ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 533 หย่งซิ่ง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 533 หย่งซิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 533 หย่งซิ่ง

หลังจากสวี่ชีอันชั่งน้ำหนักดูแล้วก็เอ่ยวิเคราะห์ออกมาตามสถานการณ์ในปัจจุบัน

‘ให้นางรั้งท่านอาจารย์ของนางไว้ให้ดี ส่วนเรื่องเทพบุตรก็มอบให้ข้าจัดการ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องคิดไม่ใช่เรื่องที่ว่าข้าจะไปช่วยนางเมื่อไหร่ แต่เป็นนางจะยื้อได้นานเท่าไหร่ต่างหาก’

ไต้ซือเหิงหย่วนเอ่ย ‘เข้าใจแล้ว อาตมาจะบอกแก่นางทุกคำทุกประโยค’

สวี่ชีอันกล่าวต่อ ‘ช่วงนี้การฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง’

ไต้ซือเหิงหย่วนตอบ ‘ตระหนักรู้ถึงพลังเทพวชิระแล้ว อย่างต่ำครึ่งเดือน อย่างมากสองเดือน ข้าก็จะเข้าสู่ธรณีประตูของพลังเทพวชิระได้’

นี่หมายความว่าพลังต่อสู้ที่แท้จริงของไต้ซือเหิงหย่วนไม่ด้อยกว่าขั้นสี่ไปแล้ว เมื่อได้ฝึกพลังเทพวชิระก็มีจะคุณสมบัติทะลวงถึงระดับเพชรขั้นสามได้…สวี่ชีอันดีใจยิ่ง

ก่อนจะจากกัน เขาได้สอนพลังเทพวชิระให้กับไต้ซือเหิงหย่วน ผู้ที่ฝึกพลังเทพวชิระจะต้องมีคุณสมบัติที่กำหนด แต่เขาเชื่อว่าไต้ซือเหิงหย่วนผู้ซึ่งมีสถานะเป็นพระอรหันต์จะต้องฝึกพลังเทพวชิระสำเร็จได้แน่ๆ

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย

การฝึกพลังเทพวชิระก็คือเงื่อนไขเบื้องต้นของการก้าวสู่ขั้นสามระดับเพชร อย่างน้อยต่อไปไต้ซือเหิงหย่วนก็จะอยู่ขั้นสาม นี่หมายความว่าต่อไปข้าก็จะมีระดับเพชรคนหนึ่งมาเป็นมือเป็นเท้าให้ นับว่าตอนนี้การลงทุนกับตัวไต้ซือเหิงหย่วนในช่วงแรกเริ่มได้ผลิดอกออกผลเรียบร้อยแล้ว

สวี่ชีอันอารมณ์ดีทันใด เขากลับมาถามต่อ ‘ฉู่หยวนเจิ่นล่ะ?’

‘ประสกฉู่ยังก้าวออกมาจากวิถีกระบี่ของเขาไม่ได้’ ไต้ซือเหิงหย่วนบอก

สวี่ชีอันถอนหายใจออกมา

เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ เสื้อผ้าดีๆ ไม่ยอมใส่ กลับจะใส่ชุดแปลกใหม่ซะอย่างนั้น ไม่ชอบเดินบนเส้นทางของคนปกติเขาสินะ

คิดจะเดินบนเส้นทางใหม่มันง่ายนักหรืออย่างไร หากฉู่หยวนเจิ่นทำสำเร็จ ในบรรดาสมาชิกพรรคฟ้าดิน เขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์น่ากลัวที่สุดแล้ว

แต่พูดไปพูดมา วิชาลับประเภทเลี้ยงจิตเช่นนี้ร้ายกาจมากจริงๆ พลังสะสมในการเปลี่ยนร่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจนสะสมถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดเป็นพลังต่อสู้ที่สามารถระเบิดออกมาเพื่อสังหารลูกพี่ตัวใหญ่จนตายได้เลย ตอนนั้นจิตดาบสิบปีของฉู่หยวนเจิ่นก็สามารถฟันร่างของจอมยุทธ์ขั้นสามได้ตรงๆ เพียงดาบเดียวจนทำให้บาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว

หลังจากจบบทสนทนาส่วนตัว สวี่ชีอันก็หันหลังกลับแล้วเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนหันกายเดินออกไปนอกสุสาน

มู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังของแม่ม้าน้อยและกอดจิ้งจอกขาวเอาไว้ สวี่ชีอันจูงม้าแล้วเดินเคียงไปกับหลี่หลิงซู่ โดยมีหุ่นเชิดเหิงอินเดินนำอยู่ข้างหน้า

“การตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์คืออะไรหรือ”

จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นมา

‘ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ผิงโจว มิใช่ว่าข้าเคยพูดกับเจ้าในแดนฝันแล้วหรอกหรือ…’ หลี่หลิงซู่งึมงำอยู่ในใจก่อนหันหน้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เงียบงันไม่หวั่นไหว ราวกับผู้ลืมเลือน”

พูดดีจังนะ! สวี่ชีอันเหลือบมองเขา

“จริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ตามบันทึกตำราหยกของนิกายสวรรค์และจากความเข้าใจของตัวข้าเอง การตัดอารมณ์ความรู้สึกนั้นมีรากฐานมาจากการ ‘ลืมเลือน’ ลืมอะไร? คือการหลงลืมหรือ ก็ไม่ใช่ คือการไร้ความรู้สึกหรือ? ก็ไม่ใช่อีก”

หลี่หลิงซู่พูดจาฉะฉาน “ก็คือการมีความรู้สึก แต่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับความรู้สึก ไม่ยึดติดและไม่ถูกขังอยู่ในความรู้สึก จนถึงขั้นที่สามารถมองดูอยู่เฉยๆ ได้ ข้าจะยกตัวอย่าง ผู้อาวุโสจะเลือกสิ่งใดระหว่างการช่วยใต้หล้าหรือช่วยคนหนึ่งคน?”

จู่ๆ ก็เป็นการสอนปรัชญาขึ้นมาเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันพินิจอยู่พักหนึ่งก็ไม่ได้ตอบ เพราะเขาคิดว่าการตอบออกไปจะเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยของตัวเอง

หลี่หลิงซู่รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้คำตอบจากเขา จึงพูดขึ้นเอง

“คนปกติย่อมเลือกช่วยใต้หล้าและละทิ้งบุคคล แต่หากบุคคลนั้นเป็นญาติสนิทมิตรสหายก็จะเลือกช่วยบุคคลและละทิ้งใต้หล้า เพราะเหตุใด เพราะตอนที่เขาเลือก เขาถูกกักขังอยู่ใน ‘อารมณ์ความรู้สึก’ แต่ผู้ที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกได้นั้นจะเลือกช่วยใต้หล้า มิใช่ช่วยคนเพียงผู้เดียว แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนรักของตนก็ตาม”

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนี้แล้ว ที่หลี่เมี่ยวเจินให้ความสำคัญกับคุณธรรมและเห็นใต้หล้ามาเป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่การตัดอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกันหรอกหรือ?”

“ไม่ๆๆ!”

หลี่หลิงซู่ส่ายหน้าติดๆ กัน “นางมีพฤติกรรมห้าวหาญทรงคุณธรรม ชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น นี่คือตัวอย่างของการ ‘ถูกกักอยู่ในอารมณ์ความรู้สึก’ ความรู้สึกต่อความยุติธรรมของนางเป็นตัวขับเคลื่อนให้นางกำจัดความชั่วร้าย อีกอย่าง หากศิษย์น้องตกหลุมรักชายคนหนึ่งจริงๆ ข้าก็กล้ายืนยันเลยว่านางจะเลือกบุคคลและละทิ้งใต้หล้าแน่นอน”

“พูดเช่นนี้ แปลว่าเจ้าเดินถูกทางแล้ว?” สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ

“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” หลี่หลิงซู่ยืนอกเชิดหน้า

จากนั้นเขาก็พบว่าสายตาของสวีเชียนดูผิดปกติ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ใจตกไปที่ตาตุ่ม “เหตุใดผู้อาวุโสจึงมองข้าเช่นนั้นเล่า”

สวี่ชีอันยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร

“สายตาของผู้อาวุโสทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย” หลี่หลิงซู่เค้นถามต่อ

สวี่ชีอันก็ยังคงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

หากการตัดอารมณ์ความรู้สึกคือโจทย์คณิตศาสตร์ประเภท 1+1 คำตอบของหลี่เมี่ยวเจินก็จะเป็น ‘3’ และเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ก็จะหัวเราะเยาะว่า

‘เจ้าคนโง่ เห็นๆ อยู่ว่าคำตอบคือ 9’

โดยไม่รู้เลยว่าอาจารย์คณิตศาสตร์กำลังยืนถือไม้เรียวพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีอยู่ข้างหลัง

ส่วนเรื่องที่ว่าจะช่วยหลี่เมี่ยวเจินอย่างไร ในความคิดของสวี่ชีอันคือต้องยื้อ ยื้อจนกว่าเจ็ดยอดกู่จะเลื่อนไปอีกขั้นแล้วค่อยคิดว่าจะช่วยคนอย่างไรอีกที

มีแต่ต้อง ‘ควบคุม’ หลี่หลิงซู่ให้ดีเท่านั้น แล้วเดินอ้อมรอบหนึ่งไปกับบุคคลระดับสูงของนิกายสวรรค์ ส่วนพลัง ‘เคลื่อนย้ายดวงดารา’ ของเทียนกู่ก็คือวิธีการปกปิดที่ทรงพลังยิ่งกว่าการปกปิดความลับของสวรรค์

พอเขามีพลังมากพอและเตรียมพร้อมรอบด้านแล้ว ก็จะโยนหลี่หลิงซู่ออกมาเป็นเหยื่อตกปลา

หากควบคุมได้ดี ข้าก็ถึงขั้นสามารถยืมพลังของนิกายสวรรค์มาจัดการกับสำนักพุทธและสำนักพ่อมดได้แบบเท่าเทียมกันเชียวนะ…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยถาม “จริงสิ ระดับฝึกตนของอาจารย์เจ้าเป็นอย่างไร”

“เทพเจ้าหยางขั้นสาม” หลี่หลิงซู่เอ่ย

เยี่ยมมาก…สวี่ชีอันหัวเราะออกมาไอรีนโนเวล

ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็มองเห็นหลุมลึกที่ปรากฏขึ้นมาจากไกลๆ เขาระงับจิตใจตื่นเต้นของตนไว้แล้วเอ่ย

“ข้าขอตัวไปทำธุระสักหน่อย พวกเจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อนได้เลย”

ทุกคนไม่สงสัย ทั้งยังมิได้เอ่ยถามมากความ จึงพากันเดินหน้าต่อไป

จิ้งจอกขาวยื่นอุ้งเท้าออกมาจากอ้อมแขนของมู่หนานจือ มันเหยียดอุ้งเท้าเล็กน้อยแล้วโบกมือ

สวี่ชีอันยืนมองเงาหลังของพวกเขาที่ห่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไป ก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าไปในหลุมลึกนั้นอย่างแทบอดใจรอไม่ไหว แล้วเผยรอยยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุขราวกับได้กลับบ้าน

เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชายขอบของชิงโจว อำเภอกว่างฮั่น

ภายในห้องส่วนตัวของ ‘หอเซียงซาน’ ภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมือง จีเสวียนถือจานดักแด้ทอดและกินอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยมาก ถึงหน้าตาจะดูอัปลักษณ์ แต่พอกินแล้วกลับมีรสชาติอร่อยยิ่ง น้องหยวนซวง ลองสักจานไหม”

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ขยับตะเกียบอยู่นานราวกับความอยากอาหารของตนได้รับผลกระทบไปด้วย

ในห้องส่วนตัวอันกว้างขวาง มีคนนั่งอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน สวี่หยวนซวงที่มีดวงตาสุกใสและฟันที่เรียงสวยงดงาม สวี่หยวนไหวที่ชอบทำหน้าตาเย็นชาดุดัน และจีเสวียนผู้เป็นบุคคลสำคัญของกลุ่มในครั้งนี้

นอกจากทั้งสามคนแล้วยังมีอีกสี่คน เมื่อนับจากซ้ายไปขวาก็จะมีนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยผู้สวมชุดคลุมเต๋าที่ซักจนขาวซีด เขาไว้เคราแพะและมีผมสีดอกเลา พร้อมกับรอยตีนกาสลักลึกที่หางตา

นักพรตเจียวเยี่ยคือนักพรตพเนจร เป็นหมอเร่ร่อนและเป็นนักทำนายที่เชี่ยวชาญในทุกๆ เรื่อง เขาใช้พลังวิญญาณกว่าครึ่งชีวิตไปกับ ‘ลัทธินอกรีต’ ทำให้ระดับการฝึกตนของตัวเองไม่สูงมาก

แต่ในยุทธภพ ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มากมายหลายวิชาเช่นนี้สำคัญถึงขนาดที่อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์เลยด้วยซ้ำ

ต่อมาก็คือชายร่างผอมที่สวมชุดคลุมยาวกระดำกระด่างสีสันสดใส มีนามว่าฉีฮวนตานเซียง คนผู้นี้คือหมอผีพเนจรจากเผ่าซินกู่ ตอนอยู่ในอวิ๋นโจวเขาได้พบเรื่องเสนาบดีเล็กรังแกชาวบ้าน จึงควบคุมกู่พิษให้ทำลายทั้งครอบครัว

เห็นได้ชัดว่ามีอุปนิสัยสุดโต่ง

ดังนั้นจึงถูกหน่วยราชการของอวิ๋นโจวประกาศจับ ต่อมามีโอกาสได้เข้ามาในเมืองเฉียนหลงและกลายเป็นคนรับแขกของจวนเจ้าเมือง

ด้านซ้ายของฉีฮวนตานเซียงคือสตรีเผ่าปีศาจที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ใบหน้ารูปไข่คมงาม ริมฝีปากสีแดงเพลิง ดวงตาทั้งใหญ่ทั้งทรงเสน่ห์ หยาดน้ำใสๆ ในนั้นราวกับจะยั่วยวนผู้คนได้ ในฤดูแรกเข้าเหมันต์

นางกลับสวมกระโปรงผ้าโปร่งบางๆ เปิดเผยช่วงเอวและน่องขา แสดงเสน่ห์น่าหลงใหลของสตรีเพศผู้โตเต็มวัยออกมาอย่างเต็มที่

นางมีนามว่าหลิ่วหงเหมียน มาจากหอหมื่นบุปผาของเจี้ยนโจว นางพ่ายแพ้ในการแข่งขันเป็นผู้ดูแลหอกับศิษย์น้องเซียวเยว่หนู จึงออกมาจากเจี้ยนโจวพร้อมกับโทสะ ก่อนจะถูกเมืองเฉียนหลงดูดกลืนและกลายเป็นผู้ต้อนรับแขกของจวนเจ้าเมือง

สุดท้ายคือบุคคลผู้มีสถานะพิเศษ ไม่อาจเรียกเขาว่ามนุษย์ได้ แม้ภายนอกจะเป็นชายฉกรรจ์แข็งแกร่งและเปี่ยมความน่าเกรงขาม แต่ร่างจริงกลับเป็นพยัคฆ์ขาวตนหนึ่ง

เขาคือหนึ่งในสี่ผู้นำกลุ่มยี่สิบแปดดาราที่ราชครูสวี่ผิงเฟิงเลี้ยงไว้ ไป๋หู่

ทั้งสี่คนนี้ล้วนมีพลังเหนือธรรมชาติและฝีมือชั้นสูง ทั้งยังมีโหรอย่างสวี่หยวนซวงอยู่ด้วย คณะเดินทางนี้จึงแทบจะไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

หมอผีซินกู่ฉีฮวนตานเซียงเอ่ยยิ้มๆ

“ทางตะวันตกของชิงโจวติดกับซินเจียงตอนใต้ วิธีการกินเช่นนี้สืบทอดมาจากทางซินเจียงตอนใต้ของพวกเราเอง แต่ชาวภาคกลางนั้นพิถีพิถันกว่า พวกเขารู้จึกใช้น้ำมันทอดและเครื่องเทศเพื่อกลบกลิ่นคาวได้ คนซินเจียงตอนใต้เวลากินอะไร ส่วนใหญ่ก็จะกินแบบดิบๆ หรือไม่ก็ต้มกับน้ำ อย่างมากก็แค่โรยเกลือเพิ่มเข้าไปเท่านั้น”

จีเสวียนกินหมดไปหนึ่งจานอย่างรวดเร็วแล้วหยิบแก้วสุรามาจิบ ก่อนเอ่ยพูดอย่างทอดถอนใจ

“ฆราวาสจื่อหยางสมกับเป็นลัทธิขงจื๊อสายตรง เขาจัดระเบียบการปกครองของชิงโจวเสียเรียบร้อย หากเมืองเฉียนหลงได้รับการสนับสนุนจากลัทธิขงจื๊อสายตรงบ้างก็ไม่ต้องกังวลกับงานใหญ่แล้วใช่หรือไม่ หยวนไหว เจ้าว่าเหตุใดราชครูไม่หาลัทธิขงจื๊อมาเข้าร่วมบ้างล่ะ”

ชายหนุ่มใบหน้าเยือกเย็นได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วนิ่งคิด ก่อนจะส่ายหน้า

สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะว่าชะตากรรมของต้าฟ่งยังไม่หมดสิ้น ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับชะตากรรมมากกว่าและรู้เรื่องชะตากรรมมากที่สุด เมื่อลัทธิขงจื๊อเคลื่อนไหวก็หมายความว่าชะตากรรมของราชสำนักจบสิ้นแล้ว อย่างเช่นในปีนั้นที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนจงทุบทำลายเส้นเลือดมังกรของต้าโจว และตัดชะตากรรมสุดท้ายของต้าโจว ครั้งนั้นจักรพรรดิอู่จงคิดทำการกบฏ ลัทธิขงจื๊อไม่ได้ช่วยเหลือ แต่ก็มิได้ขัดขวาง ความจริงนี่เป็นเรื่องดี เพราะเป็นข้อพิสูจน์ว่าลัทธิขงจื๊อก็สามารถนิ่งเงียบรอดูอยู่ข้างๆ ได้เหมือนกัน รอให้ท่านลุงขึ้นครองบัลลังก์แทนต้าฟ่ง ยังจะต้องกังวลอีกหรือว่าลัทธิขงจื๊อจะไม่มีประโยชน์ต่อพวกเรา?”

จีเสวียนยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ “หากน้องหยวนซวงเป็นบุรุษ การจะเป็นสมุหราชเลขาธิการก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว”

สีหน้าของสวี่หยวนซวงเย็นชาและไม่พูดอะไร

จีเสวียนลูบคางและหัวเราะแห้งๆ ไปสองทีก่อนมองดูผู้คนรอบๆ แล้วเอ่ยว่า

“เมื่อวานได้ข่าวลับมาจากนักรบเงา ปราณมังกรสายแรกปรากฏขึ้นภายในเจดีย์พุทธะที่วัดซานฮัวของเหลยโจว เมื่อสิบวันก่อน ชาวยุทธ์ของเหลยโจวก็ขัดแย้งกับวัดซานฮัวด้วยเหตุนี้เอง”

นักรบเงาคือกลุ่มสืบข่าวลับที่เมืองเฉียนหลงฝึกฝนไว้ พวกเขากระจายตัวอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งสิบ มีหน้าที่ในการสืบและรวบรวมข่าวสารโดยเฉพาะ คล้ายกับสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

สวี่หยวนซวงดวงตาสว่างวาบ นางเอ่ยถามว่า “ผลเป็นอย่างไร”

จีเสวียนส่งเสียง ‘จิ๊ๆ’ ออกมาก่อนเอ่ย “จอมยุทธ์เหลยโจวที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เผยว่า ปราณมังกรถูกซุนเสวียนจีจากสำนักโหราจารย์และคนที่ชื่อสวีเชียนชิงไปจากเจดีย์พุทธะร่วมกัน อืม ชิงไปภายใต้รูจมูกของเทพอารักษ์ตู้หนานและอีเอ๋อร์ปู้เชียวล่ะ”

ตอนนั้นซุนเสวียนจีลบเจดีย์พุทธะทิ้งไป รวมถึง ‘การดำรงอยู่’ ของทุกคนที่อยู่ในเจดีย์ด้วย แต่ต่อมาพวกชาวยุทธทั้งหลายได้ออกมาและ ‘เปิดเผย’ เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ ดังนั้นวิชาความลับของสวรรค์จึงถูกทำลายไปเอง

เช่นเดียวกับวันนั้นที่สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัวภายใต้สายตาของทุกคนในเมืองหลวง ความลับสวรรค์ที่ปกปิดไว้จึงไร้ผลในทันที

นักพรตเจียวเยี่ยลูบเครากล่าวว่า

“อย่างที่เราได้คาดไว้ สำนักโหราจารย์กำลังรวบรวมปราณมังกร ทั้งยังคืบหน้ากว่าพวกเราอีกด้วย ตอนนี้ได้หนึ่งในปราณมังกรเก้าสายแล้ว นอกจากนั้น สำนักพุทธก็กำลังเสาะหาปราณมังกรเช่นนั้น และคาดว่าสำนักพ่อมดก็คงไม่พลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้แน่นอน น้ำบ่อนี้ขุ่นคลั่กยิ่งนัก อีกอย่าง สวีเชียนคือผู้ใดกัน”

หลิ่วหงเหมียนจากหอหมื่นบุปผากล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน

“น้ำขุ่นก็มีข้อดีของน้ำขุ่นอยู่ นกปากซ่อมกับหอยกาบสู้กัน คนตกปลาก็ได้ผลประโยชน์อย่างไรเล่า”

“แม่นางหงเหมียนกล่าวได้ไม่ผิด” จีเสวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็หันไปตอบนักพรตเต๋าเจียวเยี่ย

“นักรบเงาไม่ได้ตรวจสอบพื้นเพของคนผู้นี้ รู้เพียงแค่ว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ ก็น่าจะเป็นคนจากเผ่าพันธุ์กู่”

ทุกคนหันไปมองฉีฮวนตานเซียงทันที หมอผีซินกู่ขมวดคิ้วมุ่น “เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่มันชื่อของคนภาคกลาง ใบหน้าก็สามารถปลอมแปลงได้ แต่การที่สามารถแย่งชิงปราณมังกรไปจากมือของขั้นสามทั้งสองคนนั้น แสดงว่าคนผู้นี้มิได้ธรรมดาเลย”

“แล้วเจ้าเดาตัวตนของเขาได้หรือไม่” จีเสวียนถาม

ฉีฮวนตานเซียงส่ายหน้า

“แม้ว่าวิชากู่ของเผ่าพันธุ์กู่จะเผยแพร่สู่ภายนอกน้อยนัก แต่อย่างไรก็มีอยู่บ้าง เช่นคนในเผ่าฉิงกู่ที่ชอบยั่วยวนคนนอกเผ่ามาก จากนั้นก็บีบบังคับให้พวกเขารั้งอยู่ในเผ่า คนที่ตกอยู่ในพลังของฉิงกู่นั้น ไม่ว่าจะยินดีหรือถูกบังคับให้อยู่ในเผ่าพันธุ์กู่ก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พวกเขาก็จะเรียนรู้วิชากู่ได้ เมื่อหลบหนีมา วิชากู่ก็จะถูกเผยแพร่สู่ภายนอกตามไปด้วย ผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าขั้นสี่ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครคือคนของเผ่าพันธุ์กู่”

ไป๋หู่เอ่ยเสียงเรียบ “จะใช่สวี่ชีอันหรือไม่”

สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกัน

จีเสวียนขมวดคิ้ว “การคาดเดาโดยไม่มีมูลรังแต่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเราเท่านั้น”

ฉีฮวนตานเซียงกล่าวเสริม “การฝึกวิชากู่ยากลำบากมาก จำเป็นต้องปลูกฝังกู่เจ้าชะตาเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก สวี่ชีอันผู้นั้นคือจอมยุทธ์ ไม่สามารถสืบทอดวิชากู่ได้ภายในคืนเดียวหรอก ทั้งยังมีโอกาสเกิดไฟผลาญในระดับหนึ่งด้วย”

ไป๋หู่พยักหน้า

หลิ่วหงเหมียนหัวเราะคิก “น่าเสียดายจัง ได้ยินว่าสวี่ชีอันผู้นี้ใบหน้างดงามหล่อเหลา ทั้งยังเป็นแขกประจำของสำนักสังคีตแห่งเมืองหลวงเสียด้วย ถ้าหากเป็นเขาจริงๆ แผนหญิงงามของเราก็ใช้ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

สวี่หยวนซวงยิ้มเยาะ “โง่เง่า เขาเป็นคนประเภทที่เห็นสตรีก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยหรือไง”

รอยยิ้มของหลิ่วหงเหมียนไม่เปลี่ยนไป ยังคงทรงเสน่ห์ชวนหวั่นไหว “ข้าไม่จำเป็นต้องวางแผนอะไรกับเขา แค่นอนกับเขาเท่านั้นก็พอแล้ว เอ๋ น้องหยวนซวงดูเหมือนจะไม่พอใจเลยนะ พี่สาวเข้าใจแล้วล่ะ ที่แท้เจ้าก็มีใจให้กับฆ้องเงินสวี่ล่ะสิ”

“เฮอะ!” สวี่หยวนซวงตบโต๊ะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าว่าอะไรนะ!”

คนต่างแดนเหล่านี้ไม่รู้เรื่องภูมิหลังของสวี่ชีอัน

จีเสวียนยิ้มแล้วเอ่ยติดตลก “แม่นางหงเหมียนอยากจะนอนกับสวี่ชีอัน ก็ต้องไปตามหาเขาที่เมืองหลวงสิ แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องไปที่ยงโจวกันก่อน”

“ยงโจว?”

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยถามกลับ

“ช่วงนี้ที่ยงโจวกำลังจะจัดการชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ขึ้น ว่ากันว่าเป็นการร่วมมือจัดขึ้นระหว่างกองกำลังทรงอิทธิพลในยุทธภพ ตระกูลกงซุน และป้อมหลงเสิน เพื่อจัดอันดับยอดฝีมือแห่งยงโจว ผู้ใดที่คิดอยากมีชื่อเสียง ก็ต้องไปที่ยงโจวทั้งนั้น” จีเสวียนกล่าว

นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยพลันนึกขึ้นได้ จึงลูบเคราแล้วหัวเราะร่า “เมื่อถึงตอนนั้น เราก็สามารถแยกแยะคนที่มีปราณมังกรติดกายภายในกลุ่มคนเหล่านั้นได้สินะ”

ห้องใต้ดิน สำนักโหราจารย์

หยางเชียนฮ่วนยืนอยู่ที่ประตูของห้องห้องหนึ่ง โดยหันหลังให้กับจงหลีที่อยู่ในห้องแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“ศิษย์น้องจง ข้าไม่รออยู่กับเจ้าแล้ว อาจารย์รับปากแล้วว่าจะปล่อยข้าออกไป”

จงหลีที่ทรงผมสยายยุ่งเหยิงชะงักไปแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแผ่วเบา “ศิษย์พี่หยางล้มเลิกความคิดที่จะสังหารจักรพรรดิแล้วหรือ”

หยางเชียนฮ่วนแค่นเสียง “ปล่อยให้เจ้าจักรพรรดินั่นยืดคอต่อไปอีกสักสองสามวันแล้วกัน ต่อไปหากทำผิดซ้ำซากเหมือนกับหยวนจิ่ง หยางเชียนฮ่วนคนนี้จะตัดหัวเขาที่ตำหนักกระดิ่งทองต่อหน้าประชาชนชาวเมืองหลวงทั้งสามล้านคนแน่นอน”

เขาไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเพราะตนยอมผ่อนปรน ท่านโหราจารย์จึงยอมเปิดทางปล่อยเขาออกมาหรือไม่

เมื่อวาน องค์รัชทายาทได้ขึ้นบัลลังก์เป็นจักรพรรดิและเปลี่ยนรัชศกเป็น ‘หย่งซิ่ง’ แล้ว

“ชาวเมืองหลวงมองไม่เห็นตำหนักกระดิ่งทอง…” จงหลีเอ่ยพึมพำเสียงเบา

“เจ้าว่าอะไรนะ” หยางเชียนฮ่วนได้ยินไม่ชัด

จงหลีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิใช่ว่าไร้เป้าหมายแล้วหรอกหรือ ออกไปได้ยังจะมีความหมายใด”

ด้านหลังของหยางเชียนฮ่วนจ้องเขม็งไปที่นาง

“ข้าคิดดีแล้วว่าจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างไร ทั้งยังมีแผนการแบบละเอียดแล้วด้วย ตอนนี้สวี่ชีอันไม่อยู่ในเมืองหลวง นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง หากไม่ผงาดขึ้นมาตอนนี้แล้วจะไปทำตอนไหน พอเขากลับมาที่เมืองหลวงก็จะพบว่าชาวเมืองหลวงจดจำฆ้องเงินสวี่ไม่ได้แล้ว และในใจของพวกเขาก็จะมีแต่หยางเชียนฮ่วน”

ในน้ำเสียงของศิษย์พี่หยางมีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม

จงหลีเอ่ยอย่างสงสัย “แผนการแบบละเอียดล่ะ”

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด