ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 420 สวี่ชีอัน ‘เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่จะสอนอุบายจับปลาให้เจ้า’ (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 420 สวี่ชีอัน ‘เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่จะสอนอุบายจับปลาให้เจ้า’ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 420 สวี่ชีอัน ‘เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่จะสอนอุบายจับปลาให้เจ้า’ (1)

ในคราแรกท่านพ่อบุญธรรมเสนอโจมตีสำนักพ่อมด สวี่ชีอันสิ้นใจอยู่ที่อวิ๋นโจว

หนานกงเชี่ยนโหรวเดาว่าอารมณ์ของพ่อบุญธรรมในตอนนั้นคงทั้งเจ็บใจที่สูญเสียคนสนิทที่ไว้ใจไปและสำนักพ่อมดเติบโตเร็วเกินไปจำเป็นต้องกดขี่

หลังจากนั้นสวี่ชีอันกลับมาฟื้นคืนชีพที่เมืองหลวง สำนักพ่อมดก็อยู่ในกรอบหน้าที่มาโดยตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเปิดฉากทำศึกแล้ว

สำหรับสำนักพ่อมดแค่จำเป็นต้องข่มเหงสักครั้งเท่านั้น

แต่ความหมายของพ่อบุญธรรม นี่เป็นการเปิดฉากสงครามประเทศขนาดใหญ่

“ท่านพ่อบุญธรรม นี่มันไม่สุดโต่งเกินไปหน่อยหรือ” หนานกงเชี่ยนโหรวพูดออกไปตรงๆ

ทุกวันนี้เมื่อพลังของประเทศต้าฟ่งอ่อนแอลง สงครามประเทศขนาดใหญ่และใช้เวลานานนับปีก็เป็นภาระที่มิอาจทนรับ

“หยางเยี่ยนส่งข่าวด่วนกลับมาจากทางเหนือว่า สำนักพ่อมดบุกโจมตีเผ่าปีศาจทางเหนือ จู๋จิ่วเสาหนึ่งต้นฤาจะสู้ตึกใหญ่ ถอยออกมาจากดินแดนเดิม แล้วพาเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าอนารยชนมารวมพล เตรียมถอยทัพไปทางตะวันตก”

เว่ยเยวียนก้มหน้าศึกษาแผนที่ชัยภูมิ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แม้แผนการของไหวอ๋องจะล้มเหลว ทว่าสำนักพ่อมดกลับบรรลุจุดประสงค์ หากจู๋จิ่วกับจี๋ลี่จือกู่ใครคนหนึ่งสิ้นชีพในสนามรบก็จะทำให้เผ่าปีศาจทางเหนือตกอยู่ในความอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าฉู่โจวก็เจอกับความเสียหายสาหัสเช่นกัน สูญเสียขั้นสามไปหนึ่งคน ไร้กำลังเดินทัพไปทางเหนือ เสียเปรียบสำนักพ่อมดเปล่าๆ”

หนานกงเชี่ยนโหรวตะลึงก่อนจะพลันกระจ่างแจ้ง “ดังนั้นท่านพ่อบุญธรรมจึงไม่ใส่ใจเรื่องในท้องพระโรง เพราะฝ่าบาทอาจจะส่งท่านไปยังอาณาจักรทางเหนืองั้นหรือ”

ในขณะเดียวกันเขาก็คาดการณ์อยู่ในใจ ที่ฝ่าบาทกดขี่สมุหราชเลขาธิการหวางในตอนนี้ มองเผินๆ ดูจะลำเอียง แต่ความจริงเป็นความเท่าเทียมที่พอดี

ท้องพระโรงไม่มีเว่ยเยวียนแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางก็จะเป็นใหญ่มิใช่หรือ

“ต่อให้ใจท่านพ่อบุญธรรมจะไม่อยู่ที่ท้องพระโรง ทว่าหลังฤดูใบไม้ร่วงยังอีกนาน เหตุใดไม่ใช้โอกาสจากวิกฤตของพรรคหวางฉวยเอาผลประโยชน์ ยามรบทัพจับศึกในวันหน้าจะได้ไม่มีเรื่องให้ต้องพะว้าพะวังกว่าเดิม”

หนานกงเชี่ยนโหรวเสนอความคิดเห็นของตน

เว่ยเยวียนหัวเราะพร้อมเอ่ย “เจ้าคิดว่าพรรคหวางยุบหรือไม่ยุบดี”

หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ยุบดีที่สุดแล้ว”

เว่ยเยวียนพยักหน้า “ใช่ ยุบดีที่สุดแล้ว แต่ไม่ยุบก็ดีเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะสงครามเปิดฉาก ข้าคงได้ทีขี่แพะไล่ เมื่อหวางเจินเหวินล้ม ข้าก็มีเวลาอย่างน้อยห้าปีในการทำสิ่งต่างๆ ฝ่าบาทคิดจะสนับสนุนพรรคใหม่ให้เป็นศัตรูกับข้า ใช่ว่าจะสำเร็จในช่วงสั้นๆ สถานการณ์เช่นในตอนนี้ พรรคหวางไม่ยุบก็มีประโยชน์ที่จะไม่ยุบ หวางเจินเหวินสู้กับข้ามานานนับปีเยี่ยงนี้ นับว่ารู้ตื้นลึกหนาบางกันดี มีคู่ต่อสู้ที่คุ้นเคยอยู่ในท้องพระโรงก็ดีกว่าเป็นใครก็ไม่รู้”

บัดนี้มีเจ้าพนักงานเข้ามารายงานพร้อมเอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม “เว่ยกง เฉียนชิงซู ปราชญ์มหาสำนักจากตำหนักอู่อิงขอเข้าพบขอรับ”

เฉียนชิงซูเป็นคนสนิทของหวางเจินเหวิน…หนานกงเชี่ยนโหรวมองไปที่เว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนโบกมือปัด “ไม่พบ ให้เขากลับไปเสีย”

เจ้าพนักงานโค้งคำนับ “ขอรับ”

“ท่านพ่อบุญธรรม” หนานกงเชี่ยนโหรวพูดในใจ สุดท้ายแล้วท่านพ่อบุญธรรมยังคงเลือกที่จะสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ สินะ

“ข้าลงมือไปก็ไม่มีความหมาย”

เว่ยเยวียนยิ้มพร้อมเอ่ย “บุญคุณนี้ต้องเก็บไว้ให้คนที่เหมาะสม”

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่เข้าใจทว่าก็ไม่เอ่ยถาม อยู่ร่วมกันมานานแรมปีเช่นนี้ เขาชินกับภาษาการพูดของท่านพ่อบุญธรรมไปเสียแล้ว

“เจ้าออกไปก่อนเถิด” เว่ยเยวียนพลันเอ่ย

หลังจากที่หนานกงเชี่ยนโหรวออกไป เขาก็หยิบจดหมายหลายฉบับออกมา ถือพู่กันและลงมือเขียน

พระราชวัง ในตำหนักจิ่งซิ่ว

องค์รัชทายาทเสวยบ๊วยแช่เย็น ข้างพระบาทถูกวางด้วยน้ำแข็ง ทรงเพลิดเพลินไปกับสายลมเย็นที่บ่าวหญิงพัดส่าย แต่สีพระพักตร์กลับไม่ผ่อนคลายด้วยแม้แต่น้อยพลางตรัส

“วันนั้นข้าเคยเตือนสมุหราชเลขาธิการหวางว่าอย่าต่อกรกับเสด็จพ่อและอย่าไปร่วมมือกับเว่ยเยวียน เขาก็ไม่ฟัง แล้วดูตอนนี้สิ เสด็จพ่อจะเล่นงานเขาแล้ว”

องค์รัชทายาทกับสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้คลุกคลีกันมาก ทว่าในพรรคหวางก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มั่นคงไม่แปรผันในพรรคขององค์รัชทายาท

หากหวางเจินเหวินหมดอำนาจ คนเหล่านี้ก็จะถูกเกี่ยวโยงด้วย ซึ่งจะทำให้อิทธิพลขององค์รัชทายาทในท้องพระโรงอ่อนแอลงได้

สนมเฉินและหลินอันกำลังฟังอยู่ด้านข้างก็เป็นกังวลเล็กน้อย นับตั้งแต่ปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนัก ตำแหน่งขององค์รัชทายาทก็สั่นคลอนมาโดยตลอดมิอาจนิ่งเฉยได้

สนมเฉินขมวดคิ้วเอ่ย “ฝ่ายเว่ยเยวียนมีท่าทีเป็นอย่างไร”

องค์รัชทายาทตรัสเสียงขรึม “เฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักจากตำหนักอู่อิงเข้าพบเว่ยเยวียนในเช้าวันนี้ แต่ไม่พบคน”

ใบหน้าของสนมเฉินเศร้าหมอง “เว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นศัตรูทางการเมือง เกรงว่าจะผีซ้ำด้ำพลอย”

องค์รัชทายาททอดพระเนตรน้องสาวร่วมสายโลหิตพลางตรัส “หลินอัน สวี่ชีอันนั่นเป็นคนสนิทเจ้ามิใช่หรือ เขาเป็นคนที่เว่ยเยวียนไว้ใจ มิสู้ลองพุ่งเป้าไปที่สวี่ชีอันดูล่ะ”

หลินอันนั่งอยู่บนเตียงนุ่ม กระโปรงยาวสีแดงสดใสประณีตงดงาม สวมมงกุฎสีทองอร่าม เส้นโค้งใบหน้ารูปไข่อันอวบอิ่มที่งดงาม นัยน์ตาดอกท้องามฉ่ำวาว

ยามนิ่งเงียบราวกับสาวหยกงามอันประณีตไร้ตำหนิ

“เขาก็ไม่ได้มาหาข้านานแล้ว…”

สีหน้าของหลินอันเศร้าหมองพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน

หลังจากคดีสังหารหมู่ล้างบางเมืองฉู่โจว ผ่านไปนานกว่าครึ่งเดือน สวี่หนิงเยี่ยนก็ไม่เคยมาพบนางอีกเลย แม้ปากจะไม่พูด ทว่านางที่จิตใจอ่อนไหวก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าเพราะเรื่องนั้น สวี่หนิงเยี่ยนจึงชิงชังราชวงศ์อย่างถึงที่สุด

จึงพานเกลียดนางไปด้วยและตั้งใจตีตัวออกห่างตน

เมื่อนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขาก่อนหน้านี้ ในใจหลินอันก็ปวดร้าวเป็นพักๆ

“ง่ายๆ เจ้าก็ให้คนไปส่งจดหมายที่จวนสกุลสวี่อย่างเงียบๆ นัดเจอเขา หากเขาตกลงก็หมายความว่าใจเขายังมีเจ้าอยู่ข้างใน” องค์รัชทายาททรงยิ้มกริ่มออกความเห็น

สนมเฉินกล่าวเสริม “จำไว้ว่าเป็นความลับ ให้คนรับใช้ในจวนของหลินอันไปทำ อย่าส่งทหารรักษาพระองค์ในวังไป อย่าให้เสด็จพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้ากับสวี่ชีอันไปมาหาสู่กันด้วย”

หลินอันพยักหน้าอย่างแรง แล้วแสดงสีหน้าทั้งกังวลและคาดหวัง “ข้าจะส่งคนไปจัดการ”

ช่วงอาหารกลางวัน หยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายและฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมกรมทหารเข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่งของเมืองชั้นใน

ยังมีขุนนางพรรคเดียวกันหลายคนร่วมเดินทางมาด้วย

มื้อกลางวันมีเวลาพักผ่อนหนึ่งชั่วยาม โรงอาหารของที่ทำการปกครองในเมืองหลวงขึ้นชื่อว่ารสชาติแย่ ไม่ถึงกับน้ำแกงจืดชืด ทว่าปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโตก็อย่าได้คิดเลย

นอกจากขุนนางชั้นล่างทานอาหารที่โรงอาหารแล้ว ขุนนางชั้นสูงล้วนไปที่ภัตตาคารทั้งสิ้น

หยวนสยงยกถ้วยชาขึ้นก่อนจะหัวเราะพร้อมเอ่ย “ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับรองเจ้ากรมฉินที่จะได้มีโอกาสเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการ”

ฉินหยวนเต้ายกแก้วตอบกลับพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าหยวนจะครอบครองฝ่ายตรวจการแต่เพียงผู้เดียวก็ใกล้ถึงฝั่งฝันในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าลืมดูแลข้าด้วย”

อำนาจของฝ่ายตรวจการมีมหาศาล มีหน้าที่ตรวจตราขุนนางนับร้อย หยวนสยงอยากจะถือครองฝ่ายตรวจการมาโดยตลอดและเตะลูกสมุนของเว่ยเยวียนออกไป

เพราะฉินหยวนเต้าไม่มีหวังในตำแหน่งเจ้ากรมกรมทหาร จึงคิดจะเดินทางลัดเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการ

ทั้งสองร่วมกันวางแผนคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความล้มเหลว ตอนนี้จะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง สิ่งที่ต่างจากครั้งก่อนคือในเวลานั้นทรงสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ แต่ครั้งนี้กลับสนับสนุนอยู่ด้านหลังอย่างเต็มที่

“ครั้งนี้ต่อให้หวางเจินเหวินไม่ล้มก็ต้องเจ็บปวดแสนสาหัส เขาคุมสำนักราชเลขาธิการมานานแรมปี แต่ก่อนจะถ่วงดุลเว่ยเยวียนก็ต้องพึ่งเขา ตอนนี้ล่ะ ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เว่ยเยวียนรับตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการของฉู่โจว ไปไกลถึงฉู่โจว เช่นนั้นหวางเจินเหวินก็ต้องเคลื่อนไหวแล้ว”

“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเฉียนชิงซูเข้าเยี่ยมเว่ยเยวียนในเช้าวันนี้และกินแห้วกลับมา”

“หากครั้งก่อนไม่ใช่เพราะไอ้สารเลวสกุลสวี่นั่น พวกเราคงได้ตำแหน่งตั้งนานแล้ว” ฉินหยวนเต้ากัดฟันกรอด

ขุนนางคนหนึ่งยกแก้วและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รองเจ้ากรมฉินอย่าได้เดือดดาลไป สวี่ชีอันนั่นไม่กล้ารับประกันตน ล่วงเกินฝ่าบาทช้าเร็วก็ต้องถูกคิดบัญชี ตีตัวใหญ่ก่อนค่อยเก็บกวาดตัวเล็ก เขาอยู่ห่างจากความตายไม่มากแล้ว”

“ดื่มๆ ”

ผลัดถ้วยคืนจอก หัวเราะพูดคุยอย่างสุขสำราญ

“ต้าหลาง มีคนส่งจดหมายให้เจ้าอยู่ด้านนอก”

ภายในโถงด้านหน้า อาจางคนเฝ้าประตูมอบจดหมายลับให้

สวี่ชีอันที่กำลังเดาะสวี่หลิงอินขึ้นลงเป็นตะกร้อขนไก่วางน้องสาวตัวน้อยลง ยื่นมือไปรับจดหมายพลางเอ่ยถาม “ใครส่งจดหมายมา”

นางจางคนเฝ้าประตูส่ายหน้า “คนอยู่ด้านนอกไม่ได้บอกว่าใครส่งมา เขายังบอกว่ารอให้ท่านตอบกลับจดหมาย”

“พี่ใหญ่ มาเล่นกันต่อเถอะ!”

สวี่หลิงอินที่เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกราวกับได้โบยบิน ไม่อยากเป็นเด็กโง่ที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นอีกแล้ว

กอดขาของสวี่ชีอันไว้ราวกับหมึกยักษ์ ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย

สวี่ชีอันสะบัดขาแต่สะบัดไม่ออก ในใจก็กล่าว แรงของเด็กโง่นี่นับวันก็ยิ่งมากขึ้น

“ไท่ผิง! ”

เขาตะโกน

เสียงคำรามดังขึ้น ดาบไท่ผิงลอยออกมาจากในห้อง มาพร้อมทั้งมีดและฝักลอยอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน

สวี่หลิงอินตกตะลึง ใบหน้าเล็กเงยขึ้นด้วยท่าทางที่ซื่อบื้อ

สวี่ชีอันอุ้มนางขึ้น ให้นางขี่ดาบไท่ผิงเหมือนกับแม่มดขี่ไม้กวาดวิเศษ จากนั้นก็ตบบั้นท้ายเล็กของสวี่หลิงอินพร้อมเอ่ยเสียงดัง

“ไปเลย เสี่ยวโต้วติงสาวน้อยเวทมนตร์”

ดาบไท่ผิงพานางออกจากโถงด้านหน้า เสียงหัวเราะไร้เดียงสาของเสี่ยวโต้วติงดังอยู่กลางอากาศ

สวี่ชีอันคลี่จดหมายและอ่าน หลินอันเป็นคนส่งจดหมายมา บรรยายสถานการณ์ของสงครามในท้องพระโรงไม่กี่วันมานี้ ขอให้เขาไปลองหยั่งเชิงเว่ยเยวียนได้หรือไม่อย่างอ้อมค้อม

นี่ไม่เหมือนวิธีการของหลินอัน แต่เป็นการยุยงของสนมเฉินไม่ก็องค์รัชทายาท…ข้าจำได้เว่ยกงเคยกล่าวไว้ว่าในพรรคหวางมีผู้สนับสนุนองค์รัชทายาทอยู่จำนวนไม่น้อย จะว่าไปแล้วหลังจากสังหารสองกั๋วกง ข้าก็ไม่เคยไปเยี่ยมหลินอันอีกเลย

เฮ้อ เรื่องสำคัญมีมากเกินไปแล้ว เพิ่มขึ้นทีละเรื่อง จึงละเลยนางไป…

หลินอันต่างกับฮว๋ายชิ่ง ฮว๋ายชิ่งไม่จำเป็นต้องปลอบ ทว่าหลินอันเป็นหญิงสาวที่คาดหวังให้มีคนคอยอยู่เคียงข้าง

“เจ้าให้เขาส่งข่าวไปบอกนายท่านว่าข้ารับทราบแล้ว”

สวี่ชีอันสั่งให้อาจางคนเฝ้าประตูออกไป แล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม นึกถึงคำพูดที่เว่ยเยวียนกล่าวเมื่อเช้านี้โดยไม่รู้ตัว

เรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่ง

เมื่อวานหลังสวี่เอ้อร์หลางออกเวรและกลับจวนก็บอกเรื่องในท้องพระโรงกับเขา สวี่ชีอันไม่ปักใจเชื่อ เช้าวันนี้จึงไปหาเว่ยเยวียนที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพื่อลองหยั่งเชิง จึงได้ทราบว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ตามปกติ

จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องการย้ายสมุหราชเลขาธิการหวาง

“สำหรับข้าอันที่จริงก็เป็นโอกาส แม้เอ้อร์หลางจะเล่นหูเล่นตากับคุณหนูหวาง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสายตาของสมุหราชเลขาธิการหวาง อีกทั้งตัวตนของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่และมูลเหตุของข้า เขาจึงก้าวไปอีกขั้นในวงราชการได้ยาก เว้นเสียแต่พึ่งใบบุญสมุหราชเลขาธิการหวาง ทว่าสมุหราชเลขาธิการหวางเกิดในราชวิทยาลัยหลวง จึงต่อต้านบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เป็นธรรมดา ตอนนี้มิใช่โอกาสงั้นหรือ ข้ากุมหลักฐานกินสินบาทคาดสินบนของขุนนางมากมายและเฉากั๋วกงอยู่ในมือ เบี้ยบนกระดานการเมืองเหล่านี้ส่วนหนึ่งต้องให้เว่ยกงอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งก็ให้เอ้อร์หลาง ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะแสดงฝีมือพอดีมิใช่หรือ และหากได้รับไมตรีจากสมุหราชเลขาธิการหวางได้ ก็จะช่วยข้าตรวจสอบจักรพรรดิหยวนจิ่งได้มาก ข้าคิดจะเข้าไปตรวจสอบสำนวนคดีที่คลังเอกสารของกรมปกครองอยู่พอดี ข้าเผยจดหมายลับของเฉากั๋วกงกับเว่ยกงไปแล้ว เขาก็บอกว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ บอกเป็นนัยชัดเจนแล้ว หมู่นี้เว่ยกงเหมือนจะค่อนข้างหมดอาลัยกับเรื่องในท้องพระโรง เขากำลังวางแผนอะไรอีกแล้วหรือ”

สวี่เอ้อร์หลางกลับจวนทานอาหารด้วยใบหน้าเศร้าหมอง เพิ่งจะทะลุผ่านลานด้านหน้าก็มองเห็นน้องสาวตัวน้อยขี่อยู่บนดาบ ลอยล่องวนเวียนอยู่ในลานเล็ก หัวเราะออกมาเป็นเสียงหมู

อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยมองอย่างเป็นกังวล ร้องเสียงแหลมซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้งว่า ‘ระวังหน่อยๆ!’

อาสะใภ้เอ่ยอย่างไม่พอใจ “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ารีบมาเอาดาบพังๆ ของเจ้าลงมา หากหลิงอินพลัดตกได้แผล คอยดูซิว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร”

อาสะใภ้ยืนเท้าสะเอวอยู่ในลานแล้วตะโกนไปทางโถงด้านหน้า

“ท่านแม่ ทำไมดาบถึงบินได้ล่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยทั้งประหลาดใจและกลัวเล็กน้อย

“ใครจะไปรู้ แต่ที่แน่ๆ เป็นเวทมนตร์ที่พี่ใหญ่ของเจ้าใช้แน่” อาสะใภ้กล่าว

สองแม่ลูกเคยเห็นหลี่เมี่ยวเจินขี่กระบี่บินลอยไปลอยมา คิดแค่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าเมื่อสวี่เอ้อร์หลางเห็นฉากนี้ก็ชะงักไปทั้งร่าง ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

“อะ อาวุธวิเศษ…” สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยพึมพำ

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด