ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 444 ครึ่งชีวิต

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 444 ครึ่งชีวิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 444 ครึ่งชีวิต

สวี่ชีอันเดินเข้าไปหาอย่างจำใจ ยังไม่ทันเข้าใกล้ อาสะใภ้ก็ประชิดตัวเข้ามาเสียเอง นางคว้ามือของเขาไปกุมแน่น แล้วพูดอย่างร้อนรนใจ

“เอ้อร์หลางจะไปรบได้อย่างไร ไก่สักตัวเขายังไม่เคยฆ่าด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงปัญญาชนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ องค์จักรพรรดิส่งเขาไปออกรบเช่นนี้ มะ ไม่เท่ากับส่งเขาไปตายหรอกหรือ”

พูดไป นางก็เริ่มสะอึกสะอื้น

สวี่หลิงเยวี่ยที่อยู่ในห้องโถงขณะนี้ ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงหน้างดงามของนาง เผยความกังวลใจต่อสวัสดิภาพของเอ้อร์หลางผ่านเรียวคิ้วกิ่งหลิวที่ขมวดมุ่น

“ท่านแม่ ข้าเป็นถึงบัณฑิตขั้นเจ็ด ขั้นเจ็ดเชียวนะ ท่านพ่อก็เพิ่งจะถึงขั้นเจ็ดเอง” สวี่ฉือจิ้วพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

“มีประโยชน์อันใดเล่า พ่อของเจ้าเคยบอกกับข้าว่าปัญญาชนขั้นเจ็ด ก็เป็นแค่ไก่อ่อนไม่ต่างอะไรจากทหารขั้นเก้า” อาสะใภ้ตวาดแหวด้วยความโมโห

สวี่เอ้อร์หลางเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ

สวี่ชีอันลูบหลังมือของอาสะใภ้เพื่อปลอบโยน จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เสียทีเดียว ถ้าอับจนหนทางจริงๆ ก็ลาออกจากราชการเสีย”

“ลาออก!” อาสะใภ้ปาดน้ำตา

ในสายตาของสตรีเช่นนาง สงครามนั้นคือหายนะไม่ต่างจากฟ้าถล่มดินทลาย ในฐานะแม่คนหนึ่งนางยอมให้ลูกชายทิ้งอนาคต ยังดีกว่าถูกส่งไปสนามรบ

“ไม่ได้!”

สวี่ซินเหนียนตัดบทอย่างแข็งกร้าว ในฐานะปัญญาชนแห่งสำนัก จะถอนตัวจากสงครามเพราะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร

อาสะใภ้ทรุดนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยน้ำตาหลั่งริน “เจ้าเกิดมาจากท้องแม่ ความสามารถเจ้ามีมากน้อยเพียงใดมีหรือแม่จะไม่รู้ หากเจ้าเก่งกล้าสามารถอย่างพี่ใหญ่ของเจ้า แม่คงไม่ต้องสนใจ แต่นี่เจ้าเป็นปัญญาชนไร้ประโยชน์ เจ้าน่ะเก่งแต่ปาก แต่จะให้จับดาบไปตีรันฟันแทงกับผู้อื่น เจ้าทำได้เสียที่ไหน

“ในตระกูลคนรองมีเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากเจ้ามีอันเป็นไป แม่ แม่ก็อยู่ต่อไปไม่ได้…”

สวี่หลิงเยวี่ยปลอบมารดาของตน พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ท่านแม่ ข้าร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามมาแล้ว สมรภูมิก็เป็นสนามเหย้าของข้า เป็นที่ที่ข้าฝึกฝนมา ตอนนี้โอกาสดีๆ ไม่ได้เข้ามาบ่อยครั้งนะขอรับ” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“นี่เจ้าโง่หรือไร”

อาสะใภ้กรีดร้อง “ไอ้จักรพรรดิชาติชั่วนั่นมันอยากให้เจ้าตาย มันจงเกลียดจงชังหนิงเยี่ยน จนอยากให้ตระกูลของเราตกตายทั้งตระกูล เจ้าโง่เง่าเสียจนอาสาไปตายเองเชียวหรือ”

นางร่ำไห้ ภายใต้ความเดือดดาล ใบหน้าของนางแฝงด้วยความเคียดแค้นที่หาได้ยาก

เมื่อเห็นฉากตรงหน้า สวี่ชีอันก็ตกตะลึง ความจริงแล้วอาสะใภ้รู้ดีถึงสถานการณ์ของจวนสกุลสวี่ รู้ว่าหลานชายของตนทำให้จักรพรรดิเคืองขุ่น ทั้งตระกูลถุกเพ่งเล็ง ตกอยู่ในวิกฤตอันตราย

แต่นางไม่เคยแสดงความกังวลในเรื่องนี้ออกมา และไม่เคยบ่นหลานชายจอมแส่สักครั้ง ไม่ใช่เพราะนางโง่เขลา แต่เพราะนางเห็นหลานชายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงมากับมือเป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นลูกชายคนหนึ่งของนาง

บางคนปากบอกว่าไม่เห็นเจ้าในสายตา แต่ในใจนั้นรักและหวงแหนเจ้าสุดหัวใจ

สวี่ชีอันออกมาจากห้องโถงเงียบๆ ให้ข้ารับใช้นำแม่ม้าน้อยออกมา ก่อนจะห้อตะบึงไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที

ชั้นเจ็ดหอเฮ่าชี่

ภายในห้องน้ำชา สวี่ชีอันกล่าวพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด “เว่ยกง ไอ้จักรพรรดิหยวนจิ่งชาติชั่วนั้นไม่เลิกรังควานข้าเสียที มันเห็นว่าชื่อเสียงของข้าสูงส่ง ทั้งยังมีเจ้าสำนักจ้าวโส่ว ท่าน และท่านโหราจารย์คอยหนุนหลัง ก็เลยไม่แตะต้องข้า แต่หันไปเล่นงานฉือจิ้วแทน”

เหตุใดสวี่ชีอันจึงไปไม่จากเมืองหลวง แต่กลับอาจหาญสืบเรื่องของจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างลับๆ น่ะหรือ ก็เพราะมีลูกพี่ตัวเป้งทั้งสามคนคอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง

นอกจากนี้เขายังทำตัวไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ไม่หาเรื่องจักรพรรดิหยวนจิ่งต่อหน้า

แต่เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจักรพรรดิหยวนจิ่งจะชำระบัญชีกับเขา จักรพรรดิองค์นี้เป็นพวกเหลี่ยมจัด ทั้งยังมีความอดทนอดกลั้นสูงพอที่จะรอคอย เช่นเดียวกับครั้งนี้

สวี่ชีอันไม่กลัวจักรพรรดิหยวนจิ่ง ห่วงแต่อารองและเอ้อร์หลางมากกว่า หากจักรพรรดิหยวนจิ่งคิดจะโยนความผิดไปให้พวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น

เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามีความคิดอย่างไร”

สวี่ชีอันกล่าวเป็นการหยั่งเชิง “เว่ยกงพอจะช่วยทัดทานได้หรือไม่”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธ”

สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเองก็อยากร่วมทัพกับเอ้อร์หลางด้วย และคอยปกป้องเขาอยู่เบื้องหลัง แต่สังหรณ์ใจว่าหากข้าไปจากเมืองหลวง ครอบครัวของข้าจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ข้าจึงทำได้เพียงมาขอพึ่งพาเว่ยกง

“เว่ยกงเป็นกุนซือในการศึกครั้งนี้ โปรดช่วยข้าดูแลเอ้อร์หลางด้วยเถิด”

ท่านโหราจารย์และจ้าวโส่วปกป้องเขาได้ แต่ลูกพี่ทั้งสองคนนั้นจะยอมเป็นองครักษ์ ปกป้องครอบครัวของเขาหรือ?

สวี่ชีอันไม่มั่นใจในเรื่องนี้ มีเพียงเว่ยเยวียนคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เขาเชื่อใจ

ท่านโหราจารย์และจ้าวโส่วเห็นเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่ง จึงจดจำเพียงตัวเขา หาใช่ครอบครัวของเขา เว่ยเยวียนเห็นเขาเป็นคนสนิทและคนสำคัญ ดังนั้นเว่ยเยวียนจึงสามารถดูแลครอบครัวของเขาได้

เว่ยเยวียนจิบชาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะส่งสวี่ซินเหนียนไปประจำทางเหนือ ไปอยู่กับเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนที่สนิทสนมกับเจ้าที่สุด อีกทั้ง ฉู่หยวนเจิ่นก็จะขึ้นเหนือเช่นกัน”

สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “ที่แท้ท่านก็จัดสรรเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านส่งฉู่หยวนเจิ่นไปเข้าร่วมทัพ ก็เพื่อปกป้องเอ้อร์หลางใช่หรือไม่”

ท่านพ่อ!

เว่ยเยวียนเหยียดยิ้มพร้อมกล่าว “นั่นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ความสามารถของฉู่หยวนเจิ่นหาตัวจับยาก ปล่อยให้ไปเตร็ดเตร่ในยุทธภพมันน่าเสียดายเกินไป เขายังคงเป็นปัญญาชนผู้มีหัวใจเพื่อปวงชนใต้หล้า เพียงแต่ไม่พอใจกับการบำเพ็ญธรรมของฝ่าบาท จึงลาออกไปปลีกวิเวก

“ขอเพียงยังมีจิตมุ่งมั่น ก็ไม่อาจปฏิเสธข้าได้ อัจฉริยะชั้นดีเช่นนี้ ไม่ใช้งานก็เสียของหมด”

ฉู่หยวนเจิ่นก็เป็นมนุษย์เครื่องมือเฒ่าสินะ…สวี่ชีอันพูดในใจ

เว่ยเยวียนถามทันที “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้าอีกหรือไม่”

ดูเหมือนเขาจะตั้งตารอนิดๆ

สวี่ชีอันหัวเราะแหะๆ ก่อนจะลุกขึ้น และแสดงความเคารพ “ขอเว่ยกงมีชัย”

เว่ยเยวียนยิ้มอย่างไม่เต็มใจ ดูท่าทางจะผิดหวังเล็กน้อย

“สวี่ชีอัน!”

ขณะที่เขากำลังจะจากไป เสียงของเว่ยเยวียนก็ดังไล่หลังมา “ใต้หล้าจิ่วโจวนั้นซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด ไปเถิด ไปตามทางของเจ้าเสีย”

สวี่ชีอันนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รีรอให้เว่ยเยวียนได้อธิบาย ก็หันกลับไปมองเขาครั้งหนึ่ง “ขอรับ!”

เมื่อออกมาจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความส่วนตัวไปหาฉู่หยวนเจิ่น

หมายเลขสาม ‘พี่ฉู่ เมื่อครู่กรมทหารเพิ่งมาส่งข่าว บอกว่าข้าเองก็ต้องไปออกรบเช่นเดียวกับท่าน’

หมายเลขสี่ ‘เว่ยเยวียนก็เรียกเจ้าด้วยหรือ เช่นนั้นญาติผู้พี่ของเจ้าต้องไปด้วยหรือไม่’

ฉู่หยวนเจิ่นตกใจมาก ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเหิงหย่วน หากสวี่ชีอันไม่อยู่ปกปักเมืองหลวง ลำพังหมายเลขหนึ่ง สอง และห้า สามคนจะช่วยเหลือเหิงหย่วนออกมาได้อย่างไร

หมายเลขสาม ‘เป็นพระราชโองการจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง ต่างจากท่าน’

สวี่ชีอันไม่ได้แช่งชักหักกระดูกจักรพรรดิหยวนจิ่ง เพราะฉู่หยวนเจิ่นต้องเข้าใจอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาฉลาดเป็นกรดเสียขนาดนั้น

หมายเลขสี่ ‘ไม่มีปัญหา ข้าจะดูแลเจ้าเอง’

คำนี้แหละที่รอคอย! สวี่ชีอันส่งข้อความต่อทันที ‘ข้าจะมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้กับพี่ใหญ่เป็นการชั่วคราว อืม ตามนี้ก็แล้วกัน ข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีก’

เขาตัดบทการสนทนาส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่เปิดโอกาสให้ฉู่หยวนเจิ่นไถ่ถาม

เฮ้อ เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์ไว้ อย่าเที่ยวโอ้อวดบนโลกอินเทอร์เน็ตให้มากนัก ไม่ระวังจะต้องขายขี้หน้าประชาชี…สวี่ชีอันทอดถอนใจ

อีกด้านหนึ่ง ณ จวนสกุลสวี่

หลังจากที่สวี่ผิงจื้อได้รับข่าวจากราชการแล้ว ก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ตอนนี้เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สีหน้ามืดมน ไม่พูดไม่จาสักคำ

“ตาเฒ่า เจ้ารีบไปกล่อมไอ้ลูกไม่รักดี ให้รีบลาออกจากราชการเลยนะ” อาสะใภ้พูดไปฟูมฟายไป

“ฝ่าบาทใช้แผนร้ายชัดๆ” สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ

จะออกจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน หรือไปออกรบ อย่างแรกหมดอนาคต อย่างหลังเฉียดตาย

สวี่ผิงจื้อเคยมีประสบการณ์ออกรบในสงครามด่านซานไห่ จึงรู้ดีว่าที่ตนรอดชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ สงครามทางตอนเหนือนั้นไม่อันตรายหรือรุนแรงเทียบเท่าสงครามด่านซานไห่อย่างแน่นอน

แต่สวี่เอ้อร์หลางไม่ใช่ทหาร ขาดกลวิธีเอาตัวรอดในสงคราม

สวี่ซินเหนียนนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขาถูกพี่ใหญ่ทุบตีมาแล้ว ไม่อยากถูกบิดาทุบตีอีกคน

ทั้งครอบครัวกำลังโศกเศร้า

อาสะใภ้สะอื้นไห้ตลอดเวลา สวี่หลิงเยวี่ยได้แต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ข้าเห็นพี่ใหญ่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ คงจะไปหาทางช่วยอยู่ ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะเจ้าคะ รอพี่ใหญ่กลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยปลอบประโลมเสียงอ่อนโยน

“ก็คงทำได้เพียงรอฟังข่าวจากต้าหลางเท่านั้น”

อาสะใภ้เช็ดน้ำตา มองออกไปนอกห้องโถงเป็นพักๆ และกล่าวอย่างร้อนใจ “แต่ว่าต้าหลางจะมีหนทางแก้ไขหรือ เขาไม่ใช่ขุนนางอีกต่อไปแล้ว ซ้ำยังก่อเรื่องให้จักรพรรดิหมองใจอีก”

สีหน้าของสวี่ผิงจื้อมืดมน พูดไม่ออก

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงหวานใสของสวี่หลิงอินดังมาจากข้างนอก “พี่หย่าย…”

ทั้งบ้านหัวขวับไปมองนอกห้องโถงทันที และแน่นอนว่าเห็นสวี่ชีอันก้าวถอยหลังก้าวใหญ่ และเตะน้องสาวที่วิ่งเข้ามาหาเขาจนลอยละลิ่วกับตา

สวี่หลิงอินลอยไปตกในอ้อมแขนของลี่น่า นางยิ้มแป้นอย่างชอบใจ เห็นได้ชัดว่าสนุกกับการทะยานผ่านเมฆอย่างยิ่ง

สวี่ชีอันออกแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ก่อนสองศรีพี่น้องก็เล่นกันอย่างนี้มาโดยตลอด

“ต้าหลาง!”

“พี่ใหญ่!”

สมาชิกครอบครัวสี่คนในห้องโถงลุกพรวด และมองไปทางสวี่ชีอัน

อาสะใภ้กล่าวอย่างร้อนรน “ต้าหลาง เจ้ามีวิธีทำให้เอ้อร์หลางไม่ต้องไปออกรบบ้างหรือไม่”

สวี่ชีอันส่ายหน้าน้อยๆ “ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธ”

เมื่อเห็นใบหน้าชดช้อยของอาสะใภ้ที่เก็บซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่ได้ และอารองที่สีหน้าซีดเผือด เขาก็รีบพูดต่อ

“ทว่าเว่ยกงรับปากกับข้าแล้วว่าจะดูแลเอ้อร์หลางให้ นอกจากนี้ยังมีฉู่หยวนเจิ่น ลูกศิษย์นิกายมนุษย์เข้าร่วมสงครามด้วย เขากับข้าและเอ้อร์หลางเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน สัญญากับข้าว่าจะดูแลเอ้อร์หลางอย่างดี”

“ตาเฒ่า?”

อาสะใภ้มองสามีด้วยความสงสัย

อารองสวี่คลี่ยิ้มออกมา “ในเมื่อเว่ยกงคอยดูแล เอ้อร์หลางก็ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นฉู่หยวนเจิ่นยังเทียบเท่ากับยอดฝีมือขั้นสี่ สามารถใช้กระบี่บินได้อีกด้วย ต่อให้ตกอยู่ในอันตราย ก็สามารถคุ้มครองเอ้อร์หลางได้อย่างดี”

ได้ยินดังนั้น แม้แต่สามียังพูดเช่นนั้น นางก็เบาใจขึ้นมาก

นางถอนหายใจและพูดว่า “ขอบใจเจ้ามากต้าหลาง”

ในทุกการศึก นอกจากการตระเตรียมไพร่พลแม่ทัพ และเสบียงอาหารแล้ว พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ราชสำนักขอให้สำนักโหราจารย์เลือกวันมงคล จากนั้นจัดพิธีตรัยบวงสรวง บูชาต่อฟ้า ดิน และบรรพชน

พิธีตรัยบวงสรวงมีข้อกำหนดอันเข้มงวด ต้องจัดขึ้นในวันมงคลที่ต่างกัน โดยองค์จักรพรรดิพร้อมด้วยเหล่าข้าราชการบู๊บุ๋น

พลทหารและแม่ทัพที่ต้องออกรบ จะบวงสรวงบรรพบุรุษในวันนี้เช่นกัน

เมื่อลูกหลานไปออกรบ การบวงสรวงบรรพบุรุษจึงต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลุมฝังศพบรรพบุรุษของบ้านสกุลสวี่ตั้งอยู่บนทำเลฮวงจุ้ยทองคำนอกเมืองหลวง เป็นที่ที่โหรจากสำนักโหราจารย์ช่วยดูฮวงจุ้ยให้ แน่นอนว่าตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวงย่อมเชิญโหรมีช่วยดูฮวงจุ้ยให้เป็นปกติ

สุสานบรรพบุรุษของทุกคนจึงตั้งอยู่บนทำเลฮวงจุ้ยทองคำทั้งสิ้น…

ตอนนี้สองพี่น้องสวี่ซินเหนียนและสวี่ชีอันเป็นหงส์ทอง เป็นบุคคลสำคัญประจำสกุลสวี่

เมื่อสวี่เอ้อร์หลางแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินกำลังจะไปออกรบ ทั้งตระกูลก็แห่แหนมารวมตัวกันเกือบทั้งหมด ในหมู่พวกเขามีผู้อาวุโสประจำตระกูลผมขาวโพลนสองคน

ผู้อาวุโสประจำตระกูลท่านหนึ่งร่างกายแข็งแรงดี รูปร่างผอมสูง มีผมขาวแทรกบ้างประปราย

ส่วนอีกท่านหนึ่งท่าทางเหมือนยังไม่สร่างเมา ดวงตาขุ่นมัวเล็กน้อย แต่ผมขาวนั้นดกหนากว่ามาก

หลังจากเป็นประธานในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษแล้ว ผู้อาวุโสประจำตระกูลผมขาวโพลนกล่าวด้วยความทอดถอนใจว่า

“ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อคำพูดของโหรจากสำนักโหราจารย์อย่างจริงจัง เมืองหลวงกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น จะมีทำเลฮวงจุ้ยทองคำมากมายที่ไหนกัน ทั้งหมดเป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น แต่มาบัดนี้ ที่นี่เป็นทำเลฮวงจุ้ยทองคำจริงดั่งว่า มิฉะนั้นคงไม่มีหงส์ทองถึงสองตัวถือกำเนิดขึ้นมาติดต่อกันเช่นนี้”

สมาชิกตระกูลรอบๆ ต่างหัวเราะออกมา

ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสแก่ชรา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ก็มองหารอบตัวด้วยอาการสั่นเทา ปากก็เอ่ยพึมพำไปด้วย “ต้าหลางอยู่ไหน ต้าหลางอยู่ไหน ปราชญ์ยอดกวีแห่งบ้านสกุลสวี่ของเราอยู่ที่ไหน”

สวี่ผิงจื้อดึงตัวสวี่เอ้อร์หลางออกมา แล้วกล่าวยิ้มๆ “ท่านลุง ปราชญ์ยอดกวีแห่งสกุลสวี่คือสวี่เอ้อร์หลาง ต้าหลางเป็นนักรบยอดกวีต่างหากขอรับ”

ผู้อาวุโสประจำตระกูลจ้องมองที่เอ้อร์หลางด้วยดวงตาขุ่นมัว จ้องมองอยู่นาน แล้วส่ายหัวไม่หยุด “ไม่ ไม่ใช่เจ้า เจ้าไม่ใช่ต้าหลาง”

“ไม่ใช่ต้าหลางน่ะสิ ก็บอกแล้วว่าเขาคือเอ้อร์หลาง ปราชญ์ยอดกวีแห่งบ้านสกุลสวี่ของเรา” สมาชิกตระกูลที่ยืนอยู่ข้างๆ อธิบายเสียงดัง

ผู้อาวุโสเมินเฉย และออกค้นหาในฝูงชนด้วยตนเอง “ต้าหลาง ต้าหลางอยู่ที่ไหน”

สวี่ชีอันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ ข้าคือต้าหลางขอรับ”

ผู้อาวุโสประจำตระกูลหรี่ตามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์และยิ้มออกมา “ต้าหลาง ต้าหลางนี่เอง ปราชญ์ยอดกวีแห่งบ้านสกุลสวี่ของเรา”

ลูกชายของผู้อาวุโสประจำตระกูลอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนอยู่ข้างๆ “เมื่อก่อนข้าเล่าเรื่องวีรกรรมของต้าหลางให้ท่านพ่อฟังตลอด พอท่านฟังไปมากๆ ก็จำได้แต่ต้าหลาง”

ณ อุทยานหลวง พระราชวัง

เว่ยเยวียนนั่งอยู่ในศาลา พลิกหมากตัวดำด้วยปลายนิ้ว เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนจักรพรรดิหยวนจิ่ง

หลังจากรุกฆาตจักรพรรดิเฒ่าไปสองสามตา เว่ยเยวียนก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ “ได้ยินว่าฮองเฮาทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะตรัสด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย “เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คงจะเป็นหวัดกระมัง เรายุ่งกับงานราชการ จึงละเลยฮองเฮาไปช่วงหนึ่ง เว่ยชิงไปเยี่ยมไข้ฮองเฮาแทนเราสักครั้งสิ”

เว่ยเยวียนลุกขึ้น โค้งคำนับก่อนจะจากไป

เขาเคยย่างก้าวไปตามหนทางสู่ตำหนักเฟิ่งฉีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เขากลับเดินช้าเป็นพิเศษ ที่ปลายทางสายนี้มีคนที่เขาอาทรอย่างสุดซึ้งรออยู่ แต่เขากลัวว่าหากเดินเร็วเกินไป ไม่ทันตั้งตัว จะเดินไปถึงสุดทางเสียก่อน

ภายในตำหนักเฟิ่งฉี ฮองเฮาผู้งามสง่าทรงยืนอยู่ในท้องพระโรง มือหนึ่งจับแขนเสื้อไว้ อีกมือกำลังจุดธูป

“ท่านมาได้อย่างไร”

เมื่อนางเห็นเว่ยเยวียนเข้ามาในตำหนัก ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจระคนยินดี

“อีกไม่นานก็จะต้องออกรบแล้ว จึงแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้าสักหน่อย” เว่ยเยวียนระบายยิ้มอ่อนโยน

ฮองเฮาพาเขาไปนั่ง และสั่งนางกำนัลยกชาและขนมมาให้ ทั้งสองทั้งอยู่ในห้อง ปล่อยให้เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเงียบงัน พวกเขาไม่ได้สนทนากันมากนัก แต่บรรยากาศกลับกลมเกลียวอย่างอธิบายไม่ได้

หลังจากจิบชาไปถ้วยหนึ่ง เว่ยเยวียนก็เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ในตำหนักมีขนมที่เจ้าทำเตรียมไว้อยู่เสมอเลยหรือ”

ฮองเฮาเม้มริมฝีปาก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าท่านจะมาเมื่อใด แต่ข้ารู้ว่าท่านชอบขนมที่ข้าทำที่สุด เพราะฉะนั้นข้าจึงลงมือเข้าครัวทำอาหารเองทุกบ่าย”

เว่ยเยวียนพยักหน้า “ช่างมุ่งมั่นจริงๆ”

ฮองเฮาเหลือบพระเนตรมองจานขนมที่ถูกกินไปเพียงสองชิ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เมื่อก่อนอาหมิงมักจะขโมยขนมที่ข้าทำให้ท่านตลอด ท่านเองก็ไม่ยอมเขาด้วย ในสกุลซ่างกวน ท่านเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ มากกว่าลูกชายตัวจริงอย่างเขาเสียอีก เพราะท่านเป็นศิษย์คนสำคัญของท่านพ่อของข้า และเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่านไว้…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว!”

เว่ยเยวียนตัดจบอย่างราบเรียบ และเอ่ยเสียงต่ำ “ความแค้นระหว่างข้ากับสกุลซ่างกวน หมดสิ้นไปนับตั้งแต่การตายของซ่างกวนหมิง ที่มาหาเจ้า ก็เพียงอยากพูดคุยกับเจ้าเท่านั้น…”

เขาพินิจมองพระพักตร์ของฮองเฮาที่งดงามดั่งวันวาน และเอ่ยขึ้น “ข้าปกป้องเจ้ามาครึ่งชีวิต ตอนนี้ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าต้องการบ้าง”

สิ้นคำ เว่ยเยวียนก็ลุกขึ้นโค้งคำนับ และเดินออกไปจากตำหนัก

“ท่านปกป้องข้ามาครึ่งชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าข้าต้องการสิ่งใด”

เสียงเพรียกร้องของฮองเฮาแว่วมาตามหลัง

เสียงฝีเท้าของเว่ยเยวียนหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนจะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

สายลมไร้ที่มาพัดเข้ามาในรั้ววัง พัดผ่านเสื้อคลุมสีเขียวและเส้นผมสีดอกเลาข้างขมับของเขาไป

ภายนอกตำหนักเฟิ่งฉีมีทางเดินทอดยาว สองข้างทางเป็นกำแพงสีแดงฉานสูงชะลูด เขาเดินไปเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน จนกระทั่งสุดปลายทาง ปิดฉากครึ่งชีวิตของตนอย่างสมบูรณ์

ปีนี้ยามดอกบ๊วยผลิบาน ข้าจะจากไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว พร้อมเรือนผมข้างขมับแปรเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา

หลินอันในชุดสีแดงดุจเพลิง มุ่งหน้าไปยังหอสมุดหลวงพร้อมด้วยนางกำนัลคนสนิทสองคน และทหารรักษาพระองค์จากตำหนักเส้าอิน

“เอ๋ เหตุใดเว่ยเยวียนถึงเข้าวังล่ะ”

หลินอันเอ่ยพึมพำอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นชายในชุดสีเขียวเดินออกมาจากฝั่งตำหนัก

นางไม่ชอบเว่ยเยวียนมาโดยตลอด เพราะขุนนางใหญ่ชุดเขียวให้การสนับสนุนองค์ชายสี่อย่างเหนียวแน่น ซึ่งองค์ชายสี่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงขององค์รัชทายาท

จนกระทั่งนางได้พบกับสวี่ชีอัน จึงเกิดความรู้สึกดีต่อเว่ยเยวียนขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เข้าทำนองที่ว่ารักบ้าน รวมถึงอีกาที่มาเกาะหลังคาบ้านนั้นด้วย

เมื่อเห็นร่างของเว่ยเยวียนที่เดินจากไป หลินอันก็ไม่ได้วอกแวกไปจากธุระของตน ยังคงเดินตรงไปยังหอสมุดหลวง

หอสมุดหลวงมีห้องใต้หลังคาทั้งหมดเจ็ดห้อง เป็นหอเก็บตำราของราชวงศ์ทั้งหมด ภายในมีตำรามากมาย ครอบคลุมตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

หลินอันเจาะจงเข้าไปยังห้องใต้หลังคาห้องที่สาม เรียกเจ้าพนักงานผู้ดูแลหอสมุดหลวงมา แล้วสั่งการไปว่า “ข้าต้องการหนังสือที่เกี่ยวข้องกับชีพจรมังกรในเมืองหลวง เจ้าไปหามาซิ”

ในฐานะองค์หญิง นางไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาหนังสือในทะเลหนังสือด้วยตนเอง ในเมื่อมีบรรณารักษ์ ‘งูดิน’ ที่คอยช่วยเหลือ

หลังจากได้รับหนังสือที่เกี่ยวกับชีพจรมังกรแล้ว หลินอันก็มุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาห้องที่หก และเรียกบรรณารักษ์เช่นเดิม “ข้าต้องการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับผิงหย่วนป๋อรุ่นแรก”

บรรณารักษ์หาสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับผิงหย่วนป๋อรุ่นแรกมาได้อย่างรวดเร็ว

คราวนี้หลินอันไม่ได้ยืมบันทึกออกมา เพียงแต่เปิดอ่านผ่านๆ และได้ความว่าผิงหย่วนป๋อรุ่นแรกมีชีวิตอยู่เมื่อหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีที่แล้ว เดิมทีเป็นแม่ทัพอยู่ทางตอนเหนือ และได้รับพระราชชทานบรรดาศักดิ์เนื่องจากคุณูปการทางการทหารนับครั้งไม่ถ้วน

‘คฤหาสน์ของผิงหย่วนป๋อก็ได้รับพระราชทานมาจากราชวงศ์…’ หลินอันท่องในใจ

ตกดึก

ณ เมืองชั้นใน ใกล้กับเขตพระราชฐาน

คฤหาสน์ของผิงหย่วนป๋อเงียบสนิท บานประตูปิดแน่นหนา เนื่องจากผิงหย่วนป๋อสิ้นชีพจากน้ำมือของเหิงฮุ่ย คฤหาสน์หลังนี้จึงถูกเวนคืนสู่ราชสำนัก

อันที่จริง ในตอนนั้นผิงหย่วนป๋อยังมีอนุอีกสองบ้านที่เลี้ยงดูไว้ปรนเปรอนอกบ้าน ไม่ได้อยู่ร่วมบ้านกันจึงรอดตายหวุดหวิด ทว่าอนุภรรยาไม่มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์ จึงไม่มีสิทธิ์สืบทอดคฤหาสน์หลังนี้ไปโดยปริยาย

เงาดำทะมึนหลบเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ตรวจตราอยู่บนหลังคา และกองดาบที่ลาดตระเวนโดยรอบอย่างใจเย็น เมื่อสบโอกาสที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเลิกตรวจตรา ก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในคฤหาสน์ผิงหย่วนป๋ออย่างรวดเร็ว

เงาดำสวมชุดอำพรางรัดรูปช่วยให้เคลื่อนไหวได้สะดวก ซึ่งขับส่วนโค้งเว้าหน้าหลังให้เด่นชัด

เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อหน้าอกใหญ่โตเกินจริง หรือเอวคอดกิ่วเช่นนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นนางโจรสาวไม่ผิดแน่

คฤหาสน์ผิงหย่วนป๋อเงียบสงัดไปทั้งหลัง

เงาดำสังเกตรอบด้านก่อนครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวิ่งไปตามกำแพง ระหว่างนั้น นางก็หยิบแผนภูมิชีพจรมังกรที่วาดด้วยมือออกมาจากแขนเสื้อของนาง พร้อมด้วยเข็มทิศฮวงจุ้ยจากสำนักโหราจารย์

ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาคมกริบดุจใบมีด จากนั้นนางก็มองดูแผนภูมิชีพจรมังกรและเข็มทิศฮวงจุ้ยไปด้วย

อาศัยการสังเกตและวิเคราะห์อีกเล็กน้อย นางก็เดินมาถึงที่หมาย นั่นคือสวนหลังบ้าน

สวนหลังบ้านของคฤหาสน์ผิงหย่วนป๋อมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ มีภูเขาจำลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่เพราะไม่มีใครดูแล วัชพืชจึงรกชัฏ ดูรกร้างวังเวงอย่างยิ่ง

เงาดำกระโจนเบาๆ ไปเหยียบบนภูเขาจำลองลูกหนึ่ง นางสำรวจไปรอบๆ ประมาณหนึ่งเค่อ ก่อนจะย่อตัวลงบนพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง นางคลำไปตามบริเวณรอบภูเขาจำลองที่ถูกยึดติดไว้กับพื้นครู่หนึ่ง

เมื่อมาถึงเป้าหมายสุดท้าย ในที่สุดนางก็พบอะไรบางอย่าง ภูเขาจำลองสูงสิบจั้งนี้มีโพรงกลวงอยู่ภายใน เมื่อนางเคาะเบาๆ ก็เกิดเสียงดังก้องสะท้อนออกมา

นางเดินไปรอบๆ ภูเขาจำลองลูกนี้ และมองหาร่องรอยไปด้วย ทันใดนั้น นางก็เอื้อมมือไปกดที่จุดจุดหนึ่ง

เมื่อมีเสียง ‘กริ๊ก’ ดังออกมา ด้านข้างของภูเขาจำลองก็เลื่อนออกโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นหลุมดำที่ลาดเอียงลงไปเบื้องล่าง

…………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด