ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 442 แค่นี้หรือ?

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 442 แค่นี้หรือ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 442 แค่นี้หรือ?

คำพูดของสวี่ชีอันราวกับเทวดามาโปรด เปิดความคิดของเผยหม่านซีโหลวออกทันใด

ในบรรดาสามก๊กของทางตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เมืองหลวงของจิ้งกั๋วอยู่ด้านเหนือสุดและมีพรมแดนติดกับอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมในทางเหนือ ตอนนี้ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วแทบจะถูกส่งออกมาหมดแล้ว การป้องกันภายในจะต้องอ่อนลงอย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่เหมาะแก่การลอบโจมตีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากต้องการอ้อมเข้าไปโจมตีเมืองหลวงของจิ้งกั๋ว เช่นนั้นก็ต้องทำเงื่อนไขอย่างหนึ่งให้สำเร็จ นั่นก็คือ ต้องมีอาวุธโจมตีเมือง

ก่อนหน้านี้เผยหม่านซีโหลวไม่เคยคิดถึงกลศึกนี้มาก่อน นั่นก็เพราะปีศาจและอนารยชนทั้งสองเผ่าไม่เชี่ยวชาญด้านการทำศึกล้อมเมือง แต่ตอนนี้แตกต่างไปแล้ว เมื่อมีกองทัพของต้าฟ่งเข้าร่วมด้วยและมีทั้งปืนใหญ่ หน้าไม้ กับปืนยิงกำแพงเมือง

การจะบุกทะลวงเมืองหลวงของจิ้งกั๋วที่มีการป้องกันอ่อนแอก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

เผยหม่านซีโหลวมองไปยังสวี่ชีอันแล้วพูดอย่างตื่นเต้น

“แผนนี้เป็นไปได้ แต่ต้องคว้าโอกาสให้ถูกจังหวะ จิ้งกั๋วรู้อยู่แล้วว่าเมืองหลวงของตนขาดการป้องกัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว กองทัพของเหยียนกั๋วและคังกั๋วยังไม่เคลื่อนไหว หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาก็คือร่มกำบังที่จิ้งกั๋วกล้าเรียกออกมาแน่”

หือ? แผนนี้ยังใช้การไม่ได้อีกเหรอ…สวี่ชีอันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ยินเผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อ

“แต่ถ้าหากกองทัพของต้าฟ่งแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปรวมกับกองกำลังของเผ่าเทพของข้า ส่วนอีกกลุ่มบุกออกไปจากตะวันออกเฉียงของต้าฟ่ง เพื่อสู้กับคังกั๋วและเหยียนกั๋ว หากเป็นเช่นนี้ สองก๊กนั้นจะต้องห่วงตัวเองและถอนกำลังที่จัดวางอยู่ในจิ้งกั๋วแน่ และด้วยตรรกะเดียวกัน พวกพ่อมดขั้นสูงในเมืองจิ้งซานอันเป็นเมืองฐานหลักของสำนักพ่อมดจะออกมาต่อกรกับกองทัพต้าฟ่งที่กล้ารุกรานแคว้น หรือว่าจะยังป้องกันเมืองหลวงของจิ้งกั๋วตาใสกันล่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว

“กองทัพของทั้งเหยียนและคังต้องกลับมาป้องกันเมืองโดยมีพ่อมดขั้นสูงเข้าร่วมด้วย และหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเราก็จะสามารถลอบโจมตีเมืองหลวงของจิ้งกั๋วได้แน่ เพราะไม่ว่าจะเป็นคังหรือเหยียน หรือต่อให้เป็นพ่อมดขั้นสูงของสำนักพ่อมดก็ดี ล้วนแต่ยากจะวิ่งมาช่วยเหลือจิ้งกั๋วได้ทันในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีระยะทางหลายพันลี้ เช่นนั้น พอเมืองหลวงใกล้จะล่มสลาย ทหารม้าของจิ้งกั๋วจะยังรุกรานอยู่ที่ชายแดนเหนือหรือจะกลับไปช่วยกันล่ะ”

เผยหม่านซีโหลวยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ในหัวของเขาถึงขั้นคิดกลยุทธ์การตีเมืองแล้วจิ้งกั๋วส่งทหารม้ากลับมาช่วยเหลือได้เป็นชุดๆ แล้ว

เผยหม่านซีโหลวยืนขึ้นอย่างเคร่งขรึมแล้วรวบมือคำนับ “คุณชายสวี่ ท่านเป็นปรมาจารย์การศึกที่แท้จริง ดวงตาของข้าสว่างไสวดุจดั่งคบเพลิงแล้ว ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ”

ที่แท้ความคิดแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาของข้ากลับยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรือ นี่ข้าเป็นอัจฉริยะแห่งการศึกหรือเปล่าเนี่ย? สวี่ชีอันตกตะลึงเมื่อได้ยิน

เผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อว่า “หลังพลบค่ำ ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่หอเทียนเซียงเพื่อต้อนรับคุณชายสวี่โดยเฉพาะ หวังว่าคุณชายสวี่จะให้เกียรติมา”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ได้”

เขาลุกขึ้นยืนตามแล้วเดินไปส่งสองคนจากเผ่าปีศาจและอารนารยชน แต่ไม่รู้ว่าหวงเซียนเอ๋อร์จงใจหรือไม่ เอวยามเดินกลับบิดไปมาดูมีเสน่ห์อย่างมาก อีกทั้งสะโพกของนางก็เป็นทรงโค้งชวนหวั่นไหว

ช่างเป็นคนงามที่เป็นเลิศทั้งหน้าตาและรูปร่างเสียจริง…สวี่ชีอัน เซียนแห่งหอคณิกาแสดงความคิดเห็นเงียบๆ

ในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งปูด้วยผ้าไหมสีเหลืองและมีฎีกากองหนาวางอยู่ข้างๆ

เขาเพียงเปิดอ่านพวกมันบางส่วน ซึ่งมาจากเว่ยเยวียนนั่นเอง

เว่ยเยวียนเป็นผู้นำของการออกศึกครั้งนี้ นี่เป็นเรื่องที่กำหนดเอาไว้นานแล้ว

ไม่ใช่ว่าต้าฟ่งไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในการนำทัพ แต่ในเมื่อมีเทพสงครามชั้นยอดอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเสียเวลาปวดหัวเพิ่มด้วยเล่า

ในฎีกา เว่ยเยวียนให้เขียนความเห็นของตนกำกับไว้ เขาต้องการระดมพลหนึ่งแสนสองหมื่นคน โดยให้ทัพสองหมื่นนายไปยังแดนเหนือ เพื่อรวมกับกองกำลังคุ้มกันห้าหมื่นนายของฉู่โจว

กำลังพลเจ็ดหมื่นนายนี้จะช่วยเหลือเผ่าปีศาจและอนารยชนที่แดนเหนือเพื่อต่อกรกับทหารม้าเหล็กไร้ใดเทียมของจิ้งกั๋ว

ส่วนทหารอีกหนึ่งแสนนั้นเขาจะเป็นคนนำทัพด้วยตัวเอง โดยจะให้ออกเดินทางจากสามเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วบุกเข้าไปในดินแดนของคังกั๋วและเหยียนกั๋ว เพื่อตรงไปยังเมืองหวงหลงจิ้งซานตรงๆ

แน่นอนว่า ทหารหนึ่งแสนจะต้องระดมมาจากเมืองต่างๆ เพราะในค่ายทหารใหญ่ทั้งสามแห่งของเมืองหลวงสามารถมอบให้ได้มากสุดหนึ่งหมื่น มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เนื่องจากจำเป็นต้องเหลือไว้ป้องกันเมืองหลวงด้วย

จักรพรรดิหยวนจิ่งอ่านฎีกาอย่างเงียบๆ เขาไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ชาในถ้วยเย็นลงและร้อนขึ้น และเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นอีกครั้ง หลังจากเปลี่ยนชาไปสามครั้ง เขาจึงยกพู่กันขึ้นและอนุมัติ

หลังสิ้นสุดการพิจารณา สถาบันใหญ่อย่างราชสำนักก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กรมทหารและเว่ยเยวียนรับผิดชอบในการจัดสรรกำลังพล ขณะที่กรมการคลังรับผิดชอบเรื่องเสบียงและเงินทอง

ตอนนี้ขุนนางแต่ละคนท้องพระโรงล้วนแต่เคยเข้าร่วมการรบที่ด่านซานไห่เมื่อปีนั้นทั้งสิ้น จึงไม่ได้แปลกใหม่กับเรื่องการศึก

ความจริงแล้ว ตั้งแต่ข่าวการศึกที่แดนเหนือถูกส่งมายังเมืองหลวง บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ล้วนคาดเดาในใจได้แล้ว จึงแอบเตรียมตัวอยู่เงียบๆ

จักรพรรดิหยวนจิ่งเปิดอ่านสาส์นฉบับที่สองซึ่งมาจากกรมทหาร บนนั้นเขียนรายชื่อแม่ทัพและตำแหน่งต่างๆ ที่จะส่งไป หลังจากกวาดตามองรอบหนึ่ง เขาก็ยิ้มเยาะออกมา

“พวกปุ๋ยคอกที่หวังจะใช้โอกาสนี้มาสร้างผลงานทางทหารให้ตัวเองแท้ๆ เชียว ใช่น่ะสิ ออกรบพร้อมกับเว่ยเยวียน ผลงานจะไม่เท่ากับได้มาเปล่าๆ หรอกหรือ”

เขายกพู่กันด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ขณะกำลังจะอนุมัติก็พลันหยุดชะงักเสียก่อนแล้วเอ่ยว่า “ญาติผู้น้องคนนั้นของสวี่ชีอันก็เป็นลูกศิษย์ของจางเซิ่นและฝึกฝนด้านตำราพิชัยสงครามมาเป็นหลัก ใช่หรือไม่”

ขันทีเฒ่าตกอกตกใจ “กระหม่อม กระหม่อมจำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะขึ้นมา “แต่ข้าจำได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย อัจฉริยะจากสำนักอวิ๋นลู่ผู้ฝึกตำราพิชัยสงครามมาด้วย อีกทั้งข้าก็เป็นผู้ที่ชื่นชมบุคคลมีความสามารถ เช่นนั้นก็ให้โอกาสเขาไปออกทัพแล้วกัน อ่า ถ้าหากเขาไม่ยินยอม ข้าก็จะยึดตำแหน่งซู่จี๋ซื่อของเขาเสีย แล้วโยนเขาทิ้งไว้ในซอกมุมก็เป็นพอ”

จากนั้นจึงเพิ่มคำว่า ‘สวี่ซินเหนียน’ ลงไปอีกสามคำ

สำนักโหราจารย์

ท่านโหราจารย์นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสุรา มือของเขาถือแก้วสุราแล้วมองดูโลกมนุษย์ด้วยท่าทางกึ่งเมากึ่งตื่น

เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดดังขึ้น ชายในชุดสีครามเดินขึ้นมายังแท่นแปดทิศผู้เดียว แขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดไปตามจังหวะก้าว

“มาแล้วหรือ”

ท่านโหราจารย์หัวเราะด้วยเสียงแหบชรา

“ข้าอยากจะมาเยี่ยมเยียนตาเฒ่าอย่างเจ้าก่อนออกรบเสียหน่อย”

เว่ยเยวียนเดินเข้ามาแล้วหยุดอยู่ข้างๆ ท่านโหราจารย์พร้อมกับมองดูเมืองหลวงด้วยท่าทางราวกับชมบุปผา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ดูมาห้าร้อยปีแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือ”

“ไม่เบื่อ!”

ท่านโหราจารย์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถดึงดูดสายตาข้าได้ ซึ่งเจ้า เว่ยเยวียน ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกบังคับให้เข้าไปในวังโดยที่ไม่เต็มใจ นี่ยังไม่ถือเป็นอะไร ทหารขั้นสามสามารถงอกแขนขาได้ใหม่หากถูกตัด นี่จึงทำให้เจ้ากลับมาเป็นชายแท้ได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย

“เว่ยเยวียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่เอาชนะได้ยากที่สุดในชีวิตของคนเราคืออะไร ก็คือตัวของเจ้าเองอย่างไรเล่า ชีวิตของเราถูกผูกติดอยู่กับความรู้สึก ทั้งสงสาร โศกเศร้า และน่าสังเวช การฝึกตนที่ละทิ้งตัวเองของเจ้านั้น ในสายตาข้าคือการทำลายเพียงชั่วครู่แล้วลุกขึ้นมาใหม่ ในเมื่อเจ้าไม่กราบข้าเป็นอาจารย์ แต่ขอเพียงไม่ละทิ้งจิตใจที่มีต่อสายวิทยายุทธ์ ข้าก็สามารถช่วยให้เจ้าไปสู่ขั้นหนึ่งได้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกนะ แต่เจ้ากลับปกป้องสตรีผู้นั้นที่อยู่ในวังและปล่อยให้พรสวรรค์ของตัวเองเสียไปอย่างไร้ค่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ จนเสียโอกาสที่จะไปสู่จุดสูงสุดแล้ว”

เว่ยเยวียนยืดตัวสูงแล้วเงยหน้ารับลม ก่อนยิ้มออกมา

“รู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงไม่กราบเจ้าเป็นอาจารย์ เพราะเจ้ากับข้าไม่ใช่คนที่เดินทางเดียวกันอย่างไรเล่า ในโลกนี้มีคนแสวงหาชีวิตยืนยาว มีคนแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย และมีคนแสวงหาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ์ แต่สิ่งที่ข้าแสวงหาก็คือหญิงสาวใต้ร่มไม้ที่แย้มยิ้มราวบุปผาตอนที่ข้ายังเยาว์วัยต่างหาก”

ท่านโหราจารย์ไม่พูดอะไรอีก เขาเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าคราม

มนุษย์ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนก็ไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าสูงและดวงดาวที่เปล่งประกายแสงเจิดจรัสได้

“สวยงามมากจริงๆ ในโลกนี้ ดาวชีวิตของเว่ยเยวียนถึงขั้นเป็นหนึ่งในดวงดาวที่สุกสกาวที่สุด เดิมที่เขาควรจะสว่างเจิดจรัส แต่เป็นเพราะความรู้สึก จึงทำให้ผู้คนเสียดาย”

ในภูเขาแห่งหนึ่ง ชายผู้สวมชุดขาวยืนอยู่บนยอดสูงสุดแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าพลางพึมพำกับตัวเอง

ข้างโหรชุดขาวมีชายในชุดสีม่วงยืนอยู่ ท่าทางของเขางามสง่าและไว้หนวดยาว แฝงด้วยความน่าเกรงขามของผู้มีตำแหน่งสูงมาเป็นเวลานาน

“หากเว่ยเยวียนสามารถมารับใช้ใต้บัญชาของข้าได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะทำไม่สำเร็จ”

ชายชุดม่วงถอนหายใจ “หยวนจิ่งเป็นจักรพรรดิ แต่กลับคิดแต่เรื่องความเป็นอมตะ ทำเรื่องที่ขัดกับวิถีสวรรค์เช่นนี้ หากต้าฟ่งไม่ล่มสิถึงแปลก”

โหรชุดขาวยิ้มออกมา “อย่าได้ดูถูกหยวนจิ่งเชียว…”

หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็ยืนเอาไพล่มือไว้ข้างหลังแล้วเอ่ยว่า “มองไปทั้งต้าฟ่งและแม้แต่จิ่วโจว ผู้เดียวที่สามารถนำทัพไปถึงแท่นหลักของสำนักพ่อมดได้ เห็นจะมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้นแล้ว นอกจากเขาก็ไม่มีผู้ใดอีก ไม่มีผู้ใดอีกเลย เจ้าเฒ่าซาหลุนอากู่มีชีวิตมานานเกินไป ครั้งนี้ถ้าเว่ยเยวียนทำให้เขาจบสิ้นได้ เช่นนั้นจะเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”

ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงปราดมองโหรชุดขาวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “เชียนเอ๋อร์สิ้นแล้ว สิ้นด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าวางเอาไว้สินะ”

โหรชุดขาวยังคงมองท้องฟ้า เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จีเชียนน่ะหรือ เรื่องดีเรียนรู้ได้ไม่เท่าไหร่ แต่กลับมีนิสัยเช่นผู้ลากมากดีเสียส่วนใหญ่ คนผู้นี้จะเป็นจักรพรรดิได้หรือ เหมาะจะเป็นผู้สืบทอดของเจ้าแล้วหรือ ข้าว่าตายไปยังจะดีกว่า อยู่ไปก็รกหูรกตา ผู้สืบทอดในอนาคตของเจ้าจะต้องได้รับความไว้วางใจจากทุกผู้ทุกนาม จะต้องทำให้ผู้คนคล้อยตามได้ และจะต้องทิ้งชื่อเสียงเลื่องลือไว้ไปในประวัติศาสตร์ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่จีเชียนจะกระทำสำเร็จ”

ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงไม่ตอบ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน

ซินเจียงตอนใต้ เผ่าเทียนกู่

กลุ่มเมฆบริเวณซินเจียงตอนใต้มีสีสันสดใสปะปนไปกับไอพิษร้ายและความตาย ป่าทางตอนใต้ของซินเจียงนั้นสวยงาม แต่มีจิตสังหารอันหนักหน่วงมากมายที่ซ่อนอยู่ในความงามนั้น

เมื่อหลายปีก่อน เทพเจ้ากู่ได้หลับใหลอยู่ในขุมลึก และตั้งแต่นั้นมา ซินเจียงตอนใต้ก็กลายเป็นแดนสวรรค์ของแมลงพิษและสัตว์ร้าย

มนุษย์ที่มีความยืนหยัดอุตสาหะต้องยอมจำนนต่อสภาพแวดล้อม ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และคอยควบคุมพวกมัน หลังจากสืบทอดเช่นนี้มาหลายต่อหลายรุ่น เผ่าพันธุ์กู่ก็ถือกำเนิดขึ้น

ซินเจียงตอนใต้มีชนเผ่าอยู่มากมาย เผ่าพันธุ์กู่คือเผ่าที่พิเศษที่สุด พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กับขุมลึกและอยู่ร่วมกันกับแมลงต่างๆ และใช้ประโยชน์จากพลังของเทพเจ้ากู่มาสร้างระบบการฝึกตนพิเศษขึ้น นั่นก็คือ ‘หมอผี’!

วันนี้ที่ขุมลึกมีเสียงคำรามอันน่าสะพรึงดังออกมา เป็นเสียงคำรามจากจิตใต้สำนึก

เสียงคำรามนั้นราวกับมาจากขุมนรก มันมาพร้อมกับการสั่นสะเทือนเล็กน้อยของพื้นดิน

รัศมีหลายร้อยลี้ที่มีขุมลึกเป็นจุดศูนย์กลาง หนอนกู่ทั้งหมดพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาราวกับได้พบศัตรูธรรมชาติ หนอนกู่ที่อ่อนแอในป่าทึบและในกิ่งไม้พากันตกตายและแหลกสลายไปตามๆ กัน

หนอนกู่ของเผ่าพันธุ์กู่ก็ตกอยู่ในความโกลาหลเช่นกัน พวกมันหันกลับมาโจมตีเจ้านายตน โชคดีที่เผ่าพันธุ์กู่มีบทเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะตอบสนองอย่างเร่งรีบ แต่ก็โชคดีที่ไม่มีอันตราย

หลงถูแห่งเผ่าลี่กู่ทำลายหนอนกู่ที่บ้าคลั่ง นำมาซึ่งความสงบของคนในเผ่า เขามองไปทางเหนือ และนึกถึงบุตรสาวที่รักของตน

‘ไม่รู้ว่าลี่น่าอยู่ที่ต้าฟ่งจะเป็นอย่างไรบ้าง นางฉลาดเฉลียวเช่นนั้น จะต้องเข้ากับต้าฟ่งได้ดีเหมือนปลาในน้ำแน่’

ท่านยายเทียนกู่ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก็มองไปทางเหนือเช่นกัน

“พลังแห่งปราชญ์ขงจื๊อกำลังจะหายไป หากเทพอูหลุดออกมา ต่อไปก็จะเป็นเทพกู่แล้ว…เฮ้อ สายวิทยายุทธ์จะมีตัวตนที่อยู่เหนือระดับขั้นปรากฏขึ้นเมื่อใดกันนะ”

ท่านยายเทียนกู่คิดอย่างเป็นกังวล

“เจ้าจะต้องดูแลยอดกู่ทั้งเจ็ดให้ดีล่ะ ลี่น่า”

หลังพลบค่ำ สวี่ชีอันก็มาที่หอเทียนเซียงตามนัด เผยหม่านซีโหลวและหวงเซียนเอ๋อร์ยืนรออยู่ที่ประตูของภัตตาคารมาพักใหญ่แล้ว

ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะและเข้าไปในห้องส่วนตัวเพื่อดื่มกินด้วยกัน

หวงเซียนเอ๋อร์ตั้งใจสวมเสื้อผ้าแบบชาวเหนือที่เผยให้เห็นน่องกลมกลึงเนื้อแน่น เอวเพรียวบางทว่าทรงพลัง และหน้าอกอวบอัด

เมื่อนางนั่งที่โต๊ะ เอวเล็กๆ นั้นก็ตั้งตรง รอบบุ๋มที่หลังเอวคล้ายมีคล้ายปรากฏ ส่งความยั่วยวนไปที่สวี่ชีอัน

หวงเซียนเอ๋อร์คิดว่าแม้ตนจะสวยงามราวกับเทพเซียน แต่นางกำลังเผชิญหน้ากับฆ้องเงินสวี่ผู้ไม่นำพาต่ออิสตรี ดังนั้นถ้านางยังคงแสร้งทำเป็นสตรีในห้องหอตามขนบของต้าฟ่ง ก็เลิกคิดจะยั่วยวนสวี่ชีอันขึ้นเตียงได้เลย

ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนรูปแบบกลับไปเป็นโฉมหน้าที่แท้จริง และพยายามใช้ความงดงามแปลกใหม่ของสตรีทางเหนือมาทำให้สวี่ชีอันหวั่นไหว

เรื่องระหว่างชายหญิง หากไม่ใช่เจ้าที่เริ่มก็ต้องเป็นข้าที่เริ่ม ในเมื่อสวี่ชีอันไม่เริ่ม นางก็ย่อมไม่อาจแสร้งเป็นสตรีผู้ดีงามอีกต่อไป

แต่สิ่งที่ทำให้นางท้อแท้ก็คือ สวี่ชีอันผู้นี้ดูเหมือนจะมีภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งต่อความงาม หากเป็นชายคนอื่นคงจะไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของนางได้นานแล้ว

แต่เขาก็นิ่งไม่ไหวติง และไม่มีร่องรอยของการ ‘เลือดสูบฉีดขึ้นหน้า’ แม้แต่นิด

หวงเซียนเอ๋อร์ขยิบตาให้เผยหม่านซีโหลว เผยหม่านซีโหลวจึงกล่าวทันที “ตอนนี้ดึกแล้ว อีกทั้งขณะนี้ก็อยู่ในช่วงห้ามออกนอกเคหสถาน เช่นนั้นก็พักผ่อนที่ภัตตาคารเลยเถอะ ข้าได้เปิดห้องดีๆ ไว้ให้คุณชายแล้ว”

หวงเซียนเอ๋อร์รีบกล่าวทันที “ข้าจะพาคุณชายสวี่ไปที่ห้อง”

ทั้งสามรีบออกจากห้องทันที หวงเซียนเอ๋อร์เดินนำสวี่ชีอันไปยังห้องพักแล้วเปิดประตูเข้าไป

ในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งยังมีโต๊ะสุราตั้งอยู่ในห้องโถงเล็กอีกด้วย

เมื่อผ่านโถงเล็กไปก็จะเป็นห้องนอน

หวงเซียนเอ๋อร์หันกลับมาปิดประตูแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายสวี่ เมื่อครู่ยังดื่มไม่ทันสนุกกันเลย ท่านดื่มเป็นเพื่อนข้าอีกสักสองสามจอกได้หรือไม่”

นางลอบมองพินิจสวี่ชีอันและเห็นเขาขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านในทันใด นางจึงดีใจขึ้นมา ไม่ปฏิเสธก็แปลว่านางมีโอกาส

‘ดูซิว่าตนจะทำสำเร็จหรือไม่’

ดังนั้นจึงพยุงเขาไปที่โต๊ะแล้วดื่มสุราต่อ

“คุณชายสวี่ ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว ได้มาร่วมดื่มโต๊ะเดียวกับท่านเช่นนี้ ช่างเป็นโชคดีที่ข้าสั่งสมมาแปดชาติเลยนะเจ้าคะ…”

หวงเซียนเอ๋อร์ยกจอกสุราดื่ม ดวงตาหลังจากดื่มสุราเข้าไปดูฉ่ำเยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างสงวนท่าที ขณะกำลังจะหยิบจอกสุราเพื่อตอบกลับก็เห็นมือเล็กๆ ของหวงเซียนเอ๋อร์สั่นไหว และบังเอิญทำสุราหกใส่หน้าอกของตัวเอง

ผิวของหญิงงามนั้นเรียบเนียนราวกับเนื้อนม สุราสะท้อนต้องกับแสงเทียน ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง

พอมีสุราเข้ามาด้วย ภาพตรงหน้าก็แตกต่างจากเดิมแล้ว

สวี่ชีอันถอนสายตาออกไปเงียบๆ ไม่มองให้เสียมารยาท

‘ช่างเป็นสุภาพชนที่ดีนัก’…หวงเซียนเอ๋อร์กัดริมฝีปากแล้วแสร้งทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ทำอย่างไรดี เสื้อผ้าของข้าเปียกหมดแล้ว คุณชายสวี่ ท่านช่วยเช็ดให้ข้าหน่อยเถิด”

“อย่า อย่าทำเช่นนี้เลย” …สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“ท่านช่วยข้าเช็ดหน่อยเถิดนะ” หวงเซียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองอย่างเอียงอาย

หลังจากนางดื่มสุรา แก้มของนางก็ฝาดสีแดงอมชมพู ริมฝีปากอวยอิ้มสดใส ดวงตาจิ้งจอกก็กระตุกหัวใจคนมองยิ่ง

“ได้สิ”

ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็กลับคำ เขายื่นมือไปโจมตีทันที

หวงเซียนเอ๋อร์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ดูท่าทางไม่คาดคิดว่าเขาจะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วกะทันหันเช่นนี้ จึงกล่าวขึ้นอย่างงุนงงว่า “คุณชายสวี่?”

“ไม่ต้องพูด อ้าปาก!”

วันรุ่งขึ้น ยามเช้าตรู่

หวงเซียนเอ๋อร์ใต้ตาคล้ำ นางพิงกำแพงแล้วสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ

นางเดินอย่างระมัดระวังพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

บังเอิญยิ่งนัก นางพบกับเผยหม่านซีโหลวที่ทางเดิน เผยหม่านซีโหลวที่ทั้งศีรษะเต็มไปด้วยผมหงอกมองท่าทางหมดสภาพของนางซ้ำๆ แล้วเอ่ยอย่างสงสัย

“มิใช่บอกว่าจะทำให้เขาร้องขอความเมตตาหรือไง ได้แค่นี้น่ะหรือ”

หวงเซียนเอ๋อร์กัดฟัน “ข้าถูกหลอก…”

สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยที่รักของเขาไปยังจวนสกุลสวี่ในยามเช้าตรู่

เขาถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ “รสชาติของปีศาจสาวคนนั้นไม่เลวเลยจริงๆ”

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด