ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 469 อดีตของเว่ยเยวียน (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 469 อดีตของเว่ยเยวียน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 469 อดีตของเว่ยเยวียน (1)

ไม่ต้องให้คนข้างๆ ตอบคำถาม หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียก็ทราบแล้วว่าชายหนุ่มที่ควบคุม ‘กระบี่บิน‘ เพื่อทำลายเครื่องปิดล้อมโจมตีผู้นั้นเป็นใคร

ทหารที่เปล่งเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจที่หัวเมืองได้บอกคำตอบกับเขาแล้ว

ฆ้องเงินสวี่!

สวี่ชีอัน!

บุคคลที่โผล่มาในปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก มือใหม่ที่มีสายตาแพรวพราวที่สุดในต้าฟ่ง ไม่ ไม่เหมาะที่จะบอกว่าเป็นมือใหม่

ความสำเร็จของเขา อิทธิพลของเขา ไม่มากเกินไปที่จะเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียส่งเสียง ‘อ๋อ’ ว่ากันว่าสวี่ชีอันเป็นคู่หูอันดับหนึ่งของเว่ยเยวียน เขามีความสำเร็จในวันนี้ได้ทั้งหมดเพราะพึ่งความสามารถของเว่ยเยวียนคนเดียว น่าเสียดายที่ในคดีสังหารหมู่ของฉู่โจว คนคนนี้ถูกถอนตำแหน่งทางการแล้ว

“คิดไม่ถึงเลยเชียว หลังจากเว่ยเยวียนเสียชีวิต เขาถึงกลับมาที่ด่านอวี้หยางด้วยตนเอง จุ๊ๆๆ ช่างมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเว่ยเยวียนจริงๆ”

ซูกู่ตูหงสยงหรี่ตา พินิจชายหนุ่มที่อยู่หัวเมือง “เด็กคนนี้มีฐานการฝึกตนไม่ธรรมดา ว่ากันว่าพลังเทพวชิระของเขานั้น แม้แต่ทหารขั้นสี่ก็ไม่อาจทำลายลงได้”

ระหว่างที่สนทนา ทั้งสองต่างสังเกตเห็นถึงขวัญกำลังใจที่เพิ่มขึ้นและจิตวิญญาณต่อสู้อย่างกระตือรือร้นที่ชัดเจน

คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีชื่อเสียงมากถึงเพียงนี้…หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียขมวดคิ้วยิ่งขึ้น ยกกระบี่ขึ้นสูง ตะโกน “ล้อมโจมตี!”

ทหารราบกลุ่มที่สามจำนวนหนึ่งหมื่นนายบุกเข้าจู่โจม ราวกับกลุ่มมดก็มิปานแห่กันไปทางด่านอวี้หยาง

“หงสยง ตามข้าไปที่หัวเมืองเพื่อพบปะฆ้องเงินสวี่ของต้าฟ่งท่านนี้สักประเดี๋ยว” หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกล่าวเสียงดังยิ่งขึ้น

ซูกู่ตูหงสยงทราบว่าเขาอยากลองฆ่าตัดศีรษะฆ้องเงินของต้าฟ่งผู้นั้น เพื่อปัดขวัญกำลังใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ที่กระพือขึ้นมาใหม่ของทหารต้าฟ่ง

“มีความคิดนี้อยู่พอดี!”

หงสยงตาเดียวหัวเราะเสียงดัง

ทหารม้าทั้งสองรีบออกจากกระบวนแถว และจากไปอย่างรวดเร็ว

ด้านหลังผู้นำทั้งสองยังตามมาด้วยทหารสามสิบกว่านาย ทุกคนล้วนมีฐานการฝึกตนทั้งระดับสูงและระดับต่ำ ต่ำที่สุดคือกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก สามารถพึ่งพากายเนื้ออันแข็งแกร่งบุกฝ่าท่ามกลางทหารนับหมื่นได้

ผู้ที่ไม่ถึงระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง ต่างไม่มีคุณสมบัติบุกโจมตีข้าศึก

ที่หัวเมือง เหล่าหัวหน้าอารักขาหัวใจสั่นไหว การล้อมโจมตีของทหารธรรมดายังว่าไปอย่าง แต่การล้อมโจมตีของทหารระดับสูงถือเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ศัตรูมีจำนวนมากกว่า

ทหารระดับสูงบุกขึ้นไปที่หัวเมืองและสังหารรวดเดียว ถึงแม้จะมียอดฝีมือของฝั่งตนเองโจมตีคอยสกัดและโต้กลับ แต่หลังจากการสู้รบครั้งใหญ่ ทหารที่อยู่โดยรอบก็เสียชีวิตและบาดเจ็บไปกว่าครึ่งแล้ว

นายทหารระดับสูงท่านหนึ่งตะโกน “เตรียมหน้าไม้เทพ!”

ทหารที่เตรียมตัวล่วงหน้าแล้วผลักรถบรรทุกหน้าไม้ที่มีลักษณะแปลกประหลาดออกมาทีละลำ รถบรรทุกหน้าไม้เหล่านี้แตกต่างจากหน้าไม้เกวียนทั่วไป เพราะมีลำกล้องยิงขนาดใหญ่มหึมา พื้นผิวของมันเรียงรายไปด้วยแนวลำกล้อง

สิ่งนี้เป็นเครื่องมือของทหารระดับสูงโดยเฉพาะ พลังการโจมตีของมันไม่ได้แย่ไปกว่าหน้าไม้เกวียน อีกทั้งการโจมตีของมันยังครอบคลุมมากกว่าหน้าไม้เกวียนเป็นไหนๆ

การโจมตีแบบครอบคลุมเช่นนี้ มุ่งเน้นการเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อทหารขั้นสูงได้รับอันตราย

ราคาของหน้าไม้เทพเหล่านี้ สูงเป็นสิบเท่าของหน้าไม้เกวียนและปืนใหญ่

“ยิงธนู!”

ในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่หน้าไม้เทพ ปืนใหญ่และเตียงหน้าไม้ต่างก็ถูกยิงออกไปเช่นกัน เป้าหมายคือยอดฝีมือฝั่งศัตรูที่นำโดยหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย ซึ่งพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกระโดดขึ้นจากหลังม้า เหวี่ยงกำปั้นชกลูกธนูหน้าไม้ที่ยิงเข้ามาโดนศีรษะและใบหน้าจนแตกกระจายออกไป

ยอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังของเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว โถมแรงกำลังไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ

เงาดำทะมึนพุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า คว้าไหล่ทั้งสองข้างของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เป็นภาพลวงตาอันพร่ามัวของนกยักษ์ที่กำลังกางปีกออกตัวหนึ่ง

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียทำลายธนูหน้าไม้และดินปืนระลอกแรกจนแตกกระจาย มองไปที่หัวเมืองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ “พลังยิงของต้าฟ่งมีแค่นี้หรือ นึกว่าจะรุนแรงกว่านี้เสียอีก”

ขวัญกำลังใจของทหารเหยียนกั๋วเพิ่มขึ้น เสียงตะโกนเข่นฆ่าก็ดังขึ้นฉับพลัน พร้อมกับการล้อมโจมตีอย่างสุดชีวิต

สีหน้าเหล่านายทหารอารักขาระดับสูงจมมืดลง เห็นทหารที่อยู่โดยรอบแสดงความหวาดกลัวออกมา

เวลานี้ เกิดเสียง ‘ตูม’ ดังสนั่นบนกำแพงเมือง ลำแสงสีทองพุ่งกระแทกไปทางหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย ทำให้เขากระเด็นออกไปกลางอากาศอย่างงุ่มง่าม ก่อนจะทรงตัวให้นิ่งได้ในระยะไกล

หลี่เมี่ยวเจินเรียกกระบี่บินให้มันลอยไปอยู่ตรงปลายเท้าของสวี่ชีอัน และยกเขาให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศ

สวี่ชีอันมือจับดาบไท่ผิง ตอบกลับเสียงดัง “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเหยียนกั๋ว? มีความแข็งแกร่งแค่นี้เองหรือ?”

คราวนี้ถึงคราวทหารของต้าฟ่งระเบิดเสียงโห่ร้องและตะโกนชื่อฆ้องเงินสวี่บ้าง

เหล่านายทหารระดับสูงถอนหายใจ ตราบใดที่มีฆ้องเงินสวี่อยู่ที่นี่ ทหารต้าฟ่งก็ไม่ขาดขวัญกำลังใจแล้ว

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียตบหน้าอก กล่าว “ขั้นห้า…”

ภาพลวงตานกยักษ์กระพือปีก พาเขาลงมาจากท้องฟ้า และพุ่งเข้าใส่สวี่ชีอัน

“เมี่ยวเจิน!”

พอไม่สามารถลอยตัวได้อีกต่อไป สวี่ชีอันผู้ซึ่งกำลังจะพ่ายแพ้ในขณะที่ต่อสู้อยู่กลางอากาศก็ร้องตะโกนเสียงดัง

หลี่เมี่ยวเจินที่เข้าใจอย่างชัดเจน ควบคุมกระบี่บินพาเขาส่งกลับไปยังหัวเมือง

อีกด้านหนึ่ง ซูกู่ตูหงสยงก็ทะยานขึ้นไปกลางอากาศ ปีนขึ้นมาบนกำแพงเมืองในรวดเดียว ในขณะที่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างปีนกำแพงด้วยมือเปล่า อาศัยช่วงที่ปืนใหญ่และหน้าไม้เกวียนหยุดการระดมยิงชั่วคราว

รูม่านตาของหลี่เมี่ยวเจินจางลงจนกลายเป็นสีกระจก นางยกมือขึ้น ชูฝ่ามือไปทางซูกู่ตูหงสยง

ทันใดนั้นกระบี่ของซูกู่ตูหงสยงพลันก่อกบฏ ปลายมีดชี้จ่อไปยังลำคอของเจ้าของ

เสื้อเกราะของเขาก็ก่อกบฏเช่นกัน พวกมันบีบรัดจนกระทบกันเสียงดัง ต้องการรัดคอซูกู่ตูหงสยงให้ตาย

ซูกู่ตูหงสยงระเบิดพลังปราณ ฉีกเสื้อเกราะออกจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นติดต่อกัน เศษเหล็กเหล่านั้นฝังเข้าไปในกำแพงและในร่างกายของทหารที่อยู่โดยรอบจนพวกเขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

เขาวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งไปฆ่าเทพธิดาของนิกายสวรรค์ กระแทกทหารที่ขวางทางจนกระเด็น

หลี่เมี่ยวเจินกระโดดขึ้นเหยียบกระบี่บิน พลางผิวปากเรียกลมฝน

นางยกกระบี่นิ้วขึ้น ใช้พลังแห่งจิตเดิมขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์ ขับเคลื่อนอาวุธที่กองกระจัดกระจายอยู่บนหัวเมือง เพื่อเรียกพายุเหล็กขนาดใหญ่สองลูกมาที่นี่

ซูกู่ตูหงสยงหัวเราะเยาะ ย่อเข่าทั้งสองข้างลงไปแล้วกระโดดขึ้นทันที ร่างกายของทหารขั้นสี่บรรจบกันพายุเหล็กทั้งสองสายที่เคลื่อนมาบรรจบกัน พุ่งเข้าใส่หลี่เมี่ยวเจินอย่างแน่วแน่ ท่ามกลางประกายไฟที่ปลิวว่อนไปทุกหนทุกแห่ง

เงาดำร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากด้านข้าง ตรงไปทางซูกู่ตูหงสยง ก่อนจะกระแทกเข้าใส่ซูกู่ตูหงสยงอย่างจัง

นั่นคือจางไคไท่

ทั้งสองพัวพันกันยุ่งเหยิงพร้อมกับทะยานออกไป ชนกำแพงเมืองจนเกิดเป็นหลุมบ่อหลุมแล้วหลุมเล่า

ซูกู่ตูหงสยงบีบคอจางไคไท่ กำปั้นขวาควบรวมเข้ากับพลังขั้นสี่ กระแทกใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ยั้ง

‘ตึง’!

โลหิตไหลทะลักออกมาจากทั้งเจ็ดทวารของจางไค่ไท่

“ไอ้คนเถื่อนสารเลว!”

ใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มของจางไคไท่แปรเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวทันที ชี้ปลายกระบี่ไปที่อกของซูกู่ตูหงสยง เรียกเจตจำนงของกระบี่อันเฉียบแหลมออกมา

ซูกู่ตูหงสยงถูกเจตจำนงกระบี่ที่ไร้เทียมทานนี้กระแทกจนตกลงไปจากกำแพงเมือง บดขยี้ทหารฝ่ายตนเองจนตกตาย หน้าอกของเขาเต็มไปด้วยเลือดผสมกับเนื้อจนแยกไม่ออก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นก็กระโดดกลับขึ้นไปอีกครั้ง

‘ชิ้ง!’

สวี่ชีอันดึงดาบไท่ผิงออกมา ฟันกระบี่ของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียจนหัก ขณะเดียวกันก็ยกเท้าเตะเข้าที่หน้าท้องของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียอย่างแรง

ผู้นำแห่งเหยียนกั๋วถอยกลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มือซ้ายของเขาจับข้อเท้าของสวี่ชีอัน เล็งศอกขวาไปที่เข่า แล้วกระแทกลงไปโดยแรง

‘ตึ้ง’!

เสียงราวระฆังใหญ่ถูกตีดังกึกก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี

แสงสีทองเจิดจ้าพลันหยุดนิ่ง สวี่ชีอันฉวยโอกาสเตะเท้าขึ้นสูง จนคู่ต่อสู้เซไปด้านหลัง ก่อนจะกล่าวพลางเบะปาก “เกือบไปแล้ว”

“ใช่!”

ทั้งตัวของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเต็มไปด้วยเลือด เดิมเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ระดับสูงสุด แต่แล้วพลังการต่อสู้กลับสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง

วินาทีต่อมา สวี่ชีอันก็กระเด็นออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ พุ่งชนทหารอารักขากลุ่มใหญ่กระจัดกระจายไปตามทาง

สองเท้าของเขาไถลไปกับพื้นกว่าสิบเมตร จึงจะสามารถทำให้ร่างกายหยัดยืนอย่างมั่นคงได้

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียผิวปากเบาๆ ซากศพที่อยู่รอบๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นทีละคน โจมตีเหล่าทหารอารักขาอย่างบ้าคลั่ง

เขาหายตัวไปอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าสวี่ชีอัน แล้วชกไปที่ใบหน้าของเขา

ดูเหมือนสวี่ชีอันจะสังเกตเห็นก่อนแล้ว จึงเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบหลีก แสงของดาบไท่ผิงแวบพุ่งขึ้นมา เฉือนแขนของยอดฝีมือขั้นสี่ท่านนี้จนเลือดไหลทะลัก

พลังของกระบี่ใจระเบิดออก เขย่าจิตเดิมของคู่ต่อสู้

“กระบี่ชั้นเยี่ยม!”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้รับผลกระทบใดๆ มองไปยังดาบไท่ผิงด้วยสายตาร้อนระอุ ก่อนจะเหวี่ยงค้อนทุบศีรษะของเขา สวี่ชีอันปวดศีรษะจนแทบระเบิด ร่างกระเด็นกลับหัวกลับหางอีกครั้ง

หัวค้อนเมื่อสักครู่ ผสมกับจิตเดิมอันทรงพลังของพ่อมดขั้นสี่

‘ตึงๆๆ…’

หมัดของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียระดมต่อยลงมาดั่งพายุฝน โจมตีจนสวี่ชีอันถอยห่างออกไปเรื่อยๆ คลื่นแสงสีทองกระเพื่อมไหว

“เจ้ามันก็แค่ก้อนหินเคลือบอุจจาระ ทั้งเหม็นทั้งแข็ง” หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียขมวดคิ้ว

สวี่ชีอันคว้าดาบโจมตีศัตรู

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่รีบไม่ร้อน แบฝ่ามือออก จับปลายเสื้อของสวี่ชีออันไว้ “ตาย!”

วิชาสาปสังหาร!

หน้ากระดาษถูกเผาไหม้ แก่นปราณสีทองเม็ดหนึ่งผุดออกมาจากศีรษะของสวี่ชีอัน

แก่นปราณหนึ่งเม็ดทำลายทุกสรรพสิ่ง!

แก่นปราณแห่งลัทธิเต๋า

เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายคือพ่อมดระดับสูง สวี่ชีอันจึงสามารถป้องกันวิชาสาปสังหารของอีกฝ่ายไว้ได้

ทั้งสองสลับกันไปคนละทาง สวี่ชีอันหันกลับมา แล้วส่ายรอยเลือดที่อยู่บนดาบไปมา

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียก้มหน้า หน้าท้องปรากฏรอยแผลขนาดใหญ่ ลำไส้ของเขาห้อยต่องแต่งออกมาจากหน้าท้อง แต่เพียงลูบอย่างแผ่วเบา เลือดและบาดแผลฉกรรจ์ก็หดตัวเหลือเพียงนิดจนเกือบเป็นปกติถึงเจ็ดในสิบ

ดูเหมือนเขาถูกยั่วยุจนเกิดโทสะ เขาผิวปากอีกครั้งเพื่อปลุกศพทหารรอบกายสวี่ชีอัน ทันใดนั้นพวกเขาก็มีฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที พุ่งเข้าโจมตีอย่างมุทะลุและอ้าปากจะกัดเขา

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียคว้าโอกาสในช่วงเวลานี้ เข้าใกล้สวี่ชีอันได้สำเร็จ

ทหารที่สามารถควบคุมพลังสลายแรงทั้งสองเข้าโรมรันกันอย่างรวดเร็ว ร่างกายของพวกเขาประเดี๋ยวก็บิดเป็นท่าทางที่ดูแปลกประหลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ประเดี๋ยวก็ออกหมัดติดต่อกันโดยไม่สนใจแรงเฉื่อย

คนภายนอกไม่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวและกระบวนท่าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ได้ยินแต่เสียงชนกันของร่างกายที่ดังสนั่นเท่านั้น

เวลานี้ ท้ายที่สุดสวี่ชีอันที่เป็นเพียงสลายแรงขั้นห้า ก็ถูกผู้นำแห่งเหยียนกั๋วฉวยโอกาสช่วงที่เขาไม่ขยับเขยื้อนต่อยเข้าที่หน้าผาก จากนั้นเขาก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

ตราบใดที่ทหารระดับสูงสบโอกาส เขาสามารถฆ่าระบบอื่นได้ในครั้งเดียว

เขาไม่มีโอกาสหยุดพักหายใจเลย เพราะอีกฝ่ายสามารถควบคุมการสลายแรงของเขาไว้ได้ อาศัยจังหวะเพียงชั่วครู่ ก็เชื่อมโยงการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แสงดาบทั้งสองดวงสว่างวาบขึ้น ทหารระดับสูงสองคนโจมตีหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียทั้งซ้ายทั้งขวา ขัดจังหวะหมัดเหล็กอันทรงพลังที่ซัดกระหน่ำราวกับพายุของเขา

ฟู่ ฟู่…

สวี่ชีอันหอบหายใจอย่างรุนแรง รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย กลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ภายในลำคอ หากเปรียบเทียบกับความแข็งแกร่งและพลังวิญญาณแล้ว เขายังห่างไกลจากขั้นสี่ระดับสูงสุดอยู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังฝึกตนระบบคู่

ทำอย่างไรดี? ขั้นสี่ระดับสูงสุดของระบบคู่ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสามขั้น ร่างกายและจิตเดิมไม่มีจุดบกพร่องใดๆ บินได้ ควบคุมได้ มีการป้องกันที่แข็งแกร่ง การต่อสู้แบบประชิดตัวก็น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แถมยังมีวิชาวิญญาณโลหิตเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของพ่ดมดอีก

ข้าควรจะสู้อย่างไร ข้าควรสู้อย่างไรจึงจะฆ่าเขาได้…

เพิ่งเริ่มใช้ความคิด ก็มีเงาดำร่างหนึ่งถูกทุบกลับมา นั่นคือทหารระดับสูงที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสวี่ชีอันเมื่อครู่นี้

สวี่ชีอันยื่นมือเข้าไปคว้าเขาไว้ ครั้นสัมผัสได้ถึงการถ่ายโอนพลังอย่างบังเอิญ พบว่านายทหารระดับสูงท่านนี้กระดูกหักทั้งหมด ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป

นายทหารระดับสูงวัยกลางคนยังยกยิ้มทั้งที่เลือดกบเต็มปาก กล่าวพลางหายใจหอบ “ฆ้องเงินสวี่ ข้า ข้าทำเต็มที่แล้ว แต่ไอ้สารเลวนี้แข็งแกร่งเกินไป…”

สวี่ชีอันพยักหน้า “หยุดพูดเถอะ กลับไปรักษาตัวเสีย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”

เวลานี้ สถานการณ์สู้รบตรงหัวเมืองดุเดือดมาก หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียนำเหล่ายอดฝีมือถล่มเมือง แรงกดดันของศัตรูที่ล้อมโจมตีเมืองด้านล่างลดลงอย่างมาก มีทหารฝั่งศัตรูปืนป่ายขึ้นไปทางกำแพงเมืองอย่างไม่ขาดสาย และเริ่มต่อสู้กับกองทัพต้าฟ่ง

โดยเฉพาะซูกู่ตูหงสยง เขาอาศัยร่างกายที่อยู่ขั้นสี่ระดับสูงสุด ต่อต้านการโจมตีของจางไคไท่กับหลี่เมี่ยวเจินอย่างหนัก ระดับในการสังหารเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เข้าทำลายกำแพงเมืองตามอำเภอใจ

แม้ตนเองจะยังคงบาดเจ็บ แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งแรกคือต้องทำลายก่อน หากฆ่าไม่ได้ค่อยหนีก็ย่อมได้

การทำลายอาวุธเวทมนตร์ที่รักษาเมืองของกองทัพต้าฟ่งคือวิถีทางแห่งจักรพรรดิ

ไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ มิฉะนั้นการสูญเสียอาจหนักหนาเกินแก้ ทั้งยังบั่นทอนกำลังใจของเหล่าทหารอย่างมาก ในการเดินทัพ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการคิดลบ…

ต้องขับไล่พวกเขา จะต้องขับไล่พวกเขา…

ข้ามียันต์กระบี่ของลั่วอวี้เหิง สามารถฆ่าเขาได้ แต่มันอยู่ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ต้องถือมันออกมา ทว่าท่าทางจะชัดเจนเกินไป หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเป็นทหารขั้นสี่ระดับสูงสุด เขาจะต้องมีการป้องกันอย่างแน่นอน

ขณะครุ่นคิดอยู่ สวี่ชีอันยังคงสอดมือเข้าไปในอกของอย่างโจ่งแจ้ง คลำด้านหลังของเศษกระจกหยกชิ้นเล็กเบาๆ แล้วหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น

“เว่ยกงโจมตีเหยียนกั๋วเมืองหลวงของเจ้า และสังหารคนมากมายขนาดนี้ เหยียนกั๋วยังมีทหารอีกมากเท่าใดกัน? การล้อมเมืองในครั้งนี้ คนที่ยังพอมีความสามารถในการต่อสู้ ต่างก็ถูกเรียกตัวมาทั้งหมดแล้วกระมัง”

สวี่ชีอันพยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพูดคุย “หนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เจ้าเดิมพันกับโชคชะตาเมืองของเหยียนกั๋วใช่หรือไม่”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียพ่นลมหายใจ ไม่ได้โต้แย้ง เพราะมันคือความจริง

ความจริงแล้วในกองทัพใหญ่แปดหมื่นนาย ส่วนใหญ่ต่างเป็นทหารของคังกั๋ว ทหารเหยียนกั๋วมีในครอบครองไม่ถึงสามส่วน

เพราะความจริงแล้วถึงจะมีทหารไม่มากนัก แต่เว่ยเยวียนก็โจมตีเหยียนกั๋วอย่างแสนสาหัสแล้ว ตรงข้ามกับคังกั๋ว เนื่องจากอยู่ติดทะเล จึงไม่ถูกทหารม้าของเว่ยเยวียนเหยียบย่ำ กองกำลังจึงค่อนข้างสมบูรณ์

หลังสิ้นสุดการสู้รบในครั้งนี้ ต้องใช้วลาอย่างน้อยห้าสิบปีเหยียนกั๋วจึงจะสามารถฟื้นฟูกองกำลังขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากการล้อมโจมตีในครั้งนี้ประสบความพ่ายแพ้ พวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างไม่มีวันฟื้นคืน

การล้อมโจมตีในครั้งนี้ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่ได้ระดมนกปีศาจ กษัตริย์ไม่ใช่นักพนัน เขาต้องทิ้งกองกำลังที่เป็นไพ่ใบใหญ่และเมล็ดพันธุ์บางส่วนไว้ให้เหยียนกั๋ว แม้กองกำลังนี้จะมีไม่มากนักก็ตาม

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเจ็บแต่ก็ต้องทน จากนั้นจ้องไปที่มือของเขา “ในมือที่เจ้าถืออยู่คือสิ่งใด?”

สวี่ชีอันสะบัดกระดาษอย่างไม่สนใจ “เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ”

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียส่ายหน้า “ไม่ ข้าหมายถึงมืออีกข้างหนึ่ง เมื่อครู่มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น”

บัดซบเอ๊ย…สวี่ชีอันแอบด่าในใจ รีบเผากระดาษหน้าที่สองอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงเคร่งขรึม “หยุดสังหารคนได้แล้ว!”

สำนักพุทธทรงศีล

ในเวลานี้ เงาดำที่ลวงตาร่างหนึ่งประชันชิดอยู่บนศีรษะของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย คลุมเครือว่าเป็นนักบวชรูปหนึ่ง

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “ไร้ผล”

ระหว่างการสู้รบในสงครามด่านซานไห่ปีนั้น หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียสังหารนักบวชไปมากกว่าหนึ่ง จึงสามารถเรียกดวงวิญญาณของนักบวชมาได้เร็วกว่าและง่ายดายกว่าสวี่ชีอันมาก

หลังจากหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเรียกดวงวิญญาณออกมาแล้ว เขาก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่เขาคาดการณ์ผิด สวี่ชีอันไม่ได้เตรียมการจะใช้ไพ่ไม้ตายกับเขา แต่กลับหันหลังวิ่งอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดข้ามกำแพง ในระหว่างนั้นก็ร้องตะโกนไปด้วย

“เมี่ยวเจิน พาข้ากลับไป”

กระบี่บินบินว่อนทั่วท้องฟ้า สวี่ชีอันเหยียบกระบี่บินข้ามผ่านกำเมือง เป้าหมายคือซูกู่ตูหงสยง

“หงสยง!”

สีหน้าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเปลี่ยนไปอย่างมาก

เขาไม่ทราบว่าสวี่ชีอันมีแผนอะไรกันแน่ แต่จังหวะที่เด็กนั่นถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือนั้น จิตใจของเขาก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไปแล้ว สัญชาตญาณของทหารไวต่อสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

แม้แต่เขายังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับซูกู่ตูหงสยง

ซูกู่ตูหงสยงที่กำลังเข่นฆ่าและสังหารหมู่ทหารต้าฟ่งอย่างต่อเนื่อง ทำลายปืนใหญ่และหน้าไม้ ทันใดนั้นสัญญาณเตือนในใจพลันดังขึ้น ได้ยินการแจ้งเตือนจากหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เขาจึงกระโดดลงจากกำแพงตามสัญชาตญาณโดยไม่ลังเล

แต่เทพธิดานิกายสวรรค์เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ขณะที่ควบคุมกระบี่บินเพื่อต้อนรับสวี่ชีอัน นางก็ถอดวิญญาณออกจากร่าง พลางกรีดร้องอย่างไร้เสียงออกมา

จางไคไท่ นักรบ และทหารที่อยู่โดยรอบต่างตกตะลึง เกิดอาการวิงเวียนศีรษะในทันที

เพียงครู่เดียวเท่านั้น

“โฮก!”

เสียงสิงโตคำรามดังสนั่นหวั่นไหว

สวี่ชีอันเหยียบกระบี่บินเข้ามาใกล้ ขว้างยันต์กระบี่ออกไปทางซูกู่ตูหงสยง

กระบี่บินที่ระยิบระยับลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพี แสงกระบี่สะท้อนในดวงตาของซูกู่ตูหงสยง ทั้งสายตาและท่าทางของเขา เผยให้เห็นความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด

วินาทีต่อมา ความหวังทั้งหมดกสลายหายไป

ปราณกระบี่ของลั่วอวี้เหิงพรากร่างกายของเขาไปครึ่งหนึ่ง โดยเก็บรักษาร่างกายท่อนบนส่วนที่อยู่เหนือหน้าอกขึ้นไปไว้อย่างดี

สวี่ชีอันกระโดดลงมา ยืนบนกำแพง คว้าศีรษะของซูกู่ตูหงสยงและชูขึ้นสูง

เขาหายใจเข้าลึกๆ และเปล่งเสียงคำรามดังสนั่นออกมา “ผู้นำฝ่ายศัตรูตายแล้ว ทหารทุกคน ฆ่าพวกมันซะ!”

เสียงโห่ร้องยินดีเหมือนสึนามิปะทุขึ้นจากกำแพงเมือง

กองทหารอารักขา ตั้งแต่ทหารระดับสูงไปจนถึงทหารราบ เวลานี้เลือดลมของพวกเขากำลังเดือดพล่าน

ด้านล่าง กองทหารของศัตรูอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะทหารราบของคังกั๋ว หลังพวกเขาเห็นว่าผู้นำของตนถูกฆ่าตัดศรษะ บ้างก็โศกเศร้าและร้องไห้ บ้างก็เริ่มถอยทัพ และหลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลน

พลังก่อนหน้านี้ที่ทะยานสูงราวกับสายรุ้ง เวลานี้กลับเหมือนหมากลางถนนที่ไร้เจ้าของ

“สวี่ชีอัน!”

สีหน้าของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมืดมน พลางกล่าวสามคำนี้ลอดไรฟันออกมา

การล้อมโจมตีในครั้งแรก ผู้นำสูงสุดของกองทัพคังกั๋วเสียชีวิตที่กำแพงเมืองแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สิ่งที่ย่ำแย่อย่างแท้จริงคือขวัญกำลังใจที่พังทลายลง

ขวัญกำลังใจที่ทั้งสองเมืองร่วมกันสร้างขึ้น บัดนี้กลับถูกสวี่ชีอันทำลายไปเสียส่วนใหญ่ด้วยกระบี่เพียงด้ามเดียว

การต่อสู้ในสนามรบ ทหารต่างอาศัยขวัญกำลังใจเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ความพ่ายแพ้ของกองทัพเป็นเสมือนภูเขาที่พังทลาย ถึงอยู่ก็เหมือนสิ้นลมหายใจ

“ข้าจะคอยดูว่าเจ้ามีไพ่ใบสุดท้ายอีกกี่ใบ!” เขากัดฟันกล่าว

“เชิญเจ้าตามสบาย ข้ายังมีไพ่ตายอีกเยอะ”

สวี่ชีอันกล่าวยั่วยุจากระยะไกล

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียไม่กล่าวเรื่องไร้สาระ กระโดดลงจากหัวเมือง เรียกเงาร่างนกยักษ์มา พาเขากลับไปยังฐานทัพ

ขวัญกำลังใจของทหารคังกั๋วปั่นป่วนยุ่งเหยิง หากล้อมโจมตีต่อไปก็รังแต่จะส่งคนไปตายเท่านั้น เขาต้องกลับไปก่อนเพื่อรักษาขวัญกำลังใจของทหาร แล้วจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาใหม่

ยังดีที่ชื่อเสียงและแสนยานุภาพของผู้นำแห่งเหยียนกั๋วท่านนี้เหนือกว่าซูกู่ตูหงสยงอยู่มาก มีเขาอยู่ทั้งคน ถึงอย่างไรทหารก็ยังมีเสถียรภาพ

‘ตุ้ม! ตุ้ม! ตุ้ม!’

เสียงกลองดังรัวราวกับฟ้าร้อง ข้าศึกล่าถอยไปเป็นจำนวนมาก ทิ้งทหารเกือบห้าพันนายไว้เบื้องหลัง

…………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด