ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 387 ไต่ถามดวงวิญญาณ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 387 ไต่ถามดวงวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 387 ไต่ถามดวงวิญญาณ

คณะแรกที่ได้เห็นคนที่โดนพระราชกฤษฎีการับผิด คิดและตกตะลึงอยู่ในใจอย่างเหลือเชื่อ ตลอดจนความตื่นเต้นที่ ‘ข้าคือแหล่งข่าวสารแห่งแรก’ ที่ได้แพร่กระจายข่าวนี้อย่างบ้าคลั่ง

หลังจากนั้นประชาชนมากมายก็แห่รวมกลุ่มกันไปที่ประตูเมือง

“เป็นพระราชกฤษฎีการับผิดใช่หรือไม่?”

ประชาชนคนที่ไม่รู้หนังสือตลอดจนคนที่ไม่สามารถเบียดมาถึงข้างหน้าได้ ก็ต่างพากันตะโกนส่งเสียงเอะอะโวยวาย

“ใช่ เป็นพระราชกฤษฎีการับผิด ฝ่าบาททรงออกพระราชกฤษฎีการับผิดแล้วจริงๆ” คนที่อยู่แถวแนวหน้าหน้าตะโกนขานตอบ

“เร็ว รีบๆ อ่านออกมา” คนที่อยู่ข้างหลังเร่งรัดอย่างใจร้อน

“เบื้องบนได้มีพระราชโองการ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าใช้ความเยือกเย็นเพื่อคุณธรรม เพื่อสืบทอดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ปรารถนาเพื่อเปลี่ยนใต้หล้าให้ฟื้นฟูสู่สภาพใหม่ เพื่อใช้ตอบแทนบรรพบุรุษ ไม่คิดว่าจะต้องอาศัยสิ่งที่ไม่ใช่คนจนทำให้เกิดการทำลายล้างเมืองฉู่โจว’

บันทึกที่ 1

หยวนจิ่ง วันที่สิบหก เดือนห้า ปีสามสิบเจ็ด”

พระราชกฤษฎีการับผิดทั้งบทนั้นร่ายยาวเกือบพันตัวอักษร มีระดับกำเนิดปราชญ์อาวุโสหนึ่งท่านยืนแถลงการณ์อยู่ตรงรั้วแนวหน้า อ่านด้วยน้ำเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะจนจบ

ท่ามกลางหมู่ประชาชน มีบางคนที่ฟังเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงงงงวย พวกเขายืนยันได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือจักรพรรดิหยวนจิ่งได้มีพระราชกฤษฎีการับผิดแล้วจริงๆ!

“เป็นเพราะคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวใช่หรือไม่?”

“ฝ่าบาท ทรงมีพระราชกฤษฎีการับผิดแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความได้ว่าสิ่งที่สวี่อวิ๋นหลัวพูดไว้เมื่อวานนี้ ทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ถูกหรือไม่?”

“ข่าวลือพวกนั้นที่พูดให้สวี่อวิ๋นหลัวเสียๆ หายๆ ที่ตลาด ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งหมดใช่หรือไม่?”

สิ่งที่เหล่าประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ แม้ว่าในใจพวกเขาจะเชื่อสวี่ชีอัน แต่เมื่อวานก็มีข่าวลือมากมายเช่นเดียวกันนี้ที่พูดให้สวี่อวิ๋นหลัวเสียๆ หายๆ พูดราวกับว่ามีเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ

พวกเขาต้องการข้อมูลข่าวสารที่ยืนยันได้อย่างด่วน เพื่อมาทำลายข่าวลือเหล่านั้น

ยิ่งกว่านั้น ในสายตาของประชาชนทั่วไป ตำแหน่งของราชสำนักนั้นหยั่งรากลึกในจิตใจของประชาชน หากราชสำนักยอมรับเรื่องนี้ และเสริมความน่าเชื่อถือขอสวี่อวิ๋นหลัว เช่นนั้นก็จะไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก หลังจากนี้ไม่ว่าใครๆ จะพูดอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เชื่อ

ระดับกำเนิดปราชญ์อาวุโสกดมือของเขาลง จากนั้นเหล่าฝูงชนก็เงียบลงทันที เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางส่ายหน้าและถอนหายใจ ก่อนกล่าว

“ฝ่าบาททรงมีพระราชกฤษฎีการับผิด และทรงยอมรับที่ทรงยินยอมปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือกระทำการสังหารหมู่โดยไม่ขัดขวาง สิ่งที่สวี่อวิ๋นหลัวพูดไว้เมื่อวานนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นหากสวี่อวิ๋นหลัวชักดาบออกมาด้วยความโกรธ คดีสังหารหมู่ในฉู่โจวที่ถูกใส่ความอย่างอยุติธรรมก็ยากที่จะชำระสะสาง ใต้เท้าเจิ้งก็จะ…จะนอนตายตาไม่หลับ”

เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจและเสียงตะโกนก่นด่าก็ปะทุขึ้นพร้อมๆ กัน ถึงขนาดที่วิพากษ์วิจารณ์กันเกรียวกราว

“ต้าฟ่งสามารถผลิตสวี่อวิ๋นหลัวผู้นี้ออกมาได้ ช่างเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์เสียจริงๆ”

“น่าเสียดายที่ตอนนี้สวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่ขุนนางอีกต่อไปแล้ว”

“ไม่ใช่ขุนนางแล้วยังไง ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง”

ถึงกับใช้น้ำเสียงดุ

“ทรราช…เจ้าทรราชนี่ คนของฉู่โจวก็ไม่ใช่ประชาชนต้าฟ่งของข้าหรือไง?”

“คนที่ฝึกฌานมายี่สิบปียังเป็นทรราช ยอมปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือทำการสังหารหมู่เมือง นี่ก็คือเผด็จการ”

“ไม่ช้าก็เร็วต้าฟ่งก็จะล่มสลายภายใต้น้ำมือของเขา”

เสียงดุด่าพลันสงบลงอย่างรวดเร็วเพราะถูกขุนนางทหารบริเวณรอบๆ เข้าปราบปราม แต่ประชาชนก็ยังคงสบถด่าอยู่เบาๆ บ้างก็สบถด่าในใจ

แต่ขุนนางทหารก็ไม่ได้อยากจะกระทำการปราบปรามหรือแสดงความไม่เคารพต่อประชาชนเช่นนี้เช่นกัน

เมื่อจักรพรรดิทรงออกพระราชกฤษฎีการับผิด ก็เท่ากับเขายอมรับผิด และเปิดช่องทางให้ประชาชนได้ระบายอารมณ์ด่าทอได้เต็มที่

ณ ราชวิทยาลัยหลวง

เดิมทีเสียงของการอ่านหนังสือจะดังใสก้องกังวานทั่วราชวิทยาลัยหลวงซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของบัณฑิตในใต้หล้า แต่เวลานี้ทุกพื้นที่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงตำหนิและด่าทอด้วยอารมณ์ที่ดุเดือด

เมื่อปัญญาชนด่าทอผู้คน เทียบกับคนสามัญธรรมดาทั่วไปก็มักจะมีรูปแบบลวดลายมากกว่าหลายเท่า

“อ๋องสยบแดนเหนือตายก็ไม่ได้น่าอาลัยอาวรณ์ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็…ก็ทรราชเช่นเดียวกัน นี่ทำให้ประเทศเสียเอกราชเช่นกัน จะยอมให้เขามาก่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านโหราจารย์…ขนาดท่านโหราจารย์ก็ยังไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้ล่วงหน้าเลยหรือ?”

“บุรุษทั้งราชสำนักไม่มีลูกชายเลย ข้ารอศึกษาหนังสือปราชญ์อย่างทรมาน ต้องคลุกคลีกับกลุ่มปัญญาชนกลุ่มนี้ที่ไม่มีความอดทนรับความลำบากมาโดยตลอด?”

“ต้องรอให้สวี่อวิ๋นหลัวสังหารหัวขโมยทั้งสองและทำให้เรื่องวุ่นวายนี้ยิ่งเกิดความโกลาหลอลหม่านไปกันใหญ่หรือ พวกเขาจึงจะกล้าต่อต้านฝ่าบาท ถุย ถ้าเป็นข้า จะเอาหัวทุบพื้นให้คาที่เลย”

“แม้ว่าทหารจะฝ่าฝืนคำสั่งอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องไร้จิตสำนึกเช่นนี้ ก็มีเพียงแต่ทหารเท่านั้นที่มีกำลังสามารถเปลี่ยนทิศของคลื่นที่ซัดอย่างบ้างคลั่งนี้ได้”

“โธ่ สิ่งนี้จะถูกบันทึกลงบนหนังสือประวัติศาสตร์ต่อไปในวันข้างหน้า ปัญญาชนจะต้องเสียหน้าแน่ น่าเสียดายที่สวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่ปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อของข้า”

ในเวลานี้มีบัณฑิตคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและพูดอย่างตื่นเต้น “เหล่าท่านทั้งหลาย ข้าเพิ่งจะได้ยินข่าวดีมาเรื่องหนึ่ง”

เหล่าบัณฑิตทุกคนในลานหันมามองพร้อมกับขมวดคิ้ว

แม้ว่าจักรพรรดิจะทรงออกพระราชกฤษฎีการับผิดและยอมรับผิดเรื่องนี้ ไม่ยอมให้ขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตกล้ำกลืนรับความไม่เป็นธรรม แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมสีดำ ไม่คู่ควรแก่ความตื่นเต้นดีใจ

บัณฑิตหนุ่มคนนั้นเผชิญหน้ากับทุกคน พลางพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าได้ยินมาว่า วันนี้เจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่ ปรากฏตัวที่ท้องพระโรง กล่าวต่อหน้าบุรุษข้าราชการชั้นสูงและฝ่าบาทว่า สวี่อวิ๋นหลัวเป็นศิษย์แนวหน้าของเขา”

‘อะไรนะ?!’

ทันใดนั้น บรรยากาศในลานก็ระเบิดขึ้นพร้อมกับเหล่าบัณฑิตที่ต่างแสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ พลางก้าวขึ้นมาต้อนรับอย่างยินดี

“สวี่อวิ๋นหลัวเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่?”

“ศิษย์แนวหน้าของเจ้าสำนักจ้าว นี่…ประโยคนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?”

บัณฑิตหลายคนต่างใบหน้าแดงก่ำ ดึงแขนเสื้อของคนคนนั้นแน่นพลางถามเสียงดัง

‘เวลานี้ ถ้าหากข้าบอกว่าที่พูดไปนั้นเพียงแค่หยอกเล่น คงจะโดนรุมแน่ๆ’ ชายคนนั้นพึมพำในใจ พร้อมกับพยักหน้าและพูด “มีข่าวลือเรื่องนี้ในแวดวงของทางราชการ ไม่ใช่คำพูดที่ข้าพูดขึ้นอย่างไร้มูลเหตุ”

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ติดต่อกันเลย เมื่อเปิดเผยชัดเจนขนาดนี้แล้ว ไปดื่มสุรากันเถอะ”

“วันนี้ข้าจะไม่อ่านหนังสือแล้ว จะออกไปปล่อยตัวดื่มด่ำสักครั้ง”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อาจารย์กวีแห่งต้าฟ่งก็ถือกำเนิดขึ้นจากทหาร นี่เป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงอยู่ในใจของเหล่าปัญญาชนทุกคน ทุกครั้งที่พูดถึง ก็ทั้งหดหู่ทั้งเลื่อมใส พร้อมทั้งกุมมือไว้พลางทอดถอนใจอย่างตื่นเต้น

เชื่อว่าถ้าหากคนรุ่นหลังได้เห็นประวัติศาสตร์ตอนนี้อีกครั้ง พวกเขาจะต้องหัวเราะเยาะปัญญาชนในรุ่นนี้อย่างแน่นอน ‘ปัญญาชนก็ไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงหลังจากนี้ไปแล้วหรอกนะ’

ตอนนี้ เมื่อรู้ว่าสวี่ชีอันเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าดีใจมากแค่ไหน แม้ว่าสำนักอวิ๋นลู่และราชวิทยาลัยหลวงจะมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์คงจะไม่สนใจเรื่องนี้

ทั้งหมดล้วนเป็นปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อเหมือนกันหมด

บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงตะโกนเรียกเพื่อนพ้องออกไปดื่มสุรา

ขุนนางผู้ช่วยได้นำเรื่องนี้ไปรายงานต่อหัวหน้าผู้อาวุโส และดุอย่างโกรธเคือง “เกือบครึ่งของบัณฑิตในราชวิทยาลัยหลวงได้ออกไปมั่วสุมแล้ว และวันนี้ไม่ใช่วันหยุด”

หัวหน้าผู้อาวุโสผมขาวนั้นเอนตัวอยู่บนที่นอนอ่อนนุ่ม พลางกล่าวอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“เหตุการณ์ในท้องพระโรงวันนี้บอกพวกเราว่าคนที่มีคุณธรรมย่อมจะได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือจากรอบด้าน นักปราชญ์ไม่ได้หลอกลวงข้า”

ความหมายของหัวหน้าผู้อาวุโส คือไม่ใช่ให้เป็นศัตรูกับเหล่าฝูงชน แต่เมื่อเวลาต้องเผชิญหน้า ก็ต้องยอมละทิ้งกฎระเบียบอย่างเหมาะสมและยอมอ่อนข้อให้ ขุนนางผู้ช่วยได้พบกับการถูกบอกปัด พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

ณ พระตำหนักฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิ่งแต่งตัวในชุดพระราชวังสีขาวเรียบๆ ผมดำขลับสลวยดั่งสายน้ำตก นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ สายตามองไปทางหลินอันที่อยู่ในชุดกระโปรงแดง พลางพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวังมาก่อนไม่ใช่หรือ”

นางทบทวนพลางถอนหายใจอีกครั้ง “หลังจากนี้ ชื่อเสียงของเสด็จพ่อและชื่อเสียงของราชวงศ์คงจะตกต่ำลงถึงที่สุด”

ยายตัวร้ายกรอบหน้าเรียวรูปไข่และนัยน์ตาดอกท้อ ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มหวานๆ พูดอย่างตรงไปตรงมา “ทำเรื่องที่ผิดก็ต้องยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแหละนะ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่พระอาจารย์หลวงก็สอนพวกข้า ว่าการรับรู้ข้อผิดพลาดและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีได้นั้น ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

คนที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดายยังไม่สามารถมองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสุขได้เลย

ฮว๋ายชิ่งชังน้องสาวของนางอยู่ในใจ แต่นางไม่สามารถพูดมันออกมาได้

ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของหลินอัน ก็คงจะโฉบเข้าไปตบหน้านางคืน และนางคงต้องโกรธแน่ๆ

ฮว๋ายชิ่งรำคาญใจ แต่คนฉลาด จะไม่สร้างปัญหาและความลำบากให้กับตนเอง

เมื่อเห็นว่าฮว๋ายชิ่งไม่พูดอะไร หลินอันก็เชิดคางขาวราวกับหิมะขึ้น เครื่องประดับที่ซับซ้อนอยู่บนหัวของนางโคลงเคลงไปมา นางพูดอย่างอ่อนช้อย

“บางคนก็รู้จักใช้ปากเรียกร้องหาความชอบธรรม พูดว่าเสด็จพ่อกระทำผิด ผลสุดท้ายก็แค่รอให้ถึงเวลาที่เจ้าใช้พลังอำนาจ ก็จะหยุดพูดทันทีเลย”

ขณะที่พูด นางก็ใช้แววตาที่หยิ่งผยองชำเลืองมองไปที่ฮว๋ายชิ่ง แสดงออกให้เห็นว่าคำพูดนี้คือข้าชนะแล้ว และในที่สุดข้าก็ควบคุมฮว๋ายชิ่งได้หนึ่งครั้ง

ที่ยายตัวร้ายชี้นำคือหมายถึงการนำหลี่เมี่ยวเจินและเหิงหย่วนเข้าสู่เขตพระราชฐานและคุ้มครองพวกเขาจากเรื่องนี้

ฮว๋ายชิ่งยิ้มขัน

หลังจากที่สวี่ชีอันตัดหัวขโมยทั้งสอง หลินอันก็ปัดความกลัดกลุ้มที่ก่อสุมตัวอยู่เต็มอกออกไปและก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะเมื่อวันก่อนนี้นางได้ถูกเหมารวมอยู่กับคำว่า ‘คนทรยศ’ เมื่อถูกเหมารวมเข้าเช่นนี้ นางก็ได้เข้าใจถึงความคิดนี้แล้ว

ไม่เช่นนั้น คงต้องเก็บกลั้นเอาไว้ในใจนานมากๆ คงอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นปมในใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ ต้องมีความทุกข์บ้างไม่ว่าจะมากหรือน้อย

ฮว๋ายชิ่งนำคุณงามความดีส่วนนี้ ‘ยกให้’ หลินอันอย่างถึงที่สุดก็ด้วยสาเหตุนี้

เพียงแต่ว่า ฮว๋ายชิ่งไม่ใช่พี่สาวที่ใจกว้างมากพอที่จะปล่อยให้หลินอันยั่วยุได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ใบหน้านั้นเห็นด้วย พลางยิ้มและพูด “ใช่แล้ว เขามีความรับผิดชอบมากกว่าองค์รัชทายาทของเจ้าอยู่มากเลยล่ะ”

ใบหน้าของหลินอันก็ทรุดลงทันที

“ข้ากลับตำหนักแล้ว” นางลุกขึ้นอย่างโมโห

เสียงกระทบของจี้หยกกระทบกัน สัมผัสสีเหลืองซีดสะท้อนเข้าในดวงตาของฮว๋ายชิ่ง นั่นคือจี้หยกที่มีลักษณะผิวมันวาว

แววตาเย็นชาขององค์หญิงใหญ่ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็ขมวดคิ้ว “ที่เอวของเจ้าชิ้นนั้นคืออะไร?”

หลินอันยื่นมือเล็กๆสีขาวของนางออกมา ดึงจี้หยกขึ้นมาด้วยฝ่ามือ แสดงอาการตกใจละคนสงสัยพลางพูดอธิบาย

“นี่คือจี้หยกที่สุนัขรับใช้ให้มา เนื้อสัมผัสและฝีมือก็พอจะไปวัดไปวาได้ แต่นี่คือเขาสลักด้วยมือของเขาเอง เจ้าดูสิ มีตำหนิมากมายขนาดนี้ ถ้าหากว่าซื้อมา คงไม่ใช่แบบนี้แน่นอน”

พูดจบนางก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นคางที่โค้งมนสวยงามได้เด่นชัด

บางทีตัวนางเองอาจไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ ว่ามีความหวานเล็กน้อยในคำพูดของนาง

ใบหน้าขาวซีดสวยงามของฮว๋ายชิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ดูเหมือนกับจะมีพายุพัดเข้ามา แต่แล้วมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม นางพูดนิ่งๆ “ไปให้พ้นเถอะ อย่ามาอยู่ที่นี่ขัดหูขัดตาข้า”

“ข้าก็กำลังจะไปอยู่แล้ว ฮึ!”

ยายตัวร้ายหายใจแรง คิดว่าฮว๋ายชิ่งสั่งให้เธอหยุดก็เพราะว่าจะพูดประโยคสุดท้ายนั้น เพื่อหักหน้าและปราบปรามนาง

นางหันกลับมาอย่างไม่ยินดี บิดเอวเรียวเล็กนั้น และกระโปรงก็ลอยขึ้นพัดปลิวพลางเดินไปห้องโถงชั้นใน

หลังจากที่นางกระโปรงแดงเดินจากไป ฮว๋ายชิ่งก็โกรธจนเอาตราประทับอันเล็กอันหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน แล้วโยนลงพื้นราวกับระบายความโกรธ

ผ่านไปสักพัก นางก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ยกกระโปรงขึ้นแล้วไปหยิบเก็บกลับมาพลางตรวจดูอย่างละเอียด และพบว่ามุมของตราประทับขาดหายไปอยู่ส่วนหนึ่งเล็กๆ

คิ้วเรียวสวยคู่นั้นก็ขมวดเข้าหากันทันทีด้วยความปวดใจเล็กน้อย

ณ หอดูดาว ภายในห้องห้องหนึ่ง

สวี่ชีอันถอดกระเป๋าภูตออกมา และแกะปมเชือกสีแดงออก จากนั้นก็มีควันสีครามลอยพุ่งออกมาสองทาง กลายเป็นลักษณะของเชวียหย่งซิวและเฉากั๋วกงลอยอยู่กลางอากาศ

ทันทีที่ดวงวิญญาณทั้งสองปรากฏตัวขึ้น อุณหภูมิภายในห้องก็ลดต่ำลง

กระเป๋าภูตนี้คือสิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องพรรณนามากมายก็สามารถเรียกดวงวิญญาณที่เพิ่งเสียชีวิตมาได้ เพราะในกระเป๋าภูตมันมาพร้อมกับค่ายกลของตัวมันเอง

ลัทธิเต๋าก็เป็นลัทธิที่มีความชำนาญในการสร้างอาวุธเวทมนตร์เช่นกัน ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับโหรแล้วคนหนึ่งจะเป็นงานอดิเรกส่วนอีกคนหนึ่งเป็นมืออาชีพ

เฉากั๋วกงและเชวียหย่งซิวเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน ยังกำลังอยู่ในสภาวะที่งงงวยและตะลึง มีคำถามที่ต้องตอบ ไม่มีความคิดใด

สวี่ชีอันมองไปที่เฉากั๋วกงก่อนเป็นอันดับแรก “เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับการสังหารหมู่ได้อย่างไร”

เฉากั๋วกงกล่าวอย่างแข็งทื่อ “หลังจากที่เชวียหย่งซิวกลับมาที่เมืองหลวง เขาได้เข้าพบกับฝ่าบาทอย่างลับๆ และหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน ข้าก็ถูกฝ่าบาทเรียกเข้าพบและบอกเรื่องนี้”

“เขาให้เจ้าทำอะไร?”

“ร่วมมือกับเขาอย่างสุดกำลัง ซึ่งในนี้ก็รวมตัวประกอบที่ถูกหลอกในท้องพระโรงอยู่ด้วย ให้ช่วยเขากระจายข่าวลือต่างๆ เป็นต้น”

เฉากั๋วกงได้รู้เกี่ยวกับคดีสังหารหมู่หลังจากรับงาน อืม…ค่าดวงวิญญาณตนนี้กำลังเลือนรางลง

สวี่ชีอันหันไปมองทางเชวียหย่งซิว และกล่าว “เจ้ารู้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคดีสังหารหมู่หรือไม่?”

เชวียหย่งซิวตอบกลับด้วยอารมณ์นิ่งเฉย “รู้”

“เล่าเรื่องจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดทั้งหมดให้ข้าฟัง”

เอ่อ ความรู้ของข้าต่ำเกินไป ข้าไม่สามารถค้นคว้าคำพูดจาที่มีช่องโหว่เช่นนี้ได้จริงๆ คงต้องถามไปทีละคำถาม สวี่ชีอันดูถูกอยู่ในใจ พลางถามอย่างนิ่งๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอ๋องสยบแดนเหนือร่วมมือกับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีและพ่อมดขั้นสูงของสำนักพ่อมด?”

“รู้”

“จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้วหรือ”

“เรื่องการสังหารหมู่เมืองนั้น เดิมทีฝ่าบาทและไหวอ๋องเป็นคนวางแผน”

สวี่ชีอันไม่แปลกใจกับคำตอบนี้ เพราะเขาเข้าใจจากคำบอกเป็นนัยจากเว่ยกงแล้วว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังในการบงการวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้

“เหตุใดต้องทำการสังหารหมู่เมือง แทนที่จะเริ่มทำสงคราม?” สวี่ชีอันถาม

“ความกระหายเลือดเนื้อมีมากเกินไป เปลืองเวลา การเริ่มต้นของสงครามจะทำให้เกิดปัจจัยหลายอย่างที่ไม่สามารถควบคุมแผนการได้ ซึ่งนี่ไม่ปลอดภัย” เชวียหย่งซิวตอบกลับเช่นนี้

“จุดประสงค์ที่แท้จริงของการวางแผนการนี้ของจักรพรรดิหยวนจิ่งคืออะไร?” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง

เขารู้สึกเสมอว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งตามใจอ๋องสยบแดนเหนือมากเกินไป จนถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถรอให้อ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนตำแหน่งได้ สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับสติปัญญาแนวคิดของจักรพรรดิ และเขาก็ยังเป็นจักรพรรดิที่น่าสงสัยอีกด้วย

‘ฟั่นเฟือน’ สองคำ สามารถลบความสงสัยและความหวาดกลัวของจักรพรรดิที่มั่นคงและสุขุมได้จริงหรือ?

“ไหวอ๋องบอกว่า หากเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสอง ก็จะสามารถควบคุมและถ่วงดุลท่านโหราจารย์ จะทำให้ราชวงศ์ได้มีคนหนึ่งที่เป็นเสาหลักที่แท้จริงที่รักษาความสงบของประเทศ ไม่จำเป็นต้องกลัวท่านโหราจารย์และสำนักอวิ๋นลู่มากเกินไป นี่ก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นกัน”

“เหตุผลนี้ไม่เพียงพอเสียหน่อย เจ้าก็เชื่อแล้วหรือ?”

ประโยคถัดมาของเชวียหย่งซิว ทำให้สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ฝ่าบาท ต้องการหลอมยาวิญญาณ”

“วิญญาณ…ยาวิญญาณคือสิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องการหลอม? นี่ไม่ถูกต้องนะ” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวด้วยความมั่นใจนัก ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีต้องการยาวิญญาณใช่หรือไม่?

ดังนั้น ทั้งสองพี่น้อง คนหนึ่งต้องการยาโลหิตและอีกคนหนึ่งต้องการยาวิญญาณ ก็เลยทำให้ไปซื้อของถูกหรือรับมาฟรีๆ จากเหล่าประชาชนตาดำๆ

นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวไว้ว่าหน้าที่ของยาวิญญาณคือการเสริมความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณเดิม ทำหน้าที่เป็นวัตถุดิบของการกลั่นยาอายุวัฒนะ กลั่นของวิเศษ ซ่อมแซมจิตวิญญาณที่ไม่แข็งแรง และคอยบ่มเพาะอวัยวะและจิตวิญญาณ คำพูดเพียงเท่านี้ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทำเลวอย่างไม่แยแสต่อเสียงคัดค้านของผู้คน และยอมสังเวยประชาชนทั้งกำแพงเมืองหรอก

แน่นอนว่า ยาวิญญาณเป็นเพียงหนึ่งในผลประโยชน์ที่จะได้รับเท่านั้น ยาโลหิตยังสามารถช่วยให้อ๋องสยบแดนเหนือจู่โจมเป็นวงกว้างได้อย่างพอใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้รับผลประโยชน์คืออ๋องสยบแดนเหนือ เมื่อเปรียบเทียบกัน ผลประโยชน์ที่จะได้รับของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่เพียงที่จะทำให้เขายอมเสี่ยงและตัดสินใจเช่นนี้

เทียบกับผลประโยชน์ที่คนหนึ่งคนจะได้รับกับความเสี่ยงที่ไม่ได้คุ้มกันเลย เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่วิเคราะห์จากเปลือกนอกอย่างแน่นอน สวี่ชีอันคลึงหัวคิ้วของเขา

เขาไม่ได้คิดนานนัก พลางถามต่อไป “ยาวิญญาณอยู่ที่ไหน?”

……………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด