ้นเคยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว วางแปรงสีฟันขนลง กลับไปที่ห้อง หยิบเศษหนังสือปฐพีจากใต้หมอนขึ้นมา และตรวจดูข้อความ

หมายเลขเก้า ‘รีบออกเดินทางมาเจี้ยนโจวเดี๋ยวนี้ สถานการณ์ไม่ค่อยดี’

ฉู่หยวนเจิ่นรีบตอบทันที หมายเลขสี่ ‘สถานการณ์ไม่ค่อยดีหมายความว่าอย่างไร ท่านนักบวช เกิดอะไรขึ้นใน เจี้ยนโจว’

หมายเลขเก้า ‘เรื่องมันซับซ้อน ครั้งนี้ศัตรูค่อนข้างเยอะ สถานการณ์แย่มาก ทางที่ดีพวกเจ้ารีบมาเดี๋ยวนี้ มาคุยกันต่อหน้า’

ครั้งนี้ศัตรูค่อนข้างเยอะ? คิ้วของสวี่ชีอันเลิกขึ้นทันที

ด้วยคำพูดของจงหลี เขาจึงต้องการชิงดอกบัวมาให้ได้ เพราะมันจะทำให้เขามีดาบไร้เทียมทานแห่งยุค ไม่ใช่แค่การได้เมียน้อยที่น่าตีมาคนหนึ่งอีกต่อไป

“ข้าจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ เอ้อ จะส่งเจ้ากลับสำนักโหราจารย์ก่อน” สวี่ชีอันคว้าแขนของจงหลี รีบวิ่งออกจากห้อง

พอดี เห็นหลี่เมี่ยวเจินถือกระบี่บิน ออกมาจากห้อง ไม่มีซูซูอยู่ข้างกาย อาจจะเก็บเข้าถุงหอมไปแล้ว

“ข้าจะส่งนางกลับสำนักโหราจารย์” สวี่ชีอันกล่าว

“อืม” หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า

จงหลีผู้มีโชคร้ายรัดตัว แม้ยามปกติยังต้องคอยระมัดระวังอย่างมาก หากอยู่ในสนามรบละก็…

แม่ม้าน้อยของสวี่ชีอันพาจงหลีกลับสำนักโหราจารย์ สวี่ชีอันที่กำลังจะรวมตัวกับหลี่เมี่ยวเจิน กลับเกิดความคิดที่เหิมเกริมขึ้นภายในจิตใจ

หยางเชียนฮ่วนเป็นโหรระดับสี่ ทักษะการโจมตีสังหารสู้ทหารไม่ได้ แต่เชี่ยวชาญในการสร้างค่ายกล และยังมีอาวุธเวทมนตร์…

สวี่ชีอันเห็นจงหลีกำลังเดินลงบันไดหินและกำลังจะหายไปต่อหน้าต่อตา จึงรีบตะโกนอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่จง ศิษย์พี่หยางอยู่ข้างล่างใช่หรือไม่”

จงหลีหันกลับมา “อืม”

“ศิษย์พี่หยาง? ศิษย์พี่หยาง?” เขาตะโกนใส่พื้น เสียงสะท้อนกลับก้องกังวาน

“หนวกหู เรียกข้าทำไม” เสียงไม่พอใจของ หยางเชียนฮ่วนดังขึ้น

“ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่…”

ทันทีที่สวี่ชีอันเอ่ยปาก ก็ถูกหยางเชียนฮ่วนตัดบททันที โดยปฏิเสธว่า “ไม่ช่วย ไสหัวไป!”

สวี่ชีอันมองไปที่จงหลีอย่างจนใจ จงหลีส่ายหน้า บอกให้รู้ว่าช่วยไม่ได้

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจแล้วพูดเสียงดังว่า

“ข้าไปครั้งนี้ก็เพราะหนึ่งคนเฝ้ารักษาด่าน คนเป็นหมื่นก็ไม่สามารถโจมตีเข้ามาได้ ข้าไปครั้งนี้ก็เพื่อสังหารโจรชั่วให้หมดสิ้น ทำให้ยุทธภพหวาดหวั่น ข้าไปครั้งนี้ เป็นการไปเจี้ยนโจวดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ เพียงเพื่อที่จะพูดกับยุทธภพของเจี้ยนโจวประโยคเดียวว่า ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นขยะ”

พูดจบ เงาสีขาวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชีอัน หยางเชียนฮ่วนยืนเอามือไพล่หลัง พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไป!”

………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด