ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 413 เสกดา

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 413 เสกดา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 413 เสกดาบ

“เดี๋ยวข้าจะไปภูเขาเฉวี่ยนหรง ไปดื่มเหล้ากินเนื้อและนอนกับผู้หญิง เจ้ามีแผนอะไร”

สวี่ชีอันมองไปที่หนานกงเชี่ยนโหรวพร้อมรอยยิ้ม

หนานกงเชี่ยนโหรวขมวดคิ้วงาม แล้วหัวเราะเยาะเย้ย “กลุ่มยุทธภพ มีอะไรน่าสังสรรค์”

สวี่ชีอันหุบยิ้ม แล้วพูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ฆ้องเงินแล้ว”

แววหยอกล้อและดูแคลนในสายตาของหนานกงเชี่ยนโหรวค่อยๆ จางหายไป ดูเหมือนจะหมดความสนใจที่จะพูดคุยอีกต่อไป

ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงพูดเรียบๆ ว่า “ไปสนุกกัน”

เอ๊ะ นี่ไม่ใช่ลักษณะของพี่รองหนานกงนี่นา หรือว่าเพราะเป็นห่วงข้า กลัวว่านี่จะเป็นเหมือนงานเลี้ยงที่หงเหมินที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จัดขึ้นอย่างนั้นหรือ สวี่ชีอันพึมพำในใจ

ภูเขาเฉวี่ยนหรงมีความสูงชัน มีเมฆหมอกลอยวนเวียน

ภูเขาแห่งนี้เป็นสวรรค์ที่รู้จักกันดีในเจี้ยนโจว ต้นไม้เขียวขจี สรรพสัตว์ส่งเสียงร้อง ตั้งแต่ไหล่เขาเป็นต้นไป มีบ้านและหอสูงตั้งอยู่เรียงราย ไปจนถึงยอดเขา

“ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นจุดชมวิวที่สวยงามของเจี้ยนโจว ยอดเขาสูงสุดสูงตระหง่าน ยอดเขาด้านข้างสวยงาม ยอดเขาสูงสุดมีน้ำตกขนาดใหญ่สูงนับสิบจั้ง ในฤดูฝน น้ำที่ไหลบ่าจากภูเขาทะลักลงมา แม้แต่ยอดฝีมือขั้นหกก็ไม่สามารถทนต่อการซัดสาดของน้ำตกได้”

“ได้ยินมาว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีทหารม้าแปดพันนาย อยู่ใต้บังคับบัญชาของทหารคนที่พิชิตจงหยวน”

ขณะลอดซุ้มประตูสูงที่เชิงเขา สวี่ชีอันก็ชมเปาะด้วยความชื่นชม “ทหารม้าแปดพันนาย สามารถกวาดล้างเจี้ยนโจวได้ เหตุใดหลายปีมานี้ ราชสำนักจึงอดกลั้นต่อการดำรงอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาโดยตลอด”

หนานกงเชี่ยนโหรวได้ยินเขาพูดฉอดๆ เรื่องที่พูดส่วนใหญ่ไม่น่าสนใจ เมื่อถึงเรื่องสุดท้าย จึงอดพูดไม่ได้ว่า

“เพราะในตอนนั้นชายคนนั้นได้ทำข้อตกลงกับจักรพรรดิเกาจู่ไว้”

“ข้อตกลงอะไร” ใบหน้าสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ท่านพ่อบุญธรรมไม่ได้บอก” หนานกงเชี่ยนโหรวกลอกตาพูด

สวี่ชีอันพูดเล่นต่อไปว่า “สาวงามของหอหมื่นบุปผาในเจี้ยนโจว ทุกคนล้วนงดงามอ่อนช้อย สนใจจะพากลับไปเป็นอนุภรรยาหรือไม่ คิดว่าผู้ดูแลหอเซียวจะต้องยินดีอย่างแน่นอน”

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่สนใจเขา

“ถ้าเป็นข้า สามารถนำผู้ดูแลหอเซียวกลับไปที่เมืองหลวง เป็นอนุภรรยาอีกคน เช่นนั้นคงจะสมบูรณ์แบบทีเดียว”

“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้ไม่แต่งงานใช่หรือไม่ หากเจ้ายังเป็นฆ้องเงินของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็ไม่เหมาะที่จะแต่งงานกับผู้หญิงในยุทธภพจริงๆ ส่วนตอนนี้ นางเป็นภรรยาหลวงของเจ้าก็เกินพอแล้ว” หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าว

“ไม่ได้ ไม่ได้” สวี่ชีอันโบกมือไม่หยุด

“เพราะเหตุใด” หนานกงผู้รูปงามขมวดคิ้ว

“ตำแหน่งภรรยาหลวง ข้าจะเก็บไว้ให้องค์หญิงหลินอันหรือไม่ก็องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง” สวี่ชีอันทำหน้าจริงจัง

“ไปไกลๆ เลย! ”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวอย่างโกรธเคือง

ไม่เชื่อก็แล้วแต่……

ไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงลานใหญ่บนยอดสูงสุดของภูเขาเฉวี่ยนหรง หลังจากที่ผู้คุมในกลุ่มเรียกตัวแล้ว พวกเขาก็ถูกพาไปที่ห้องรับรอง ภายในห้องรับรอง เฉาชิงหยางผู้นำกลุ่มพันธมิตรสวมชุดคลุมยาวสีม่วงนั่งสีหน้าสงบ ใบหน้างดงาม

หลังจากการทักทายกันง่ายๆ แล้ว เฉาชิงหยางก็กล่าวว่า “ฆ้องทองคำหนานกงรอสักครู่ ข้ามีอะไรจะพูดกับฆ้องเงินสวี่ตามลำพัง”

เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเงียบๆ ออกไปจากห้องรับรอง

สวี่ชีอันเดินตามเขาออกไป เดินผ่านห้องพัก เดินไปที่ภูเขาด้านหลัง และค่อยๆ ห่างจากกลุ่มอาคารไป

“ท่านบรรพชนต้องการพบเจ้า”

เฉาชิงหยางพาเขาเข้าไปในป่าทึบ เดินไปตามทางเล็กๆ และพูดว่า “เจ้าวางใจเถิด ท่านบรรพชนไม่ใช่คนโหดร้าย เพียงแค่ได้ยินเกียรติประวัติของเจ้าแล้ว ก็รู้สึกสนใจมาก”

สวี่ชีอันสำรวจตัวเอง หยกที่ท่านโหราจารย์มอบให้สวม ไต้ซือเสินซูหลับสนิทแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงสวี่ไป๋เผียวคนธรรมดาเท่านั้น เข้าพบลูกพี่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นทหาร ถึงแม้จะมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็คงจะดูไม่ออก

อันที่จริงเขามาร่วมงานเลี้ยงที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ก็หวังว่าจะโชคดีอยู่บ้าง บางทีอาจจะได้พบกับบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คนนั้น

หึ ข้าเป็นคนโชคดีจริงๆ ด้วย…เขาหยอกล้อตัวเองด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

หลังจากเดินตามทางเล็กๆ ในป่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป เฉาชิงหยางก็พาเขาไปที่หน้าผาสูงชัน ขณะก้าวออกจากป่าทึบ ขนของสวี่ชีอันก็ตั้งขึ้น หนังศีรษะชาโดยไม่มีเหตุผล

เมื่อมองไปที่ที่มาของอันตรายตามสัญชาตญาณ บนหน้าผา มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ก้มศีรษะลง ดวงตาสีแดงดุร้ายขนาดราวกับอ่างน้ำสองดวง จ้องมาที่ทั้งสองคนจากระยะไกล

สัตว์ประหลาดตัวนั้นตัวสีดำสนิท มีขนสั้นหยาบ มีรูปร่างเหมือนสุนัข แต่มีใบหน้าเหมือนมนุษย์

สัตว์ประหลาดเฉวี่ยนหรง…ภูเขาเฉวี่ยนหรงได้รับการตั้งชื่อตามมัน…เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาก ข้าสู้มันไม่ได้แน่…ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในจิตใจของสวี่ชีอัน

เวลานี้ เฉวี่ยนหรงหดหัว และหายตัวไปบนหน้าผา

“เฉวี่ยนหรงเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ในตอนนั้นมันเคยติดตามท่านบรรพชนยกทัพจับศึกไปทั่วทุกทิศ เช่นเดียวกับมังกรวิญญาณและราชันแห่งมนุษย์” เฉาชิงหยางยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

“เจ้าคงรู้จักมังกรวิญญาณ ในเมืองหลวงเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง กลืนและคายปราณม่วง เป็นสัตว์ประหลาดชั้นยอด แต่มันจะใกล้ชิดกับราชวงศ์เท่านั้น”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดขนาดนี้ ก็แค่สุนัขที่ต่ำต้อยตัวหนึ่ง…สวี่ชีอันหยอกล้อในใจ

เขาเดินตามเฉาชิงหยาง หยุดอยู่ที่หน้าประตูหินตรงหน้าผา ฟังผู้นำกลุ่มพันธมิตรชุดม่วงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านบรรพชน ฆ้องเงินสวี่มาถึงแล้วขอรับ”

เสียงคนชราดังออกมาจากประตูหิน “รากฐานมั่นคง ไม่โอ้อวด ไม่เลว”

สวี่ชีอันกุมหมัด น้ำเสียงนอบน้อม “คำนับผู้อาวุโส”

เสียงคนชราดังออกมาจากประตูอีกครั้ง

“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าแล้ว คนฉลาดควรออกจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด สนใจที่จะมาทำงานกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของข้าหรือไม่ ข้าสามารถรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ได้ หึหึ เจ้าได้ใช้การกระทำพิสูจน์นิสัยของเจ้าแล้ว

“พยายามฝึกฝนอีกไม่กี่ปี ก็เป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรคนต่อไปได้สบายมาก”

ทำไมใครๆ ต่างก็อยากเป็นพ่อข้า…สวี่ชีอันปฏิเสธตามสมควรว่า “งานในเมืองหลวงยังไม่เสร็จสิ้น และข้าน้อยก็มีอาจารย์อยู่แล้ว”

“เว่ยเยวียนใช่หรือไม่” ชายชราหลังประตูหินพูดแทงใจดำ

สวี่ชีอันนิ่งเงียบ

“เจ้ามีอะไรจะต้องการถามข้า?” ท่านบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ได้เซ้าซี้เรื่องการฝากตัวเป็นศิษย์ ดูเป็นคนเรียบง่ายทีเดียว

ท่านผู้อาวุโสท่านทายถูกแล้ว สวี่ชีอันมีข้อสงสัยพอดี จึงเอ่ยปากถาม

“ข้าน้อยได้อ่านข้อมูลของท่านแล้ว ทราบว่าในตอนนั้นท่านเป็นผู้กล้าที่สามารถประลองกับจักรพรรดิเกาจู่ได้ หกร้อยปีผ่านไป เหตุใดจักรพรรดิเกาจู่ทรงสวรรคตไปนานแล้ว แต่ท่านกลับอายุยืนยาวเท่าประเทศได้”

คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบ

ขณะที่สวี่ชีอันคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ตอบ เสียงถอนหายใจก็ดังลอดออกมาจากช่องโหว่ของประตูหิน “ด้วยระดับของเจ้าในเวลานี้ เรื่องเหล่านี้อยู่ในระดับสูงเกินไป ความจริงไม่ควรให้เจ้ารู้”

หลังจากหยุดชะงักไปหลายวินาที บรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็กล่าวว่า “ราชวงศ์ต้าฟ่งมียอดฝีมืออยู่มากมาย ในจำนวนนั้นรวมถึงบุคคลเช่นจักรพรรดิเกาจู่ จักรพรรดิอู่จง และอ๋องสยบแดนเหนือด้วย

“แต่พวกเขาไม่มีใครมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

“ผู้สูงอายุโปรดคลายข้อสงสัยให้ด้วย”

“ผู้ที่โชคชะตารัดตัว จะไม่สามารถเป็นอมตะได้”

คำตอบนี้ เหมือนกับค้อนหนักตีเขาที่ศีรษะของสวี่ชีอัน เสียงดัง ‘เหง่งหง่าง’

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำ

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้แล้ว อาจเป็นเพราะกฎของฟ้าดิน มูลเหตุที่แท้จริง เจ้าสามารถขอคำแนะนำจากสำนักขงจื๊อ หรือท่านโหราจารย์ของสำนักโหราจารย์ได้” ชายชราพูดแล้วหัวเราะ

สำนักขงจื๊อรู้ความลับนี้…รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัว พูดด้วยความตกตะลึงว่า “ดังนั้นปราชญ์ลัทธิขงจื๊อตายแล้วจริงๆ?”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สวี่ชีอันคาดเดาในใจเสมอว่าความจริงแล้วปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยังไม่ตาย แต่แค่แกล้งทำเป็นตาย การดำรงอยู่ของคนที่เหนือระดับ เหตุใดจึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงแปดสิบสองปีเท่านั้น นี่ไม่ใช่การเหยียดหยามกันหรอกหรือ

“แม้แต่ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อก็ไม่ยกเว้น” ชายชราตอบ

ถ้าสิ่งที่บรรพชนท่านนี้พูดเป็นความจริง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ปราชญ์ยังมีชีวิตอยู่ ราชวงศ์ของต้าฟ่งไม่มีผู้แข็งแกร่งที่เป็นอมตะ นี่เป็นการพิสูจน์แล้วว่าท่านบรรพชนไม่ได้พูดปด

ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อตายไปแล้วจริงๆ…

ในใจของสวี่ชีอันไม่สามารถซ่อนความเสียใจไว้ได้ และในขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ได้คลายข้อสงสัยบางอย่างแล้ว มิน่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงทรง ‘ใจกว้าง’ กับอ๋องสยบแดนเหนือเช่นนี้ พูดถึงคนที่โชคชะตารัดตัวมากที่สุด ก็ต้องเป็นจักรพรรดิ แต่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารแท้ๆ เขายืนยัน…

“ไม่ใช่สิ! ”

สวี่ชีอันโพล่งออกมา

เฉาชิงหยางหันมาด้วยความสงสัย เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง

“ดูเหมือนเจ้าจะคิดอะไรขึ้นมาได้?” ชายชรากล่าว

การต่อคำกับสุดยอดทหาร สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาหลุบตาลง สีหน้าเรียบเฉย แต่ฟีโรโมนในสมองของเขา กลับเหมือนกับน้ำที่กำลังเดือด

ประการแรก คนที่โชคชะตารัดตัว ไม่สามารถเป็นอมตะได้ เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงไว้พระทัยอ๋องสยบแดนเหนือ เพราะอ๋องสยบแดนเหนือเป็นชินอ๋องของต้าฟ่ง พระองค์ก็ไม่สามารถเป็นอมตะได้เช่นกัน

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์สิ่งนี้แล้ว

ดังนั้น การที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงไว้วางใจอ๋องสยบแดนเหนือมากเช่นนั้น เบื้องหลังยังมีสาเหตุที่ให้ใครรู้ไม่ได้อีกชั้นหนึ่ง

ประการที่สอง จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเป็นราชาของประเทศ เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะไม่รู้ความลับนี้ แต่ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงรู้ว่าคนที่โชคชะตารัดตัวไม่สามารถเป็นอมตะได้ ก็ยังทรงบำเพ็ญธรรมมาตลอดยี่สิบปีโดยไม่หยุด ทรงปรารถนาที่จะเป็นอมตะ ตรงนี้ยังคงมีความขัดแย้งกัน

หรือพระองค์ทรงคิดว่า พระองค์ทรงพระปรีชากว่าจักรพรรดิเกาจู่และจักรพรรดิอู่จงเช่นนั้นหรือ หรือพระองค์ทรงคิดว่า ปราชญ์ลัทธิขงจื๊อไม่สามารถต้านทานกฎของฟ้าดินได้ พระองค์เป็นเพียงหยวนจิ่งตัวเล็กๆ จะทรงพระปรีชากว่าปราชญ์ลัทธิขงจื๊อได้อย่างไร?

แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่เอาไหน แต่พระองค์ก็ไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงฉลาดมาก

ระหว่างที่เกิดความคิดขึ้นมากมาย เขาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ผู้อาวุโสคิดอย่างไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง”

ชายชราพึมพำว่า “บางที เขาอาจคิดไปเองว่าเป็นวิธีเปิดทางให้เป็นอมตะได้ แล้วยังได้นั่งเก้าอี้มังกรด้วย อ้อ คนที่ช่วยเหลือพระองค์ น่าจะเป็นผู้นำนิกายมนุษย์”

คงไม่ใช่ลั่วอวี้เหิงนะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเข้าข้างท่านน้า ที่สำคัญเป็นเพราะนึกถึงรายละเอียดบางอย่างขึ้นมาได้ ตอนแรกที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงบำเพ็ญธรรมนั้น ทรงค้นหาด้วยพระองค์เอง หลายปีต่อมา จึงได้ทรงแต่งตั้งลั่วอวี้เหิงเป็นราชครู และทรงแต่งตั้งนิกายมนุษย์เป็นนิกายประจำชาติ

ในฐานะที่เป็นคนเมืองหลวง สวี่ชีอันยังคงจำได้อย่างแม่นยำ

ถ้าไม่ใช่ลั่วอวี้เหิง แล้วจะเป็นใคร? อืม ยังไม่ตัดเรื่องที่ลั่วอวี้เหิงเป็นคนแอบมอมเมาจักรพรรดิหยวนจิ่งให้บำเพ็ญธรรมออกไป กลับถึงเมืองหลวงแล้วจะลองถามเว่ยกงดู…

“ได้ยินมาว่าในตอนนั้นท่านมีข้อตกลงกับจักรพรรดิเกาจู่? ” สวี่ชีอันรีบถามข้อมูลทันที

“หึหึ มันเป็นเพียงข้อตกลงทางวาจา ตอนนั้นหลังจากต้าโจวล่มสลาย กองกำลังกบฏต่างเข้าพิชิตจงหยวน ความจริงตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะแย่งชิงบัลลังก์แล้ว เพราะข้าพบหนทางที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสอง เมื่อเทียบกับบัลลังก์แล้ว ข้าอยากเป็นอมตะมากกว่า

“และเป็นเพราะนิสัยด้วย ข้าเกิดในครอบครัวที่ยากจน วัยเด็กท่องยุทธภพ มีบุญคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ ชื่นชอบวิถียุทธภพ จึงปรารถนาชีวิตที่อิสรเสรี

“สาเหตุที่ก่อการกบฏ ก็เพราะว่าในตอนนั้นชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ลำบากมาก ไม่มีความหวังในชีวิต จึงต้องก่อการกบฏเป็นธรรมดา เขาแตกต่างกับข้า เขามีความทะเยอทะยาน มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ และปรารถนาที่จะรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่กลับไม่สนใจการเป็นอมตะ

“ข้าจำได้ว่าเขามักจะพูดว่า สิ่งที่ควรใส่ใจในชีวิตของคนเรา สิ่งที่ควรจะแสวงหาคือภารกิจอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การเป็นอมตะ การเป็นอมตะนั้นไม่น่าสนใจ การเป็นจักรพรรดิต่างหากที่มีความหมายยิ่งกว่า

“การประลองครั้งนั้นข้าเป็นฝ่ายแพ้ ไม่ใช่การออมมือ แต่เป็นการยอมแพ้อย่างราบคาบ ในเวลานั้นได้มีการตกลงด้วยวาจากับเขาว่า หากในอนาคตลูกหลานที่อกตัญญูของเขา ทำผิดซ้ำซากต่อราชวงศ์โจวอีก ข้าจะเป็นผู้นำก่อการกบฏ โค่นล้มราชสำนักที่เสื่อมทรามเอง”

ผู้บุกเบิกทุกคนล้วนมีจิตใจที่ซื่อสัตย์สุจริต แต่ลูกหลานรุ่นหลังมักจะก้าวสู่ความเสื่อมทรามท่ามกลางชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ…สวี่ชีอันทอดถอนใจอยู่ในใจ

“เวลานี้ผู้อาวุโสบรรลุขั้นสองแล้วหรือ?” สวี่ชีอันถามหยั่งเชิง

ถามแล้ว เขาก็รีบกล่าวเสริมว่า “ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว”

“หากไม่เข่นฆ่าประชาชนเช่นอ๋องสยบแดนเหนือ อาศัยความสามารถของตัวเอง คิดจะเลื่อนสู่ขั้นสอง เป็นเรื่องยากมาก ข้าเก็บตัวมาห้าร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถข้ามผ่านก้าวสุดท้ายได้”

ชายชราพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพื่อช่วยข้าผ่านอุปสรรค ชิงหยางต้องการจะชิงรากบัวของนิกายปฐพีมาให้ข้ากิน”

สวี่ชีอันหันไปมองเฉาชิงหยางทันที คิดในใจว่า เจ้าไม่ได้พูดกับทุกนิกายแบบนี้ เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการชิงรากบัวมาให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ต่อไปทุกคนจะมีเมล็ดบัวกินในทุกๆ หกสิบปี

เฉาชิงหยางตอบกลับสายตาของเขา ว่า “ข้าสามารถเพาะรากบัวได้”

“เพาะไม่รอดหรอก” สวี่ชีอันเตือน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของข้า” เฉาชิงหยางพูดเรียบๆ

“…”

สวี่ชีอันไม่สนใจเขา มองไปที่ประตูหิน “รากบัวสามารถช่วยให้ผู้อาวุโสเลื่อนสู่ขั้นสองได้?”

ชายชราตอบว่า “มีความเป็นไปได้สูง”

ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ลงมือเอง เขาให้แก่นโลหิตแก่เฉาชิงหยางไปเพียงหยดเดียว ท่าทางของบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นผิดปกติอย่างมาก!

ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย

“หวังว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถช่วยผู้อาวุโสได้บ้าง” เขาพูด

อำลาบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แล้ว เขาก็ตามเฉาชิงหยางกลับไปที่ยอดเขาสูงสุด

หลังพลบค่ำ ภูเขาเฉวี่ยนหรงได้จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ หัวหน้าทุกพรรคและนิกายต่างก็เข้าร่วมงานเลี้ยง

สวี่ชีอันกลายเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงโดยไม่ต้องสงสัย สำหรับเวลาเช่นนี้ สวี่ไป๋เผียวเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ

ชาติก่อนเขามักจะไปดื่มสังสรรค์กับหัวหน้า การเปลี่ยนมาทำธุรกิจก็ไม่เคยขาดการสังสรรค์เช่นกัน หลังจากมาชาตินี้ เขาได้ทำงานในที่ทำการปกครอง และเป็นแขกประจำของสำนักสังคีต

การวางตัวตามพิธีการในงานเลี้ยง เทียบได้กับขั้นหนึ่ง!

ไม่นานก็กลมกลืนกับเหล่าเจ้าลัทธิ หัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เรียกเซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาว่าพี่สาวอย่างโน้นพี่สาวอย่างนี้

หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ ก็มีความสุขมาก พวกเขาไม่คิดว่าฆ้องเงินสวี่จะรู้จักพิธีการ เป็นผู้เชี่ยวชาญในวงสุรา รินปุ๊บหมดแก้วทันที ไม่มีอิดออด แล้วยังเล่าความลับในราชสำนักให้ทุกคนฟังโดยไม่มีการหลบเลี่ยง

ตัวอย่างเช่น ฮองเฮาที่เป็นพระมารดาของแผ่นดินผู้มีสิริโฉมงดงาม ทรงโปรดปรานฆ้องเงินสวี่มาก ทรงมีพระประสงค์จะให้เขามาเป็นราชบุตรเขย

ตัวอย่างเช่น เขาเป็นแขกประจำที่ตำหนักขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ และยังสามารถบอกแผนผังของตำหนักและเรื่องส่วนตัวขององค์หญิงทั้งสองพระองค์ได้อย่างน่าเชื่อถือ

ตัวอย่างเช่น ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ก็มีเรื่องกลุ้มใจเช่นกัน ลูกศิษย์ทั้งห้าของท่านโหราจารย์มีความสามารถและพูดจาน่าฟังทุกคน ท่านโหราจารย์เป็นห่วงพวกเขามาก

ตัวอย่างเช่น บุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวาง ตกหลุมรักญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่อย่างยากที่จะถอนตัว เพื่อเขาแล้ว ถึงกับยอมเป็นศัตรูกับสมุหราชเลขาธิการหวางโดยไม่คิดเสียดาย

แน่นอนว่าเรื่องที่พูดถึงมากที่สุดก็คือเรื่องสนุกที่น่าฟังของสำนักสังคีต

คณิกาฝูเซียงดีดพิณเก่ง แต่เป่าขลุ่ยเก่งกว่า คณิกาหมิงเยี่ยนเต้นรำได้งดงามไม่มีใครเทียบได้ รูปร่างอรชร คณิกาเสียวหย่ามีความรู้กว้างขวาง แต่กลับเป็นคนมีน้ำใสใจจริงและใจกว้าง…

หลังจากดื่มจนเริ่มเมาเล็กน้อยแล้ว งานเลี้ยงจึงเลิกรา

สวี่ชีอันถือดาบของตัวเอง เดินย่องกลับบ้านพักของเขา เข้าไปในห้อง

ความมึนเมาในดวงตาของเขาหายไปทันที

“หลังจากจัดการเรื่องในเมืองหลวง และตรวจสอบจักรพรรดิหยวนจิ่งเสร็จแล้ว ข้าจะมาเจี้ยนโจว และสร้างสัมพันธไมตรีไว้ก่อน ต่อไปจึงจะสามารถไปมาในเจี้ยนโจวได้…”

เขาจุดตะเกียงน้ำมัน นั่งที่โต๊ะ และดึงดาบยาวสีทองดำออกมาวางไว้บนโต๊ะ

จากนั้น ก็หยิบนำกระจกหยกออกมา เทเมล็ดบัวออกมาหนึ่งเมล็ด แกะเปลือก แล้วค่อยๆ กดเมล็ดบัวลงไปในคมมีด

เขาไม่มีกล่องหยก และถึงแม้ว่าจะมี ก็ไม่สามารถใส่มีดยาวสี่ฉื่อได้

จงหลีเคยบอกว่า ดาบของเขาเล่มนี้ขาดแค่ความขลัง และเมล็ดบัวสามารถเสกความขลังได้ ส่งให้ดาบพัฒนาไปสู่กระบวนดาบไร้เทียมทานได้

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด