ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 231-1 ฟื้นคืนชีพ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 231-1 ฟื้นคืนชีพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 231-1 ฟื้นคืนชีพ

ก่อนหน้านี้ คนในตระกูลสวี่ยังเสียดายกับการจากไปก่อนวัยอันควรของต้าหลางอยู่เลย เสียดายที่ความฝันของสกุลสวี่ต้องพังทลายลง ในใจจึงรู้สึกเศร้าหมอง

แต่เมื่อพวกเขาเห็นสวี่ต้าหลางลุกขึ้นนั่งในโลงศพจริงๆ ขาทั้งสองข้างก็ขยับเร็วกว่าสมอง ‘พรึบ’….ทุกคนต่างวิ่งกรูไปไกล จ้องดูตัวสั่นงันงก

“ศพเคลื่อนไหวแล้ว ศพใต้เท้าสวี่เคลื่อนไหวจริงๆ ด้วย รีบรายงานเจ้าหน้าที่ด่วน รีบรายงานด่วน…”

“รายงานเจ้าหน้าที่ทำไม เจ้าหน้าที่ทุกคนที่นี่ล้วนมีตำแหน่งสูงกว่ากว่านายอำเภอทั้งนั้น”

เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไม่หยุด คนในตระกูลสวี่ทั้งตกใจและหวาดกลัว แต่เนื่องจากองค์หญิงและใต้เท้าผู้สูงส่งทั้งหลายยังอยู่ในลานบ้าน ทุกคนจึงต้องกลั้นใจ ไม่วิ่งหนีไปก่อน

บางคนตกใจกลัวจนล่าถอย และบางคนก็เดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว แต่บางคนก็ทั้งกลัว งุนงง และไม่เข้าใจในสถานการณ์ อย่างเช่นสวี่เอ้อร์หลาง สวี่หลิงเยวี่ย ฉู่ไฉ่เวย และฮว๋ายชิ่งเป็นต้น

คันจังเลย….. สวี่ชีอันรู้สึกคันหนังศีรษะ เหมือนมีเหาไต่อยู่

เขาเอื้อมมือไปคว้าสองสามครั้ง กลับคว้าได้หนังศีรษะชิ้นใหญ่ที่มีผมติดมาด้วย

“ว้าย!!!”

อาสะใภ้ขี้กลัวกรีดร้องด้วยความตกใจ แล้วผลักสวี่หลิงเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ออกมาเป็นโล่กำบัง

สวี่หลิงเยวี่ยก็ตกใจแทบตาย แม้ว่าจะรักพี่ชายคนโตมากที่สุด แต่จู่ๆ ก็เปิดโลงแล้วสะดุ้งพรวดขึ้นมา หลิงเยวี่ยก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน อยากจะกรีดร้องและอยากจะวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ

แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางร้องไห้น้ำตานองหน้า น้ำเสียงสั่นเทา พูดเสียงสะอื้นว่า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ พี่มีอะไรที่ยังไม่ได้สั่งเสีย หรือไม่สบายใจอะไรหรือไม่…”

น้องสาวรู้สึกเศร้าสลด เอาแต่ร้องไห้

หลังจากตื่นตะลึงและงุนงงในช่วงเวลาสั้นๆ หลายคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เริ่มรู้สึกตัว และตระหนักถึงสภาพที่แท้จริงของสวี่ชีอัน

พวกเขาคือองค์หญิงฮว๋ายชิ่งที่อยู่ในระดับหลอมปราณ ฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ นายทหารยอดฝีมือหนานกงเชี่ยนโหรวและจางไคไท่ รวมถึงอารองสวี่ผิงจื้อ

ฉู่ไฉ่เวยมีวิชามองปราณ สามารถแยกแยะระหว่างคนเป็นและคนตายได้ เมื่อนึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์โหราจารย์ แม้หญิงสาวคนนี้จะไม่ค่อยฉลาด แต่เวลานี้ก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว

…นี่เป็นผลของยาคืนชีพหรือ มิน่าเล่าอาจารย์จึงพูดว่า ข้าได้มอบยาคืนชีพให้แก่สวี่ชีอันแล้ว แต่อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่า สวี่ชีอันจะฟื้นคืนชีพ… แล้วสวี่ชีอันกินยาคืนชีพได้อย่างไร…ฉู่ไฉ่เวยไม่ค่อยเข้าใจ

ส่วนสวี่ผิงจื้อและคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงหัวใจของสวี่ชีอันเต้นและเห็นหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆเมื่อเขาหายใจ จากโสตประสาทที่เฉียบไวและดวงตาที่เฉียบคมของทหารเท่านั้น

พวกเขาแสดงสีหน้าต่างกันออกไป แต่ส่วนที่เหมือนกันก็คือทั้งตกใจและประหลาดใจ

สวี่ผิงจื้อค่อยๆ เบิกตากว้าง ใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและเศร้าโศก ชายชราคนหนึ่ง ร้องไห้น้ำตาเป็นสายฝนต่อหน้าทุกคน

จางไคไท่ทั้งตื่นเต้นและดีใจ ความรู้สึกทั้งหมดถูกเขียนบนใบหน้า ‘สวี่หนิงเยี่ยนฟื้นคืนชีพแล้ว? เขาคืนชีพแล้ว?’

นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในจวนสกุลสวี่ ฮว๋ายชิ่งผู้ซึ่งสงวนท่าทีสำรวม พระพักตร์ขาวผ่องดูอ่อนโยนขึ้นในทันที ความดีใจซ่อนอยู่ในสีพระพักตร์ ถ้าคนที่คุ้นเคยกับพระองค์ได้เห็น พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน

สีหน้าของหนานกงเชี่ยนโหรวมีแววสงสัย

คำสั่งเสียหรือ…หัวใจของสวี่ชีอันสั่นไหว นึกถึงเมื่อคืนอาสะใภ้ร้องไห้และพูดว่าเขาหน้าตาน่าเกลียดที่สุด ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย และสั่นเครือว่า

“อาสะใภ้ปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ข้าอยากให้นางขอโทษข้า…”

อาสะใภ้ร้องไห้ ‘โฮ’ ออกมา

“ขงจื๊อไม่พูดเรื่องพิลึกพิลั่น การใช้อำนาจ และผีสางเทวดา!”

สวี่เอ้อร์หลางผู้ซึ่งไม่มีโสตประสาทที่เฉียบไวเหมือนทหาร และไม่มีวิชามองปราณเช่นโหร มีเพียงการบำเพ็ญระดับแปดของลัทธิขงจื๊อคิดว่าพี่ใหญ่เป็นศพคืนชีพจริงๆ จึงก้าวออกไป ปากก็พึมพำอะไรบางอย่าง

เขาจะใช้ ‘การสะกดวิญญาณ’ ซึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานของลัทธิขงจื๊อ ทำให้พี่ใหญ่นอนลงไปอีกครั้ง

“ไป!”

แต่จู่ๆ ท่านพ่อที่อยู่ข้างๆ ก็ตบเขาคว่ำทันที สวี่ผิงจื้อโผตัวไปที่ข้างโลงศพด้วยความดีใจและเศร้าโศก ราวกับเป็นการต้อนรับสมบัติล้ำค่าของโลก

“ช้าก่อน”

หนานกงเชี่ยนโหรวสกัดสวี่ผิงจื้อไว้ หรี่ตา และสำรวจสวี่ชีอันที่เกาหูเกาแก้ม ดึงเนื้อหนังออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างละเอียด

“ร่างกายคืนชีพแล้ว แต่คนยังเป็นคนเดิมอยู่หรือไม่ เรื่องนี้พูดยาก” หนานกงเชี่ยนโหรวยิ้มอย่างเยือกเย็น

ทุกคนต่างรู้สึกสยดสยอง เมื่อนึกถึงแมวสีส้มประหลาดตัวนั้น ต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติขึ้นมาทันที

แมวสีส้มกระโดดข้ามศพของเขา แล้วสวี่ต้าหลางก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้ทำให้ผู้คนอดคิดไม่ได้ว่า…คนที่ฟื้นคืนชีพไม่ใช่สวี่ต้าหลาง แต่เป็นคนอื่น

หนานกงเชี่ยนโหรว องค์หญิงฮว๋ายชิ่งและอีกหลายคน ต่างเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง การแย่งชิงและสละจิตเดิมเช่นนี้ ล้วนไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ไม่จริง เขาจะต้องเป็นต้าหลางแน่นอน” น้ำเสียงของสวี่ผิงจื้อหนักแน่น

ไม่มีเหตุผล เขายอมรับแค่เพียงข้อเท็จจริงที่ว่าต้าหลางฟื้นจากความตาย ส่วนเหตุผลอื่นๆ เขาไม่สามารถเผชิญ แล้วก็ไม่สามารถยอมรับได้

มีดเคยปักกลางใจเขามาหนหนึ่งแล้ว

“อารอง นี่ข้าเอง ข้ายังไม่ตาย” สวี่ชีอันพูด

‘หืม… ทำไมเสียงจึงเปลี่ยนไป?’ สีหน้าของสวี่ผิงจื้อเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสียงเรียก ‘อารอง’ ดังกังวาน เป็นเสียงผู้ชายแท้ๆ น่าฟังกว่าเสียงของต้าหลางมาก

หัวใจอารองสวี่จมดิ่งลงทันที เขากำหมัดแน่น จ้องหน้าหลานชายที่ฟื้นคืนชีพ “เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าตัวเองคือสวี่ชีอัน”

น้ำเสียงตั้งคำถามของสวี่ผิงจื้อ ทำให้ทุกคนที่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่างระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น

โชคดีที่ข้าไม่มีแม่ ไม่อย่างนั้นข้ายังต้องพิสูจน์ว่าแม่ข้าคือแม่ข้า… เขาเย้ยหยันในใจ พึมพำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ส้มเขียวทั้งเปรี้ยวและฝาด แต่อารองคิดว่าน้ำจากเปลือกของมันยังมีประโยชน์อย่างอื่นด้วย”

สวี่ผิงจื้อหน้าตึงทันที

สวี่เอ้อร์หลางยังไม่เชื่อว่าพี่ใหญ่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาเหลือบมองท่านพ่อที่มีท่าทางผิดปกติ แล้วสูดลมหายใจแรงเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วถามว่า

“เจ้าคือพี่ใหญ่จริงๆ หรือ”

เนื้อหนังทั้งเก่าทั้งใหม่ประสานกันบนผิวหน้าของสวี่ชีอันในเวลานี้ ดูสยดสยองน่ากลัว แต่เมื่อเห็นสายตาของน้องชายที่แฝงความนัยล้ำลึก จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกว่า

“หากฟ้าไม่ได้ให้กำเนิดสวี่ซินเหนียน ยุคสมัยของต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนที่ยาวนาน”

ในใจก็แอบเสริมประโยคหนึ่งว่า วันใดที่สาวๆ ในบ้านไม่อยู่ สามคนเดินไปหออิ่งเหมย

หากฟ้าไม่ได้ให้กำเนิดสวี่ซินเหนียน ยุคสมัยของต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนที่ยาวนาน…. เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว อารองและอาสะใภ้เริ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้น ว่าคนที่ฟื้นขึ้นมาก็คือสวี่ต้าหลาง เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ หากไม่ได้ประสบกับตัวเอง ย่อมไม่มีวันรู้ได้

ภายในห้องตั้งโลงศพ คนอื่นๆ ต่างเบนความสนใจไปที่สวี่ซินเหนียน

สิ่งที่ฉู่ไฉ่เวยคิดก็คือ คำพูดประโยคนี้จะให้ศิษย์พี่หยางได้ยินไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตัวเองและพี่น้องในสำนักโหราจารย์ อาจจะต้องถูกล้างสมองทุกวัน

‘คำพูดนี้ไม่ต่างกับกับคำพูดติดปากของเจ้าหน้าโง่หยางเชียนฮ่วนเลย…’ หนานกงเชี่ยนโหรวและจางไคไท่ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าน้ำเสียงปัญญาชนของสกุลสวี่ช่างอวดดีเหลือเกิน ทหารเกลียดคำโอ้อวดเหิมเกริมเป็นที่สุด

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่ได้ตรัสอะไร แต่ทรงส่งสายตาอย่างมีเลศนัย สำรวจสวี่ซินเหนียนอย่างละเอียด

“…”

ใบหน้าที่หล่อเหลาของสวี่เอ้อร์หลางแดงก่ำ แม้แต่กกหูของเขาก็ยังแดงด้วยความรู้สึกอัดอั้น คนในครอบครัวได้ยินคำพูดเหล่านี้ยังรู้สึกอับอายและเก้อเขินไปด้วย พี่ชายกล่าวออกมาต่อหน้าคนนอกมากมายเช่นนี้ ความรู้สึกอับอายดังกล่าวก็เกินขีดจำกัดที่วัยอย่างสวี่เอ้อร์หลางควรจะรับ

เขาแทบอดรนทนไม่ไหวอยากผลักพี่ใหญ่ออกไป แล้วลงไปนอนในโลงเองเสียมันรู้แล้วรู้รอด

‘เฮ้อ…’

เมื่อเห็นว่าลูกชายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน อารองสวี่ก็โล่งใจ และมีความสุขขึ้นมาบ้าง

“พี่ใหญ่จริงๆ ด้วย!” สวี่หลิงเยวี่ยไชโยโห่ร้อง โผเข้ากอดคอพี่ใหญ่ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

“พี่หย่าย พี่หย่าย…” สวี่หลิงอินดีใจมาก กระโดดโลดเต้นข้างโลงศพ กางแขนออก โดยหวังจะให้พี่ใหญ่กอดตอบด้วย

แต่สวี่ต้าหลางโอบร่างที่อ่อนนุ่มของน้องสาวอย่างปลอบโยน โดยไม่ได้สนใจเสี่ยวโต้วติงแม้แต่น้อย

สวี่ผิงจื้อก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความตื้นตัน กอดลูกสาวและหลานชายไว้ กอดไว้แน่น ด้วยกลัวว่าถ้าปล่อยมือ พวกเขาจะหายวับไปกับตา

สวี่เอ้อร์หลางเงยหน้าขึ้น เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เขาจะไม่มีวันแสดงการกระทำไร้สาระต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นอันขาด

“ฮึ!”

อาสะใภ้สะบัดแขนขาวเรียว เบือนหน้าหนี สีหน้าดูถูกดูแคลนเหลือคณา แต่หลังจากนั้นนางก็ปิดปากร้องไห้

หนานกงเชี่ยนโหรวพิจารณาเนื้อตายที่หลุดออกมาตรงหน้าอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ผิวหนังตาย แต่เป็นเนื้อตายหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ เขาขมวดคิ้วแล้วถาม

“เจ้าฟื้นคืนชีพได้อย่างไร”

“ข้าไม่ได้ตายสักหน่อย…” ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะอธิบาย ก็ได้ยินเสียงฉู่ไฉ่เวยยกมือขึ้น สาวงามตาโตใบหน้ารูปไข่ พูดเสียงใสแจ๋วว่า

“เพราะกินยาคืนชีพที่ข้าให้เจ้าไปใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นกลับสู่สภาวะปกติในทันที และให้ความร่วมมือด้วยการทำท่าทางซาบซึ้งใจ “แม่นางไฉ่เวยมีเมตตาสูงส่ง สวี่หนิงเยี่ยนจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต อยากจะตอบแทนด้วยร่างกายใจจะขาด”

“แค่ก!”

ฉู่ไฉ่เวยหน้าแดง ที่จริงนางรู้สึกอายเล็กน้อย นางเป็นนักกินโกหกไม่เก่ง และมีพื้นฐานทางศีลธรรมที่หนักแน่น

ไม่เหมือนกับสวี่ชีอันที่โกหกจนเป็นนิสัย ทักษะการเลี้ยงปลาก็แค่พอใช้ได้ และเกือบจมสระน้ำตายหลายครั้ง

สวี่ชีอันมองหน้าทุกคน รู้ว่าพวกเขาต้องการคำอธิบาย จึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“วันนั้นที่มีการก่อการกบฏขึ้นที่อวิ๋นโจว กองโจรได้ล้อมสมุหเทศาภิบาล ผู้ตรวจการและคนอื่นๆ ไว้ ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ข้ารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะอยู่หรือตายสุดจะคาดเดา เมื่อนึกถึงยาคืนชีพที่แม่นางไฉ่เวยมอบให้ จึงลองเสี่ยงดู…หึหึ สถานการณ์ตอนนั้นวิกฤตมาก ไม่มีทางเลือก”

“คาดว่าเป็นเพราะใต้เท้าผู้ตรวจการคิดว่าข้าต่อสู้จนตัวตาย จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดใหญ่โตขนาดนี้”

ยาคืนชีพ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…หนานกงเชี่ยนโหรวและคนอื่นๆ พยักหน้าทันที

ฮว๋ายชิ่งมองไปที่สวี่ผิงจื้อและคนอื่นที่ยังคงงุนงงไม่เข้าใจ ทรงตรัสเบาๆ ว่า “ยาคืนชีพเป็นยาวิเศษที่ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ได้สกัดออกมา เมื่อกินยานี้แล้ว จะเป็นเหมือนดักแด้ ลอกคราบออก กำเนิดร่างใหม่”

“แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แต่ก็สามารถทำลายเส้นใยที่ห่อหุ้มตัวออกมาเป็นผีเสื้อ ถือกำเนิดร่างใหม่”

สรรพคุณของยาคืนชีพก็คือการใช้ร่างเก่าเป็นตัวบำรุง ก่อตัวเป็นร่างใหม่ เหมือนกับดักแด้ที่กลายเป็นผีเสื้อ

ส่วนข้อด้อยก็มีอยู่มาก เช่น ‘ค่าผลิตยาสูงลิ่ว’ หรือเงื่อนไขการใช้เข้มงวดเกินไป สรรพคุณของยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนที่กินยาเม็ดลงไปจะต้องตายหลังจากครึ่งชั่วยาม หากเจ้าไม่ตาย มันก็จะบังคับให้เจ้าตาย ทำให้เกิดเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมทารุณอย่างการถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าตายได้ง่ายๆ หากถูกฝ่ายตรงข้ามตัดศีรษะหรือตายคาที่ ยาคืนชีพก็จะไม่สามารถช่วยให้คืนชีพได้ สรุปคือ ในช่วงขณะที่ชีวิตถูกแขวนบนเส้นด้าย ยาก็จะออกฤทธิ์พอดี

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด