ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 297 แผ่นเหล็กอักษรแดง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 297 แผ่นเหล็กอักษรแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 297 แผ่นเหล็กอักษรแดง

“ว่าอย่างไร? หากเป็นเช่นนี้ การที่ศิษย์น้องจะได้สงบไฟกรรมแล้วก้าวสู่ขั้นที่หนึ่ง ก็รอเพียงแค่วันเวลาเท่านั้น”

นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มพร่าพลางกล่าวว่า “นี่มิใช่เรื่องดียิ่งหรอกหรือ?”

‘และถ้าเป็นเช่นนี้ ไฟมารของข้าก็จะเป็นจริงได้ในไม่ช้าแล้ว’…นักบวชเต๋าเสริมขึ้นในใจ

ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงเบา “แม้ว่าสวี่ชีอันจะมีโชคอยู่ที่ตัว แต่ว่ามันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าของจักรพรรดิหยวนจิ่งอีกหรือ แข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองในอนาคตอีกหรือ และหากข้าบำเพ็ญคู่กับเขา ท่านโหราจารย์จะเห็นด้วยหรือ?”

คำถามของนางตรงเข้าประเด็น ทำให้นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่อาจคัดค้านได้

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า “จิตเต๋าของศิษย์น้องแจ่มชัด เหมาะที่จะไปสู่ขั้นหนึ่งของลัทธิเต๋ามากกว่าบิดาของเจ้าจริงๆ สมเป็นเทพธิดาเดินดิน”

ลั่วอวี้เหิงไม่เอ่ยคำ

นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม “ศิษย์น้องสนใจมีคู่บำเพ็ญเต๋าหรือไม่?”

เมื่อเห็นราชครูจ้องมองมา เขาก็ยิ้มและหัวเราะร่า “มีโชคชะตาติดตัว ทั้งยังฝึกสายยุทธ์ ในอนาคตสวี่ชีอันย่อมประสบความสำเร็จอย่างสูงแน่ หากเจ้าต้องการเป็นคู่บำเพ็ญกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่สามารถบำเพ็ญคู่กันไปก่อน จากนั้นค่อยปลูกฝังความรู้สึก นิกายมนุษย์สืบทอดมาสู่รุ่นของเจ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปเจ้าก็ต้องให้กำเนิดทายาท และด้วยอุปนิสัยของเจ้า หลังจากการบำเพ็ญคู่กันแล้ว เจ้าจะสามารถไปผูกสัมพันธ์คู่บำเพ็ญเต๋ากับผู้อื่นได้อีกหรือ”

ลั่วอวี้เหิงแค่นเสียงเย็น “เทพธิดาแห่งแผ่นดินมีอายุขัยไร้ที่สิ้นสุด จำเป็นต้องให้กำเนิดทายาทด้วยหรือ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้ม แต่ไม่เอ่ยอะไร

แม้ว่าเทพธิดาแห่งแผ่นดินจะเดินเล่นอยู่ระหว่างฟ้าดิน มีอายุขัยเทียมฟ้า แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดคิด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทายาทเพื่อสืบทอดวิชา

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศิษย์น้องแห่งนิกายมนุษย์จะเป็นผู้นำเต๋า แต่นางก็ยังเป็นสตรี สิ่งที่นางฝึกก็ไม่ใช่เส้นทางลืมรักของนิกายสวรรค์นั่นเสียหน่อย บางครั้งคราวก็ต้องมีอารมณ์อยู่บ้าง

“รีบถอนตัวออกมาเร็วหน่อยเถอะ บางทีประวัติศาสตร์อาจจะเขียนถึงเจ้าดีๆ บ้าง” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมรอยยิ้ม

ลั่วอวี้เหิงยิ้มเยาะ “ตั้งแต่โบราณ ประวัติศาสตร์ก็มักจะบอกว่าสตรีเป็นผู้นำพาหายนะทำลายชาติบ้านเมือง แต่อย่างที่ทุกคนรู้ ปัญหาจริงๆ นั้นอยู่ที่บุรุษ พวกคนจับพู่กันต้อยต่ำเหล่านั้นล้วนไม่กล้าทำให้จักรพรรดิพิโรธ จึงโยนความผิดมาที่หญิงสาวเสียหมด ช่างน่าขันเสียจริง จักรพรรดิหยวนจิ่งฝึกเต๋าเพื่อมีอายุยืนยาว เขาอยากเป็นจักรพรรดิในโลกมนุษย์ที่มีชีวิตอมตะ ต่อให้ไม่มีนิกายมนุษย์ เขาก็ยังอยากจะฝึกเต๋าอยู่ดี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?

เว่ยเยวียน เจ้าตัวสารเลว บอกว่าข้าล่อลวงจักรพรรดิ หลายปีมานี้ข้ามักจะพูดกับจักรพรรดิหยวนจิ่งเสมอว่าโอสถไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็ยังกินยาทั้งเม็ดใหญ่เม็ดเล็กอยู่ตลอด ไม่สนใจคำแนะนำของข้าแม้แต่นิด ล่อลวงจักรพรรดิหรือ? จะเริ่มที่ตรงไหนกันล่ะ”

“ศิษย์น้องกล่าวมีเหตุผล” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยชมลั่วอวี้เหิงก่อน จากนั้นก็วิจารณ์อย่างตรงประเด็น

“นิกายมนุษย์ของเจ้าต้องยืมใช้โชคชะตาของกษัตริย์เพื่อฝึกบำเพ็ญและสะกดกลั้นไฟกรรม แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ แต่ก็ยังส่งผลต่อการฝึกบำเพ็ญของจักรพรรดิหยวนจิ่งจริงๆ จึงยากจะหลีกเลี่ยงความไม่พอใจ”

‘เจ้ากำลังประนีประนอมกับข้าอยู่หรือ?’ ลั่วอวี้เหิงจ้องเขาอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้นเอ่ยลา เมื่อนางเดินไปยังธรณีประตูก็หันกลับมากล่าว

“ปลายปีหยวนจิ่งที่สามสิบหก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีซมซานมายังเมืองหลวงโดยที่เหลือเพียงซากวิญญาณ ไม่ใส่ใจเรื่องฝึกบำเพ็ญ ทั้งวันเอาแต่สิงอยู่ในร่างแมว ได้สหายเป็นฝูงแมว มีความสุขยิ่ง…ข้าอยากจะเขียนเพิ่มลงไปในบันทึกยุคสมัยของนิกายมนุษย์เสียจริง”

พูดจบก็กลายเป็นแสงสว่างบางเบาแล้วจากไป

‘ศิษย์น้อง มีเรื่องอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันสิ!’ นักบวชเต๋าจินเหลียนรีบพุ่งออกจากห้องแล้วมองขึ้นฟ้า ยื่นมือออกมาทำท่ารั้งเอาไว้…

“ช่างเป็นสตรีขี้งอนและจำฝังใจเสียจริง” นักบวชเต๋าจินเหลียนพึมพำ

จวนสกุลสวี่

เมื่อสวี่ชีอันออกจากห้องแล้วเดินผ่านโถงชั้นใน เขาก็เห็นสวี่หลิงอินวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ในโถง โดยมีฉู่ไฉ่เวยวิ่งไล่ตามนางอยู่ด้านหลัง

สวี่หลิงอินวิ่งพลางส่งเสียงหัวเราะราวกับรถไถดิน

อาสะใภ้กำลังดูแลดอกไม้ในกระถางข้างๆ อยู่ สวี่หลิงเยวี่ยนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบนิ่ง คอยมองดูน้องสาวและสาวน้อยในชุดกระโปรงสีเหลืองเล่นสนุกกัน

‘ผู้หญิงคนนี้มาบ้านข้าอีกแล้ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าคิดถึงพี่ใหญ่’…สวี่หลิงเยวี่ยลอบตัดสินฉู่ไฉ่เวยเงียบๆ แต่นางไม่แสดงออกมา บางครั้งยามที่ฉู่ไฉ่เวยเหลือบมองมาก็ยังส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้ด้วยซ้ำ

สวี่ชีอันกุมมือคำนับเจ้าสำนักจ้าวโส่วก่อน แล้วจึงเข้ามาในห้องโถงพร้อมเอ่ยถาม “แม่นางไฉ่เวย เจ้ามาได้อย่างไรกัน ถูกเสน่ห์อันน่าหลงใหลของข้าดึงดูดมาอย่างนั้นหรือ”

“พี่ใหญ่ ท่านตื่นแล้วหรือ” สวี่หลิงเยวี่ยดีใจยิ่ง

อาสะใภ้ก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระถางดอกไม้แสนรักของนางแล้วมองพินิจดูหลานชายตัวซวย

สวี่ชีอันสลบไสลมาเกือบครึ่งค่อนวัน พวกนางไร้อารมณ์กังวลไปนานแล้ว จึงไม่ตื่นตะลึงหรือหวาดกลัวอย่างก่อนหน้านี้อีก

“อ้อ ข้ามาส่งคำพูดแทนท่านอาจารย์น่ะ” ฉู่ไฉ่เวยหยุดวิ่งไล่แล้วมองไปรอบๆ ก่อนกวักมือเรียก “เจ้ามานี่”

สวี่ชีอันเดินไปตามคำเรียกแล้วถูกสาวน้อยชุดเหลืองลากไปที่มุมหนึ่ง นางเอ่ยกระซิบที่ข้างหู “อาจารย์บอกว่า เจ้าไปขอแผ่นเหล็กมาจากฝ่าบาทได้แล้ว”

แผ่นเหล็ก? เขาใช้เวลาพักหนึ่งถึงนึกได้ว่าแผ่นเหล็กคืออะไร

ชื่อทางการของมันคือ ‘แผ่นเหล็กอักษรแดง’ เรียกกันทั่วไปว่า ‘ป้ายทองเลี่ยงตาย’

ข้าจะต้องการของสิ่งนั้นไปทำไม ข้าใช้ก้อนทองสักหลายพันก้อนไปเลื่อนขั้นตำแหน่งขุนนาง แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ…สวี่ชีอันกล่าวในใจ

“ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้า

เมื่อเห็นทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาคุยกันด้วยท่าทางมีความลับ สวี่หลิงเยวี่ยก็พองแก้มแล้วกวักมือเรียกสวี่หลิงอิน “หลิงอิน ไปเล่นกับพี่ไฉ่เวยสิ”

‘แรงงาน’ สวี่หลิงอินเดินด้วยขาเล็กๆ ไปหาฉู่ไฉ่เวย แล้วใช้หัวชนบั้นท้ายของนาง “พี่ไฉ่เวย พวกเรามาเล่นกันต่อเถอะ…”

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ได้แต่ต้องเดินไปยังโถงด้านหน้ากับจ้าวโส่ว

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านโหราจารย์ให้ข้าไปขอแผ่นเหล็กจากฝ่าบาท” สวี่ชีอันบอกเรื่องนี้แก่จ้าวโส่ว จากนั้นก็พิจารณาดูปฏิกิริยาของเขา

มีแต่คนฉลาดเท่านั้นถึงจะรับมือกับคนฉลาดได้

จ้าวโส่วพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลว แผ่นเหล็กอักษรแดงนี้น่ะ นอกจากจะเป็นกบฏแล้ว โทษประหารชีวิตทั้งหมดล้วนแต่สามารถละเว้นได้ หลังจากได้รับการละเว้น จะถูกถอดยศถอนเงินเดือน มิให้ผนึกไว้ซึ่งศักดินา แต่แลกมาซึ่งชีวิตได้แล”

มิให้ผนึกไว้ซึ่งศักดินา แต่แลกมาซึ่งชีวิตได้แล…ประโยคนี้มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย? สีหน้าของสวี่ชีอันนิ่งงันไป จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติแล้วพยักหน้า

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แผ่นเหล็กอักษรแดงมีความหมายเช่นนี้นี่เอง”

แลกป้ายทองเลี่ยงตายมาได้แผ่นหนึ่ง…ท่านโหราจารย์ตั้งใจให้ฉู่ไฉ่เวยมาบอกข้าแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลอยู่แน่ๆ…อ้อ ข้าเป็นเว่ยเยวียนจอมขันทีรุ่นสองนี่นา ศัตรูมีมากมาย นับว่าเป็นการเพิ่มการรับรองความปลอดภัยอย่างหนึ่ง

ความจริงแล้วสวี่ชีอันไม่กลัวจักรพรรดิหยวนจิ่งหรอก ยิ่งระดับการฝึกตนในตอนนี้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากว่าหากเจอกับเรื่องประเภทที่ต้องใช้ดาบฟันฆ้องเงินอีกล่ะก็ อย่างมากต่อไปก็แค่ออกท่องยุทธภพเท่านั้นล่ะ

สิ่งเดียวที่ตัดใจทิ้งไม่ได้ก็คือครอบครัว

ขณะที่สนทนากัน ทั้งคู่ก็มายังโถงด้านหน้า ในห้องโถงมีขันทีในชุดหมางเผ่านั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าขาวไร้หนวด

อารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลางนั่งอยู่ถัดจากนั้น และกำลังพูดคุยกับขันทีในชุดหมางเผ่าอยู่

“หนิงเยี่ยนฟื้นแล้ว?” หูของอารองสวี่ขยับแล้วทะลุมาด้านหลังกำแพง

สวี่ชีอันและจ้าวโส่วเดินเคียงไหล่กันเข้ามา

“เจ้าสำนัก!” สวี่เอ้อร์หลางรีบลุกขึ้นคำนับ

เมื่อเผชิญหน้ากับอารองสวี่และเอ้อร์หลาง ขันทีผู้นี้ยังมีท่าทีหยิ่งยโส แต่เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินออกมา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที

“ท่านจื่อฟื้นแล้ว ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างหรือ? หากต้องการรักษาร่างกายโปรดบอกข้าได้เลย ข้าจะรีบกลับไปนำของในวังมาให้ท่าน”

“หนิงเยี่ยน ท่านนี้คือเฉินกงกง ผู้ตรวจอ่านฎีกาถวายองค์จักรพรรดิ”

อารองสวี่ยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ยามพูดก็ใช้น้ำเสียงทรงพลังขึ้นด้วย

“ต้องขอบคุณเฉินกงกงมากที่ใส่ใจ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” สวี่ชีอันพยักหน้า

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” เฉินกงกงยิ้มอย่างยินดีแล้วลงมาจากตำแหน่งประธาน พร้อมมอบให้สวี่ชีอันและเจ้าสำนักจ้าวโส่วนั่งแทน

“ข้าเป็นตัวแทนฝ่าบาทมาเยี่ยมใต้เท้าสวี่ ใต้เท้าสวี่ได้สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ให้กับราชสำนัก ฝ่าบาทจะต้องตบรางวัลให้อย่างงาม”

“ความจริงล้วนเป็นเพราะความชื่นชมของฝ่าบาททั้งสิ้นที่ได้มอบโอกาสให้กับข้าน้อย ดั่งคำที่ว่า ฝึกทหารพันวัน ใช้งานวันเดียว ก็คือราชสำนักเลี้ยงดูข้าน้อย วันนี้ข้าน้อยจึงได้สร้างผลงานตอบแทนราชสำนักขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงใจ

“ดังนั้น ขอให้กงกงโปรดกล่าวแก่ฝ่าบาทด้วย ว่าข้าน้อยไม่ได้มีคุณงามความดีมากนัก ขอให้ฝ่าบาทมอบเพียงแผ่นเหล็กอักษรแดงก็พอ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความคิดในใจของอารองสวี่และเอ้อร์หลางล้วนแตกต่างกันคนละโยชน์ สวี่เอ้อร์หลางกล่าวในใจว่า ‘พี่ใหญ่ช่างรู้จักตัวเองดียิ่ง ประโยชน์ของแผ่นเหล็กอักษรแดงดียิ่งกว่าทองคำหรือผ้าไหมเป็นไหนๆ ทองคำทำได้เพียงให้พี่ใหญ่ใช้เงินในสำนักสังคีตได้อย่างอาจหาญมากขึ้น ส่วนผ้าไหมก็เพียงแค่ทำให้ร่างกายท่านแม่และน้องสาวได้สวมใส่เสื้อผ้างดงามมากขึ้นเท่านั้น ล้วนแต่เป็นของไร้ประโยชน์’

ส่วนอารองสวี่มีแต่คำว่า ‘นี่คือเกียรติยศ ตั้งแต่โบราณมา ไม่มีขุนนางผู้มากคุณงามความดีคนใดไม่ได้แผ่นเหล็กอักษรแดง’

เฉินกงกงตะลึงแล้วเอ่ย “ข้าจะนำคำของใต้เท้าสวี่ไปทูลให้ อืม ฝ่าบาทมีเรื่องอยู่สองสามอย่างที่ประสงค์จะทรงทราบ จึงรับสั่งให้ข้ามาถามน่ะ”

มาแล้ว…สวี่ชีอันยิ้มโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เชิญเฉินกงกงเอ่ยถามมาได้เลย”

“ใต้เท้าสวี่ชักดาบออกมาสองครั้งในการประลอง อานุภาพรุนแรงสะเทือนทั่วทั้งเมือง แต่พลังของสองดาบนั้นเกินกว่าขีดจำกัดของใต้เท้าเสียอีก ฝ่าบาทจึงทรงอยากทราบว่า ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร”

เฉินกงกงยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่สายจดจ้องเขาโดยไม่กะพริบ

“พูดแล้วก็น่าอาย แต่เป็นเพราะท่านโหราจารย์ได้มอบพลังให้กับข้าขอรับ” สวี่ชีอันอธิบายรวบรัด

เขาไม่ได้บอกอย่างละเอียด เพราะแบบนี้เหมาะสมกับบุคลิกของท่านโหราจารย์มากกว่า ถ้าอธิบายชัดเกินไปจะไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้ เขาก็ไม่กลัวว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะไปขอคำยืนยันจากท่านโหราจารย์ด้วย

ความรู้ใจเช่นนี้ เจ้าเฒ่าโหราจารย์ผู้นั้นก็น่าจะมีอยู่บ้าง

เฉินกงกงพยักหน้าเล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย จากนั้นก็เอ่ยถามต่อ “ดาบกระบวนนั้นของลัทธิขงจื๊อ…”

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าได้ยินจ้าวโส่วเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาก่อน “เมื่อสี่ร้อยปีก่อน สำนักอวิ๋นลู่สามารถทำลายพุทธได้ วันนี้ก็ทำได้เช่นกัน”

สวี่ชีอันกล่าวขึ้นทันที “ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยเหลือ”

เฉินกงกงเหลือบมองเจ้าสำนักจ้าวโส่วแล้วยิ้มออกมา “ที่แท้ก็ได้ความช่วยเหลือจากสำนักบัณฑิตนี่เอง”

ความจริงแล้วนี่ถือเป็นการโกง แต่ก็ใช่ว่าศาสนาพุทธจะซื่อตรงเปิดเผยเสียที่ไหน ตอนที่ทำลายค่ายกลระดับเพชร ภิกษุจิ้งเฉินก็ได้เอ่ยเตือนจิ้งซือด้วย ในด่านที่สาม อรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ลงสนามด้วยตนเองเพื่อมาเทศนาธรรมกับสวี่ชีอัน

ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ไม่ถือสาเรื่องคมดาบที่สามารถสังหารถึงตายกระบวนนั้น

“ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่รบกวนการพักผ่อนของใต้เท้าสวี่แล้ว”

เฉินกงกงลุกขึ้นแล้วจากไป

พระราชวัง

จักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังนั่งฝึกลมหายใจหลังจากกินโอสถลงไป เขาได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “มีเรื่องใด”

ขันทีเฒ่ากระซิบ “บ่าวที่ได้ฟังความที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินรายงานมาว่า บัณฑิตโง่เง่าพวกนั้นไม่ยอมแก้บทความ ทั้งยังทุบตีตัวเขาอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าพวกบัดซบกลุ่มนี้” จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาแล้วขมวดคิ้วเอ่ย

ในเรื่องของอำนาจ จักรพรรดิหยวนจิ่งมีความชำนาญมาก แต่การให้ต่อกรกับชนชั้นสูงมากทิฐิพวกนี้ วิธีการเดียวก็คือ ปราบปราม ‘ขั้นรุนแรง’ เท่านั้นจึงจะดีที่สุด

หากเจ้าเล่นแง่เล่นกลกับพวกเขา พวกเขาก็จะทำเพียงปิดหูตัวเองแล้วกล่าวว่า ‘ไม่ฟังๆ ไม่ฟังเจ้าตะพาบน้ำสวดมนต์หรอก’

“ช่างเถอะ ค่อยๆ บดขยี้ไปแล้วกัน” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าว

ถึงอย่างไรเขาก็อยากจะรอดูอีกสักหน่อย ยังไม่ถึงขั้นต้องทำสงครามจริงจังหรอก หากเป็นเช่นนั้นคงจะกระทบกับชื่อเสียงของเขาอย่างมาก

พูดจบ เขาก็มองไปยังขันทีที่ยังไม่ไปไหนแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องใดอีก”

ขันทีเฒ่าพยักหน้า “ฆ้องเงินสวี่ฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เฉินกงกงจากหน่วยตรวจฎีกาส่งความกลับมาว่า…”

เขาเอ่ยคำตอบของสวี่ชีอันทันที

“แผ่นเหล็กอักษรแดง?” จักรพรรดิหยวนจิ่งตกตะลึงเล็กน้อยแล้วยิ้มเยาะ

“ไม่ต้องการตำแหน่งขุนนาง เงินทองผืนผ้าไหมก็ไม่ต้องการ ต้องการเพียงแผ่นเหล็กอักษรแดงหนึ่งแผ่น?”

ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่จักรพรรดิเฒ่าก็ยังลังเลอยู่นาน ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ขันทีชราหัวเราะเสียงต่ำ “ใต้เท้าสวี่เป็นคนที่มีจิตใจกระจ่างใสยิ่งนัก รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้จักประโยชน์ของคน และรู้ว่าตนเป็นกำลังที่ราชสำนักบ่มเพาะ ไม่มีความลำพองตน แต่หากเขาต้องการเลื่อนบรรดาศักดิ์…ฝ่าบาทจะมีปัญหาแทนพ่ะย่ะค่ะ”

‘ความคิดอ่านของเจ้าเด็กคนนี้เก่งกาจเสียยิ่งกว่าพวกหนอนหนังสือกลุ่มนั้นในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเสียอีก’…จักรพรรดิหยวนจิ่งลังเลอีกพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยเสียงขรึม “เตรียมส่งไป”

สิ่งที่ขันทีคู่ใจกล่าวนั้นไม่ผิดเลย เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ การเลื่อนบรรดาศักดิ์ภายในเวลาสั้นๆ มีก็แต่ในยามสงครามเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้ เลื่อนขั้นขุนนางทำได้ง่าย แต่เลื่อนบรรดาศักดิ์นั้นยาก

‘การปรากฏตัวของดาบสลักนั้นเป็นเพราะได้ความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักจ้าวโส่วอย่างนั้นหรือ’ จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งคิดไปพักหนึ่งก็ละทิ้งความรู้สึกจากสัญชาตญาณ เขาหยุดการนั่งสมาธิแล้วตรัสสั่งว่า “เคลื่อนขบวนไปอารามรัตนะ”

อารามรัตนะ

“ท่านราชครู การประลองครั้งนี้ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่และสร้างความภาคภูมิใจให้กับแคว้นต้าฟ่งของข้า เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกป่าเถื่อนที่ซินเจียงตอนใต้และทางเหนือ รวมถึงทางสำนักพ่อมดจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ ฆ้องเงินผู้หนึ่งออกมาประลอง คงจะทำให้ทุกฝ่ายคลางแคลงใจ สงสัย และหวาดกลัวพลังของแคว้นต้าฟ่งของข้าเป็นแน่ ผลลัพธ์เช่นนี้ดีกว่าให้หยางเชียนฮ่วนออกหน้าเสียอีก ราชครู ท่านราชครู?”

ลั่วอวี้เหิงพลันกลับมารู้สึกตัว ดวงตาคู่งามกลับมามีชีวิตชีวาจากการเหม่อลอยแล้วขมวดคิ้วกล่าว “ฝ่าบาทตรัสว่าอะไรหรือเพคะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองพิจารณาราชครูผู้งามล้ำเปี่ยมเสน่ห์นิ่งๆ แล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “ราชครูใจไม่อยู่กับตัวเช่นนี้ มีเรื่องอะไรในใจหรือ อย่ากังวลไป ข้าจะต้องช่วยราชครูแก้ปัญหาอย่างแน่นอน”

ในฐานะที่เป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์และอยู่ในระดับขั้นสองของลัทธิเต๋า จักรพรรดิหยวนจิ่งแทบจะไม่เคยเห็นท่าทางหนักอกหนักใจเช่นนี้ของลั่วอวี้เหิงมาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้ง

‘หรือว่าความขัดแย้งระหว่างนิกายมนุษย์และสวรรค์จะกดดันนาง? ผู้หญิงคนนี้ เหตุใดถึงไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับข้ากันนะ ความเป็นอมตะของข้าล้วนติดอยู่แค่ตรงนี้เท่านั้น…’

ขณะที่ความคิดแล่นวาบ เขาก็เห็นลั่วอวี้เหิงส่ายหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง กระหม่อมไม่เป็นอันใด”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า เขาไม่ซักไซ้ต่อ แต่เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มายังอารามรัตนะในครั้งนี้ “ราชครูน่าจะรู้ ในการประลอง ดาบสลักของสำนักอวิ๋นลู่ได้ปรากฏขึ้นมา ข้ารู้มาว่านั่นเป็นของตกทอดจากปราชญ์เอก เป็นสมบัติของสำนักบัณฑิตมันปรากฏออกมาเช่นนี้เป็นเพราะมีลับลมคมในใช่หรือไม่”

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงสงสัยเช่นนี้หรือเพคะ” ลั่วอวี้เหิงถามกลับ

“ดาบสลักของปราชญ์เอกมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะใช้ได้ จ้าวโส่วผู้นั้นอยู่ระดับก่อชะตาขั้นสาม แต่ไม่แน่ว่าอาจจะใช้งานไม่ได้ด้วยซ้ำ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งยังพอจะมีความรู้อยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่สำนักอวิ๋นลู่เคยคุมท้องพระโรงและข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิขงจื๊อเหล่านี้ ราชสำนักไม่เคยขาดแคลน ความลับที่เกี่ยวข้อง เขาก็ยังรับรู้

ลั่วอวี้เหิงนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “แม้ว่าจ้าวโส่วจะอยู่ขั้นสาม แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีระดับวิญญูชนขั้นสี่อยู่อีกสามคน หากจะร่วมมือกันใช้งานดาบสลักก็ย่อมมิใช่เรื่องยาก อีกอย่าง ลัทธิขงจื๊อและศาสนาพุทธมีความแค้นต่อกันมานาน ปีนั้นผู้ที่ทำลายพุทธก็คือผู้นำรุ่นหนึ่งของสำนักศึกษาด้วย การที่สำนักอวิ๋นลู่ยื่นมือเข้ามาเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้”

“ข้าเชื่อราชครู” จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่สงสัยอีกต่อไป

หลังจากส่งจักรพรรดิหยวนจิ่งจากไปแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็เดินออกจากห้องสงบใจไปนั่งอยู่ในศาลารับลม แล้วเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น

สวี่ชีอันไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพื่อรายงานสถานการณ์ของตนให้กับเว่ยเยวียน เมื่อเข้ามาในหอเฮ่าชี่ เขาก็รู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

เขาเตรียมคำพูดอยู่ในใจเอาไว้เพื่อเตรียมเปลี่ยนคำโกหกให้ไหลลื่นยิ่งขึ้น

แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเว่ยเยวียนไม่แม้แต่จะถาม เมื่อรู้ว่าร่างกายของเขาดีขึ้นแล้วก็พยักหน้าอย่างเบาใจ จากนั้นก็รั้งให้เขาอยู่ดื่มชาหนึ่งแก้วแล้วพูดคุยสัพเพเหระกัน

เมื่อออกจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจโล่งอก

ถึงอย่างไรเว่ยกงก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้ฝึกยุทธ์ เขาเชี่ยวชาญเรื่องความรู้และทฤษฎีจริงๆ แต่มองไม่เห็นถึงประตูแห่งเต๋าในนั้น…อีกอย่างเขาก็ยังเป็นคนฉลาด คิดว่าตนมองทุกสิ่งทุกอย่างออก และมองว่าการระเบิดพลังของข้านั้นมีท่านโหราจารย์คอยช่วยเหลืออย่างลับๆ…เรื่องดาบสลักก็เป็นเพราะสำนักอวิ๋นลู่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของสวี่ชีอันก็กระตุก

นอกจากท่านโหราจารย์ คนอื่นล้วนอยู่ที่ชั้นสอง ส่วนข้ามองพวกเขาลงมาจากชั้นห้า

ยามเย็น เขากลับจวนด้วยจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย เดินผ่านเรือนด้านนอกและได้กลิ่นหอมอบอวล

อาสะใภ้ให้คนครัวทำอาหารอร่อยๆ เตรียมไว้โต๊ะหนึ่ง ถึงขนาดซื้ออาหารชุดใหญ่จากร้านอาหารข้างนอกมาด้วย สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อมอบเป็นรางวัลให้กับสวี่ชีอัน

ระหว่างทานอาหาร อาสะใภ้บ่นว่า “บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ต้องให้ข้าดูแลแต่ผู้เดียว ยุ่งจนหัวปั่นไปหมด เหนื่อยแทบตาย”

ขณะที่กำลังบ่น กลับคิดไม่ถึงว่าสวี่หลิงเยวี่ยจะคว้าโอกาสพูดได้ “เช่นนั้นท่านแม่ก็ให้ข้าดูแลบัญชีสิเจ้าคะ”

บัญชีที่ว่าหมายถึง ‘คลังทรัพย์สิน’ ของบ้าน ตั้งแต่ผืนผ้าแพรไหมและที่นากับร้านค้าข้างนอก ซึ่งตอนนี้ล้วนแต่มีอาสะใภ้เป็น ‘ผู้ดูแล’ แต่อาสะใภ้ไม่รู้หนังสือ สวี่หลิงเยวี่ยจึงกลายมาเป็นผู้ช่วย

นางมีงานที่ต้องทำเยอะ แต่อำนาจก็ยังอยู่ในมือของอาสะใภ้ หากวันนี้อาสะใภ้จะเพิ่มเสื้อผ้าให้คนในบ้าน เช่นนั้นก็จะได้ตัดเสื้อผ้าเพิ่มอย่างที่นางบอก แต่ถ้าอาสะใภ้ไม่เห็นด้วย ทุกคนก็จะไม่มีเสื้อผ้าเพิ่ม

“เจ้าจะมาดูแลอะไร ต่อให้มาดูแลจริง ต่อไปก็ต้องมอบให้ภรรยาของต้าหลางและเอ้อร์หลางอยู่ดี มีที่ให้เจ้าดูแลที่ไหน” อาสะใภ้ทำลายความคิดที่จะ ‘ก่อกบฏ’ ของลูกสาวทิ้งไป

‘หรือต่อให้เป็นภรรยาของต้าหลางและเอ้อร์หลาง ก็อย่าได้คิดจะแย่งอำนาจจากข้าได้เลย’…อาสะใภ้เสริมในใจ

หลังกินอาหารเย็นเสร็จ สวี่เอ้อร์หลางก็วางตะเกียบลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านตามข้าไปที่ห้องหนังสือหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”

สวี่ชีอันเหลือบมองน้องชายคนเล็ก ใบหน้าของเขาจริงจังและขมวดคิ้วเล็กน้อย

เกิดอะไรขึ้นอีก? สวี่ชีอันพึมพำในใจแล้วตามสวี่เอ้อร์หลางไปที่ห้องหนังสือ

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด