ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 486 โจมตีอย่างไม่คาดคิด…โหรชุดขาว

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 486 โจมตีอย่างไม่คาดคิด...โหรชุดขาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 486 โจมตีอย่างไม่คาดคิด…โหรชุดขาว

ตายแล้ว ในที่สุดก็ตายแล้ว…

สวี่ชีอันค่อยๆ ถอนหายใจออกมา หลังจากความตึงเครียดก็ต่อด้วยความเหนื่อยล้าสุดขีด และความเหนื่อยล้าเช่นนี้ก็มาจากทั้งร่างกายและจิตใจ

การต่อสู้ติดต่อกันทำให้สภาพของเขาย่ำแย่อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ขี่มังกรสังหาร มองแวบแรกดูเหมือนเขาจะดุดันน่าเกรงขามและสังหารเจินเต๋อได้อย่างง่ายดาย

แต่ความจริงแล้วล้วนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ประเภทสังหารศัตรูหนึ่งพัน แต่ตนเสียไปแปดร้อย

การโจมตีโต้กลับของเจินเต๋อและการแว้งกัดของหยกสลายทำให้สวี่ชีอันได้รับบาดเจ็บอย่างหนักหน่วง

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนคุ้มค่า ทั้งหมดล้วนคุ้มค่า

สวี่ชีอันยืนเด่นอยู่บนหลังของมังกรวิญญาณแล้วมองไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมา

มันคือการระบายความอัดอั้นที่กดทับอยู่ในใจในช่วงเวลานี้ออกมาจนหมดสิ้น

หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ฉีกผืนผ้าแถบหนึ่งออกแล้วนำมามัดผมยาวสลวย ก่อนจะจัดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นให้เรียบร้อยแล้วค้อมกายคำนับไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เว่ยกง โปรดไปสู่สุคติ

เว่ยกง ชาติหน้าจงเป็นวีรบุรุษ!

‘ตายแล้ว เสด็จพ่อตายแล้ว…’ องค์รัชทายาทยืนอยู่บนกำแพงเมืองและเหม่อมองฟ้าไกลอย่างโง่งม

ในหัวของเขามีภาพต่างๆ นานาวาบเข้ามา ‘เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามตวาดดุเสียงดัง เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามที่สวมชุดคลุมเต๋า เสด็จพ่อผู้เข้มงวดที่ควบคุมท้องพระโรง เสด็จพ่อที่กุมอำนาจมาเกือบสี่สิบปี สิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง…’ น้ำตาแห่งอารมณ์อันพลุ่งพล่านหลั่งไหล

สมุหราชเลขาธิการหวางก็มองไปเช่นกัน สีหน้าและแววตาของชายชราผู้นี้ซับซ้อนเกินใคร และมีทั้งความสุข เศร้า ทอดถอนใจ และเจ็บปวดใจ…

เขามองดูอย่างนิ่งงัน เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับ คงเป็นเพราะคิดว่าอาชีพขุนนางของเขากำลังจะจบลงไปพร้อมกับการตายขององค์จักรพรรดิกระมัง

สีหน้าของเหล่าขุนนางช่างซับซ้อน ต่างก็พูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่งและจมจ่อมอยู่กับฉากสุดท้ายขององค์จักรพรรดิ

สวี่ชีอัน สังหารจักรพรรดิ!

ต้าฟ่งก่อตั้งขึ้นมาหกร้อยปี นอกจากการกำจัดขุนนางชั่วช้าในรัชศกของจักรพรรดิอู่จงที่มีการร่วมมือกันกำจัดทรราชแล้ว…จักรพรรดิของต้าฟ่งก็ไม่เคยถูกใครสังหารมาก่อน

หยวนจิ่งหรือเจินเต๋อคือจักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์ต้าฟ่งที่ถูกคนธรรมดาสังหารในเมืองหลวง

เหตุการณ์ในวันนี้จะทิ้งร่องรอยล้ำลึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะผ่านไปพันหมื่นปี เมื่อคนรุ่นหลังเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็จะต้องพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติแน่

เมื่อเอ่ยถึงรัชศกหยวนจิ่งที่สิบหกถึงรัชศกหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ดก็จะต้องกล่าวถึงการเสียสละของเว่ยเยวียนและการกำจัดทหารแปดหมื่นนายอย่างเลี่ยงไม่ได้ จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งเอาแต่หมกมุ่นอยู่ในการบำเพ็ญธรรม สุดท้ายก็ถูกสังหารในเมืองหลวงด้วยน้ำมือของคนธรรมดานามว่า สวี่ชีอัน

ขณะที่ขุนนางทั้งหลายทอดถอนใจอย่างเนิ่นนาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ

เมื่อมองไปก็เห็นฝ่ายตรวจการจางสิงอิงเกาะกำแพงเมืองและร้องไห้เป็นเผาเต่า

อดีตสมาชิกพรรคเว่ยแต่ละคนมีน้ำตาเอ่อคลอทั้งสองข้าง บ้างก็ก้มหน้าเช็ด บ้างก็เงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหล

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น สมาชิกพรรคเว่ยที่กุมอำนาจใหญ่และรวมไปถึงจางสิงอิงที่ร้องไห้เสียกิริยาเหล่านี้ก็ได้เคลื่อนไหวอย่างหาญกล้าต่อหน้าฝักฝ่ายอื่นๆ

พวกเขาจัดเสื้อผ้าของตนแล้วคำนับไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นก็หันกายคำนับไปยังคนผู้นั้นที่อยู่บนเส้นขอบฟ้า เนิ่นนานก็ไม่ลุกขึ้น

ขณะนี้เอง อีกด้านหนึ่งของเขตพระราชฐาน ฮว๋ายชิ่งยืนหันหน้าไปทางลม ชุดกระโปรงสง่างามพลิ้วไสว

ลมพัดโชยผ่านเส้นผมของนาง สายลมลูบไล้ใบหน้าอันงดงามของนาง ธิดาคนโตขององค์จักรพรรดิคลายหมัดที่กำเอาไว้แน่นแล้วถอนหายใจโล่งอกจากก้นบึ้งหัวใจ

เขาไม่เคยทำให้นางผิดหวังจริงๆ ทั้งกล้าหาญ เด็ดขาด ชาญฉลาด และไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้…การต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะมีจุดพลิกผันและความกังวล อย่างเช่นตอนที่ดาบสยบดินแดนบินขึ้นไปกลางอากาศ

แต่ฮว๋ายชิ่งก็ยังไม่คิดว่าสวี่ชีอันจะพ่ายแพ้ เพราะเขาไม่เคยแพ้

นี่คือชายหนุ่มแสนอัศจรรย์ แม้แต่นางก็ยังชื่นชมและเลื่อมใสชายหนุ่มสุดอัศจรรย์ผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

ฮว๋ายชิ่งรวบเส้นผมข้างขมับที่เริงระบำอยู่แล้วนำไปทัดไว้ข้างหู นางไม่เหมือนองค์รัชทายาทที่หลั่งน้ำตาอันเปี่ยมด้วยอารมณ์ จิตใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ก็หนักอึ้งด้วยเช่นกัน

การสวรรคตของจักรพรรดิเจินเต๋อเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ปัญหาที่ตามมาหลังจากนี้คือสิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุด

หลักๆ แบ่งได้เป็นสองอย่าง หนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงของที่ราบภาคกลาง

ในนั้นรวมถึงประชาชนของเมืองต่างๆ สถานที่ราชการของแต่ละท้องถิ่น กองทัพแต่ละแห่ง และชาวยุทธภพ

ในด้านประชาชน ส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องพิจารณาก็คือ ‘จิตใจของประชาชน’ จะประกาศอย่างจริงใจหรือจะเก็บซ่อนไว้ก็ล้วนทำให้ประชาชนเสียน้ำใจได้

ส่วนกองทัพก็ใช้เหตุผลเดียวกัน ในแง่หนึ่ง การทำให้จิตใจของกองทัพมั่นคงได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจิตใจของประชาชนเสียอีก โดยเฉพาะทหารในชายแดนแถบเหนือกับเมืองทั้งสามทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

คนพวกนี้มีแนวโน้มที่จะก่อกบฏได้มากที่สุด

หากในการต่อสู้ครั้งนี้สวี่ชีอันพ่ายแพ้ ทหารหนึ่งหมื่นกว่าคนที่ด่านอวี้หยางก็จะต้องทำการต่อต้านแน่

ที่ทำการในแต่ละแห่งก็ต้องได้รับการบำรุงขวัญด้วย จะให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวไม่สงบใจเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด แบบนี้ต่างหากจึงจะช่วยทำให้จิตใจของประชาชนสงบลงได้ และป้องกันไม่ให้ชาวยุทธภพก่อความวุ่นวายด้วย

ด้านที่สอง จักรพรรดิองค์ใหม่

สำหรับเมืองหลวงในตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ นั่นคือการสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่

การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่คือเงื่อนไขแรกของทุกๆ สิ่ง ขอแค่ให้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็จะสามารถทำให้แต่ละฝักฝ่ายสงบลงได้แล้ว หากไม่มีผู้นำในหมู่มังกร บวกกับพฤติกรรมแต่ละอย่างของจักรพรรดิเจินเต๋อแล้ว ที่ราบภาคกลางจะต้องโกลาหลวุ่นวายแน่ๆ

“องค์รัชทายาท นับว่าสำเร็จแล้ว”

ฮว๋ายชิ่งหันหน้าไปมองที่กำแพงเมืองประตูอู่ เมื่อมองดูกลุ่มคนเล็กๆ ที่แน่นขนัดอยู่ในความมืด นางก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมาราวกับเหยียดหยันเยาะเย้ย

“ในที่สุดเจ้าจักรพรรดิชาติหมาก็ตายแล้ว!”

หลี่เมี่ยวเจินกำหมัดแน่น ทั้งตื่นเต้นและตื้นตันจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมานานๆ เพื่อแสดงถึงความดีใจที่อยู่ในใจของตัวเอง

แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความเศร้าเล็กน้อย จักรพรรดิชาติหมานั่นสิ้นลง ก็หมายความว่าวัยเยาว์ของนางจบสิ้นไปด้วยน่ะสิ

เทพธิดานิกายสวรรค์ลงจากเขาเมื่อยาวเยาว์วัยและท่องไปในยุทธภพ ในช่วงสองปี คำพูดติดปากของนางก็คือ

‘ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจักรพรรดิชาติหมานั่นต้องโดนแทงตาย’

จนถึงตอนนี้ช่วงเวลาสองปีนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิองค์นั้นตายแล้ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเศร้าโศก สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไป ราวกับการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิตมาถึงจุดหมายสุดท้ายแล้ว

ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้พูดอะไร เขามีน้ำตานองอยู่เต็มใบหน้า

สิบปีในที่อยู่ในห้วงอารมณ์ของปัญญาชน ในที่สุดตอนนี้ความหดหู่ในใจก็สงบลงแล้ว

เหิงหย่วนประนมมือแล้วก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเงียบงันไม่พูดจา ราวกับกำลังหวนนึกถึงศิษย์น้องที่ตนเองเลี้ยงมากับมือ

“ถ้าพ่อข้ารู้ว่าจักรพรรดิต้าฟ่งถูกฆ่า แบบนี้เขาต้องดีใจแน่ แล้วก็คงอยากคิดจะทำสงคราม”

ลี่น่าพูด “เขาชอบทำสงครามมาก บอกว่าผู้หญิงชาวต้าฟ่งนั้นดีที่สุด เสื้อผ้าก็ดีที่สุด บ้านเรือนก็ดีที่สุด อะไรๆ ก็ดีที่สุดทั้งนั้น และก็จะแย่งเอามาหมดเลย”

พ่อของลี่น่าเป็นร่างแยกทางจิตวิญญาณ แต่วิธีการคิดนั้นออกจะผิดปกติ

‘ข้าชื่นชมวัฒนธรรมของต้าฟ่งมาก ชื่นชมทุกอย่างของต้าฟ่ง ดังนั้นข้าก็จะแย่งมันมาทั้งหมด’

“เจ้าขยะ ขยะ ขยะ!”

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่เหยียบอยู่บนดอกบัวดำ พลางตะโกนก้องด้วยเสียงแหบแห้ง

“เจินเต๋อคือขยะของแท้ บำเพ็ญตนมาสี่สิบปีเอาไปลงที่แมวหมดแล้ว ดันมาถูกเด็กที่ฝึกวรยุทธ์มาไม่ถึงปีสังหารซะได้”

เขามีท่าทางว้าวุ่นใจเล็กน้อย

จักรพรรดิเจินเต๋อขอให้เขากักขังลั่วอวี้เหิง รางวัลคือ หลังจากเรื่องนี้จบลง เขาจะช่วยลงมือกำจัดจินเหลียน

เฮยเหลียนต้องการให้จิตเดิมสมบูรณ์แบบมานานหลายปี ที่วันนี้เขาแพ้แก่ลั่วอวี้เหิงก็เพราะพลังของเขาไม่พอ ทุกคนล้วนเป็นบุคคลระดับหนีเคราะห์กรรมขั้นสูงสุดทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร

แต่จิตเดิมของเขาเสียหาย และวิธีการที่ร้ายกาจที่สุดของลัทธิเต๋าก็คือการใช้ขอบเขตจิตเดิม

เขาถูกลั่วอวี้เหิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสทันที แต่หากเจินเต๋อชนะได้ก็ช่างเถอะ ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น

ผลสุดท้ายกลับขโมยไก่ไม่ได้ ดันเสียข้าวสารอีกกำมือ

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีโกรธเกรี้ยวจนพื้นสั่นสะเทือน

ลั่วอวี้เหิงผู้มีเอวเรียวบางเปี่ยมเสน่ห์โบกกระบี่บุปผาของตนแล้วเอ่ย “ข้าก็บำเพ็ญธรรมมาได้เพิ่งจะสามสิบสี่ปีนะ อาจารย์อา…”

สีหน้าของเฮยเหลียนแข็งทื่อ ลั่วอวี้เหิงอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งรุ่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ดันเป็นเขาที่ถูกลั่วอวี้เหิงสยบได้

เขาเพิ่งจะด่าว่าจักรพรรดิเจินเต๋อเอาสิ่งที่บำเพ็ญมาไปไว้บนร่างแมวหมดแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็หันมาตบศีรษะเขาเต็มๆ

ต่อจากนั้น เขาก็เอ่ยคำรามราวกับเป็นสิงโตที่โกรธเกรี้ยว

“เจ้าอย่าได้ใจนักเลย อย่าได้ใจนักเลย หากวันนี้กลิ่นอายของเจ้าพุ่งพรวดราวกับกระแสน้ำไหลหลาก ไฟแห่งกรรมที่สะกดเอาไว้ก็จะออกฤทธิ์ทันที ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะรอดพ้นจากหายนะนี้ได้อย่างไร”

ลั่วอวี้เหิงใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีและไม่เคยประมือกับใคร อย่างมากสุดก็คือแบ่งร่างแยกมาออกหน้าแทนร่างจริงเท่านั้น

นี่เป็นเพราะนางต้องอาศัยการฝึกบำเพ็ญเพื่อระงับไฟแห่งกรรม

แต่วันนี้นางลงมืออย่างเต็มกำลัง ไฟแห่งกรรมที่เคยระงับไว้อย่างดีในกาลก่อนก็จะต้องหันมาแว้งกัดแน่นอน

เฮยเหลียนสาปส่งเสร็จ จู่ๆ เขาก็นิ่งไป เขาเห็นลั่วอวี้เหิงแย้มยิ้มออกมา

เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองทางทิศที่เมืองหลวงตั้งอยู่

ตอนนี้เจ้าคนผู้นั้นอยู่ขั้นสาม ทั้งยังสังหารเจินเต๋อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับหรือว่าปราณ ใดๆ ก็ล้วนแต่เหมาะจะบำเพ็ญคู่กับนาง

ณ หอดูดาว

ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่บนขอบของแท่นแปดทิศ เขาหรี่ตามองไปยังเงาร่างที่ยืนเด่นอย่างหยิ่งยโสที่เส้นขอบฟ้า จากนั้นก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้น

“ที่แท้โชคชะตากว่าครึ่งของต้าฟ่งก็อยู่บนตัวเขานี่เอง นี่คือแผนการของเจ้าหรือ”

ท่านโหราจารย์เอามือไพล่หลังแล้วไปยืนเคียงคู่กับเขาก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

“ถือว่าใช่กระมัง เจินเต๋อคิดว่าโชคชะตาอยู่กับตัวเอง ข้าไม่อาจทำอะไรเขา ข้าทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับโหรแล้ว การสังหารจักรพรรดิคือการทำลายรากฐานของตนเอง ยิ่งระดับขั้นสูง ก็ยิ่งเกิดการสะท้อนกลับอย่างรุนแรง

“ทรราชก็ดี มหาราชก็ช่าง ของแค่ยังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรหนึ่งวัน ก็จะเป็นผู้ครองอาณาจักรหนึ่งวัน สำหรับนักพรตขั้นสูงคนอื่นๆ จักรพรรดิโลกมนุษย์มีโชคชะตาติดกาย การสังหารจักรพรรดิจะทำให้โชคชะตาเข้ามาพัวพัน ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่เพราะไม่มีใครอยากไปต่อต้านเขา

“เจินเต๋อมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตน แต่เขากลับลืมไปว่านักพรตขั้นสามขึ้นไปแค่ไม่อยากจะไปต่อต้านเขา แต่ข้าสามารถบ่มเพาะบุคคลที่ยินดีต่อต้านเขาได้ ทหารที่ข้ามแม่น้ำไม่มีทางถอย แต่สามารถสังหารจักรพรรดิได้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึง ‘เจตจำนง’ นี้ ไม่เสียแรงที่ข้าให้ของขวัญล้ำค่าแก่เขาไปมากมาย”

ซ่าหลุนอากู่หรี่ตาเอ่ยว่า “ดังนั้นการตายของเว่ยเยวียนก็อยู่ในแผนการของเจ้าด้วยหรือ”

ท่านโหราจารย์ยื่นแขนออกมาแล้วคว้าจับไปกลางอากาศอันว่างเปล่า แก้วสุราปรากฏขึ้นมาในมือ เขาจิบไปพลางเอ่ยพูดอย่างสบายอารมณ์

“เว่ยเยวียนร้องขอความตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่ข้าก็คำนวณได้ถึงขั้นนี้แล้ว จากนั้นก็วางแผนจัดการล่วงหน้าตามเรื่องที่จะเกิดต่อไปในอนาคต”

ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจออกมา “เว่ยเยวียนรู้หรือไม่”

ท่านโหราจารย์พยักหน้าแล้วยิ้มออกมา

“เขาวิเคราะห์ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นทำไมถึงทิ้งยาโลหิตเอาไว้เล่า เขาสามารถปิดผนึกเทพอูได้อย่างไร้กังวล ก็เพราะเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเจินเต๋อจะต้องตาย”

พูดพลาง ท่านโหราจารย์ก็ทอดมองไปที่ไกลๆ แล้วถอนหายใจเอ่ยออกมา “เขาถึงขั้นคำนวณไปถึงขั้นนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้านึกไม่ถึงเลย”

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้ว เขากลับไม่เข้าใจความหมายในประโยคนี้ของท่านโหราจารย์เลย

ท่านโหราจารย์เอ่ยยิ้มๆ “ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ ความลับของสวรรค์ถูกปิดกั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าทำนายไม่ได้หรอก”

เมื่อจักรพรรดิเจินเต๋อสิ้นชีพ การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือทั้งสองคนก็ผ่อนคลายลงตามไปด้วย ท่านโหราจารย์ไม่ได้ถือโอกาสนี้ชุบมือเปิบ แม้ว่าที่นี่จะเป็นถิ่นของเขา แต่การจะสังหารพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีผู้หนึ่งนั้น

สิ่งที่ต้องแลกคือการที่ผืนดินของเมืองหลวงจะกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า

ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เจ้าปกปิดความลับของสวรรค์ให้เขาหรือ”

เขาที่ว่านั่นก็คือสวี่ชีอัน

ท่านโหราจารย์ถามกลับ “เหตุใดจึงถามเช่นนี้”

ซ่าหลุนอากู่เอ่ยตามตรง “ก่อนที่จะมาเมืองหลวง ข้าได้ทำนายไว้เรื่องหนึ่ง ตำแหน่งทิศทั้งแปดของเจินเต๋อมีทั้งลางดีและลางร้ายเทียบเคียงกัน นี่หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญกับหายนะความเป็นความตาย แต่ข้าก็ได้ทำนายให้สวี่ชีอันด้วยเช่นกัน เจ้าเดาสิว่าทิศทั้งแปดบอกไว้ว่าอย่างไร”

ท่านโหราจารย์นิ่งเงียบ

ซ่าหลุนอากู่เผยรอยยิ้มแปลกพิกล “สัญญาณแห่งลางร้าย!”

สำนักอวิ๋นลู่

อารองสวี่ขนย้ายข้าวของไปยังรถม้าทีละชิ้นๆ ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าบัณฑิตของสำนัก

ในนั้นมีภาพเขียนและภาพวาดโบราณ มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและมีของใช้ประจำวัน จำนวนข้าวของมีมากมายยิ่งนัก

บ้านสกุลสวี่วางแผนจะย้ายไปอาศัยอยู่ที่เจี้ยนโจวซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง อันเป็นที่แห่งความดีเลวปนเปกัน

หลังจากตื่นมาในยามเช้าตรู่ของวันนี้ คนในบ้านก็สูญเสียรอยยิ้ม จิตใจจมดิ่งอย่างหนักหน่วง สำหรับอารองและอาสะใภ้แล้ว สิ่งเดียวที่น่ายินดีคือสวี่เอ้อร์หลางก็จะไปที่เจี้ยนโจวด้วยกัน

ดียิ่ง ครอบครัวจะได้ไม่ต้องแยกจาก

ส่วนต้าหลาง สองสามีภรรยาจงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้

จางเซิ่น อาจารย์ที่ปรึกษาผู้มีพระคุณของสวี่เอ้อร์หลางรับผิดชอบจะพาบ้านสกุลสวี่ไปส่งยังเจี้ยนโจว

เส้นทางไปยังเจี้ยนโจวยาวไกลมาก สตรีในบ้านสกุลสวี่มีใบหน้างดงามราวบุปผา แม้ว่าบอกว่าสวี่ผิงจื้อเป็นจอมยุทธ์ขั้นเจ็ด ซึ่งขั้นหลอมวิญญาณก็เป็นมือดีในยุทธภพเช่นกัน

แต่ถ้าหากพบกับกองโจรขนาดใหญ่ สวี่ผิงจื้อมีแค่สองมือสองขาคงไม่อาจปกป้องภรรยาและลูกได้ทันท่วงทีแน่

ถึงอย่างไรจอมยุทธ์ก็เป็นสายการฝึกตนอย่างหยาบ ไม่ค่อยมีกลเม็ดเด็ดพรายนัก แม้จะมีความสามารถในการสังหารคนที่แข็งแกร่ง แต่ก็ใช้มาปกป้องคนไม่ได้

รถม้าหนึ่งคัน รถบรรทุกของสองคัน ม้าสองตัว เตรียมการพร้อมสรรพ

อารองสวี่นั่งอยู่บนหลังม้าแล้วประกบมือเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยมาส่ง”

จางเซิ่นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

เขากำลังคิดจะพูดบางอย่าง จู่ๆ ก็เห็นอารองสวี่กุมศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ร่างหายเอนเอียงแล้วตกลงจากหลังม้า

จางเซิ่นตกตะลึง เขารีบกระโดดลงจากรถม้าแล้วชะโงกหน้าเข้าไปดู

“ท่านพี่!”

อาสะใภ้กรีดร้องออกมาแล้วเลิกชายกระโปรงก่อนจะกระโดดลงจากรถม้า ตอนที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาสามี จู่ๆ นางก็หยุดชะงัก

อาสะใภ้ยกมือสองข้างขึ้นกุมศีรษะ รู้สึกว่าปวดศีรษะเจียนจะขาด

“ท่านพ่อ ท่านแม่?”

สวี่หลิงเยวี่ยตกตะลึง ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ท่านแม่!”

สวี่หลิงอินที่ผูกผมสองข้าง เมื่อนางเห็นมารดาเจ็บปวดก็กระโดดลงมาจากรถม้าแล้วพุ่งไปหาอาสะใภ้

อาสะใภ้ส่งเสียงอู้อี้ออกมาแล้วก็หมดสติลง

“ท่านแม่ตายแล้ว ท่านแม่ตายแล้ว…”

สวี่หลิงอินร้องไห้ยกใหญ่

ตอนนี้เอง อารองสวี่ก็ฟื้นคืนกลับมาจากสภาวะปวดหัวแทบระเบิด เขาหอบหายใจอย่างหนัก สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ จากนั้นก็เอ่ยงึมงำว่า

“ไม่ๆๆ…”

จางเซิ่นขมวดคิ้วแล้วเหลือบมองอาสะใภ้ที่หมดสติไป จากนั้นก็หันมามองอารองสวี่อีกครั้งก่อนเอ่ยถามขึ้น “ใต้เท้าสวี่ นี่คือ?”

อารองสวี่ไม่สนใจเขาเลย ถึงขั้นไม่ดูภรรยาที่กำลังหมดสติด้วยซ้ำ เขากระโดดขึ้นหลังม้าแล้วดึงบังเหียนก่อนจะขี่ออกไปจนฝุ่นตลบ

จางเซิ่นมองดูแผ่นหลังของเขาที่ลับไปไกลอย่างตกตะลึง ในสมองผุดภาพสีหน้ายามจากไปของสวี่ผิงจื้อ ทั้งเด็ดเดี่ยวและเจ็บปวด ทั้งเจ็บปวดและสิ้นหวัง

เมืองหลวง

กลางอากาศ สวี่ชีอันกำลังขี่มังกรวิญญาณกลับเข้าไปในเมือง แต่จากนั้นโลกที่อยู่ตรงหน้าเขาจู่ๆ ก็หมดสิ้นซึ่งสีสัน

ราวกับภาพในโทรทัศน์สีขาวดำ

ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกปิดกั้น สัญชาตญาณบอกอันตรายของจอมยุทธ์ก็ถูกปิดกั้น สภาพเช่นนี้คงอยู่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

สวี่ชีอันค่อยๆ ก้มหน้าลงและมองเห็นตะปูสีทองอร่ามแทงเข้าที่อกของตน

บนตะปูสลักลวดลายสำนักพุทธเอาไว้ มันแทงทะลุร่างกายระดับพลังเทพวชิระของเขาได้อย่างง่ายดาย และทะลวงผิวสีดำสนิทของเขา

‘อ๊ากกกกกก’…

เขาได้ยินเสียงร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของตนหรือว่าเสียงของเสินซู

“อย่าร้อง นี่เพิ่งจะดอกแรก”

น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น โหรในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ปลายนิ้วของเขาคีบตะปูสีทองเอาไว้แปดดอก

โหรชุดขาวหยิบตะปูออกมาหนึ่งดอกแล้วตบไปยังศีรษะของสวี่ชีอัน

‘ฟึ่บ!’

ตะปูเจาะเข้าไปที่จุดกึ่งกลางศีรษะ

เสียงร้องเจ็บปวดของเสินซูหยุดลง ผิวสีดำสนิทฟื้นกลับเป็นสีผิวปกติ ประกายแสงแห่งพลังเทพวชิระก็หม่นแสงลง

กลิ่นอายของสวี่ชีอันลดลงจนกลายเป็นแค่คนธรรมดาผู้หนึ่ง

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด