ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 343 ชักดาบ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 343 ชักดาบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 343 ชักดาบ

หลังจากฉู่เซียงหลงรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็สั่งให้ผู้ติดตามชงชามาให้เขาถ้วยหนึ่ง เขาถือถ้วยชาร้อนด้วยท่าทางเนิบนาบก่อนจะยกขึ้นมาจิบแล้วถามว่า

“ช่วงนี้พระมเหสีเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ทรงประทับอยู่ในห้องตลอดขอรับ” ผู้ติดตามกล่าว

ความจริงแล้ว พระมเหสีที่อยู่ภายในห้องอันหรูหราและกว้างขวางนั้นเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด ส่วนพระมเหสีตัวจริงได้ออกมาเดินเล่นและคลุกคลีอยู่กับสาวใช้ธรรมดาๆ ตลอดทั้งวัน

บางครั้งยังไปขโมยกินที่โรงครัวหรือไม่ก็ไปยืนดูคนพายเรือหว่านแหจับปลาด้วยความคึกคักและคอยกำกับอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ข้างๆ

พวกคนพายเรือไม่เพียงแต่ไม่โกรธแต่ยังรักใคร่หญิงงามธรรมดาๆ คนนี้มาก คนพายเรือหลายคนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย อีกทั้งยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาต่างก็กำลังสอบถามสถานการณ์กับอาอี๋เป็นการส่วนตัว

นี่คือเสน่ห์ของพระมเหสี ถึงแม้ลักษณะภายนอกจะดูธรรมดาทั่วไป แต่หากรู้จักสนิทสนมกับนางนานๆ ผู้ชายก็ตกหลุมรักนางได้ไม่ยาก

ดังนั้นฉู่เซียงหลงจึงห้ามทหารขึ้นไปบนดาดฟ้าและห้ามมิให้ชายใดสานสัมพันธ์กับพระมเหสีเป็นการส่วนตัวโดยเด็ดขาด แต่เขาไม่สามารถพูดออกไปตรงๆ ไม่สามารถแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อสาวใช้คนหนึ่งมากเป็นพิเศษ

“ไปทางเหนือให้เร็วที่สุด เมื่อฉู่โจวเข้าร่วมกับกองทัพที่ท่านอ๋องส่งมา ก็จะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์” ฉู่เซียงหลงถอนหายใจ

อำพรางตัวอยู่ในกลุ่มภารกิจสอบสวนเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนออกเดินทาง แม้แต่หัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจอย่างสวี่ชีอันก็ยังไม่รู้ว่าพระมเหสีตามมาด้วย

ในขณะนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากดาดฟ้าของเรือ ตามด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานของเหล่าชายหนุ่ม

พวกทหารใต้ท้องเรือออกมากันหมดแล้ว…สีหน้าของฉู่เซียงหลงจมมืด จากนั้นความโกรธก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เขาเน้นย้ำและตักเตือนพวกทหารหัวโตครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าขึ้นไปบนดาดฟ้าเด็ดขาด

เห็นคำพูดของเขาเป็นเพียงลมผ่านข้างหูหรือ?

ฉู่เซียงหลงเดินออกจากห้อง ข้ามทางเดินจนมาถึงบนดาดฟ้า เห็นเหล่าทหารมารวมตัวกันอย่างสามัคคี ถือถังอุจจาระและพากันเทสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำกันโครมคราม เมื่อลมพัดมา กลิ่นเหม็นก็ลอยเข้ามากระทบจมูกอย่างทันทีทันใด

นายร้อยเฉินเซียวยืนอยู่บนดาดฟ้าและกล่าวตะโกนว่า “เทเสร็จแล้วอย่าลืมขัดถังอุจจาระให้สะอาดด้วยล่ะ”

“ขอรับ!”

เหล่าทหารตอบรับเสียงดังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ฉู่เซียงหลงยืนมือไขว้หลังด้วยสีหน้าจริงจังพลางตะโกนว่า “ใครให้พวกเจ้าขึ้นมา”

เสียงอึกทึกเมื่อครู่เงียบลงชั่วขณะ เหล่าทหารรีบวางถังอุจจาระลงและหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ บ้างก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ก้มศีรษะและไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่น้อย

ฉู่เซียงหลงตะโกนตำหนิเสียงดัง “คิดว่าคนเยอะ ไม่ต้องเกรงกลัวกฎระเบียบกันแล้วรึ? ชอบขึ้นมาบนดาดฟ้านักใช่ไหม ใครก็ได้ เตรียมท่อนไม้ให้ข้า ข้าจะจัดการลงโทษเอง”

ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงฝีเท้าดังก้อง ทหารอารักขาที่ฉู่เซียงหลงนำมาด้วยเดินมาจากอีกด้านหนึ่งของดาดฟ้าพร้อมกับท่อนไม้ในมือ

“ท่านแม่ทัพฉู่ คือ…คือ…”

เฉินเซียวลุกลี้ลุกลนอย่างหนัก สาเหตุที่เขาไม่อธิบายในทันทีและบอกฉู่เซียงหลงว่าเรื่องนี้ได้รับการอนุญาตจากสวี่อวิ๋นหลัวแล้ว ก็เพราะมันอาจทำให้ฉู่เซียงหลงรู้สึกว่าเขากำลังยั่วยุให้โกรธและปลุกปั่นให้ใต้เท้าทั้งสองขัดแย้งกัน

และสวี่ชีอันก็กลับห้องไปแล้ว เขาย่อมได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเขามีความจริงใจมากพอที่จะยืนหยัดเพื่อเหล่าทหารรักษาวังพวกนี้ เขาก็คงออกมา

แต่มันกลับตรงกันข้าม นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่อยากขัดแย้งกับแม่ทัพฉู่ ถึงอย่างไรแม่ทัพฉู่ท่านนี้ก็เป็นถึงท่านรองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือ เป็นใต้เท้าที่มีอำนาจทางทหาร

“เหตุใดแม่ทัพฉู่จึงได้โกรธหนักเช่นนี้เล่า ข้าเป็นคนให้พวกเขาขึ้นมาขัดถังอุจจาระเอง”

ในที่สุด เสียงที่เหล่าทหารรักษาวังต่างรอคอยก็ดังออกมาจากห้องโดยสาร ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เบาแต่ทรงพลัง สวี่ชีอันเดินออกมาในชุดฆ้องเงินและถือดาบด้วยมือเดียว

ฉู่เซียงหลงหันหลังกลับไปจ้องสวี่ชีอันพลางกล่าวอย่างยกตนข่มท่าน

“เจ้าไม่รู้รึว่าข้าสั่งว่าอะไร? ถ้าไม่รู้ก็ให้พวกเขาไสหัวกลับไปเดี๋ยวนี้ และต้องรับรองว่าจะไม่ออกมาอีก แต่ถ้ารู้ งั้นข้าก็ต้องการคำอธิบาย”

เฉินเซียวจำต้องกัดฟันทำ เขายกกำปั้นขึ้นมาคารวะพลางกล่าวว่า “แม่ทัพฉู่ เรื่องเป็นเช่นนี้ขอรับ มีทหารหลายนายล้มป่วย ข้าน้อยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าสวี่…”

ถ้าไม่ใจนักเลงมากก็ฉลาดมาก…สวี่ชีอันคิดในใจแต่ปากกลับกล่าวว่า “ที่นี่มีที่สำหรับให้เจ้าพูดด้วยรึ? ไปให้พ้น“

เฉินเซียวก้มศีรษะลงและไม่พูดไม่จาใดๆ อีก แววตาแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจ

สวี่อวิ๋นหลัวต้องการกันเขาออกจากเรื่องนี้

หลังจากตำหนินายร้อย สวี่ชีอันก็หันมาจ้องฉู่เซียงหลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ท่านแม่ทัพฉู่ต้องการคำอธิบายรึ? ท่านลงไปใต้ท้องเรือด้วยตัวท่านเองสักครั้งก็พอแล้วกระมัง หากอยู่ในนั้นได้หลายวัน ความรู้สึกก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกจนถึงชั่วโมงสุดท้ายของยามเฉิน ทหารใต้ท้องเรือสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกจนถึงชั่วโมงสุดท้ายของยามอู่ สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกจนถึงชั่วโมงสุดท้ายของยามเซิน สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ”

สามารถทำกิจกรรมบนดาดฟ้าได้หกชั่วโมงทุกวัน

นี่ไม่เพียงแต่สามารถปรับปรุงคุณภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของเหล่าทหารอีกด้วย

บนดาดฟ้า เหล่าทหารดูมีความสุขและตื่นตัว ลมและคลื่นแรง ท้องเรือแกว่งไกวจากแรงกระแทกของคลื่น อีกทั้งกลิ่นเหม็นเน่าที่ทำให้แทบอยากจะอาเจียน

นอกจากนี้ยังต้องกินเสบียงกรังในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความไม่สบายกายก็เป็นประเด็นหนึ่ง ความทรมานทางใจถึงจะเจ็บปวดและทุกข์ที่สุด

ฉู่เซียงหลงกล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้าสวี่ไม่รู้วิธีนำทัพก็อย่ายกมือวาดเท้า นับประสาอะไรกับความยากลำบากแค่นี้รึ? ในสนามรบที่แท้จริง กระทั่งโคลนเจ้าก็ต้องกินและยังต้องนอนกินอยู่ในกองซากศพ”

ระหว่างที่พูดก็จ้องสวี่ชีอันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา โดยไม่พยายามปกปิดการดูถูกเหยียดหยามของตนเองแม้แต่น้อย

สวี่ชีอันก็ตาต่อตา ฟันต่อฟันเช่นกัน เขาโต้กลับว่า “แม่ทัพฉู่เป็นทหารผ่านศึกสงครามมานาน เรื่องการนำทัพข้าคงไม่เก่งเหมือนท่าน แต่หากท่านอยากโต้แย้งกับข้า ข้าก็สามารถจัดให้ท่านได้”

ชั่วขณะนั้นเขาก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวและจ้องฉู่เซียงหลงตาเขม็งพลางถามว่า

“ท่านพูดเองว่ามันเป็นสงคราม ช่วงเวลาวิกฤตจะเหมือนกับช่วงเวลาปกติได้อย่างไร? ทหารภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแม่ทัพฉู่ก็อาศัยอยู่ในส้วมทุกวัน กินเสบียงกรังท่ามกลางกลิ่นอุจจาระด้วยงั้นรึ?

“ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นทหารกล้า พวกเขาฝึกฝนอย่างตรากตรำและรู้ว่าควรทำสงครามอย่างไร แต่ความตรากตรำและความทรมานไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เลี้ยงคนพันวันเพื่อใช้งานวันเดียว กระทั่งทหารก็ยังไม่รู้วิธีการเลี้ยง ท่านจะนำทัพได้อย่างไร? ท่านจะทำสงครามได้อย่างไร?

“ว่ากันตามตรง ทหารเหล่านี้ไม่ใช่ทหารของท่าน ท่านจึงไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์”

‘พูดได้ดี!’

เฉินเซียวคำรามอยู่ในใจ ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเห็นความเสื่อมโทรมของทหารก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก เพราะทหารเหล่านี้คือทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขา

ฉู่เซียงหลงไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์ เพียงเพราะทหารเหล่านี้ไม่ใช่ของเขา

‘เลี้ยงคนพันวันเพื่อใช้งานวันเดียว สมแล้วที่สวี่อวิ๋นหลัวเป็นกวีนิพนธ์ของต้าฟ่ง’…เฉินเซียวชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าประโยคนี้เป็นคำพูดที่ฉลาดหลักแหลม

เหล่าทหารก้มศีรษะลงและกัดฟันแน่น ถึงแม้จะไม่ได้พูดแต่หมัดที่กำแน่นเหล่านั้นก็แสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองภายในจิตใจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี

พวกเขาเป็นทหารชั้นล่างสุด ไม่มีสถานะอย่างแท้จริง แต่ทหารก็เป็นคนและมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นกัน

ดูเหมือนฉู่เซียงหลงจะถูกยั่วยุให้โกรธ การแสดงออกของเขาทั้งหัวแข็งและเกรี้ยวกราด เขาก้าวไปข้างหน้าก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของสวี่ชีอันพลางถามด้วยความฉุนเฉียว

“เจ้ากำลังสอนข้าว่าต้องทำอย่างไรงั้นรึ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร

“ข้ากำลังคิดว่าครั้งที่แล้วข้ายอมแพ้เร็วเกินไปใช่หรือไม่ ถึงได้ทำให้เจ้าบรรลุผลได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงเกิดความเข้าใจผิด?”

สวี่ชีอันก้าวถอยหลังลงไปหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่างกับฉู่เซียงหลง

การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องขายหน้าในสายตาของฉู่เซียงหลงอย่างแน่นอน ถูกแล้ว ความประทับใจแรกที่สวี่ชีอันมีต่อเขาคือ เขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแต่โลภในอำนาจ หากจะควบคุมและปราบปรามต้องใช้พลังอำนาจที่มากกว่า

สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของสวี่ชีอันที่ปรากฏในการสอบสวนคดีฉ้อโกงการสอบจอหงวน ทำให้เขาได้รับพลังเทพวชิระมาอย่างง่ายดาย หลังเหตุการณ์นั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะเสียใจภายหลังและส่งพระพุทธรูปมาถึงหน้าบ้านแต่โดยดี

ทหารหลายคนต่างเต็มใจเป็นสุนัข แม้ว่าตัวเขาเองจะแข็งแกร่งและทรงพลังแต่กลับประจบประแจงเหล่าขุนนางชั้นสูงอย่างไม่รู้สึกละอาย เพราะคนประเภทนี้ล้วนกระหายอำนาจ

“หรือว่าไม่ใช่?” ฉู่เซียงหลงกล่าวด้วยความดูถูก

ทันทีที่พูดจบ เขาเห็นสวี่ชีอันที่ก้าวถอยหลังเมื่อครู่ จู่ๆ ก็หมุนตัวและกวาดท่อนขาอันโหดเหี้ยมมายังช่วงกลางลำตัวของเขาอย่างกะทันหัน

เขาลงมืออย่างอุกอาจโดยไร้ซึ่งวี่แววหรือลางสังหรณ์ใดๆ

ฉู่เซียงหลงไขว้สองมือไว้ที่ด้านหน้าเพื่อสกัดกั้น เสียงลมปราณระเบิดดังปังเป็นระลอกคลื่น เขาดูเหมือนถูกล้อมตีอยู่ในคอกไม้ ขาสองข้างลื่นไถลไปด้านหลัง แผ่นหลังกระแทกเข้ากับผนังกั้นอย่างแรง

ผนังกั้นไม้ที่แข็งแรงแตกกระจายเสียงดังโครมคราม

จุดสีทองที่หว่างคิ้วของสวี่ชีอันสว่างขึ้นและเดินทางไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ปรากฏให้เห็นร่างสีทองที่พร่างพราย เขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “อารมณ์ข้าระเบิดได้ง่าย”

เว่ยเยวียนตักเตือนเขาว่าต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับคนของอ๋องสยบแดนเหนือเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่งขึ้นและไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรค

แต่เว่ยเยวียนไม่ได้ต้องการให้เขาก้มหน้าประจบประแจง หรือต้อนรับคนของอ๋องสยบแดนเหนือด้วยรอยยิ้ม และยื่นหน้าให้เขาตบตีอย่างแน่นอน

เพราะถ้าไม่มีเส้นสนกลในที่สลับซับซ้อนในคดีนี้ เขาที่เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจซึ่งถูกแต่งตั้งโดยราชสำนัก ก็สามารถเดินทางกลับเมืองหลวงได้โดยสวัสดิภาพ หากพบหลักฐานที่ไม่เป็นผลดีสำหรับอ๋องสยบแดนเหนือจริงๆ แม้ว่าเขาและฉู่เซียงหลงจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่รักใคร่กลมเกลียวกันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

สวี่ชีอันไม่อาจทนดูฉู่เซียงหลงมาเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากการตายของน้องชายมาซ้ำเติม และพยายามขโมยพลังเทพวชิระของเขาไป

ฉู่เซียงหลงซึ่งบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้างจนสะเทือนถึงเส้นลมปราณและแผลเก่า จ้องสวี่ชีอันอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

‘จู่ๆ เขากล้าลงมือเช่นนี้รึ?’

‘เขาคิดจริงๆ หรือว่าตนเองที่เป็นฆ้องเงินตัวเล็กๆ จะทำร้ายแม่ทัพผู้กุมอำนาจที่แท้จริงและรองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือได้?’

“ท่านแม่ทัพ!”

ทหารอารักขาของฉู่เซียงหลงลุกลี้ลุกลนด้วยความโกรธ เขาพุ่งตัวออกมาและถือด้ามจับไม้เท้าเล็งไปที่สวี่ชีอัน

ขอเพียงแค่ฉู่เซียงหลงออกคำสั่ง พวกเขาก็จะขึ้นไปกำราบเด็กเย่อหยิ่งคนนี้ทันที

“ใต้เท้าสวี่!”

ทหารรักษาวังหลายนายพุ่งตัวเข้ามาล้อมสวี่ชีอันพร้อมๆ กันเพื่อคุมเชิงกำลังทหารของฉู่เซียงหลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม

จุดยืนของพวกเขาชัดเจนมาก แม้ว่าทหารรักษาวังและฆ้องเงินจะไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกันและไม่มายุ่งเกี่ยวกัน แต่ตอนนี้สวี่ชีอันเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบและผู้นำสูงสุดของภารกิจ

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ มันก็คุ้มค่าที่จะต่อสู้เพื่อชีวิตเขาสักครั้ง

“ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตะโกนดังออกมาจากห้องโดยสาร ขุนนางหลายคนที่ได้ยินข่าวต่างก็รีบเดินออกมา

ขุนนางฝ่ายตรวจการสองท่าน หัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญา และเลขาธิการศาลต้าหลี่ ด้านหลังพวกเขาแต่ละคนก็เป็นทหารอารักขาและตำรวจ

ทันทีที่ขุนนางฝ่ายตรวจการทั้งสองมาถึงก็พยายามไกล่เกลี่ยให้เกิดความสันติด้วยการกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดจากันดีๆ เถิด เหตุใดใต้เท้าทั้งสองต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า?”

เลขาธิการศาลต้าหลี่เหลือบมองผนังกั้นไม้ที่แตกร้าว รวมถึงร่างสีทองที่ปรากฏออกมาของสวี่ชีอันแล้ว ก็กล่าวประชดประชันว่า

“ใต้เท้าสวี่มีฝีมือดีมาก ด้วยทักษะที่มหัศจรรย์นี้ เกรงว่าคนในเรือทั้งหมดรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน”

“พวกท่านมาได้เวลาพอดี”

ฉู่เซียงหลงจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตาชั่วร้าย เพื่อตอกย้ำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อีกครั้ง ก่อนจะชี้สวี่ชีอันพลางกล่าวว่า

“เรื่องทหารเป็นเพียงเหตุผลในการยั่วยุของเขา จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเขาอยากแก้แค้นข้า ใต้เท้าทั้งหลายคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

เลขาธิการศาลต้าหลี่กล่าวทันทีว่า “บนเรือก็มีผู้หญิง เป็นการไม่เหมาะสมที่ทหารจะขึ้นมาบนดาดฟ้า ข้าคิดว่าคำสั่งของท่านแม่ทัพฉู่สมเหตุสมผลแล้ว”

หัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญากล่าวเสียงเบา “สำหรับความเห็นของข้า ใต้เท้าสวี่อาจจะต้องขอโทษ ทหารรักษาวังควรกลับไปที่ใต้ท้องเรือและไม่ออกมาข้างนอกอีก เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วกันไป พวกเราควรสามัคคีกันในการเดินทางไปทางเหนือครั้งนี้”

ขุนนางฝ่ายตรวจการทั้งสองท่านต่างก็เห็นพ้องต้องกัน

ความคิดของขุนนางทั้งสามนั้นเดาได้ไม่ยาก ประการแรก พวกเขาเองไม่ชอบสวี่ชีอันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกับฝ่ายกรมอาญา ศาลต้าหลี่ หรือฝ่ายตรวจการ ก็ล้วนมีเรื่องผิดใจกันทั้งสิ้น

ประการที่สอง สำหรับการเดินทางไปเหนือครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับรองขุนพลของอ๋องสยบแดนเหนือ

การเคลื่อนไหวบนดาดฟ้าทำให้พระมเหสีที่กำลังดื่มชาอยู่ในห้องตื่นตกใจ นางได้ยินเสียงและออกไปดู เห็นกลุ่มสาวใช้กำลังรวมตัวกันอยู่บนทางเดินที่นำไปสู่ชั้นดาดฟ้า

“เกิดอะไรขึ้น” นางขมวดคิ้วและถามด้วยท่าทางปกติ

เหล่าสาวใช้หันมาและชำเลืองมองนางเล็กน้อย บางคนไม่ชอบน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งของสาวใช้ชราที่แปลกหน้าคนนี้และยังพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว

“ท่านแม่ทัพฉู่และสวี่อวิ๋นหลัวมีเรื่องขัดแย้งกันจนเกือบเกิดการต่อสู้กัน”

“ดูเหมือนเป็นเพราะท่านแม่ทัพฉู่ไม่อนุญาตให้ทหารใต้ท้องเรือขึ้นไปบนดาดฟ้า สวี่อวิ๋นหลัวไม่เห็นด้วยก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้น”

“ฮึ สวี่อวิ๋นหลัวไม่เคยเห็นหัวใครอยู่แล้ว กล้าลงมือกับท่านแม่ทัพฉู่อย่างอุกอาจ เขาเป็นถึงรองขุนพลของไหวอ๋องของพวกเรา ตอนนี้ใต้เท้าหลายท่านล้วนยืนอยู่ข้างรองขุนพลฉู่และเรียกร้องให้เขาขอโทษ”

“ถึงแม้ข้าจะชื่นชมสวี่อวิ๋นหลัวมาก แต่ครั้งนี้เขาทำไม่ถูก ทหารหัวโตพวกนี้เหม็นจะตาย แถมยังขวางหูขวางตาสุดๆ ต่อไปพวกเราก็ขึ้นไปตากลมเป่าผมบนดาดฟ้าไม่ได้แล้ว”

พระมเหสีพยายามเบียดเสียดออกไปจากเหล่าสาวใช้ คิดไม่ถึงว่าเหล่าสาวใช้ที่ปกติให้ความเคารพนับถือนาง ไม่เพียงแต่ไม่หลีกทางให้แต่ยังปิดกั้นและต้อนให้นางกลับไปอย่างไร้เหตุผล

พระมเหสีโกรธมาก ถึงจะมองไม่เห็นเหตุการณ์บนดาดฟ้าแต่ก็โชคดีที่เหล่าสาวใช้เงียบเสียงลงในตอนนี้ นางจึงได้ยินน้ำเสียงยิ้มเยาะของสวี่ชีอัน

“ขอโทษรึ? ข้าเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง บนเรือลำนี้ คำพูดของข้าถือเป็นใหญ่ที่สุด”

เลขาธิการศาลต้าหลี่โต้กลับว่า “เจ้าเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจก็จริง แต่ในภารกิจกลับไม่ใช่พูดเช่นไรต้องเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นจะให้ข้ารอเพื่อเหตุอันใด?”

หัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “พระราชประสงค์ของฝ่าบาทคือให้ขุนนางทั้งสามและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำคดีร่วมกัน หากใต้เท้าสวี่ต้องการชี้ขาดแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นข้าก็ไม่เห็นด้วย”

ขุนนางฝ่ายตรวจการทั้งสองต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญาและคำพูดของเลขาธิการศาลต้าหลี่

ทันใดนั้น แรงกดดันทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ฝ่ายของสวี่ชีอัน

แม้ว่าเขาจะดื้อรั้นและปฏิเสธที่จะยอมรับความผิด แต่ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ การถูกขุนนางร่วมงานบีบคั้นและยัดเยียด ศักดิ์ศรีของเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์…

พระมเหสีจับเจตนารมณ์ของหัวหน้าผู้จับกุมไปจนถึงขุนนางทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

นางไม่คิดว่าชายผู้แข็งแกร่งและทรงพลังในพิธีต้าวฮวดคนนี้จะยอมแพ้ง่ายๆ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ยอมแพ้หรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

ทุกคนในที่นั้นต่างก็มองออกว่าหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจสวี่อวิ๋นหลัวไม่เป็นที่ชื่นชอบ ขุนนางร่วมงานต่างก็บีบคั้นเขา กำราบเขา

เมื่อแนวคิดเช่นนี้ก่อตัวขึ้นแล้ว ความน่าเกรงขามของหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจก็จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครในกองทหารที่จะเชื่อฟังเขา แม้ว่าภายนอกจะแสดงความเคารพแต่ภายในใจกลับดูถูกเหยียดหยาม

‘หากไหวอ๋องเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะทำอย่างไร…’ พระมเหสีคิดในใจ

ไม่รู้ทำไม นางมักจะนำชายหนุ่มบนดาดฟ้านั่นมาเปรียบเทียบกับไหวอ๋องโดยไม่รู้ตัว

หลังจากเปรียบเทียบแล้วก็พบว่าสถานการณ์ของทั้งสองไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ อย่างไรไหวอ๋องก็เป็นเจ้าชาย เป็นนักรบระดับสาม ซึ่งห่างไกลจากสวี่หนิงเยี่ยนในตอนนี้มาก

ดังนั้นพระมเหสีจึงพึมพำในใจอีกครั้ง ‘เขาจะทำอย่างไร?’

‘น่าจะไม่ยอมแพ้กระมัง…งั้นข้าต้องไม่ดูถูกเขาอีกต่อไป…ไม่สิ ถ้าเขายอมแพ้ ข้าก็จะเยาะเย้ยจุดอ่อนของเขาได้…’นางคิดกับตัวเองอยู่ในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของสวี่ชีอัน

“เหล่าทหารจงฟัง ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจ การเดินทางไปทางเหนือเพื่อสอบสวนคดีตามพระราชโองการครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใดเปิดเผยความลับหรือสร้างปัญหา ตอนนี้จึงต้องขับไล่ผู้ก่อความวุ่นวาย อย่างเช่น ฉู่เซียงหลงและพรรคพวก”

ในสถานที่เกิดเหตุมีเพียงฆ้องเงินสี่คนและฆ้องทองแดงแปดคนเท่านั้นที่ชักดาบออกมาคุ้มกันสวี่ชีอัน

ทหารหลายนายบนดาดฟ้านิ่งเงียบราวกับพวกเขาไม่กล้าเข้าร่วม

บรรยากาศเงียบงันชั่วขณะ จากนั้นก็มีทหารคนหนึ่งเดินกลับไปใต้ท้องเรืออย่างเงียบๆ

ตามด้วยคนที่สอง คนที่สาม…ทหารที่กำลังก้มหน้าทยอยกันเดินออกจากดาดฟ้าและกลับไปใต้ท้องเรือมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้นไม่นาน บนดาดฟ้าก็ว่างเปล่า

“ฮ่าๆๆ!”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของฉู่เซียงหลงดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ

ใบหน้าของเลขาธิการศาลต้าหลี่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น

หัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญากระตุกยิ้มที่มุมปาก กอดอกและยืนพิงผนังกั้น วางตัวราวกับเป็นคนดูละครฉากหนึ่ง

ขุนนางฝ่ายตรวจการทั้งสองส่ายศีรษะอย่างจำใจ

แต่จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดดัง ‘ตึก ตึก ตึก…’ อย่างพร้อมเพรียงกันจนเป็นเสียงเดียว

เหล่าทหารไปและกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่แตกต่างออกไปจากเมื่อสักครู่คือถังอุจจาระในมือของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยดาบทหาร

พวกเขากลับไปใต้ท้องเรือเพื่อไปเอาอาวุธ

เฉินเซียวถือดาบทหารพลางเดินไปด้านข้างสวี่ชีอันและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ชักดาบ!”

‘ชิ้ง…’

เสียงชักดาบดังสนั่นไปทั่ว เหล่าทหารชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันและชี้ไปที่ฉู่เซียงหลงและคนอื่นๆ

“พวก…พวกเจ้าคิดจะกบฏรึ?” สีหน้าของเลขาธิการศาลต้าหลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อยและตะโกนด้วยความโกรธ

เฉินเซียวนิ่งเงียบพลางเลียริมฝีปาก จ้องเลขาธิการศาลต้าหลี่ตาเขม็ง จากนั้นก็เหลือบมองสวี่ชีอันอีกครั้งราวกับว่าตราบใดที่สวี่อวิ๋นหลัวออกคำสั่ง เขาก็กล้าเดินเข้าไปฟันขุนนางบุ๋นที่เจ้ากี้เจ้าการคนนี้ทันที

เลขาธิการศาลต้าหลี่เสียววาบที่ก้นบึ้งหัวใจ เขาก้าวถอยหลังลงไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวและไม่กล้าออกหน้าอีก

หัวหน้าผู้จับกุมฝ่ายกรมอาญาเปลี่ยนจากการยืนพิงผนังกั้นเป็นการยืนเอวตรง สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากตลกขบขันเป็นจริงจัง เขาแอบกระชับดาบในมืออย่างเงียบๆ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เขามองเห็นจิตใจที่มั่นคงและหนักแน่นในแววตาของทหารเหล่านี้ เมื่อกวัดแกว่งดาบย่อมไม่มีความลังเลอย่างแน่นอน

เส้นเลือดปูดบนหน้าผากของฉู่เซียงหลงเต้นตุบๆ เขายังคงไม่เชื่อว่าตนเองในฐานะท่านรองขุนพลของอ๋องสยบแดนเหนือจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ จู่ๆ ทหารระดับล่างเหล่านี้ก็กล้าชักดาบใส่ตนเองอย่างไม่คาดคิด

“หยางเยี่ยน!”

ฉู่เซียงหลงคำรามเสียงดัง “พวกเจ้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคิดจะกบฏงั้นรึ ข้าก็มีส่วนในภารกิจนี้ด้วย นี่เป็นพระราชดำรัสของฝ่าบาท”

“เสียงดังนัก!” เสียงของหยางเยี่ยนดังออกมาจากห้องโดยสารและกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย”

“เจ้า…”

สีหน้าของฉู่เซียงหลงซีดลงอย่างทันทีทันใด จิตใจของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจ้องสวี่ชีอันเขม็งและกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไร”

สวี่ชีอันหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์และกล่าวด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง “สามเรื่อง หนึ่ง การตัดสินใจของข้าเมื่อครู่ยังคงเหมือนเดิม เหล่าทหารต้องมีเวลาอิสระสามชั่วยามทุกวัน สอง จงจดจำฐานะของข้าเอาไว้ ในภารกิจไม่มีที่สำหรับให้ท่านพูด ชัดเจนพอหรือไม่?”

สีหน้าของฉู่เซียงหลงจมมืดและพยักหน้าช้าๆ

สวี่ชีอันเดินเข้าไปพร้อมกับดาบและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “สาม ขอโทษข้าซะ”

ใบหน้าของฉู่เซียงหลงบิดเบี้ยวอย่างทันทีทันใด เส้นเลือดสีน้ำเงินบวมปูดอยู่บนหน้าผากพร้อมกับกล้ามเนื้อแก้มที่กระตุกเป็นจังหวะ

การคุ้มกันพระมเหสีเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่สามารถใช้อารมณ์อันเกิดจากความอคติได้…ในที่สุดฉู่เซียงหลงก็ยอมอ่อนข้อและกล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้าสวี่ ใต้เท้าผู้ใจกว้างดั่งมหาสมุทร อย่าได้เก็บข้าไปใส่ใจเลย”

สวี่ชีอันพ่นลมหายใจ “ดี”

เหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังเปิดปากยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเรียบง่ายและไร้เดียงสา

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด