ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 418 สวี่ชีอัน “บ่อของข้าไม่มีปลาเน่า”

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 418 สวี่ชีอัน “บ่อของข้าไม่มีปลาเน่า” at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 418 สวี่ชีอัน “บ่อของข้าไม่มีปลาเน่า”

หลังจากป้าจางจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็จูงลูกม้าตัวเมียเข้าไปในลานบ้าน และผูกมันไว้กับลำต้นของต้นไทรน้อย

เขาเพิ่งจะค้นพบตอนนี้ว่า ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ลานบ้านที่เคยหดหู่ทรุดโทรมกลับเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด ผึ้งและผีเสื้อบินว่อนอยู่ในพุ่มดอกไม้

นอกจากนี้ บรรยากาศยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของหมู่มวลดอกไม้

สวี่ชีอันกวาดสายตามองรอบๆ เห็นพืชพันธุ์อันล้ำค่ามากมาย บางสายพันธุ์ในนั้นมีมูลค่าสูงถึงสิบกว่าตำลึง

เหตุผลที่เขารู้ราคาของพืชพันธุ์ล้ำค่าเหล่านี้ ก็เพราะอาสะใภ้ในจวนวุ่นอยู่กับกระถางต้นไม้ทุกวัน หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ นางจะลงทุนทางด้านนี้มากกว่าสองร้อยตำลึง

แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่เคยถาม ว่าอาสะใภ้ใช้เงินไปจำนวนเท่าไรสำหรับการซื้อดอกไม้ล้ำค่าเหล่านั้น อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เงินของเขาอยู่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นกระถางต้นไม้อันเป็นที่รักของอาสะใภ้ ที่อยู่ดีๆ ก็มักจะถูกสวี่ชีอันทำล้ม

ทุกครั้งอาสะใภ้จะอบรมสั่งสอนเขาด้วยความโกรธจัด จากนั้นก็พูดฉอดๆ ว่า ‘เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกไม้เหล่านี้แพงแค่ไหน เจ้าเด็กดื้อ น่ารำคาญ’

“ดอกไม้เหล่านี้มันอะไรกัน?” สวี่ชีอันถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ลานบ้านน่าเบื่อเกินไป ข้าก็เลยซื้อดอกไม้เหล่านี้มาปลูกที่ลานบ้าน” น้ำเสียงของพระมเหสีสงบนิ่ง

เงินที่ข้าให้เจ้า ยังไม่พอจะซื้อดอกไม้เหล่านี้เลย…สวี่ชีอันพึมพำในใจ พลางอุทาน “อ๋อ” ด้วยท่าทางสงบ ราวกับถามตามใจปากไปอย่างนั้น และไม่ได้สนใจดอกไม้เหล่านี้เลย

แต่ในใจกลับคิดว่า หากนางพูดว่าซื้อเมล็ดพันธุ์ จะเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่านี้ ในระยะเวลาห้าวัน เมล็ดพันธุ์ถูกเร่งให้เติบโตและเบ่งบานกลายเป็นฉากที่เต็มไปด้วยดอกไม้ นี่คือพลังของเทพดอกไม้ใช่หรือไม่? หากโยนผู้หญิงคนนี้ไปในทะเลทราย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อโลกทั้งใบ

ด้วยความคิดนี้ เขาจึงนึกถึงรากบัวเล็กๆ ชิ้นนั้น หากให้พระมเหสีเพาะปลูกรากบัว มันจะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่?

นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่า ชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์ไม่สามารถเพาะปลูกเพียงลำพังได้ แต่หากคนที่เพาะปลูกคือเทพดอกไม้ล่ะ?

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเก็บรักษาความตั้งใจของตนเองไว้เป็นอย่างดี

เมื่อเห็นท่าทางไม่แยแสของเขา พระมเหสีก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก

“เกิดอะไรขึ้นกับป้าจางเมื่อครู่?” สวี่ชีอันเอ่ยถาม ขณะเดินเข้าไปในบ้าน

เขาเดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้อง เมื่อเดินถึงหน้าเตาก็เปิดฝาหม้อออก ถั่วลิสงต้มเกลือในหม้อกำลังเดือดปุดๆ และยังใส่เครื่องเทศลงไปด้วย

“นางอาศัยอยู่ไม่ไกล ไม่กี่วันก่อนนางอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเรา…นางหกล้มอยู่ที่ด้านนอก ข้าเห็นว่าน่าสงสาร ก็เลยช่วยไว้ หลังจากนั้น นางก็มาช่วยข้าบ่อยๆ ถั่วลิสงนี้ นางก็เป็นคนนำมาให้”

พระมเหสีนั่งลงบนแท่นไม้เล็กๆ พลางวางถ้วยถั่วลิสงลงบนหน้าตักและกล่าวอีกว่า “ลูกชายของนางทำธุรกิจเกี่ยวกับยาสมุนไพร ว่ากันว่ามีร้านค้าหลายแห่งในเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก เพราะลูกสะใภ้ไม่ชอบนาง ลูกชายนางจึงซื้อบ้านหลังเล็กใกล้ๆ กันให้แม่อาศัยอยู่ นางเจอใครก็เที่ยวบอกว่าลูกชายตัวเองกตัญญูมาก และยังซื้อบ้านให้นางด้วย”

สวี่ชีอันพิงเตา กินถั่วลิสงต้มเกลือ พลางโยนเปลือกถั่วลิสงลงบนเท้าของนาง และกล่าวว่า “เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น”

พระมเหสีชักเท้าไปด้านหลัง และมองเขาด้วยสายตาพิฆาต พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าบอกนางว่าสามีข้าตายแล้ว มีกุ๊ยข้างบ้านคนหนึ่งจ้องความงามของข้าตาเป็นมัน พยายามทำพฤติกรรมหยาบคายกับข้าหลายต่อหลายครั้ง และเอาเปรียบข้า ข้าจึงขายบ้าน และย้ายมาที่นี่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาบ้านข้าเจอ และยังบอกด้วยว่าจะมาอยู่บ้านข้าทุกๆ สองวัน”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยาม “จ้องความงามของเจ้าตาเป็นมัน? พระมเหสี ท่านส่องกระจกแล้วพูดอีกครั้งเถอะ”

พระมเหสีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ให้เจ้ากินถั่วของข้าแล้ว”

“ข้าจะกิน”

“ไม่ให้กิน”

“ข้าจะกิน”

สวี่ชีอันใช้เวลาตลอดทั้งเช้าอยู่ในบ้านหลังเล็กของพระมเหสี นั่งสานตะกร้าไม้ไผ่ ซ่อมถังไม้ ทำจอบขุดดินขนาดเล็ก สับฟืนแทนนางที่อยู่ในบ้าน และยังก่ออิฐสร้างเตาต้มน้ำในบ้านให้นางอีกด้วย

ในขณะที่เขาทำงาน พระมเหสีนั่งมองเขาอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย

รอจนได้เวลา นางก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในครัวอย่างเงียบๆ และลงมือปรุงอาหารจำนวนหนึ่งพอเป็นพิธี

“อร่อยหรือไม่?”

นางเท้าคางบนโต๊ะอาหารและมองสวี่ชีอันตาปริบๆ

โคตรไม่อร่อยเลย…สวี่ชีอันกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ฝีมือการทำอาหารของเจ้าพัฒนาขึ้นแล้ว”

พระมเหสีฉีกยิ้มขึ้นมาทันที ดวงตาของนางราวกับพระจันทร์เสี้ยว “งั้นเจ้ากินให้หมดเลย”

“แล้วเจ้าล่ะ?”

“ข้าไม่หิว ข้ากินถั่วจนอิ่มแล้ว”

สวี่ชีอันพยักหน้า พลางก้มศีรษะรับประทานอาหาร ไม่นานเขาก็รับประทานอาหารที่นางปรุงหมดเกลี้ยงจนแทบจะเลียจาน พระมเหสีมองเขาตาไม่กะพริบด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ทักษะการทำอาหารของนางเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้ว อย่างไรลิ้นก็ไม่สามารถโกหกใครได้

“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ อาหารเรียบง่ายพื้นๆ ถึงจะเป็นความจริง”

ในขณะที่สวี่ชีอันพูด ก็เหลือบตาไปมองพระมเหสีขี้งอน นางดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนลงมาก แต่นางเก็บซ่อนความรู้สึกไว้อย่างมิดชิด

เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาจึงล้วงมือเข้าไปในหน้าอก พลางสัมผัสกระจกเบาๆ และเทรากบัวชิ้นเล็กออกมา

“ข้าไปเจี้ยนโจวครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาที่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” สวี่ชีอันกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ

“ใครอยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อน” พระมเหสีมุ่ยปากเล็กน้อย พลางเบือนหน้าไปทางอื่น

“แต่อย่างไรก็ไปไม่เสียเที่ยว เพราะข้าพบสิ่งที่น่าสนใจ” สวี่ชีอันวางรากบัวลงบนโต๊ะและกล่าวอีกว่า “นี่เป็นของที่ผู้อาวุโสมอบให้ข้าเป็นของขวัญ ว่ากันว่าเป็นของล้ำค่า แต่มันเหี่ยวเฉาแล้ว”

รากบัวมีสีคล้ำและหดตัว ริ้วรอยมากมายปรากฏอยู่บนพื้นผิว

“นี่คืออะไร?” พระมเหสีถูกดึงดูดความสนใจ

“ข้าไม่ค่อยแน่ใจ แต่อย่างไรก็เป็นของล้ำค่า” สวี่ชีอันทอดถอนใจ

“สิ่งนี้สำคัญสำหรับข้ามาก แต่ดูเหมือนจะเลี้ยงไม่โตแล้ว แต่ต่อให้จะเหี่ยวเฉา ก็ยังเป็นยาชนิดหนึ่ง นับว่ายังไปไม่เสียเที่ยว”

มู่หนานจืออ่อนไหวต่อตัวตนของตนเองมาก สวี่ชีอันไม่อยากให้นางรู้ว่าเขาเห็นร่างที่แท้จริงของนางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้นางตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

พระมเหสีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบรากบัวขึ้นมาเช็ดเบาๆ ที่แขนเสื้อ หลังจากนั้นก็อ้าปากเผยฟันซี่ขาวและกัดมันหนึ่งคำ

สวี่ชีอันไม่ทันตั้งตัว จึงห้ามนางไม่ทัน

พระมเหสีเคี้ยวไม่นาน ก็กลืนลงไป ก่อนจะแสดงความคิดเห็นอย่างชื่นมื่น “ยังหอมหวานอยู่เลย อืม มันยังไม่ตาย เลี้ยงสักพักก็น่าจะฟื้นแล้ว”

“!”

สวี่ชีอันตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ความปีติยินดีท่วมท้นในจิตใจของเขา คิดไม่ถึงว่าการใช้ความพยายามตามอารมณ์ จะได้รับการตอบกลับเช่นนี้

หากปลูกรากบัวชิ้นนี้ได้สำเร็จ ก็จะมีดอกบัวเก้าสีดอกที่สองบนโลก มันสามารถเติบโตด้วยตนเองและกลายเป็นดอกบัวในที่สุด…

สวี่ชีอันเคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของเมล็ดบัวแล้ว หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เมื่อผ่านไปทุกๆ หกสิบปี เขาก็จะได้รับเมล็ดบัวยี่สิบสี่เม็ด

นี่…นี่…

นอกจากนี้ หากรากบัวสามารถเติบโตขึ้นได้ เงื่อนไขในการทำลายบรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็เป็นที่พอใจแล้ว ถ้าเขาสามารถอาศัยรากบัวในการก้าวขึ้นสู่ขั้นสอง เช่นนั้นเขาก็จะติดหนี้บุญคุณนางอย่างมหาศาล

การประลองกับโหรปริศนาในอนาคต บรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะกลายเป็นหนึ่งในไพ่ใบใหญ่ที่สุดของเขา

หัวใจของสวี่ชีอันเริ่มร้อนรนขึ้นมาอย่างเงียบๆ เขาพยายามอย่างดีที่สุดในการระงับความตื่นเต้นของตนเอง และกล่าวอย่างสงบว่า “งั้นเจ้าลองดูก็ได้ อืม ถ้ามันเลี้ยงไม่โต จำไว้ว่าต้องนำมันกลับมาคืนข้าล่ะ ข้าจะนำไปทำอย่างอื่น”

หากเลี้ยงไม่โต ข้าก็จะนำไปรายงานกับราชครู

พระมเหสีพยักหน้า

เดี๋ยวนะ เหตุใดราชครูถึงให้ข้าไปขอรากบัวนี้? นางเป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ควรรู้ว่ารากบัวเก้าสีเป็นสิ่งที่เพาะปลูกได้ยาก ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายคือการกลั่นยา

หากมันสามารถกลั่นยาได้ เหตุใดต้องมอบหมายให้เขาไปขอเป็นพิเศษ? พูดง่ายๆ คือ ลั่วอวี้เหิงมีจุดประสงค์อื่นหรือไม่?

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็อดที่จะชายตามองพระมเหสีไม่ได้

ไม่น่าจะใช่มั้ง ลั่วอวี้เหิงไม่มีทางรู้ว่าข้าแอบเลี้ยงนางไว้อย่างลับๆ เฮ้อ ข้าก็ไม่สนิทกับราชครู ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับนางมาก จึงไม่สามารถด่วนสรุปได้

เดิมทีข้าคิดว่าพระมเหสีคือตัวนำโชค ตราบใดที่งดงามก็เพียงพอ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ข้าประหลาดใจขนาดนี้ ปลาทุกตัวในบ่อปลาของข้าล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น…สวี่ชีอันรู้สึกลึกๆ จากใจจริง

เวลานี้เอง พระมเหสีมีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง และกล่าวเสียงพึมพำว่า “ข้า ข้าใช้เงินหมดแล้ว…”

กล่าวถึงตรงนี้แล้ว ดูเหมือนนางจะไม่ชินกับการแบมือขอเงินจากผู้ชาย สิ่งนี้ทำให้นางดูเหมือนภรรยาน้อยที่ถูกเลี้ยงดูไว้ภายนอก นางจึงเบือนหน้าหนีและกล่าวเสียงเบาราวกับยุงว่า “ขอ ขอเพิ่มอีกนิดได้หรือไม่”

ก่อนไปข้าเพิ่งให้เงินไปสิบห้าตำลึง ห้าวันก็ใช้เกือบหมดแล้วรึ? สวี่ชีอันเหลือบตามองนาง และไม่พูดอะไร

เมื่อสังเกตเห็นถึงความเงียบของเขา พระมเหสีก็หันมามองเขาทันที ก่อนจะหันไปอีกครั้ง และกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าไม่ให้ก็ไม่เป็นไร”

นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

สวี่ชีอันเทแท่งเงินมูลค่าสิบตำลึงจำนวนห้าแท่งออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และวางบนโต๊ะทีละแท่ง หลังจากนั้นก็หักมันเป็นชิ้นๆ ราวกับเซาปิ่ง และปั้นเป็นเม็ดเล็กๆ

“เจ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใช้แท่งเงิน เศษเงินก็เพียงพอแล้ว เช่นนี้จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจของคนภายนอก สิ่งที่ข้าคิดเมื่อครู่คือ ตอนที่ข้าให้แท่งเงินเจ้าครั้งที่แล้ว ข้าไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ข้าอยากตำหนิตัวเองมาก ในเมื่อข้าไม่มีทางอยู่กับเจ้าได้ตลอดเวลา ก็ควรใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้ให้ดี นี่เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก”

น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความจริงใจอย่างมาก

พระมเหสียังคงมองออกไปนอกประตู แต่น้ำเสียงตอบรับว่า “อืม” ของนางก็อ่อนลงเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าตนเองไม่ได้โกรธ

ครึ่งวันบ่าย สวี่ชีอันพาพระมเหสีไปเดินเล่นซื้อของในตัวเมือง ซื้อสีทาแก้ม ผัก ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ยังมีเสื้อผ้าที่สวยงามและประณีต ก่อนฟ้ามืด สวี่ชีอันก็จากไปพร้อมกับแม่ม้าน้อยที่ถูกทอดทิ้งมากว่าครึ่งวัน

ทันทีที่เขาออกไป ป้าจางก็มาถึงพอดี

เมื่อเห็นถุงเล็กถุงน้อยวางอยู่ในบ้าน ป้าจางก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านหญิงมู่ ชายในจวนของท่านไปแล้วหรือ? จึ๊จึ๊ ซื้อของมากมายเช่นนี้ ต้องใช้หลายสิบตำลึงเลยกระมัง”

ป้าจางกวาดสายตามองและพบว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิง นางจึงอุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไอหยา ผู้ชายของท่านดีต่อท่านจริงๆ”

พระมเหสีรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย ดวงตาของนางโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แต่ต่อหน้าบุคคลอื่น นางเลือกที่จะไม่เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของตนเอง และกล่าวด้วยความสง่างามว่า “ชายในจวนของข้าเป็นผู้ดูแลบ้านให้กับตระกูลสูงศักดิ์ ปกติแล้วเขาจะไม่กลับมา แต่ถึงแม้จะกลับมา ก็ต้องกลับไปก่อนฟ้ามืด เมื่อเช้า ข้าโกรธที่เขาเพิกเฉยข้า ก็เลยพูดโกหกกับเจ้า ป้าจางอย่าโกรธข้าเลยนะ”

นางกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็ยื่นเนื้อแกะหนึ่งห่อ และสีทาแก้มหนึ่งกระปุกให้ป้าจาง

ป้าจางโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “คนแก่อย่างข้าจำเป็นต้องใช้ของเหล่านี้เสียเมื่อไหร่กัน แต่เนื้อแกะ ข้าจะรับไว้”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชรามีความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง

นางไม่สงสัยคำพูดของมู่หนานจือแม้แต่นิดเดียว หากเป็นหญิงงามทรงเสน่ห์ ป้าจางอาจจะสงสัยว่าที่นี่คือบ้านเล็กบ้านน้อยที่นายท่านทรงอิทธิพลบางคนแอบเลี้ยงไว้

แต่ถึงแม้ท่านหญิงมู่ท่านนี้จะมีรูปร่างอุดมสมบูรณ์ แต่ใบหน้าของนางก็ธรรมดาไปหน่อย ถึงจะเป็นสาวกเติ้งในตลาด ก็ยังไม่เกิดความคิดที่ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาเช่นนี้

จวนสกุลสวี่

สวี่ชีอันสวมชุดจิ้นจวงสีดำ พร้อมกับจูงลูกม้าตัวน้อยกลับบ้าน เขาถอดเสื้อผ้าชุดนั้นออกที่หอคณิกา และเขาก็ขี้เกียจที่จะสวมคืนอีกครั้ง

อารองสวี่กำลังดื่มสุราอยู่บนโต๊ะอาหาร และถามว่า “ครั้งนี้ไปไหนมา”

สวี่ชีอันก้มศีรษะรับประทานอาหาร “เจี้ยนโจว ช่วยสหายต่อสู้”

“ยังมีเทพธิดานิกายสวรรค์พวกลี่น่าไปด้วยหรือไม่?”

“อืม”

อารองสวี่ฉวยโอกาสสั่งสอนหลานชาย “อย่าเอาแต่ต่อสู้ฆ่าฟัน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เจี้ยนโจวคือดินแดนที่เต็มไปด้วยวิทยายุทธของต้าฟ่ง มียอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน ดูสภาพเจ้าแล้ว แสดงว่าเพื่อนเจ้าคนนั้นคงไม่ได้ยุ่งกับผู้แข็งแกร่ง มิเช่นนั้น…”

สวี่ซินเหนียนกลืนอาหาร และกล่าวว่า “เจี้ยนโจว คือรัฐที่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว อิทธิพลของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวยิ่งใหญ่ไพศาล พวกราชการส่วนท้องถิ่นล้วนต้องก้มหัวให้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามัคคีกันมาก มีเรื่องแค่คนเดียวก็ยกกันออกมาทั้งกลุ่ม”

“หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ชื่อ เฉาชิงหยาง เขาเป็นทหารยุทธภพแนวหน้าของอู่ปั่ง ใช่หรือไม่ท่านพ่อ”

“ใช่ เจี้ยนโจวเป็นสถานที่ของพวกยุทธภพที่โหดเหี้ยม ตรงกันข้ามกับอวิ๋นโจวอย่างสิ้นเชิง เฉาชิงหยางนั่นเป็นวีรบุรุษรุ่นที่หนึ่งในยุทธภพ”

อาสะใภ้ฟังด้วยความเพลิดเพลินและถามว่า “เขาเก่งกว่าหนิงเยี่ยนหรือไม่?”

ในจิตใจของอาสะใภ้ หลานชายดวงกุดคนนี้เป็นเหมือนยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ปากนางไม่พูด แต่ในใจกลับมั่นใจมาก

อารองครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “หนิงเยี่ยนยังห่างไกลนัก ฝึกฝนอีกสักห้าปีก็อาจจะสู้กับหัวหน้ากลุ่มจอมยุทธ์นั่นได้ และพวกเขายังไม่ไว้หน้าราชสำนักอีกด้วย”

เขารู้ว่าหลานชายยังอยู่ในขั้นหก

ทันทีที่อาสะใภ้ได้ยินดังนั้น ก็รีบกล่าวว่า “ยังดีที่หนิงเยี่ยนไม่ไประรานคนอื่น แล้วอยู่ดีๆ ทำไมถึงเที่ยวไปทะเลาะกับคนอื่นถึงเจี้ยนโจวเล่า”

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวแทนพี่ชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ทำแต่เรื่องพอเหมาะพอควร กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เก่งกาจขนาดนั้น เขาคงไม่วอนหาเรื่องหรอกกระมัง”

สวี่ชีอันรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

เมื่อสิ้นสุดอาหารมื้อเย็น สวี่ซินเหนียนก็วางตะเกียบลง และกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านมาที่ห้องอ่านหนังสือข้าสักหน่อยเถอะ”

สองพี่น้องเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกมาจากห้องโถงด้านหน้า ไปยังห้องอ่านหนังสือ

สวี่ซินเหนียนปิดประตู ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะ และดึงกองกระดาษหนาหลายชั้นออกมา พลางกล่าวว่า “บันทึกยี่สิบปีการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง บันทึกเรื่องราวในช่วงยี่สิบปีอยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว”

สวี่ชีอันชายตามองเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงและกล่าวอย่างจำใจ “อักษรเฉ่าซูของเจ้า…ไม่สิ เจ้าใช้เวลาห้าวันสั้นๆ ในการรวบรวมบันทึกประจำวันตลอดยี่สิบปีของจักรพรรดิหยวนจิ่ง?”

เมื่อสวี่เอ้อร์หลางเผชิญกับสายตาตกตะลึงของพี่ใหญ่ ก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ แต่ก็ยังสงบเสงี่ยมท่าทีและกล่าวว่า “ข้าเลื่อนขึ้นขั้นเจ็ดแล้ว ขั้นเจ็ดของลัทธิขงจื๊อเรียกว่า ผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ อยากจะก้าวเข้ามาในขั้นนี้ ก็จำเป็นต้องเข้าใจคุณธรรมและความเมตตาระหว่างเพื่อนมนุษย์ ผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ก็จะมีความรักใคร่และใส่ใจต่อทุกสิ่งใต้หล้า เป็นแบบอย่างทางด้านศีลธรรม ผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ถึงจะสามารถบ่มเพาะคุณธรรมอันเข้มแข็งแห่งฟ้าดินได้ ดังนั้น ผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ขั้นเจ็ด จึงเป็นรากฐานของวิญญูชนขั้นสี่ แน่นอนว่าข้ายังห่างไกลจากขั้นสี่ ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การยินดีอะไร สำหรับข้า มันเป็นเพียงก้าวเล็กๆ เท่านั้น”

ไม่ควรค่าแก่การยินดี แล้วเจ้าพูดฉอดๆ เยอะแยะมากมายเช่นนี้ไปทำไมกัน…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ พลางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์จะมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นหรือไม่?”

สีใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลางแข็งทื่อทันที “ไม่มี เพียงแค่ทำให้ความจำและร่างกายแข็งแกร่งขึ้น”

คิก นั่นก็ยังเป็นไก่อ่อนไม่ใช่รึ…สวี่ชีอันอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เขาหยิบบันทึกประจำวันขึ้นมา และอ่านอย่างละเอียด

นี่คืออักษรเฉ่าซูอย่างแท้จริง…

แย่แล้ว สวี่ชีอันเห็นเพียงชั่วพริบตา ก็อยากจะด่ากราดทันที

อักษรเฉ่าซูในสมัยโบราณ เหมือนกับลายเซ็นดาราในภพก่อนหน้าของเขาไม่มีผิดเพี้ยน นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะให้คนอื่นอ่านสักหน่อย แน่นอนว่าปัญญาชนสามารถอ่านได้ เพราะอักษรเฉ่าซูมีรูปแบบที่คงที่

แต่สวี่ชีอันไม่ใช่ปัญญาชน

“เจ้าอ่านให้ข้าฟังดีกว่า”

“ได้สิ”

สองพี่น้อง คนหนึ่งฟัง คนหนึ่งอ่าน เทียนถูกจุดสองเล่ม

ในระหว่างนั้น สวี่เอ้อร์หลางจิบชาเพื่อเพิ่มความกระชุ่มกระชวยของลำคออย่างต่อเนื่อง และลุกไปเข้าห้องน้ำสองครั้ง

สิ่งที่บันทึกอยู่ในบันทึกประจำวันของจักรพรรดิ คือเรื่องราวในชีวิตประจำวันต่างๆ รวมถึงคำพูดและการกระทำในขั้นตอนการอภิปรายงานราชการ

สวี่เอ้อร์หลางไม่ได้บันทึกลงไปทั้งหมด บทสนทนาประจำวันที่ดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรก็ถูกเขาตัดออกโดยอัตโนมัติ

จนกระทั่งหลังเที่ยงคืน ถึงจะอ่านทั้งหมดเสร็จสิ้น

สวี่ชีอันหลับตาลงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งก้านธูป รอจนกระทั่งเนื้อหาถูกแยกแยะและวิเคราะห์อย่างสมบูรณ์ เขาถึงลืมตาขึ้น และกล่าวด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มีค่าอะไร อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังมองไม่ออก”

สวี่เอ้อร์หลางถามว่า “สรุปท่านกำลังพยายามค้นหาอะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง?”

“ข้าไม่รู้ ข้าแค่คิดว่าเขามีบางอย่างผิดปกติ อืม ไม่ใช่แค่คิดว่า แต่เขาผิดปกติจริงๆ หลังจากกลับมาจากเจี้ยนโจว ข้าก็มั่นใจว่าฝ่าบาทของพวกเราไม่ธรรมดาเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก แต่ความผิดปกตินั้นอยู่ที่ใด ข้าเองก็บอกไม่ได้

ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ข้าจึงทำได้เพียงพยายามรวบรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา และดูว่าสามารถหาเบาะแสจากในนั้นได้หรือไม่” สวี่ชีอันกล่าว

“กลวิธีทางอำนาจของหยวนจิ่งบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว ง่ายดายที่ไหนกัน?”

สวี่เอ้อร์หลางบ่นพึมพำ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “เขาจะผิดปกติหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าบันทึกประจำวันฉบับนี้ไม่ปกติ “

สวี่ชีอันตกตะลึง “มีอะไรผิดปกติกับบันทึกประจำวัน”

……………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด