ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 79 ข้อดีของการพึ่งพิงองค์กร

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 79 ข้อดีของการพึ่งพิงองค์กร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ส่งข้อความไปแล้ว

แต่รออยู่นานก็ไม่มีคนตอบรับ และไม่มีใครตะโกนว่า ‘สุดยอด’ ด้วย สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะ รออยู่นานถึงได้แน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้ออฟไลน์ไปแล้ว

ไร้มารยาทเกินไปแล้ว…ออฟไลน์โดยไม่บอกกันสักคำหรือ เจ้าพวกเพื่อนชาวเน็ตไร้คุณภาพ เขาส่อเสียดอยู่ในใจ

เขาเก็บกระจกหยกเรียบร้อยแล้วก็ลงกลอนประตู หลังจากสวี่ชีอันเป่าเทียนดับก็ขึ้นไปนอนบนเตียง ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน

พรรคฟ้าดินเป็นองค์กรที่ค่อนข้างหละหลวม สมาชิกติดต่อกันแต่ก็ยังระแวดระวังซึ่งกันและกัน

เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ขนาดที่ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่คนในราชวงศ์ต้าฟ่งเลยก็ได้ ดังนั้นจะระแวดระวังกันก็เป็นเรื่องปกติ

ข้อดีในปัจจุบันที่มองเห็นได้ก็คือการแบ่งปันข้อมูล

นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก

นี่มันไม่ใช่แค่ช่องทางพูดคุยแล้ว พูดคุยออนไลน์ทำได้ดี และในอนาคตอาจจะมีโอกาสเป็นโหมดออฟไลน์ก็ได้

หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว ไกลเกินไป สถานะและตัวตนน่าจะไม่ต่ำต้อย ไม่อย่างนั้นจะตรวจสอบทะเบียนสำมะโนครัวของอำเภอต่างๆ ได้อย่างไร

หมายเลขหนึ่งก็อยู่ในเมืองหลวง เป็นคนที่มีตำแหน่งมีสถานะอย่างแท้จริง แข็งแกร่งยิ่งกว่าของหนีภาษีอย่างข้าอีก และเป็นผู้ที่ข้าควรจะระวังไว้มากที่สุด

หมายเลขหก…ก่อนหน้านี้เขาเตือนข้าว่าอย่าตอบกลับหมายเลขเก้า และเคยบอกว่าเขาก็อยู่ในเมืองหลวงด้วย

หมายเลขหนึ่งและหมายเลขหกเป็นผู้ที่ต่อไปข้าจะต้องใส่ใจ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ห่างกันพันภูเขาหมื่นธารากั้น ถึงแม้จะถูกพวกเขารู้ตัวตนแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะไม่ได้ขัดแย้งด้านผลประโยชน์กัน

หมายเลขหนึ่งและหมายเลขหกเป็นชาวเน็ตประเภทที่พูดจริงทำจริง ‘เจ้ารอดูพ่อเถอะ เดี๋ยวจะไปจัดการเจ้าเอง’

แต่กลับกัน ถ้าหากสามารถคบค้าสมาคมเป็นมิตรสหายกับพวกเขาได้ล่ะก็ สองคนนี้ก็เป็นเช่นน้ำใกล้ สามารถช่วยข้าจัดการเรื่องเร่งด่วนได้

ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ได้ออนไลน์ชั่วคราว

ข้ามีความรู้สึกเหมือนตอนเล่นเกมมนุษย์หมาป่า[1]ทีเดียว น่าสนใจ น่าสนใจ…

คิดไปคิดมา เขาก็หลับไป

ค่ำคืนดุจสายน้ำ แสงจันทร์ราวน้ำค้างแข็ง

ท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิว แสงตะเกียงของอารามรัตนะส่องสว่างอยู่ในคืนมืดมิด

ตั้งแต่ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครู ฐานหลักก็ย้ายมาตั้งยังเขตพระราชฐาน ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทรงสร้างอารามเต๋าอันงดงามหลังหนึ่งไว้สำหรับนิกายมนุษย์

รถม้าไม้จันทน์หรูหราหยุดลงตรงหน้าอารามเต๋า เว่ยเยวียนสวมเสื้อคลุมสีครามและก้าวลงมาจากบันไดเล็ก

นักพรตเฝ้าประตูเชิญเขาเข้าไปข้างในด้วยความนอบน้อม

เขาเดินผ่านลานกว้าง ทางเดินและสวนดอกไม้ ก่อนมาถึงห้องเงียบสงบกว้างขวางแห่งหนึ่ง

หลังนักบวชจากไป เว่ยเยวียนก็งอนิ้วเคาะประตูห้อง

ประตูตารางเปิดออกเอง เสียงเย็นชาดังออกมา “เว่ยกงให้เกียรตินั่งรถม้ามาหา ผู้น้อยทั้งกลัวทั้งเกรง”

เว่ยเยวียนไม่สนใจการเสียดสีในคำพูดนั้น เขาเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน ภายในห้องเย็นเยียบ กลิ่นธูปบนโต๊ะลอยอบอวล

มีฉากกั้นห้องคั่นระหว่างโถงด้านหน้ากับห้องนอน มองเห็นได้รางๆ ว่าด้านหลังฉากกั้นห้องนั้นมีเงาร่างอรชรนั่งทำสมาธิอยู่

สีหน้าท่าทางของเว่ยเยวียนเย็นชา น้ำเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนิกายปฐพี”

น้ำเสียงของราชครูหญิงคาดเดาอายุไม่ได้ มีทั้งเสียงเสนาะหูแบบสาวน้อยวัยเยาว์ และมีทั้งเพราะพริ้งนุ่มนวลแบบหญิงสาวปะปนกัน

“เว่ยกงเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง[2] เหตุใดต้องขอคำชี้แนะจากผู้น้อยด้วยเล่า”

เว่ยเยวียนส่ายศีรษะ “แค่ปีนั้นด่าเจ้าไปหนึ่งประโยคว่า EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เจ้าจะต้องชิงชังมาจนถึงวันนี้เลยหรือ”

คนด้านหลังฉากกั้นเงียบงันไม่พูดจา

“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหนึ่งชิ้น เจ้าอยากได้หรือไม่”

“นั่นเป็นของของนิกายปฐพี”

เว่ยเยวียนพยักหน้า แล้วหันกายเดินจากไป

เมื่อออกมาจากอารามรัตนะ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq “ท่านพ่อบุญธรรม ได้เรื่องบ้างหรือไม่ขอรับ”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ผู้นำหญิงลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่นิกายปฐพีจะต้องเกิดเรื่องแล้วเป็นแน่”

เมื่อเข้าไปในรถม้า เว่ยเยวียนก็วางมือเย็นเฉียบของเขาไว้ใกล้กับเตาไฟหัวสัตว์ เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยเสียงขรึม

“หลายปีมานี้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยนัก ภัยมนุษย์ก็มีทั่วสารทิศ ชะตาของต้าฟ่งผิดปกติ สายการฝึกตนแต่ละสายก็เผยปัญหาออกมาต่อๆ กัน ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่ากำลังมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”

หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว “ท่านพ่อบุญธรรมคิดมากไปหรือไม่ขอรับ วันนั้นตอนพวกเราไปที่สำนักโหราจารย์ ท่านโหราจารย์ยังกล่าวว่าปรากฏการณ์ท้องฟ้าเป็นปกติทุกอย่างนี่ขอรับ”

เว่ยเยวียนถอนหายใจ “คำพูดของมนุษย์ผู้สอดรู้ความลับสวรรค์นั้นไม่อาจเชื่อถือได้ที่สุด”

เขานิ่งไป สีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด “จงตรวจสอบสถานการณ์ช่วงนี้ของนิกายปฐพีออกมาให้ได้ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม”

หยางเยี่ยนกล่าว “คนในนิกายปฐพีมักจะเก็บตัวเงียบ เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง[3]…”

ประกายแสงในดวงตาของเว่ยเยวียนเฉียบคมขึ้นมา “ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม”

น้อยนักที่จะเห็นท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้พ่อบุญธรรม หยางเยี่ยนก้มหน้า “ขอรับ”

ยามเช้าตรู่ สวี่หลิงอินสวมชุดกันหนาวตัวหนา ในมือถือกิ่งไม้แห้งเดินเตาะแตะไล่ฝูงห่านตัวกะจ้อยร่อยเหมือนนาง

เมื่อเห็นพี่ใหญ่เดินมา สองมือของสวี่หลิงอินก็ยกขึ้นเท้าเอวแล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “พี่ใหญ่ ข้าเป็นผู้ไร้พ่ายในหมู่คนวัยเดียวกันแล้ว”

สวี่ชีอันมองดูนาง “โง่เง่าจนไร้พ่ายหรือ”

สวี่หลิงอินอธิบายอย่างร้อนรน “ไม่ใช่โง่เง่าจนไร้พ่าย แต่เป็นไร้พ่าย”

พูดพลางนางก็โบกกิ่งไม้แห้งในมือสองสามที แสดงท่าทางเถียงคนจนไร้พ่าย

เสี่ยวโต้วติงอธิบาย “พี่หญิงบอกว่าเด็กที่อายุเท่าข้าในบ้านไม่มีใครเอาชนะข้าได้เลย ข้าคือคนที่ร้ายกาจที่สุด”

เพราะในบ้านมีแต่เจ้าคนเดียวที่เป็นเด็กน้อยไงล่ะ…สวี่ชีอันกล่าว “พี่หญิงไม่ได้หลอกเจ้า”

สวี่หลิงอินมีความสุข ระหว่างทางไปห้องกินข้าวกับพี่ใหญ่ นางก็ย่างก้าวอย่างไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น

บนโต๊ะอาหาร อาสะใภ้กินอาหารเช้าอย่างงามสง่า แล้วโพล่งขึ้นว่า “ท่านพี่ หลิงเยวี่ยดูเหมือนจะถึงวัยออกเรือนแล้วนะเจ้าคะ”

ถึงตั้งนานแล้ว ลูกสาวของคนทั่วไป อายุสิบสี่ก็แต่งงานได้แล้ว บ้านสกุลสวี่เป็นครอบครัวใหญ่ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แต่อายุสิบเจ็ดก็สมควรจะถึงวัยแต่งงานแล้วจริงๆ

เพราะเมื่อผ่านอายุสิบแปดแล้วยังไม่แต่งงาน ก็จะกลายเป็นสาวเทื้อ ทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าหญิงอายุสิบแปดยังอยู่ในช่วงนุ่มละมุนที่สุดอยู่เลย

สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้นทันที แววตาเป็นประกายฉายแววดื้อดึง “ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากออกเรือน”

ดวงตาคู่งามของอาสะใภ้หรี่ลงแล้วเอ่ยตำหนิ “นี่ใช่ปัญหาที่เจ้าควรคิดหรือ”

สวี่หลิงเยวี่ยไม่ยอม นางเบ้ปาก มุมปากวิจิตรบรรจงราวกับแกะสลัก “พี่รองยังไม่แต่งพี่สะใภ้เลย”

สวี่ซินเหนียนโดนลูกหลง

อาสะใภ้มีเหตุผลของนาง เอ่ยว่า “ถึงพี่รองของเจ้าอยากจะแต่งก็ต้องรอหลังสอบฤดูใบไม้ผลิ ไม่รีบร้อน ตอนนี้มาจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้าก่อน”

สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้มอมลมไม่พูดจา

อารองสวี่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “หลิงเยวี่ยมาถึงวัยออกเรือนแล้วจริงๆ อา เวลาช่างผ่านไปไวนัก พริบตาเดียวก็โตเสียแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนั้น EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ขึ้นมาพูดเสียงดัง

“พี่หญิงโตแล้ว พี่หญิงเป็นตัวก่อปัญหา”

คนในบ้าน “???”

สวี่ชีอันหนังศีรษะชา บังคับเปลี่ยนเรื่อง “ต่อให้หลิงเยวี่ยจะแต่งงานก็ต้องแต่งสามีล้ำเลิศแบบพี่ใหญ่อย่างข้าสิ”

อาสะใภ้แค่นเสียงดูแคลน

จะหาเรื่องใช่ไหม…สวี่ชีอันหัวเราะบอก “เป็นเพราะอาสะใภ้แต่งให้กับอารองที่ล้ำเลิศเหมือนอย่างข้าถึงได้ใช้ชีวิตแบบสวมทองคำประดับเงินเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”

อาสะใภ้ผู้อวบอิ่มมีเสน่ห์ไม่อาจหักล้างคำพูดนี้ได้ จึงถลึงตามองหลานชายเฮงซวยไปทีหนึ่ง

อารองสวี่รู้สึกดีอย่างยิ่งจากการประจบสอพลอของหลานชาย จึงเอ่ยยิ้มๆ “ฮูหยินมีคนให้เลือกหรือไม่”

อาสะใภ้บอก “ค่อยๆ เลือกสิ นี่ไม่ใช่กำลังปรึกษากับท่านหรอกหรือ”

สวี่ซินเหนียนชำเลืองมองคนในบ้านแล้วประกาศว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าต้องกลับไปสำนักศึกษาอวิ๋นลู่เพื่อเตรียมตัวสอบฤดูใบไม้ผลิแล้ว”

หลังจากก้าวสู่ระดับบำเพ็ญตน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นก็เรียกตัวเขากลับไปสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ ทางหนึ่งเพื่อให้ไปเป็นแบบอย่าง ทางหนึ่งก็กระตุ้นให้เขาเตรียมสอบฤดูใบไม้ผลิในปีที่จะถึงนี้

สายตาของเขากวาดมองทุกคนอย่างนิ่งสงบ ราวกับรอปฏิกิริยาจากทุกคนอยู่

อาสะใภ้คีบเนื้อแดงให้ลูกชายทันที “ฉือจิ้วช่างมีอนาคตยิ่ง”

สวี่ซินเหนียนจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางส่งเสียง ‘อืม’

กินอาหารเช้าเสร็จ สวี่ชีอันกำลังเตรียมจะออกจากจวนก็ได้ยินเสียงเพราะพริ้งนุ่มนวลของเด็กสาวดังขึ้น “พี่ใหญ่…”

พอหันมามอง ก็เป็นน้องสาวผู้สะโอดสะองมีองคาพยพทั้งห้างามประณีตนั่นเอง

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าไม่อยากออกเรือนเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วแย้มยิ้มกล่าว “ข้างหลังยังมีข้ากับฉือจิ้วแล้วก็อารองอยู่ เรื่องในบ้านให้สตรีอย่างแม่เจ้ามาเป็นเจ้าภาพจัดการได้ตั้งแต่เมื่อใด”

“สวี่หนิงเยี่ยน!” อาสะใภ้มาอยู่ข้างหลังสวี่หลิงเยวี่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สองมือเท้าเอว คิ้วโก่งเรียวชี้ขึ้น

สตรีออกเรือนผู้งดงามโกรธจนอกสั่นกระเพื่อม หน้าตาเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าตัวสารเลว ลองพูดแบบเมื่อกี้อีกรอบสิ”

สวี่ชีอันคร้านจะสนใจนาง จึงเผ่นหนีอย่างร่าเริง

เมื่อควบม้าเร่งมาถึงหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันก็พุ่งตรงไปยังหอเฮ่าชี่

ฆ้องทองแดงผู้นี้อีกแล้ว…หลังจากทหารยามรายงานขึ้นไป ก็ปล่อยสวี่ชีอันเข้าไปในอาคารพร้อมสายตาแปลกใจ

ฆ้องทองแดงธรรมดาไม่มีสิทธิ์มารายงานภารกิจกับเว่ยกง เพราะเหนือหัวของพวกเขายังมีฆ้องเงินกับฆ้องทองคำอยู่

และเว่ยกงก็ไม่เรียกพบฆ้องทองแดงด้วย

แต่ฆ้องทองแดงที่มาใหม่ผู้นี้กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเขามาถึง เว่ยกงก็เรียกพบเขา

พอขึ้นไปยังชั้นเจ็ด สวี่ชีอันก็เข้าไปยังห้องชาและพบกับผู้สวมชุดคลุมสีครามยืนอยู่ในโถงสังเกตการณ์

“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรอีก” ขันทีใหญ่หันหลังให้เขา ไม่ได้หันกลับมา

เขาคิดจะสารภาพเรื่องทุกอย่างเมื่อคืนนี้ เมื่อมีที่พึ่งพิงอย่างหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและมีขาใหญ่ของเว่ยเยวียนให้กอด ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องแบกรับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังได้ความไว้วางใจจากพ่อเว่ยอีกด้วย

……………………………………..

[1] เกมมนุษย์หมาป่า เป็นบอร์ดเกมยอดนิยมทั่วโลก นิยมเล่นกันเป็นกลุ่มจำนวนผู้เล่นตั้งแต่สี่คนขึ้นไป วิธีเล่นคือผู้เล่นแต่ละคนจะมีโอกาสอภิปรายในกลุ่มเพื่อหาว่าใครเป็นมนุษย์หมาป่า ในขั้นตอนนี้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถโกหกหรือพูดความจริงก็ได้ หากสามารถจับมนุษย์หมาป่าได้ถือว่าจบเกม

[2] ผู้เชี่ยวชาญทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง หมายถึง ความเชี่ยวชาญในด้านดาราศาสตร์ เทหวัตถุต่างๆ บนท้องฟ้า และยังเชี่ยวชาญในด้านภูมิศาสตร์ ทำเล ชัยภูมิ

[3] เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง อุปมาถึงผู้เก่งกาจไปมาไร้ร่องรอย ลึกลับ คาดเดาไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด