ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 497 นักเดินทางหนุ่ม (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 497 นักเดินทางหนุ่ม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 497 นักเดินทางหนุ่ม (1)

เข้าใกล้ขึ้นแล้ว สวี่ชีอันถึงขั้นมองเห็นความตื่นเต้นบ้าคลั่งในดวงตาสีดำสนิทราวกับเมล็ดถั่วดำของเจ็ดยอดกู่

เหมือนกับชายหนุ่มเสเพลแสนชั่วร้ายที่มองเห็นความงามเลิศล้ำ…สวี่ชีอันพึมพำอยู่ในใจด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ไม่เห็นเจ็ดยอดกู่แล้ว

มันหายไปฉับพลัน ราวกับพลังงานที่ไร้รูปที่ถูกลบหายไปกลางอากาศ

นี่คือศพของผู้อาวุโสเทียนกู่ จึงใช้เอกลักษณ์ที่ว่า ‘ไม่มีผู้ใดรู้’ อย่างนั้นหรือ? ไม่ถูกสิ มันยังอยู่…ครู่ต่อมาสวี่ชีอันก็ต้องล้มเลิกการคาดเดานั้น ในสายตาของเขา เขามองเห็นเงาทะมึนเลือนรางรายล้อมอยู่ด้านหลังตน

ทำไมรู้สึกเหมือนมันกำลังล่าอยู่เลยล่ะ?

สวี่ชีอันพลันรู้สึกอยากจะปกป้องหลังคอของตน จึงพุ่งตัวไปข้างหน้า

การพุ่งตัวไปแบบนี้ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นที่หลังคอ ผิวเนื้อราวกับถูกอะไรบางอย่างผ่าออกกะทันหัน

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ อาการกระตุ้นที่ทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องที่หลังคอนั้นคือสัญญาณเตือนอันตรายที่ยังหลงเหลืออยู่ของเขานั่นเอง

ที่หลังคอ เจ็ดยอดกู่สีแดงใช้ปลายแหลมของข้อต่อเฉือนเนื้อของสวี่ชีอันออกอย่างง่ายดายจนเลือดสีแดงไหลออกมา

มันแทงข้อต่อแท่งหนึ่งเข้าไปในกระดูกสันหลังของสวี่ชีอัน ราวกับจะเชื่อมต่อระบบประสาทกับเจ้าของร่างผู้นี้

ดวงตาของสวี่ชีอันแดงก่ำในทันใด ในลำคอส่งเสียงร้องคำรามต่ำอย่างไม่อาจควบคุม ใบหน้าแสดงความบ้าคลั่งจากความเจ็บปวดจนถึงขีดสุด

“วิชากู่ของซินเจียงตอนใต้มีเจ็ดสาย แต่ไม่ว่าจะเป็นสายไหน เหล่าหมอผีก็สามารถเลี้ยงกู่เจ้าชะตาออกมาได้ทั้งนั้น”

ท่านโหราจารย์ยกมือขึ้นแล้วกดลงมาข้างหน้า พลังงานไร้รูปตกลงมาจากฟ้าและทำให้สวี่ชีอันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำได้เพียงยอมรับความเจ็บปวดอย่างไม่เป็นผู้เป็นคนเท่านั้น

“กู่เจ้าชะตาและเจ้าของร่างมีความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยกัน หมอผีทั่วไปจะถูกปลูกฝังกู่เจ้าชะตาตั้งแต่เกิด อย่างช้าที่สุดคือต้องปลูกฝังกู่เช้าชะตาตอนอายุเจ็ดปี กู่เจ้าชะตาที่ถูกปลูกฝังไว้ก็เหมือนกัน พวกมันล้วนต้องเป็นกู่ที่อยู่ในช่วงวัยเด็ก แบบนี้จึงจะสามารถเพิ่มความเข้ากันได้ผ่านการเติบโตไปด้วยกัน และยังสามารถลดการสะท้อนกลับของหนอนกู่ได้อีกด้วย”

ใช่แล้ว การปลูกฝังกู่เจ้าชะตาสามารถเกิดการสะท้อนกลับได้เพราะแก่นของวิธีการนี้คือ ‘คนและกู่รวมเป็นหนึ่งเดียว’ ซึ่งเป็นการละเมิดสถาวะปกติของชีวิต

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสำเร็จ หมอผีจึงมักจะตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกตนกันตั้งแต่เด็กๆ

สวี่ชีอันเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ เจ็ดยอดกู่ก็เป็นหนอนกู่ที่โตเต็มวัยแล้ว การสะท้อนกลับย่อมมีมาก

ข้อต่อที่สองแทงเข้ามาในเนื้อแล้วเชื่อมต่อกับเส้นประสาท ทั่วร่างสวี่ชีอันสั่นสะท้านขึ้นมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นสะเทือน ริมฝีปากก็สั่น เจ็บปวดเสียจนสั่นเทาไปทั้งตัว

ข้อต่อที่สาม ข้อต่อที่สี่ ข้อต่อที่ห้า…ข้อต่อละชิ้นแทงเข้ามาแล้วหยุดนิ่งอยู่ครึ่งเค่อเพื่อให้เวลามนุษย์และกู่ในการหยุดพักอย่างเพียงพอ

สวี่ชีอันรู้สึกเพียงร่างกายทุกส่วนของตนเจ็บปวด อวัยวะราวกับถูกฉีกทึ้งออกมา ความเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าการย่อยยาโลหิตที่เว่ยเยวียนทิ้งไว้ให้

หากการย่อยยาโลหิตเป็นการเร่งปฏิกิริยาของเซลล์เพื่อบังคับให้เซลล์วิวัฒนาการ

เช่นนั้นการหลอมรวมกับเจ็ดยอดกู่ก็เป็นการทำลายเซลล์แบบหนึ่ง เป็นการทำลายห่วงโซ่ของยีน

เดิมทีเขาควรจะตายไปเพราะการทำลายยีนในกระบวนการหลอมรวมกับเจ็ดยอดกู่แล้ว แต่จอมยุทธ์ขั้นสามได้หลุดพ้นออกจากร่างกายของมนุษย์ธรรมดา จึงทำให้เขาต้านทานการสะท้อนกลับประเภทนี้ได้

ข้อต่อที่หกแทงเข้ามา หลังจากมันเชื่อมต่อกับระบบประสาท เจ็ดยอดกู่สีแดงก็เก็บข้อต่อทั้งหกออกมา ร่างกายของมันฝังลงไปในเนื้อทีละนิดๆ แล้วแนบสนิทไปกับกระดูกสันหลังเพื่อซ่อนตัวเองเอาไว้

เมื่อเห็นดังนั้น ท่านโหราจารย์ก็ดีดเส้นเอ็นแกะเรียวเล็กเส้นหนึ่งออกมา มันเย็บปิดปากแผลโดยอัตโนมัติเหมือนมีชีวิต ทั้งยังผูกโบว์กระต่ายให้อย่างสดใสมีจิตวิญญาณอีกด้วย

“รู้สึกอย่างไรบ้าง”

ท่านโหราจารย์หรี่ตาเอ่ยถาม

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ เขาหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความสามารถทั้งเจ็ดจากสัญชาตญาณซึ่งประทับนิ่งอยู่บนยีน

ประเภทแรกเรียกว่าเทียนกู่ รู้กาลฟ้า รู้ภูมิดิน ดวงดาราผันเปลี่ยน มองเห็นความลับของสวรรค์

คนในสายเทียนกู่ส่วนใหญ่จะฝึกตนวนเวียนอยู่ในชั้น ‘รู้กาลฟ้า รู้ภูมิดิน’ โดยทำเรื่องต่างๆ เช่นซ่อมแซมปฏิทินโหราศาสตร์และกำหนดช่วงฤดูกาลเพื่อสร้างผลงานอันโดดเด่นในด้านเกษตรกรรมให้แก่เผ่าพันธุ์กู่

ดวงดาราผันเปลี่ยน คือความสามารถที่จะมีในเทียนกู่ผู้ฝึกฝนจนถึงชั้นสูงส่ง

ความสามารถที่มันมีนั้น สวี่ชีอันได้เห็นเอกลักษณ์ของ ‘ไม่มีผู้ใดรู้’

ในปีนั้นผู้อาวุโสเทียนกู่ได้ใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนมาซ่อนเร้นการรับรู้ของท่านโหราจารย์ นี่คือความสามารถสำคัญที่สุดของเผ่าเทียนกู่

ส่วนการมองเห็นความลับของสวรรค์นั้น เมื่อชาวเผ่าเทียนกู่ฝึกมาถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะสามารถมองเห็นมุมหนึ่งของอนาคตได้ ซึ่งเป็นภาพด้านเดียวที่เลือนรางและคลุมเครือ

เพราะมีความสามารถนี้อยู่จึงทำให้ผู้เผยพระวจนะของเผ่าเทียนกู่เคยทำนายไว้ว่าเทพเจ้ากู่จะฟื้นคืนชีพในที่สุดและทำให้จิ่วโจวกลายเป็นโลกที่มีเพียงกู่เท่านั้น

แน่นอนว่านี่เป็นคนละอย่างกับการมองเห็นความลับของสวรรค์ของโหรขั้นหนึ่ง

หากบรรยายการมองเห็นความลับของสวรรค์ของเทียนกู่ว่าเป็นภาพที่ไม่มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ เช่นนั้นการมองเห็นความลับของสวรรค์ของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าขั้นหนึ่งก็คือภาพยนตร์ของอนาคตนั่นเอง

ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันในด้านคุณภาพ

ผลข้างเคียงคืออารมณ์ของเจ้าของร่างจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโดยรอบ อย่างเช่นเมื่อสภาพอากาศมีฝนตกมืดครึ้ม อารมณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นอึมครึมยิ่งกว่าเดิม และเมื่ออยู่ในสภาพอากาศสดใสสว่างไสวก็จะร่าเริงสดใสขึ้นมา…

ชนิดที่สองเรียกว่าลี่กู่ มันสามารถทำให้ประสาทสัมผัสหกทั้งเจ้าของร่างแม่นยำเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็ทำให้พลังปราณแข็งแกร่งมากขึ้นจนมีความสามารถในการรักษาตนเอง

สองอย่างหลังคือความสามารถหลัก

หมอผีของลี่กู่มีพลังปราณยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า เมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนร่างกายก็ยังด้อยกว่าในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพ

ปรมาจารย์ลี่กู่เชี่ยวชาญการสู้ด้วยกำลังแบบหนึ่งต่อสิบ นอกจากนั้น พวกเขายังมีความสามารถในการรักษาตนเองที่น่ากลัวมากด้วย

ขอเพียงเป็นผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสามและยังไม่สิ้นชีพในตอนนั้น ก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บใดๆ ได้ทั้งสิ้น

แต่หากระดับอาการบาดเจ็บไม่เหมือนกัน เวลาที่ใช้ในการรักษาก็จะแตกต่างกันไปด้วย

ผลข้างเคียงคือ เจ้าของร่างจะมีความอยากอาหารอย่างมาก ยิ่งฝึกตนถึงระดับสูงก็ยิ่งกินมากขึ้น

ประเภทที่สามคือฉิงกู่ ฉิงกู่จะปล่อยปราณไร้สีไร้กลิ่นออกมาเพื่อปลุกอารมณ์ของสิ่งมีชีวิตรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือว่าพืช ล้วนแต่ไม่อาจหนีพ้น

นอกจากนั้น ฉิงกู่ยังสามารถฝังตัวกู่ไว้ในร่างของเป้าหมายได้อีกด้วย จากนั้นก็ทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายไม่อาจหนีพ้นตนเอง ปรมาจารย์ฉิงกู่มักจะใช้วิธีการนี้มาควบคุมทาส หรือแม้แต่คนรักของตน

นอกจากนี้ ฉิงกู่ยังสามารถทำให้ผิวของผู้คนนุ่มลื่นขึ้น บุคลิกท่าทางก็โดดเด่นขึ้น และหล่อหลอมเป็นภาพลักษณ์และร่างกายที่มีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างมาก

มันถึงขั้นสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายผู้ที่กำหนดเพื่อทำให้ไร้ตำหนิได้อย่างไม่ลดละ

ผลข้างเคียงคือ ตัณหาของเจ้าของร่างจะรุนแรงมากเป็นพิเศษ และในสมองจะรู้สึกเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน

ประเภทที่สี่คือตู๋กู่ กู่ชนิดนี้สามารถทำให้เจ้าของร่างใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมาสร้างสารพิษที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ของมันมากมายหลากหลายมาก

บางครั้งยาพิษก็สามารถช่วยผู้คนได้ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องดูที่สถานการณ์อีกที

ผลข้างเคียงคือ ในแต่ละวันจะต้องกลืนกินยาพิษจำนวนหนึ่งเข้าไป หากไม่ใช่พีซวง[1] ก็เป็นต่อมพิษงูเป็นต้น

ประเภทที่ห้าคือซินกู่ ใจความสำคัญอยู่ที่สี่คำ ‘สองใจประกบกัน’ ปรมาจารย์ซินกู่สื่อสารกับอารมณ์บางอย่างที่สามารถกระตุ้นเป้าหมายได้ จากนั้นก็จะใช้อารมณ์นั้นมาส่งผลกระทบต่ออีกฝ่าย

สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดถึงระดับหนึ่งจะได้รับผลกระทบครู่เดียว แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดไม่เพียงพอก็จะได้รับผลกระทบอยู่นาน เป็นการส่งผลกระทบแบบระยะยาว

สิ่งมีชีวิตตัวแทนของแบบแรกคือพวกมนุษย์ ส่วนสิ่งมีชีวิตแบบหลังคือสัตว์ทั้งหลาย

ดังนั้น ซินกู่จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘กู่สัตว์ร้าย’ หมอผีของซินกู่มักจะใช้เพื่อควบคุมสัตว์ ควบคุมแมลง และควบคุมงู เป็นต้น

ส่วนผลข้างเคียงคือ ในทุกๆ วัน เจ้าของร่างอาจจะมีความรู้สึกอยากพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ต่างๆ อย่างอดไม่ไหว หมอผีหลายคนของซินกู่ก็มักจะมีความสัมพันธ์เกินมิตรภาพกับบรรดาสัตว์ ซึ่งเป็นผลมาจากผลข้างเคียงนี้บ่อยๆ

ประเภทที่หกคืออั้นกู่ มันสามารถเก็บงำกลิ่นอายและร่างกายได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญในการหลอมรวมอยู่ในเงามืด และใช้เงามืดเพื่อเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหน

ปรมาจารย์อั้นกู่ทุกคนล้วนเป็นนักฆ่าที่น่าสะพรึง พวกเขาสังหารผู้คนอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งจะไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาจะเข้ามาใกล้ตัวเมื่อใด

เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือ จอมยุทธ์นั้นเป็นผู้ต้านปรมาจารย์อั้นกู่ได้

ส่วนผลข้างเคียงคือ เมื่อเจ้าของร่างเห็นเงามืดหรือมุมมืดที่ซ่อนอยู่ก็จะพุ่งเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว และเจ้าของร่างจะซ่อนตัวเองเอาไว้อย่างน้อยสองชั่วยามทุกวัน โดยไม่มีใครพบเห็น

ประเภทที่เจ็ดคือซือกู่ กู่แม่จะให้กำเนิดตัวกู่ออกมาเพื่อนำไปฝังตัวไว้ในร่างศพ ซึ่งเจ้าของร่างสามารถควบคุมศพได้ผ่านตัวกู่ที่เกิดจากกู่แม่

สิ่งที่แตกต่างจากวิชาควบคุมศพของสำนักพ่อมดคือ สำนักพ่อมดมักจะใช้ประโยชน์แค่ครั้งเดียว เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งไป

ส่วนพวกกู่ หลังจากที่ตัวกู่เข้าไปเป็นปรสิตในร่างศพแล้วก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับศพ และตัวกู่จะแข็งแกร่งขึ้นตามความแข็งแกร่งของกู่แม่ อีกทั้งร่างศพก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

ปรมาจารย์ซือกู่ขั้นสามคนหนึ่งสามารถแบ่งตัวกู่ขั้นสี่ออกมาได้อย่างน้อยยี่สิบตัว ส่วนขั้นอื่นๆ ก็มีบ้างประปราย

นอกจากนั้น หากตัวกู่เข้าไปเป็นปรสิตในร่างศพที่เพิ่งตายก็จะคล้ายกับการยึดครองบ้าน พวกมันจะมีความสามารถและพลังปราณในสมัยยังมีชีวิตอยู่ของผู้ตาย แต่จะรักษาเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับการฝึกตนของหมอผีผู้นั้นเอง

ส่วนผลข้างเคียงคือ เจ้าของร่างจะมีความต้องการอยากสมสู่กับศพที่รุนแรงมาก ปรมาจารย์ซือกู่มักจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจอธิบายได้กับร่างศพเพราะผลข้างเคียงนี้บ่อยๆ

“แข็งแกร่งมาก เจ็ดยอดกู่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันเพิ่งจะตื่นขึ้นมาขั้นแรกเท่านั้น ข้าจึงสามารถใช้พลังขั้นพื้นฐานของมันได้นิดหน่อย ถึงอย่างไรเทียนกู่ก็คล้ายจะพัฒนาได้ไม่เลวเลย ข้าสามารถใช้พลังดาวเคลื่อนดาราคล้อยได้ตรงๆ แต่ว่าผลข้างเคียงของเจ็ดยอดกู่มัน…”

สวี่ชีอันเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็พลันหยุดไป สีหน้าดูซับซ้อน

ผลข้างเคียงของกู่ชนิดอื่นๆ ก็ช่างเถอะ แต่ผลข้างเคียงของฉิงกู่ ซินกู่ และซือกู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นการประสานที่สมบูรณ์จนที่ไม่เหลือทางรอดให้ใครเลย

ซินกู่และซือกู่จะทำให้เจ้าของร่างเกิดความรู้สึกที่มากกว่ามิตรภาพกับสัตว์และศพอย่างรุนแรง จากนั้นช่วงเวลาสำคัญนี้ก็จะเกิดผลข้างเคียงของฉิงกู่ขึ้นมา…

สวี่ชีอันเป็นกังวลอย่างมากกับสุขภาพจิตของตัวเองในอนาคต

ท่านโหราจารย์นำมือไพล่หลังแล้วยิ้มตาปิด

“ความจริงแล้วผลข้างเคียงพวกนั้นคือส่วนหนึ่งในการหล่อเลี้ยงให้หนอนกู่เติบโต หากเจ้าปฏิบัติตามทุกวัน เจ็ดยอดกู่ก็จะเติบโตอย่างแข็งแรงขึ้น และการฝึกตนของเจ้าก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเพิ่งตื่นขึ้นมาขั้นแรก แต่เจ้าก็จะไม่มีคู่ต่อสู้เมื่อเจอกับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้าอย่างแน่นอน”

สวี่ชีอันถอนหายใจ “โลกมนุษย์ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของท่านโหราจารย์ก็เริ่มหาย เขาหันกายแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็หยิบหอยสังข์สลักลวดลายออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนไปให้พร้อมเอ่ยว่า

“มีเรื่องอะไรจะให้ช่วยเจ้าก็ติดต่อไป นี่คือศิษย์คนที่สองของข้า ซุนเสวียนจี”

ศิษย์คนที่สองของท่านโหราจารย์จะเป็นคนประหลาดแบบไหนอีกล่ะ…สวี่ชีอันรับหอยสังข์มากแล้วชำเลืองมองท่านโหราจารย์

แววตาของเขาราวกับแทงทะลุจุดที่เจ็บลึกลงไปในใจของท่านโหราจารย์ ท่านโหราจารย์เฒ่าจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา

“ไสหัวไป!”

…………………………………………………

[1] พีซวง (砒霜) สารหนู

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด