ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 432 คณะทูตปีศาจ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 432 คณะทูตปีศาจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 432 คณะทูตปีศาจ

เพื่อปกปิดตัวตนของตนเอง สวี่ชีอันจึงไม่ได้ขี่แม่ม้าน้อย อย่างไรเสียสาวงามในหมู่ม้าฝีเท้าดีเฉกเช่นแม่ม้าน้อยก็ถูกคนจำได้ง่ายอยู่แล้ว

ฝนเทลงมาปานฟ้ารั่ว เขานั่งรถม้าของจวนสกุลสวี่ ล้อรถหมุนขับเคลื่อนไปยังเขตพระราชฐาน

รถม้าถูกขวางอยู่ที่นอกประตูเขตพระราชฐาน เมื่อพลทหารรักษาเมืองเห็นอักษร ‘สวี่’ เขียนอยู่บนตัวรถก็ไม่กล้าชะล่าใจ จึงเข้าไปตรวจสอบ

กวาดสายตามองเมืองหลวง บ้านสกุลสวี่ที่เข้าเขตพระราชฐานได้มีเพียงหนึ่งเดียว และใครสักคนในบ้านสกุลสวี่นี้สังหารกั๋วกง ล่วงเกินราชสำนัก ราชวงศ์และกลุ่มขุนนางคุณูปการ

จะปล่อยเขาเข้าเขตพระราชฐานไม่ได้เด็ดขาด

สวี่ชีอันเลิกม่านออกและยื่นป้ายขุนนางให้

หลังจากพลทหารตรวจสอบ ยังคงไม่ปล่อยให้ผ่านเข้าไปและแจ้งหัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ

หัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภฝ่าฝนรีบร้อนเข้ามา แล้วรับป้ายขุนนางมาพิจารณา จากนั้นมองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ในตัวรถ มองสำรวจใบหน้าเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย

“วันนี้ใต้เท้าสวี่หยุดพักหรือ”

สวี่ชีอันไม่ได้ใส่ชุดขุนนางของเอ้อร์หลาง ออกมาด้วยชุดลำลอง

สวี่ซินเหนียนคือซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ที่ทำการปกครองของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินอยู่ภายในเขตพระราชฐาน เขามีคุณสมบัติที่จะเข้าเขตพระราชฐาน ทว่าเพราะวันนี้หยุดพัก ดังนั้นหัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภจึงสอบถามอีกครั้ง

ทหารยามเขตพระราชฐานระแวงระวังตระกูลพวกเรามาก ข้ากล้ายืนยันว่าหากเป็นข้าคนนี้ เกรงว่าต่อให้ฮว๋ายชิ่งหรือหลินอันพามาก็มิอาจเข้าพระราชวังได้ นี่คือผลที่ตามมาของเรื่องที่ด่ากราดที่ประตูอู่และลักพาตัวสองกั๋วกง…เขาดัดเป็นเสียงของสวี่เอ้อร์หลาง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านสมุหราชเลขาธิการ”

เยี่ยมเยียนท่านสมุหราชเลขาธิการ…หัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภมองสำรวจเขาอีกครั้งและพยักหน้าในท้ายที่สุด “ให้ใต้เท้าสวี่เข้าไป”

รถม้าทะลุผ่านประตูอุโมงค์ของประตูเมือง เคลื่อนตัวสู่เขตพระราชฐานวิ่งไปทางตำหนักของสมุหราชเลขาธิการหวาง

หน่วยองครักษ์ราชวัลลภบนกำแพงเมืองมองตามหลังรถม้าที่ไกลออกไป ทิศทางถูกต้อง

วิ่งไปสักพักสวี่ชีอันก็เอ่ย “ไปทางซ้าย”

คนขับรถม้าเปลี่ยนทิศทางตามคำสั่ง รถม้าขับออกจากเส้นทางเดิม คนขับรถที่ไม่เคยมาเขตพระราชฐานอาศัยทักษะการขับที่ยอดเยี่ยมภายใต้คำบัญชาของสวี่ชีอัน พาสวี่ต้าหลางไปส่งหน้าอารามรัตนะได้สำเร็จ

สวี่ชีอันกางร่มลงรถ หลังจากแจ้งข่าวผ่านนักพรตน้อยที่เฝ้าประตูก็เข้าสู่อารามรัตนะได้อย่างราบรื่นตามคาด

เขาไม่ลืมที่จะให้รถม้าเข้าอารามรัตนะจากประตูข้าง ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ปากประตูกวนให้สะดุดตา

หากจักรพรรดิหยวนจิ่งหัวโบราณนั่นมาบำเพ็ญธรรมพอดีและเห็นรถม้าสถานการณ์คงจะแย่

ทะลุผ่านโถงบูชาและลานเล็กที่อุทิศให้กับปรมาจารย์ของนิกายมนุษย์มายังส่วนลึกของอารามรัตนะ ภายในห้องสงบใจในลานเล็กอันเปล่าเปลี่ยวก็พบกับราชครูหญิงที่งามเลิศที่สุดในปฐพี

นางแสดงท่าทีไม่แยแส ในท่าทางเย็นชาเผยให้เห็นความงามไร้มลทินราวกับเทพธิดาบนสวรรค์

ฮว๋ายชิ่งเป็นสาวงามที่หยิ่งผยองและเยือกเย็น ทว่านิสัยของฮว๋ายชิ่งโอนเอนไปทางผู้ดีและหยิ่งยโส ส่วนความเยือกเย็นของลั่วอวี้เหิงเข้ากับชุดและชาดสีแดงบนหว่างคิ้วของนาง สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนก็คือความน่าเลื่อมใสและไอเทพ

บัดนี้เมื่อได้เห็นใบหน้างามล่มเมืองของราชครูอีกครั้ง จิตใจของสวี่ชีอันก็ผันเปลี่ยนเล็กน้อย สิ่งที่คิดคือ นางเป็นหญิงสาวที่ข้าอดย่ำยีไม่ได้ยามอยู่บนเตียง

ความคิดต่อมาก็คือ โชคดีที่ราชครูไม่เข้าเจโตปริยญาณ[1]ของสำนักพุทธ มิเช่นนั้นข้าอาจตายตรงนี้ได้

ลั่วอวี้เหิงนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะพร้อมด้วยชาร้อนสองถ้วยวางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกแล้ว

สวี่ชีอันเข้าที่นั่งอย่างรู้กัน ประคองชาขึ้นดื่ม ดวงตาเป็นประกายขึ้นในทันใด “ชาดี! ”

แรกรสขมฝาดเล็กน้อย อมไปได้สามวินาที รสหวานก็ตามขึ้นมาทันที เมื่อกลืนลงท้องรสชาติที่หลงเหลือติดอยู่ที่ปากไม่จางหาย

“น่าเสียดาย”

ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ

“เสียดายอะไร”

สวี่ชีอันเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว

“สหายของข้าเป็นคนปลูกชานี่ หนึ่งปีจะผลิตออกมาเพียง 1 จิน (0.5 กิโลกรัม) แบ่งมาที่ข้าก็แค่สามสี่ตำลึงเท่านั้น น่าเสียดายที่นางหายสาบสูญไปเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด” ลั่วอวี้เหิงกล่าว

ท่านน้า เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของท่าน

อ้อ ชานี่พระมเหสีเป็นคนปลูก…ข้าค้นพบความมหัศจรรย์ของพระมเหสีอีกแล้ว จากนี้จะขังนางไว้ในห้องมืดเล็กๆ ปลูกชาไม่ได้ก็ไม่ให้กินข้าว…

สวี่ชีอันถอนใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย “น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ”

ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองเขาน้อยๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์ “มีเรื่องอะไร”

“ข้าน้อยอยากถามเรื่องเกี่ยวกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์รุ่นก่อนกับจักรพรรดิองค์ก่อน” สวี่ชีอันเอ่ย

“พ่อของข้ากับจักรพรรดิองค์ก่อนรึ”

ลั่วอวี้เหิงถามกลับด้วยความประหลาดใจ

“ข้าเคยตรวจสอบบันทึกชีวิตความเป็นอยู่ของจักรพรรดิองค์ก่อน แม้พระองค์จะไม่เคยบำเพ็ญธรรม ทว่าก็สนใจในวิถีแห่งชีวิตอมตะอย่างยิ่ง ข้าอยากรู้ว่าเขาได้บำเพ็ญธรรมหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยปากถามตรงๆ

ลั่วอวี้เหิงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “พ่อของข้าตายด้วยทัณฑ์สวรรค์”

นี่ มันเกี่ยวอะไรกับคำถามของข้าด้วยงั้นหรือ…

“เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องตาย ทว่าท่านโหราจารย์ไม่อนุญาตให้นิกายมนุษย์ย้ายเข้าเขตพระราชฐาน นี่จึงทำให้พ่อของข้าถูกไฟแห่งกรรมรุมเร้า ตัวตายเต๋าสลายภายใต้ทัณฑ์สวรรค์” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ดังนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนจึงไม่ได้บำเพ็ญธรรม”

จักรพรรดิองค์ก่อนไม่ได้บำเพ็ญธรรม…สวี่ชีอันคิ้วขมวด

“เจ้าตรวจสอบหยวนจิ่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” นัยน์ตาสวยของลั่วอวี้เหิงจ้องมอง

สวี่ชีอันลังเลอยู่พักหนึ่ง กัดฟันตัดสินใจเอ่ยเสียงขรึม “ราชครู ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ได้รับโชคชะตามิอาจมีชีวิตยืนยาวได้”

ลั่วอวี้เหิงมองเขา กระทั่งตอนนี้สวี่ชีอันถึงรู้สึกว่าราชครูกำลังมองเขาอยู่จริงๆ มองตรงมาที่เขา

“หากจะพูดให้ถูกก็คือผู้มีโชคชะตาเสริมร่างมิอาจมีชีวิตยืนยาวได้” นางพูดแก้

ลั่วอวี้เหิงรู้เรื่องนี้จริงด้วย เช่นนั้นนางก็ไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงคิดเพ้อเจ้อบำเพ็ญธรรม สวี่ชีอันแสดงความสงสัยนี้

“มักจะมีคนโอบกอดความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง นักพรตบนโลกมีนับไม่ถ้วน คนส่วนใหญ่ต่างเคยเพ้อฝันว่าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นหรือแม้แต่ก้าวข้ามระดับ”

ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หยวนจิ่งอาจคิดไปเองว่ามองเห็นความหวัง อาจมีเงื่อนงำบางอย่างก็ได้ สำหรับข้าไม่ว่าเขาจะคิดวางแผนอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็บำเพ็ญเต๋าของข้า เขาก็บำเพ็ญชีวิตอมตะของเขา”

นางรู้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งอาจจะมีความลับ ทว่าก็ไม่ได้สืบสาวต้นตอ นางบำเพ็ญด้วยโชคชะตาของต้าฟ่ง กับจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน สืบสาวความลับของผู้สมรู้ร่วมคิด มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายตกอยู่ในภาวะชะงักงันถึงขั้นแตกหักได้…สวี่ชีอันขบคิดความหมายที่ราชครูพูดออกมา

สวี่ชีอันลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะไม่สนใจคำถามข้อนี้อีกและเปลี่ยนบทสนทนา “ดาบยันต์ใช้ที่เจี้ยนโจวไปแล้ว แล้ววันหน้าข้าจะติดต่อราชครูได้อย่างไร”

ต้องการสื่อว่า ‘รีบส่งดาบยันต์มาให้ข้าเร็ว’

ดาบยันต์แฝงด้วยพลังดาบของลั่วอวี้เหิง ทำขึ้นมาค่อนข้างลำบาก มิใช่ว่าจะให้ก็ให้

ด้วยเหตุผลเช่นนี้สวี่ชีอันจึงเอ่ยถามนาง นี่เป็นการลองเชิงอย่างหนึ่ง

เมื่อลั่วอวี้เหิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ดาบยันต์หลอมขึ้นมาด้วยความยากลำบาก มิใช่จะสำเร็จได้ในคืนเดียว…”

นางหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ข้ายังมีอีกแผ่นอยู่พอดี เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”

แขนเสื้อสะบัดออก ดาบยันต์แผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบงัน

ให้จริงด้วย…สวี่ชีอันมองดาบยันต์ด้วยอารมณ์สับสน

อุทยานหลวง

ระเบียงชมวิวของตึก

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยืนมือไพล่หลัง ทอดพระเนตรอุทยานหลวงท่ามกลางฟ้าคะนอง แล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “แม้ดอกไม้ในวังของข้าจะประชันกันงามสะพรั่ง งดงามเกินจะบรรยาย เหตุใดถึงช่างบอบบางเกินไป มิอาจต้านความทรมานจากพายุฝน”

ท่ามกลางฉากพายุฝน มวลบุปผาอันสวยสดร่างโค้งงอ กลีบดอกลอยล่องไปตามสายฝน

เว่ยเยวียนประคองชาขึ้นจิบอยู่ด้านหลังเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ดอกไม้มีไว้เอาใจเจ้านาย ยิ่งอ่อนละมุนเจ้านายก็ยิ่งชมชอบ ฝ่าบาทโปรดปรานในความบอบบางของพวกนาง แต่กลับเย้ยหยันพวกนางที่มิอาจทนทรมานได้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”

จักรพรรดิหยวนจิ่งที่หันหลังให้เว่ยเยวียน ดวงพระเนตรเป็นประกาย ทรงหัวเราะหึๆ พร้อมตรัส “สำหรับข้าแค่ปกป้องดอกไม้ที่งามที่สุดดอกนั้นไว้ได้ก็พอแล้ว เว่ยชิง เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เว่ยเยวียนกระตุกมุมปากด้วยรอยยิ้มจอมปลอม

จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรสายฝนต่อ พร้อมถอนพระทัยตรัส

“หลังจากฉู่โจวปั่นป่วน ไหวอ๋องตายในศึก จี๋ลี่จือกู่สิ้นชีพ จู๋จิ่วก็ได้รับความเสียหายสาหัสเช่นเดียวกัน ดินแดนทางเหนือก็อ่อนแอ ครั้งนี้สำนักพ่อมดท่าทางฮึกเหิม หากดินแดนเผ่าปีศาจทางเหนือตกอยู่ในมือข้าศึก ตั้งแต่พรมแดนทางเหนือจรดตะวันออกทั้งหมดของต้าฟ่งจะถูกสำนักพ่อมดล้อม เว่ยชิง เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญยุทธศิลป์ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”

เว่ยเยวียตอบกลับโดยไม่ลังเล “ราชสำนักต้องส่งทหารสนับสนุนทางเหนือเป็นธรรมดา ทว่าผลประโยชน์ที่สมควรจะน้อยไม่ได้ เผ่าอนารยชนทางเหนือก่อความวุ่นวายให้ชายแดนตลอดปี ครั้งนี้ถึงตาต้าฟ่งตัดเนื้อสูบเลือดบนตัวพวกเขาแล้ว”

จักรพรรดิหยวนจิ่งแย้มสรวล “สำนักบัณฑิตฮั่นหลินจะแก้ตำราพิชัยสงคราม ข้าว่าแก้ไปแก้มาไร้แนวคิดใหม่ หลังคณะทูตปีศาจเข้าเมืองหลวง กลัวแค่ว่าจะหัวเราะเยาะต้าฟ่งของข้า เว่ยชิงเป็นยอดขุนพลที่พบได้ยากในรอบร้อยปี ลองไปขอคำแนะนำที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินดูก็ไม่เสียหาย”

ตำราพิชัยสงครามเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้คณะทูตปีศาจเห็น ‘กำลังของชาติ’ ยิ่งมีตำราพิชัยสงครามมากก็หมายถึงผู้เชี่ยวชาญยุทธศิลป์ของต้าฟ่งยิ่งมีมาก สำคัญรองลงมาจากการฝึกซ้อมปืนใหญ่

ยุทธศิลป์ที่ต้าฟ่งใช้ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ปัญญาชนสำนักอวิ๋นลู่หลงเหลือไว้ในอดีต ซึ่งก็คือ ‘กลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการ’ ที่เขียนโดยจางเซิ่นมหาปราชญ์ด้านยุทธศิลป์ในสมัยนั้น

กลับกันเว่ยเยวียนยอดขุนพลแห่งยุคผู้เป็นที่ยอมรับผู้นี้ไม่เคยเหลือไว้แม้แต่คำเดียว

เว่ยเยวียนส่ายหน้า

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่โกรธแม้แต่น้อยพร้อมตรัส

“เดิมทีวันนี้ราชวิทยาลัยหลวงคิดจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมที่ทะเลสาบลู่ ข้าคิดจะรอให้คณะทูตเข้าเมืองหลวงก่อนค่อยให้ราชวิทยาลัยหลวงจัดงานชุมนุมวรรณกรรม ถึงเวลานั้น เว่ยชิงสามารถไปนั่งได้”

นี่จึงทำให้เว่ยเยวียนพยักหน้า

สองวันต่อมา สงครามทางเหนือและการทำให้เผ่าอนารยชนอยู่ภายใต้การสนับสนุนของราชสำนักเริ่มเล่าลือกันในเมืองหลวง กระจายจากระดับขุนนางปัญญาชนก่อน จากนั้นก็กระจายสู่พ่อค้ากับคนในชุมชน

วงราชการ ซื่อหลิน สำนักศึกษา โรงน้ำชา ภัตตาคาร หอคณิกา และสำนักสังคีตในเวลาสั้นๆ…จุดประเด็นร้อนขึ้น ประเด็นร้อนราวกับกระแสที่ร้อนแรง

เหล่าประชาชนในตลาดแค้นเคืองคณะทูตปีศาจ ต่อต้านความคิดของต้าฟ่งที่คิดจะยกทัพช่วยเหลือเผ่าปีศาจ

ความรักและชิงชังของประชาชนตรงไปตรงมา ไม่สนใจภาพรวม พวกเขารู้ว่าเผ่าปีศาจทางเหนือเป็นศัตรูคู่อาฆาตของต้าฟ่ง นับแต่สถาปนาประเทศหกร้อยปีมานี้มีศึกเล็กสงครามใหญ่ไม่ขาด

ไม่ต้องพูดถึงสมัยก่อน เมื่อไม่นานมานี้ช่วงหลายเดือนหลังคดีสังหารหมู่ล้างบางเมืองฉู่โจว เผ่าปีศาจทางเหนือก็ก่อความวุ่นวายให้ชายแดนไม่หยุด เผาสังหารปล้นสะดม

ระดับชนชั้นสูงวิสัยทัศน์สูงกว่า มีเหตุผลและภววิสัยกว่า ความคิดชิงจู่โจมก่อนกับความคิดวางตัวอยู่เฉยปะทะกันอย่างดุเดือด ไม่เหมือนประชาชนในชุมชน แทบจะคัดค้านเป็นเสียงเดียวกัน

อันที่จริงไม่ใช่เพียงเมืองหลวง ยามที่ราชสำนักตัดสินใจเคลื่อนทัพก็ได้ส่งข่าวราชสำนักให้แต่ละเมือง ใช้เวลาไม่นานฝ่ายราชการส่วนท้องถิ่นก็สนับสนุนความคิดชิงจู่โจมก่อน แล้วแจ้งให้ทราบโดยทั่ว

ในบรรยากาศที่ประชาชนต่างพูดคุยประเด็นร้อนเช่นนี้ ขบวนคณะทูตที่มาจากทางเหนือนั่งเรือขุนนางมาตามคลองก็ได้มาถึงท่าเรือเมืองหลวง

คณะทูตของเผ่าปีศาจนี้ประกอบด้วยทหารติดอาวุธของเผ่าอนารยชนสิบสองกลุ่มและยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจหกกลุ่ม

ทั้งสองผู้นำอายุยังน้อย คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผมสีขาว หน้าตารูปงามแตกต่างจากในเผ่าอนารยชน ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเสมอ ดวงตามักจะหยีตลอดเวลา

เผยหม่านซีโหลว บุตรชายคนโตของผู้นำกลุ่มผมขาวหนึ่งในสิบสอง กลุ่มของเผ่าอนารยชน

กลุ่มผมขาวเลื่องลือเรื่องสติปัญญา นับว่าต่างจากในเผ่าอนารยชน เผยหม่านซีโหลวผู้นี้แตกต่างท่ามกลางความแตกต่าง

เขาศึกษาวัฒนธรรมของภาคกลางโดยละเอียด ยามที่เผ่าอนารยชนปล้นชายแดนฉู่โจว ก็จะชิงตัวหญิงสาวและเสบียงอาหารไปตลอด มีเพียงแต่เขา เสบียงอาหารหรือสาวงามก็ไม่ต้องการ ชิงเพียงแต่หนังสือ

สี่ตำราห้าคัมภีร์ ชีวประวัติของผู้รู้หนังสือ หรือแม้กระทั่งบทละครพื้นบ้านที่น่าสนใจไร้โภชนาการใดๆ ประดุจอ้อยเข้าปากช้าง รักหนังสือยิ่งชีพ

อีกหนึ่งคนเป็นองค์หญิงของกลุ่มจิ้งจอกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ หวงเซียนเอ๋อร์ นางอยู่ในชุดกระโปรงหนังในแบบทางเหนือ กระโปรงสั้นเพียงหัวเข่า เผยให้เห็นขาเล็กตรงเรียวทั้งสองข้าง

เสื้อผ้าปกปิดแค่ตำแหน่งสำคัญไว้เผยให้เห็นผิวเนื้อสีแทน ลาดไหล่ที่กลมกลึง เส้นโค้งเอวเล็กที่แน่นตึง ให้ความรู้สึกงดงามที่ดุดัน

ใบหน้าของนางงดงาม เผยเสน่ห์อันน่าเย้ายวนทุกท่วงท่า ซึ่งสวนทางกับรูปร่างอันเซ็กซี่ดุดัน ผสมกับความงามที่กระชากหัวใจ

บุตรีของกลุ่มจิ้งจอกเผ่าพันธุ์ปีศาจ งดงามอรชรถึงที่สุด

ทั้งสองยืนอยู่บนดาดฟ้าทอดมองทหารของต้าฟ่งที่รออยู่ที่ท่าเรือ หวงเซียนเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนอนหนังสือ หากครั้งนี้กลับไปมือเปล่า พาทัพเสริมมาไม่ได้ พวกเราจะแย่เอาได้”

เผยหม่านซีโหลวหน้าปะทะสายลม เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะเชิญกองกำลังเสริมมาได้ไหมนั้น ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะทุ่มเทเท่าไร”

เขาทอดสายตามองเมืองหลวง หยีตาพร้อมหัวเราะ เอ่ย

“เมืองหลวงมีสำนักอวิ๋นลู่ สำนักที่ศิษย์ใหญ่ของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสร้างขึ้น เมื่อสองร้อยปีก่อนช่วงที่ลัทธิขงจื๊อรุ่งเรืองมากที่สุด สี่มหาสมุทรยอมจำนน อย่าว่าแต่พวกเราเผ่าเทพ ดินแดนพุทธในดินแดนประจิมทิศก็ต้องทนคำพลิกลิ้นของลัทธิขงจื๊อ นำสิ่งสืบทอดจากภาคกลางกลับมาที่ดินแดนประจิมทิศ เมืองหลวงมีราชวิทยาลัยหลวง แม้จะไม่ได้ฝึกระบบลัทธิขงจื๊อ ทว่าด้วยเหตุนี้ปัญญาชนจึงมีเวลาและพลังพัฒนาวิชาความรู้มากขึ้น ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และสี่กลุ่มอาชีพ เป็นต้น สิ่งที่ให้อ่านมีมากยิ่ง หากย้ายหอเก็บตำราของราชวิทยาลัยหลวงกลับทางเหนือได้ ข้าก็ไม่ต้องลงใต้อีกตลอดชีวิต เมืองหลวงมีเว่ยเยวียน ขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิถียุทธ์ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในช่วงหกร้อยปีที่ต้าฟ่งสถาปนาประเทศมา หยวนจิ่งปีที่หก แม่ทัพตู๋กูที่เฝ้าระวังทางเหนือล่วงลับ ทหารม้าเผ่าเทพของข้ากว่าแสนนายลงใต้เพื่อปล้นชิง เขาใช้เวลาเพียงสามเดือนก็สังหารทหารม้ากว่าแสนนายจนยอมพ่ายแพ้ ยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อนหากไม่มีเขา ประวัติศาสตร์ของจิ่วโจวทั้งหมดก็จะถูกเขียนใหม่ เมืองหลวงมีท่านโหราจารย์ เห็นภาคกลางมานานห้าร้อยปี ความนึกคิดราวกับความลับของสวรรค์ ใครก็มิอาจคาดเดา เมืองหลวงมีซือขุย ขนานนามว่าเป็นคนแรกของโลกแห่งบทกวีในสองร้อยปีที่ผ่านมา แล้วก็ยากจะพบพานคนที่สอง เมืองหลวง โหยหามาเนิ่นนานนัก”

เผยหม่านซีโหลวถอนหายใจพร้อมหัวเราะ เอ่ย “เมืองหลวงมีผู้มากพรสวรรค์นับไม่ถ้วน ข้าที่มีวิชาความรู้ท่วมท้น ในที่สุดก็จะมีคู่ต่อสู้แล้ว”

หนอนหนังสือ…หวงเซียนเอ๋อร์เบ้ปาก หรี่ตาสวยพร้อมหัวเราะ เอ่ย “ชุมนุมปราชญ์สงครามลิ้นก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้าบุตรีของกลุ่มจิ้งจอกจะรับผิดชอบเอาชนะผู้ชายในต้าฟ่งบนเตียงเอง”

ในคณะทูตมีสาวงามกลุ่มจิ้งจอกห้าสิบคน แต่ละคนงดงามโดดเด่นและร่างอรชรทั้งนั้น สาวงามสามคนในนั้นเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องเสพสังวาส

ได้ยินมาว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมเพื่อต้องการชีวิตอมตะ แม้จะไม่ได้ใกล้ชิดหญิงสาวมานานแรมปี ทว่าคิดไปแล้วคงไม่ปฏิเสธเครื่องเสพสังวาสที่ส่งให้ถึงหน้าประตูหรอก

บัดนี้หวงเซียนเอ๋อร์หันกลับมามองแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เอ๊ะ หนุ่มหล่อเผ่ามนุษย์นี่”

ชายหนุ่มในชุดขุนนางสีกรมยืนอยู่ที่ท่าเรือ เขาผิวขาวผ่อง คู่นัยน์ตาเป็นประกาย ฟันขาวปากแดงระเรื่อ ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยาก

เผยหม่านซีโหลวหรี่ตาแล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “เสื้อคลุมสีกรมปักลายเป็ดน้ำ ขุนนางขั้นเจ็ด”

เมื่อเรือเทียบท่าคณะทูตปีศาจจึงลงเรือ ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ข้าน้อยสวี่ซินเหนียน ได้รับพระบรมราชโองการให้มาต้อนรับท่านทูตทั้งหลายขอรับ”

…………………………………………………

[1] เจโตปริยญาณ แปลว่า รู้ใจคน รู้อารมณ์จิตใจคนและสัตว์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด