ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 308 ร่างอมตะ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 308 ร่างอมตะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 308 ร่างอมตะ

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้มองนานนัก หลังจากเท้าแตะพื้น เขาก็ผลักเหิงหย่วนที่กำลังจะหันหลังกลับไปช่วยคน แล้วตะโกนว่า “ฉู่หยวนเจิ่น พาเหิงหย่วนออกไป!”

“ส่วนคนที่เหลือ รีบถอยออกจากหลุมฝังศพหลัก”

ท้ายที่สุดเขาหันหลังกลับท่ามกลางลมกระโชกแรง เขย่าหอกแล้วขว้างออกไป หอกเหล่านั้นที่ห่อหุ้มด้วยพลังปราณหยินก็ระเบิด ทำลายร่างของนักบวชเต๋าจินเหลียน

ใบหน้าของเขาพลันซีดขาว ร่างกายของเขาเกือบจะกลายเป็นหยินทันที

กลุ่มโฮ่วถู่อาศัยประโยชน์จากจังหวะนี้หลบหนีออกจากหลุมฝังศพหลักพร้อมกับฉู่หยวนเจิ่นและจงหลี เหิงหย่วนถูกฉู่หยวนเจิ่นโจมตีเพื่อผนึกเส้นลมปราณและบังคับให้พาพวกเขาออกไป

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้ต่อสู้อีก คงเหลือไว้เพียงภาพติดตา ก่อนจะหนีไปในทันที

‘ตูม!’

ประตูหลุมฝังศพหลักถูกปิดลง

“เจ้าไม่ใช่นายท่าน แต่กลับบังอาจช่วงชิงโชคชะตาของนายท่านอย่างนั้นรึ”

ซากมัมมี่ชุดเหลืองยกแขนขึ้นสูง จนร่างของสวี่ชีอันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ปากสีม่วงดำของมันพ่นไอหยินอันน่าสยดสยองออกมา

อุณหภูมิของสุสานทั้งหมดลดลงอย่างรวดเร็ว แท่นสูงและชั้นหินถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ส่งเสียง ‘ครืน’ แอ่งน้ำทั้งสองข้างของทางเดินพลันควบแน่นเป็นน้ำแข็ง

สีทองสว่างขึ้นระหว่างคิ้วของสวี่ชีอันและปกคลุมใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลั่งไหลไปตามร่างกายราวกระแสน้ำ แต่เขากลับถูกมัมมี่บีบคอแน่น ปิดกั้นแสงสีทอง ทำให้มันไม่สามารถปกคลุมพื้นผิวของร่างกายและเปิดเผยร่างระดับเพชรไร้พ่ายออกมาได้

“เจ้ามดต่ำต้อย ในเมื่อเจ้ากล้าช่วงชิงโชคชะตาของนายท่าน เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าติดอยู่ที่นี่ตลอดไป กลืนกินเนื้อของเจ้า บดเคี้ยวกระดูกของเจ้า แล้วกดวิญญาณของเจ้าไว้ในหลุมฝังศพ ให้เผชิญกับความทุกข์ทรมานในชีวิตหลังความตายไปชั่วนิรันดร์”

มัมมี่ชุดเหลืองโกรธแค้นยิ่ง เนื้อบริเวณมุมปากของมันแยกออก เผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมคู่หนึ่ง

จากนั้นมันก็กัดคอของสวี่ชีอัน

‘กึก!’

เสียงเหล็กเสียดสีดังออกมา เขี้ยวแหลมคมที่สามารถบดขยี้เหล็กชั้นดีได้ง่ายๆ กลับไม่สามารถเจาะเลือดเนื้อของสวี่ชีอันได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่แสงสีทองทะลุผ่านฝ่ามือของเขา ย้อมลำคอของเขาให้เป็นสีทองอร่าม

แสงสีทองแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมร่างกายของสวี่ชีอัน

ร่างสีทองอร่ามพลันสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของสุสานหลัก

ราวกับเทพเซียนเสด็จลงจากสวรรค์

“ซากศพไร้ค่า…กล้าอวดดีต่อหน้าอาตมางั้นรึ”

ประโยคครึ่งแรกเป็นเสียงของสวี่ชีอัน แต่ครึ่งหลังของประโยค เสียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดว่ามาจากบุคคลอื่น

ยามนี้สวี่ชีอันเหมือนกับเป็นร่างจุติของเทพเซียนแห่งสวรรค์ ยื่นมือออกมา แล้วค่อยๆ ง้างนิ้วของมัมมี่ชุดเหลือง เขาสามารถง้างอย่างรุนแรงในคราวเดียวได้ แต่เลือกใช้วิธีการที่เชื่องช้าเพื่อตอกย้ำความเจ็บปวดทรมานยิ่งขึ้น

แขนของมัมมี่ชุดสีเหลืองสั่นสะท้านเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของมันไม่เพียงพอที่จะต่อสู้

‘ฉึบ!’

อีกมือของมัมมี่ชุดเหลืองจ้วงแทงเข้าที่หน้าอกของสวี่ชีอัน แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านสีทองอร่ามที่เคลือบอยู่ทั่วร่างได้ ฝ่ามือของมันกำหมัดแน่นทันที เปลี่ยนจากการแทงเป็นหมัดหนักหน่วง ส่งให้ร่างสวี่ชีอันลอยกระเด็นออกไป พร้อมกับเสียงระเบิดของพลังปราณที่ดังลั่นทำลายโสตประสาท

“โฮก…”

มัมมี่ชุดเหลืองฉีกปากที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรังออกกว้าง ภายในคล้ายเป็นกระแสน้ำวนลึกที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ ซากมัมมี่ทั้งสี่บนแท่นสูงถูกกระแสดึงดูดรุนแรงราวพายุดูดร่างเข้าไป

จากนั้นซากมัมมี่ทหารยามที่ยืนอยู่ตรงสองเสาของบันไดก็ลอยขึ้นจากพื้นทีละตัว ถูกดึงดูดเข้าไปในปากมัมมี่โดยสมัครใจ

‘กร๊อบ กร๊อบ’ ระหว่างการเคี้ยวนั้น รูปร่างของมัมมี่ชุดเหลืองก็ใหญ่โตขึ้น กรงเล็บสีดำสนิทยืดออก เนื้อที่เหี่ยวแห้งก็บวมเป่งขึ้นเช่นกัน ชิ้นส่วนของเกล็ดที่เรียงตัวราวกับเกราะค่อยๆ โผล่ออกมาปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย

แผงคอแข็งสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นบนศีรษะ

มันกลายเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงถึงสิบฟุต

มัมมี่ชุดเหลืองซึ่งมีรูปลักษณ์แปลกไปจากเดิมมากยืนอยู่บนแท่นสูง มองขึ้นไปยังร่างสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังกึกก้องว่า

“ที่แท้เจ้ามดต่ำต้อยเช่นเจ้าที่บังอาจช่วงชิงโชคชะตาของนายท่านก็มีอรหันต์ซ่อนเร้นอยู่ในร่าง ดูเหมือนว่าข้าหลับใหลนานเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าร่างกายที่แข็งแรงเช่นนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกแล้ว”

“นี่คือร่างทองของสำนักพุทธ” ไต้ซือเสินซูตอบกลับ

“สำนักพุทธงั้นหรือ” สัตว์ประหลาดเอียงศีรษะ จ้องไปที่ร่างสีทองด้วยแววตาดุร้าย

“อ้าว เจ้าไม่รู้จักสำนักพุทธหรอกหรือ ดูเหมือนว่าถูกก่อตั้งขึ้นมานานแล้วแท้ๆ” ไต้ซือเสินซูกล่าวเบาๆ “บังเอิญเสียจริง อาตมาเองก็เกลียดชังสำนักพุทธยิ่งนัก”

คลื่นสีทองพลันระเบิดออกกลางอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะกระแทกลงมาเสมือนอุกกาบาต

‘ตูม!’

ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายประกบกันขณะต่อสู้อยู่บนแท่นสูง แท่นสูงนี้ยืนหยัดมานานนับปี เวลานี้กลับเกิดเสียงปริแตกที่คมชัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศษหินดินทรายแตกกระจายและหลุดร่วง

ในที่สุดก็เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ แท่นสูงพังทลายลงจนหมดสิ้น

ร่างสีทองและซากมัมมี่ร่วงลงมาพร้อมกัน ฝ่ายหลังเหวี่ยงหมัดทุบเข้าที่หน้าผากของร่างสีทอง ขณะเดียวกันแสงสีทองที่เป็นผลมาจากแรงกระแทกก็โปรยปรายไปทั่วราวกับเศษซาก ทำให้ร่างสีทองหน้ามืดตามัว

‘ตุบ ตุบ ตุบ’

หมัดของมัมมี่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่จะระดมชกเข้าที่บริเวณหน้าอกและหน้าผากของร่างสีทอง ทำให้แสงสีทองกระจายออกมาเป็นชิ้นๆ

ร่างสีทองรีบคว้าข้อมือของซากมัมมี่ไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดว่า “เจ็บ เจ็บเจียนตาย”

จากนั้นเขาก็กล่าวพึมพำกับตนเอง “ฮึ่ม เจ้าสัตว์โสมมตัวนี้ช่างร้ายกาจนัก ต้องเริ่มโต้ตอบบ้างแล้ว…”

สิ้นเสียงนั้น ฝ่าเท้าของเขาก็เตะซากมัมมี่สัตว์ประหลาดจนลอยขึ้นกลางอากาศ

แสงสีทองสลายเป็นเส้นบางๆ พุ่งห่างออกไป ตามด้วยเสียงตกกระทบดัง ‘ปัง’ ร่างต้องกระแทกเข้ากับโดมของสุสานหลักเป็นแน่ เพราะมีเศษก้อนหินแตกและร่วงหล่นเต็มไปหมด

มัมมี่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เงยหน้ามองขึ้นไปบนโดมด้านบนพร้อมกับคุกเข่าลงอยู่ในท่าทางสะสมพลังปราณ

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น อุกกาบาตสีทองอร่ามตกลงมาอีกครั้ง

มัมมี่ชุดเหลืองซึ่งเตรียมพร้อมมานานแล้ว รวบรวมกำลังชกหมัดขึ้นไปบนท้องฟ้า หมายให้พลังพุ่งออกไปปะทะเข้ากับร่างสีทองนั้น

สิ้นแสงสีทองอร่ามที่ปรากฏ ก้อนกรวดและน้ำข้นขุ่นที่อยู่ด้านล่างพลันม้วนกลิ้งขึ้นไปสู่ด้านบน แรงหมัดแปรเปลี่ยนกลายเป็นลมกระเพื่อม กระแทกเข้ากับกำแพงหินทั้งสี่ด้านของหลุมฝังศพ จนกำแพงหินแตกร้าวออกทีละรอย ก้อนหินน้อยใหญ่กลิ้งตกลงมา

เท้าของมัมมี่ชุดเหลืองจมลึกลงไปในพื้นดิน พร้อมกันกับร่างสีทองที่ฉวยโอกาสนี้ในการชกกลับ ด้วยพลังหมัดอันรุนแรง ทำให้ซากมัมมี่ถูกกระแทกจมเข้าในไปกำแพงหิน

“ไต้ซือ ต้องตัดหัวมันออก” สวี่ชีอันกล่าวเสียงดัง

ร่างสีทองกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่แล้วปากที่อาบชุ่มโชกไปด้วยเลือดของซากมัมมี่ก็อ้ากว้างอีกครั้ง กลายเป็นกระแสน้ำวนที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง

แสงสีทองถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของมัน ทำให้ร่างกายที่อาบเคลือบด้วยสีทองของเขาพลันจางลงในทันที

ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างสีทองกวักมือเรียก ทันใดนั้นภายในน้ำเน่าขุ่น ดาบยาวสีดำทองก็พุ่งขึ้นมาจากน้ำ กระแทกเข้ากับใบหน้าด้านข้างของซากมัมมี่ ทำให้หัวของมันสั่นคลอนเล็กน้อย

ร่างสีทองฉวยโอกาสนี้จนสามารถหลุดออกจากกระแสน้ำวน ก่อนก็กวาดขาฟาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะอีกฝ่าย เศษแสงสีทองสาดกระเซ็น เกล็ดและเขาที่งอกขึ้นอยู่เหนือส่วนหัวของซากมัมมี่ปริแตก

‘ผัวะ ผัวะ!’

หน้าแข้งเตะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพติดตา ระดมเตะเข้าที่ด้านหลังหัวซากมัมมี่ไม่หยุดหย่อน กระทั่งมันระเบิดออก เขาแหลมคมหักเป็นท่อนๆ

ขณะนั้นเอง ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของสวี่ชีอัน ดาบโบราณขึ้นสนิมที่พุ่งออกมาจากน้ำเมื่อครู่ กลับแปรพักตร์พุ่งเข้าโจมตีจากทางด้านหลังของเขา

เขาจึงรีบดึงขาที่ยังระดมเตะกลับมาอย่างทันท่วงทีโดยไม่ลังเล แล้วม้วนตัวกลิ้งไปด้านข้าง

วินาทีต่อมา เสียงกรีดร้องดังขึ้น ดาบโบราณที่ล้มเหลวในการโจมตีอยู่ในมือของมัมมี่แล้ว

มันยังคงเป็นดาบขึ้นสนิมธรรมดาสามัญ ทว่าไอหยินชั่วร้ายที่เล็ดลอดออกมาจากมัน ทำให้คิ้วของร่างสีทองกระตุก

“นี่คืออาวุธเวทมนตร์ที่นายท่านทิ้งไว้ ดูดซับพลังหยินจำนวนนับไม่ถ้วนในสุสาน เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำลายเกราะปกป้องร่างกาย” เสียงของมัมมี่ทั้งทุ้มต่ำและแหบแห้ง

ขณะที่มันเอื้อนเอ่ย ไอหยินสีดำสนิทก็ล้นทะลักออกมาจากน้ำขุ่นด้านล่าง ผสานเข้ากับร่างกายของมัน ซ่อมแซมเขาแหลมที่แตกร้าว

ทำอย่างไรดี สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นบนดินแดนที่ฮวงจุ้ยเอื้ออำนวย ซึ่งเทียบเท่ากับค่ายกลที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ซากมัมมี่จึงอาศัยประโยชน์จากมัน…ร่างกายของสวี่ชีอันถูกส่งให้ไต้ซือเสินซูครอบงำโดยสมบูรณ์ ทว่าจิตใต้สำนึกของเขายังคงชัดเจน จึงทำการวิเคราะห์มันโดยสัญชาตญาณ

ลองคิดดูว่าถ้าเป็นตัวข้าเอง จะจัดการกับสิ่งชั่วร้ายนี้อย่างไร

ไต้ซือเสินซูพนมมือ เสียงที่สงบและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ดังขึ้น “วางดาบนั่นลง แล้วหันกลับเข้าฝั่ง”

เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ ฉับพลันมือของมัมมี่ที่กำลังถือดาบก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ราวกับว่ามันจับอาวุธไม่มั่นคง ก่อนจะเปลี่ยนมาจับดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ถึงกระนั้นแขนทั้งสองข้างก็ยังสั่นสะท้าน

ระหว่างที่ศัตรูกำลังต่อต้านพลังไร้เทียมทาน ร่างสีทองฉวยโอกาสนี้ทะยานออกไป ร่างลอยอยู่เหนือซากมัมมี่ ก่อนที่สองมือจะสร้างรอยประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว

อักขระ ‘สวัสติกะ’ สีทองอร่าม ควบแน่นอยู่เหนือร่างสีทอง ยิ่งนานอักขระ ‘สวัสติกะ’ ก็ยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นวงกลม โดยมีร่างสีทองอยู่ตรงกลาง

ร่างสีทองหลับตาลง รอยประทับที่ฝ่ามือสร้างขึ้นยังคงดำเนินต่อไป จากนั้นจึงโบกมืออย่ารวดเร็วจนมองเห็นเพียงภาพติดตา

อักขระ ‘สวัสติกะ’ สว่างเรืองขึ้นเรื่อยๆ เปล่งแสงแห่งพุทธสีทองพราวพร่าง ย้อมให้ทั่วทั้งหลุมฝังศพเปล่งประกายไปด้วยรัศมีสีทองเจิดจ้า

ทันใดนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็หยุดโบกสร้างรอยประทับ กลับมาพนมมือดังเดิม

‘บูม!’

มวลอากาศส่งเสียงอึกทึก ลำแสงสีทองพวยพุ่งลงมาจากอักขระ ‘สวัสติกะ’ ครอบคลุมทั่วร่างมัมมี่ชุดเหลือง

‘ซู่ๆ…’

เสียงราวกับน้ำซึ่งถูกเทราดลงในกระทะน้ำมันที่กำลังเดือดดังขึ้น ควันดำพวยพุ่งออกมา ซากมัมมี่ที่อยู่ท่ามกลางแสงสีทองแผดเสียงคำราม

ก่อนที่แสงสีทองจะดับไป ไต้ซือเสินซูกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หยุดโกรธ หยุดโมโห หยุดต่อสู้”

ลำแสงสีทองจางหายไป ร่างของซากมัมมี่เต็มไปด้วยรอยไหม้ บนเขามีรอยแตกร้าว เผยให้เห็นเลือดเนื้อสีดำสนิท

ทว่าตอนนี้มันไม่หลงเหลือความโกรธแค้นหรือจิตสังหารใดๆ อีกต่อไป ไม่เคลื่อนไหวทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงต้องการสงบสติอารมณ์และหาทางออกอย่างสันติ

แต่ไต้ซือเสินซูกลับไม่มีความคิดเช่นนั้น เขาลดระดับลงมาจากด้านบน หมายสังหารอีกฝ่ายให้ตายตกไปด้วยดาบเดียว

ฝ่ามือกดลงบนศีรษะ พลังปราณระเบิดเสียงดัง ‘ตูม’ เกล็ดแข็งบนหัวของมัมมี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาแหลมก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นเดียวกัน เผยให้เห็นสมองสีดำที่เต้นตุบอยู่ภายในนั้นเหมือนหัวใจ

ทันใดนั้น แววตาของมัมมี่กลับฟื้นคืนสติจนมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน มันหลุดพ้นจากสิ่งที่พันธนาการร่างกายไว้ ‘กร๊อบ กร๊อบ’ กะโหลกก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์วิกฤต มันเอื้อมมือไปจับดาบสีดำทองเล่มเดิม

ถึงคราวโต้กลับ

‘ฝุบ’…ดาบสีดำทองที่ถูกทิ้งไว้โดยนายท่านของซากมัมมี่ สามารถทำลายระดับเพชรของไต้ซือเสินซูได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอก

สิ่งที่ไหลทะลักออกมาไม่ใช่เลือดสดๆ สีทองหรือสีแดงฉาน แต่กลับเป็นของเหลวสีดำสนิท

โดนยาพิษงั้นหรือ?! หัวใจของสวี่ชีอันจมดิ่งลง รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันใด

สองร่างที่ทรงพลังต่อสู้กันต่อไปในหลุมฝังศพที่ว่างเปล่า ซากปรักหักพังเริ่มแตกหัก อากาศว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยคลื่นแห่งอารมณ์ขุ่นมัว หลุมฝังศพทั้งหมดสั่นสะเทือน

ในระหว่างกระบวนการ ไต้ซือเสินซูกลืนกินพลังหยินของซากมัมมี่ด้วยกระแสธรรมะ ส่วนซากมัมมี่ก็กัดเซาะร่างสีทองของไต้ซือเสินซูด้วยดาบทองสัมฤทธิ์

ความแตกต่างคือที่นี่เป็นถิ่นฐานของซากมัมมี่ อีกทั้งสุสานใต้ดินยังเต็มไปด้วยพลังหยินอันแข็งแกร่ง ในทางกลับกันไต้ซือเสินซูอยู่ในสถานะว่างเปล่าราวอากาศ ไม่สามารถเติมเต็มกายเนื้อได้

“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เหตุใดจึงไม่ยอมพ่ายแพ้ไปเสีย” ซากมัมมี่ยังคงแทงทะลุร่างสีทองด้วยดาบสัมฤทธิ์ กล่าวด้วยเสียงอู้อี้

“เจ้าตื่นขึ้นแล้ว หากไม่ฆ่าเจ้า สิ่งมีชีวิตรอบข้างจะไม่อาจอยู่รอด” ไต้ซือเสินซูตอบกลับ

“ข้าไม่ต้องการทำลายสุสานนี้ หากเจ้ายอมพ่ายแพ้แต่โดยดี ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

“ยังไม่สำนึกอีก” ไต้ซือเสินซูส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

“ช่วยไม่ได้!”

ขณะที่ซากมัมมี่กำลังจะทุบอวัยวะภายในของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น เสียงรัวดั่งกลองก็ดังขึ้นจากหลุมฝังศพที่ว่างเปล่า

‘ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ!’

เสียงตีกลองเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ความถี่ก็รัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นมัมมี่พลันสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากแขนของตน ปรากฏว่าเสียงกลองที่ดังขึ้นอย่างรุนแรงนั้น คือการเต้นของหัวใจคู่ต่อสู้

เมื่อการเต้นของหัวใจดำเนินต่อไปจนถึงจุดหนึ่ง ค่ายกลเวทลักษณะคล้ายเปลวไฟก็โผล่ออกมาจากระหว่างคิ้ว ก่อเกิดเป็นเปลวไฟสีดำที่ลุกโชน

ร่างกายของสวี่ชีอันเริ่มบวมเป่ง ผิวกายสีทองที่แข็งแรงยิ่งกลายเป็นสีดำสนิท เส้นเลือดสีน้ำเงินน่าสะพรึงกลัวปูดโปนขึ้นมาราวกับผิวหนังจะแตกออกเสียให้ได้

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนจากมนุษย์เป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์

สัตว์ประหลาดตัวนี้ค่อยๆ ยืดตัวขึ้น กระดูกภายในร่างกายส่งเสียงดัง ‘กรอบแกรบ’ เขาเงยหน้าขึ้น แสดงอาการมึนเมา “ได้ปลดปล่อยเสียที…”

เขายกมืออันดำมืดของตนเองขึ้น จับดาบเล่มนั้นแล้วทุบเบาๆ

ให้ตายสิ ข้าเกือบจะลืมร่างเดิมของไต้ซือเสินซูไปแล้ว…เมื่อเห็นฉากนี้ จิตใจของสวี่ชีอันพลันเย็นเยียบ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไต้ซือเสินซูปรากฏตัวต่อหน้าเขาในรูปของภิกษุผู้อ่อนโยนเสมอ เขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าเหิงฮุ่ยเป็นเหมือนปีศาจเมื่อถูกไต้ซือเสินซูเข้าสิง

ฝ่ามือนั้นทั้งดำมืดและน่าสะพรึงกลัว เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความน่าสยดสยอง

“อันที่จริง อาตมาก็ไม่ต้องการสำแดงร่างอมตะเท่าไรนัก สำหรับอาตมาแล้ว นี่เป็นการสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก จำเป็นต้องกินเนื้อและเลือดของสิ่งมีชีวิตอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชยพลังกลับคืน ทว่าอาตมารังเกียจการเข่นฆ่า เกลียดชังเป็นที่สุด” ไต้ซือเสินซูกล่าวเบาๆ

เขามองดูซากมัมมี่อย่างเฉยเมย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสง่างามราวกับจักรพรรดิยุคโบราณได้ตื่นขึ้นแล้ว ท่าทางนั้นเต็มไปด้วยความไม่แยแส ความมั่นใจในตัวเอง และการเหยียดหยามฟ้าดิน

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไม่สิ เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่”

เมื่อซากมัมมี่เห็นฉากนี้ มันแสดงท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พลางแค่นเสียงคำรามเคร่งขรึม

คำตอบสำหรับมันคือฝ่ามือของไต้ซือเสินซูที่ค่อยๆ กดลงบนหัวของมัน ซากมัมมี่รีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว ไม่เต็มใจจะอยู่รอความตาย

แต่ดูเหมือนไต้ซือเสินซูจะเพิกเฉยต่อท่าทางรักตัวกลัวตายเช่นนั้น ฝ่ามือของเขายังคงเคลื่อนลงมาอย่างเชื่องช้าไม่หยุดหย่อน กดลงบนส่วนหัวที่ปกคลุมไปด้วยขนหนา แล้วผ่อนลมหายใจออกอย่างเงียบเชียบ

‘ตูม!’

ท่ามกลางเสียงอู้อี้ของพลังปราณที่ระเบิดออก ดวงตาของซากมัมมี่มืดมัวไปชั่วขณะ ร่างในคราบสัตว์ประหลาดอ่อนปวกเปียก ดูเหมือนว่ากระดูกไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป จึงล้มลงกับพื้น

“นะ นายท่าน…ข้าคงไม่สามารถอยู่รอท่านได้อีกต่อไปแล้ว” มัมมี่เอ่ยอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ไต้ซือเสินซูกลั่นแก่นโลหิตออกมาจากปลายนิ้ว โน้มกายลงไป วาดอักขระ ‘สวัสติกะ’ ลงกลางหน้าผากของมัมมี่

แสงสีทองสว่างวาบ แผ่กระจายไปทั่วร่างซากศพที่แห้งเหือด ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ขณะที่มันรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย พบว่าร่างของตนเองที่ถูกอีกฝ่ายผนึกปรากฏสีฉูดฉาดขึ้นมา จึงเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่ฆ่าข้าเสีย”

เป็นเรื่องยากสำหรับไต้ซือเสินซูที่จะรักษาร่างอมตะของตนเอาไว้ ค่ายกลเวทเปลวเพลิงหายไป ความมืดมิดจางลง แล้วรูปลักษณ์ของสวี่ชีอันก็กลับคืนมา

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาแค่เพียงสิบวินาทีเท่านั้น

ไต้ซือเสินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฆ่าเจ้าแล้วได้ประโยชน์อันใด ในเมื่อเจ้าเป็นเพียงซากศพเท่านั้น”

“ผู้ใดคือนายท่านของเจ้า”

กลุ่มคนรีบออกจากหลุมฝังศพ เข้าไปในอุโมงค์ แล้วกลับไปที่เขาวงกต

ด้านหลังพวกเขาไร้ความเคลื่อนไหวของเหล่าทหารยามมัมมี่ที่ติดตามมาอีก ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ ฉู่หยวนเจิ่นถอนพลังคืนจากเหิงหย่วนด้วยความหนักใจ

‘ตูม!’

หมัดขนาดเท่าหม้อของจอหงวนฉู่ตกลงบนใบหน้าของเหิงหย่วน หลังจากถูกทุบตีแล้ว เขาก็หันหลังกลับโดยไม่พูดอะไร ตั้งใจมุ่งหน้ากลับไปยังสุสานหลัก

นักบวชเต๋าจินเหลียนหยุดเขาไว้และพูดอย่างเคร่งขรึม “อยากกลับไปตายหรืออย่างไร”

เหิงหย่วนเผยสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยด้วยเสียงต่ำ “หลีกทาง”

ใบหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนซีดขาวราวกับคนตาย ดวงตาของเขาขุ่นมัว สภาพร่างกายอิดโรย ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “พวกเราเข้ามาในเขาวงกตแล้ว เจ้าไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก”

เหิงหย่วนกำหมัดแน่น เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหลังมือของเขาปูดนูนขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านพาอาตมาออกมาทำไมกัน อาตมาเป็นหนี้ชีวิตเขา อาตมาเป็นหนี้ชีวิตเขานะ…”

เสียงค่อยๆ เปลี่ยนจากรุนแรงเป็นสะอึกสะอื้น

ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมยุทธ์ภิกษุหนุ่มแกร่งคนนี้จะมีดวงตาแดงก่ำ

“ท่านนักบวช ท่านไม่ควรพาอาตมามาที่นี่” เหิงหย่วนส่ายหน้าช้าๆ

“เมื่อครั้งเชิญให้เจ้าเข้าร่วมพรรคฟ้าดิน เราให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับใต้เท้าสวี่ เขาไม่ใช่สมาชิกของพรรคฟ้าดินของเรา เจ้าไม่ควรช่วยเหลือเขา เขาเป็นแบบนี้มาตลอด ในยามวิกฤต เขามักจะนึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ และเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ทว่าเจ้าไม่สามารถถือเอาความกรุณาของเขามาเป็นข้อผูกมัดได้”

“แต่ตอนนี้พบตัวหมายเลขห้าแล้ว สมาชิกพรรคฟ้าดินทุกคนปลอดภัย แต่ว่า…พวกเราจะมีหน้ากลับไปได้อย่างไร นักบวชเต๋าจินเหลียน อาตมาผิดหวังในตัวท่านมาก ผิดหวังเป็นที่สุด”

ตอนที่เขาอยู่ในเมืองหลวงและรู้ว่าสวี่ชีอันเสียชีวิตในอวิ๋นโจวผ่านชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี ในตอนนั้นเหิงหย่วนกำลังนั่งสมาธิ ขณะบิดลูกปัดพุทธด้วยมือข้างหนึ่ง เขาถึงขั้นบดขยี้ลูกปัดพุทธที่ติดตัวเขามานานกว่าสิบปีแหลกคามือ

แต่เวลานั้นอวิ๋นโจวก็อยู่ห่างไกล นอกจากแสดงความโศกเศร้าแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาสามารถทำได้อีก

ครั้งนี้แตกต่างออกไป เขาเข้าร่วมเผชิญเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว และเมื่อเห็นกับตาว่าทุกคนทอดทิ้งสวี่ชีอันเพื่อเอาชีวิตรอด ความโศกเศร้าและความโกรธจึงท่วมท้นเต็มอก ทำให้เหิงหย่วนเกิดความสงสัยในตนเอง และสงสัยเกี่ยวกับสหายของเขายิ่งนัก

นักบวชเต๋าจินเหลียนลังเลที่จะกล่าว ยังคงเก็บงำความจริงต่อไป แต่เมื่อหวนนึกถึงการกดฝ่ามือครั้งสุดท้ายของสวี่ชีอัน เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ

ฉู่หยวนเจิ่นมองดูทั้งสองโต้เถียงกันด้วยความหดหู่ใจ จิตวิญญาณอันแรงกล้าของเขาที่เคยท่องยุทธภพข้ามน้ำข้ามทะเล ความผึ่งผายของจอหงวนชุดสีเขียวผู้ครองกระบี่บินหายไปจนหมดสิ้น เคว้งคว้างราวกับสุนัขหลงทาง

ภาพของสวี่ชีอันที่ยืนหยัดอยู่ผู้เดียวในหลุมฝังศพฉายขึ้นในสมองของเขาอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าเขาจะรู้จักสวี่ชีอันมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ชื่นชมฆ้องเงินผู้นี้มากทีเดียว ก่อนที่เขาจะรู้จักเขา ในหนังสือชีวประวัติของพรรคฟ้าดินก็มีระบุข้อมูลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้

เหิงหย่วนกล่าวว่าเขาเป็นคนใจดี หมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเขาเป็นคนมีอารมณ์อ่อนหวาน หลี่เหมี่ยวเจินกล่าวว่าเขาเป็นคนกล้าหาญที่เพิกเฉยต่อสิ่งเล็กๆ แต่ไม่พลาดสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ในความเห็นของฉู่หยวนเจิ่น สวี่ชีอันเป็นสหายที่คู่ควร ทั้งบุคลิกและศีลธรรมของเขาก็ควรค่าแก่การจดจำ

ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่าการกลับมาที่เมืองหลวงครั้งนี้ได้ประโยชน์สูงสุดคือเพิ่มความแข็งแกร่งให้สวี่ชีอัน สหายที่ทั้งน่าสนใจและคู่ควรแก่การชื่นชม

คนแบบนั้น เพื่อช่วยผู้อื่น ย่อมลงมือทำโดยไม่ลังเล

‘ทว่าสำหรับสิ่งที่เจ้าทำลงไปในครั้งนี้ เจ้าจะให้ข้าบอกกล่าวกับหมายเลขสามว่าอย่างไร…’ ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นร้อนรุ่ม วิสัยทัศน์การมองเห็นค่อยๆ เลือนราง

“เขาช่วยชีวิตอาตมาไว้ และอาตมาเองก็เคยให้คำมั่นว่าจะชดใช้ให้เขา…” ขณะกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของเหิงหย่วนก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน เขาก็พึมพำกับตัวเองว่า

“อาตมายังจะมีหน้าใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”

“ไม่ดีแล้ว จิตของเขากำลังจะพังทลาย” สีหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นจึงวางปลายนิ้วลงบนคิ้วของเหิงหย่วน เพื่อบรรเทาความคิดอันบ้าคลั่งของเขา และทำให้จิตดั้งเดิมของเขาสงบลง

ดวงตาของเหิงหย่วนกลับมาแจ่มชัด ก่อนจะผลักมือของนักบวชเต๋าจินเหลียนออกโดยแรง

“เหิงหย่วน สิ่งต่างๆ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” นักบวชเต๋าจินเหลียนตะโกนว่า “ความจริงแล้วสวี่ชีอันเป็น…”

ขณะที่กำลังเอ่ยปากบอกเขาว่าสวี่หนิงเยี่ยนคือหมายเลขสาม ผู้ถือครองชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีและเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆ ทั่วทั้งสุสานใต้ดินก็สั่นสะเทือน โดมสูงเบื้องบนยังคงทิ้งหินก้อนใหญ่ร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

เสียงของนักบวชเต๋าจินเหลียนสิ้นสุดลงอย่างฉับพลัน เขาขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น “สุสานใต้ดินกำลังจะพังทลาย”

สุสานใต้ดินอายุขัยนับพันปีแห่งนี้ใกล้จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับเหตุรุนแรงบางอย่าง

ทันใดนั้นจงหลีก็โพล่งขึ้นว่า “สุสานใต้ดินเกิดปัญหา ค่ายกลทำลายตัวเอง พวกเราจะต้องออกไปโดยทันที…”

จากนั้นนางจึงส่งร่างไร้สติของลี่น่ากลับไปให้เหิงหย่วน “ท่านช่วยข้าอุ้มนางไว้ และพานางออกไป”

ก้อนหินอีกก้อนกลิ้งลงมา พุ่งกระแทกจงหลีและลี่น่าโดยตรง

“ระวัง!”

ความคิดในการช่วยชีวิตคนมีชัยเหนือความโศกเศร้า เหิงหย่วนรีบดึงหญิงสาวทั้งสองออกไป คว้าร่างหมายเลขห้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า “ได้ อาตมาจะพานางออกไป”

จงหลียังคงเต็มไปด้วยความโชคร้าย ขณะที่สุสานใต้ดินกำลังพังทลายเช่นนี้ ไม่เหมาะที่จะมอบหมายให้นางแบกร่างหมายเลขห้าไว้จริงๆ

ทุกคนต่างหลบหนีออกไปหมดแล้ว คราวนี้พวกเขาไม่หลงทางอีก ในสภาพแวดล้อมรอบด้านที่ก้อนหินร่วงตกลงมาไม่หยุด ทุกคนย้อนกลับไปยังหลุมฝังศพแรกที่เชื่อมต่อกับถ้ำโจร

เมื่อเหิงหย่วนทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายลุล่วงแล้ว จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หยุดชะงักฝีเท้าพร้อมกับหันหลังกลับไปมอง พบว่าจงหลีไม่ได้ตามมา

‘นาง นางหายไปแล้ว’…เหิงหยวนหยุดนิ่งอยู่กับที่ จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ

………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด