ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 536 ศัตรูมาเยือน

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 536 ศัตรูมาเยือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 536 ศัตรูมาเยือน

ผู้ดูแลประตูใหญ่เห็นคุณชายหนุ่มท่านนี้มีบุคลิกสง่างาม รูปลักษณ์ภายนอกก็หล่อเหลา ไม่เหมือนพวกสิบแปดมงกุฎที่เที่ยวหลอกลวงคนอื่น เขาจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่!”

เขารีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว ประมาณสิบห้านาที เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้น หญิงสาวท่านหนึ่งวิ่งออกมา นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ เรียวคิ้วยาวสีดำ ริมฝีปากบางสีเชอร์รี่ ผิวขาวละเอียดอ่อนราวกับหยกน้ำงาม

หญิงที่เพิ่งเข้าวัยสามสิบ แต่งกายอย่างเรียบง่าย แต่กลับไม่สามารถปกปิดรูปร่างอันน่าภาคภูมิใจได้ บนศีรษะประดับด้วยดอกไม้สีขาว แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นสะดุดตานางมากที่สุด คือความโศกเศร้าที่ปรากฏอยู่จางๆ จนทำให้รู้สึกสงสารนางขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

“ซิ่งเอ๋อร์!”

รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่หลิงซู่ เขาดูเหมือนคุณชายที่มีท่วงท่าอันสง่างามตลอดเวลา แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็ตาม

ไฉซิ่งเอ๋อร์จ้องเขาด้วยความว่างเปล่า ดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ พลางกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “คุณชายหลี่ขนานนามตนเองว่าเป็นคนเสเพลแห่งยุทธจักร จิตไร้ที่พึ่ง จุดหมายเดียวของท่านคือการเดินไปสู่ยุทธจักรมิใช่หรือ วันนี้ลมพัดมาจากทิศใด ถึงได้พาท่านมาหาข้าถึงที่นี่”

หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ “คนที่มีห่วงคงไปไหนได้ไม่ไกล สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ข้างกายคนรัก”

ไฉซิ่งเอ๋อร์หันหน้าหนี และพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

ตอนที่เด็กผู้ชายคนนี้จากไป เขาต้องจากไปโดยไม่บอกลาหรือทิ้งจดหมายไว้สักฉบับอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันแอบคาดเดาอยู่ในใจ

มิเช่นนั้น หญิงวัยแต่งงานท่านนี้คงไม่โกรธเคืองถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับสองพี่น้องตงฟางและเหวินเหรินเชี่ยนโหรวแล้ว เกรงว่านิสัยของอาหญิงตระกูลไฉท่านนี้คงดื้อรั้นพอๆ กัน

หลี่หลิงซู่อ้าปากราวกับกำลังจะกล่าวคำหวาน แต่ก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เขาจึงไอกระแอมและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้คือสหายของข้า เขามาเที่ยวที่เซียงโจวกับข้า ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่จวนตระกูลไฉ พวกเราจึงตั้งใจมาดูเป็นพิเศษ หากมีตรงไหนที่ต้องการความช่วยเหลือ ซิ่งเอ๋อร์ก็กล่าวมาได้ตามสะดวก”

ยามเฝ้าประตูตกตะลึงไปตามๆ กัน จู่ๆ คุณชายท่านนี้ก็เรียกท่านหญิงไฉว่าซิ่งเอ๋อร์อย่างไม่คาดคิด

ไฉซิ่งเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้าให้สวี่ชีอันและกล่าวอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก “ผู้อาวุโสคงเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว เชิญเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”

หากไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ ตอนนี้นางก็ควรจะไล่พวกเราไปแล้ว เฮ้อ นางเป็นปลาอีกตัวที่ถูกผู้ชายเฮงซวยคนนี้เขมือบเข้าให้อีกแล้ว…สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาเป็นการขอบคุณ ก่อนจะจูงแม่ม้าน้อยเข้าไปในจวน

หลังจากมอบแม่ม้าน้อยให้กับทาสรับใช้ในจวนตระกูลไฉเพื่อจัดหาที่ที่เหมาะสมให้มันแล้ว ทั้งสามก็เดินตามไฉซิ่งเอ๋อร์เข้าไปในห้องโถงใหญ่

“ซิ่งเอ๋อร์ ไฉเสียนฆ่าผู้นำตระกูลไฉจริงๆ รึ?” เมื่อไฉซิ่งเอ๋อร์เปิดทางให้แล้ว หลี่หลิงซู่ก็อดที่จะถามไม่ได้ “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ไฉเสียนมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ใช่คนเนรคุณ เรื่องนี้ต้องเกิดความเข้าใจผิดเป็นแน่”

“เข้าใจผิดรึ?”

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวนวลของไฉซิ่งเอ๋อร์ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยตาข้าเอง ทุกคนในตระกูลไฉก็ล้วนเห็นด้วยตาตนเอง แล้วจะเป็นเท็จได้อย่างไร”

หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยความลังเลว่า “หรือว่ามีคนปลอมตัวมางั้นรึ?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “วิชาปลอมตัวไม่สามารถเล็ดลอดจากสายตาข้าไปได้ นอกจากนี้ นิสัย ภูมิหลัง สิ่งของที่พกติดตัว และวิธีการควบคุมซากศพ ทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐาน รูปลักษณ์สามารถเปลี่ยนได้ แต่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไม่ได้”

หลี่หลิงซู่พูดไม่ออก เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะถามสิ่งที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอด “แต่ทำไมเขาถึงต้องทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวว่า “เพราะพี่ใหญ่วางแผนให้เสี่ยวหลานแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ อย่างที่เจ้ารู้ เสี่ยวหลานและไฉเสียนชอบพอกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาชื่นชมเสี่ยวหลานมาโดยตลอด หลังจากรู้เรื่องนี้ เขาก็ขอร้องให้พี่ใหญ่ถอนการตัดสินใจอยู่หลายครั้ง และยังแสดงเจตจำนงว่าต้องการแต่งงานกับเสี่ยวหลานอีก ถึงแม้ไฉเสียนจะมีพรสวรรค์ที่ดี แต่พี่ใหญ่คิดว่าการให้เสี่ยวหลานแต่งงานกับเขาเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นและยังไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อตระกูลไฉมากนัก ทว่าหากเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลหวงฝู่ ทั้งสองฝ่ายก็จะผูกพันเป็นพันธมิตร ซึ่งมีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของตระกูลไฉมากกว่า”

ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลไฉ สามีคนก่อนของนางคือลูกเขยที่แต่งเข้ามาในตระกูล

ฟังถึงตรงนี้ หลี่หลิงซู่ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เสี่ยวหลานไม่ได้รักเขา นางเพียงแค่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่ชาย จริงสิ แล้วเสี่ยวหลานล่ะ?”

เมื่อไฉซิ่งเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็โศกเศร้าขึ้นมาทันที “เสี่ยวหลานถูกลักพาตัวไปแล้ว”

ภายใต้คำถามของหลี่หลิงซู่ นางอธิบายอย่างชัดเจนและฉะฉานว่า วันที่เกิดเรื่อง การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวปลุกทุกคนในจวนให้ตื่นขึ้น ทุกคนรีบไปที่ห้องของท่านผู้นำ ก่อนจะพบว่าท่านผู้นำถูกฆ่าตายแล้ว ซึ่งฆาตกรก็คือบุตรบุญธรรมไฉเสียน

เมื่อไฉเสียนเห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงแล้ว เขาก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างหนัก ควบคุมศพเหล็กทั้งสี่ร่าง ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าก่อนจะเผ่นหนีไป

“หลังจากเกิดเรื่องข้าถึงพบว่าเสี่ยวหลานไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว กว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้าส่งคนออกไปตามหานางทุกหนทุกแห่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบที่อยู่ของนาง” สีหน้าของไฉซิ่งเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกังวล

หลี่หลิงซู่ถามว่า “ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลรึ?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนที่เขาหนีออกไปจากจวนตระกูลไฉวันนั้น ข้าก็พยายามขัดขวางเขา สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดคือฐานการฝึกตนของไฉเสียนที่ก้าวกระโดดอย่างไม่มีที่มาที่ไป ตอนนี้เขาไม่ได้ด้อยกว่าข้าอีกต่อไปแล้ว

“แต่เจ้าคงรู้ว่าวิธีการควบคุมซากศพของตระกูลไฉเกิดจากวิชาซือกู่ของเผ่ากู่ นอกจากเจ้าตัวแล้ว คนนอกล้วนควบคุมได้ยาก”

หลี่หลิงซู่ตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้มีหลายอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะตรวจสอบอย่างไร

ไฉซิ่งเอ๋อร์เห็นเขาขมวดคิ้วครุ่นคิด ก็กล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าไฉเสียนถูกปรักปรำ ก็เลยอยากสืบคดีนี้และคืนความบริสุทธิ์ให้เขารึ?”

หลี่หลิงซู่ส่ายศีรษะกล่าวว่า “คืนความจริงให้กับตระกูลไฉต่างหาก ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

ไฉซิ่งเอ๋อร์มองเขาอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้ามีเบาะแสอะไร?”

หลี่หลิงซู่พูดไม่ออกชั่วขณะ พลางส่ายศีรษะ

หญิงวัยแต่งงานที่งดงามราวกับดอกไม้มีกลิ่นหอมยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นฆ้องเงินสวี่ที่เชี่ยวชาญในการไขคดีแปลกๆ งั้นรึ?”

หลี่หลิงซู่ยิ้มด้วยความขมขื่นและกล่าวว่า “ซิ่งเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าต้องประชดประชันเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้าที่ข้าจากไปโดยไม่ลา…”

‘ก๊อก ก๊อก’

เวลานี้เอง เสียงเคาะโต๊ะก็ดังขึ้นขัดจังหวะคู่รักที่กำลังไม่พอใจกัน ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกเรียวคิ้วงามขึ้น พลางหันไปมองชายชุดดำ

สวี่ชีอันกล่าวช้าๆ ว่า “มีบางเรื่องที่ข้าอยากจะถามสาวน้อยสักหน่อย”

สาวน้อย…ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกตะลึงไอรีนโนเวล

“ตัวตนของเขาค่อนข้างพิเศษ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา บรรพบุรุษต้นสกุลไฉล้วนเคารพเลื่อมใสเขามาก” หลี่หลิงซู่เกรงว่าคนสนิทจะขัดแย้งกับสวีเชียน และทำให้ตาแก่นี่ขุ่นเคืองใจ เขาจึงรีบกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว

ไฉซิ่งเอ๋อร์รู้ว่าถ้าจะมี ‘อายุยืน’ ต้องทำอย่างไร รูปลักษณ์อันงดงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทีของนางพลันแข็งทื่อทันที กล่าวด้วยความนุ่มนวลว่า “เชิญท่านอาวุโสพูดเถิด”

“ผู้นำตระกูลไฉเจี้ยนหยวนปฏิบัติกับไฉเสียนอย่างไร? แล้วไฉเสียนมีนิสัยอย่างไร?” สวี่ชีอันถาม

ไฉซิ่งเอ๋อร์ตอบว่า “ไฉเสียนเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก เขาถูกรังแกบ่อยมาก พี่ใหญ่เห็นเขาน่าสงสาร จึงรับเขามาเลี้ยงในฐานะบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูจนเขาเติบโต แต่ยังสอนวิธีการควบคุมซากศพ สอนการฝึกตน และสอนวิทยายุทธให้เขา หากจะพูดว่าพี่ใหญ่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงดุจภูเขาก็ยังมิเกินจริง

“ส่วนไฉเสียน หากไม่ใช่เพราะมีคดีนองเลือดนี้เกิดขึ้น ทุกคนก็ยังคงโง่ และคิดว่าเขาเป็นคนกตัญญูและซื่อสัตย์”

สวี่ชีอันพยักหน้า “นั่นก็คือ ผู้นำตระกูลไฉมีบุญคุณกับเขามาก แต่นิสัยของเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่เหมือนคนเนรคุณ เช่นนั้น ถึงแม้เขาจะโกรธจริงๆ และไม่มีทางปลงใจยอมให้คุณหนูตระกูลไฉแต่งงานกับคนอื่น จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหรือไม่ หากเขาลักพาตัวคุณหนูตระกูลไฉและพานางหนีไปให้ไกลเสีย?”

‘ใช่ เป็นเช่นนี้แหละ’…หลี่หลิงซู่ปรบมืออย่างแรง นี่คือเหตุผลที่เขารู้สึกว่าทำไมมีหลายสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไฉซิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้วครุ่นคิด และกล่าวว่า “ที่ผู้อาวุโสพูดมาก็มีเหตุผล แต่วันนั้นข้าต่อสู้กับเขาด้วยตัวเอง ยืนยันได้ว่าไฉเสียนเป็นตัวของตัวเอง คนหลายคนในจวนก็สามารถเป็นพยานได้ ศพเหล็กเหล่านั้นก็เป็นของเขาจริงๆ”

มีพยานบุคคลด้วยสินะ…สวี่ชีอันกล่าววิเคราะห์ว่า “ซือกู่เป็นสิ่งที่สามารถรวมเข้ากับสิ่งอื่นได้ทั้งหมด ปรมาจารย์ซือกู่ที่ทรงพลังสามารถปล่อยจื่อกู่และเข้าบังคับควบคุมผู้อื่นราวกับหุ่นเชิดได้ หากมีคนปลอมตัวเป็นไฉเสียนและบังคับควบคุมศพเหล็กของเขาล่ะ”

หลี่หลิงซู่กล่าวอย่างครุ่นคิด “ด้วยเหตุนี้ ฐานการฝึกตนของเขาจึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ที่แท้เขาก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองหรอกรึ?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ หากมีใครปลอมตัวเป็นเขาจริงๆ ก็ไม่ควรเปิดเผยความสามารถถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขก็มีอยู่น้อยนิด แล้วแรงจูงใจของคนผู้นั้นคืออะไร? เพียงเพราะต้องการตำหนิไฉเสียนรึ?”

สวี่ชีอันมองนางด้วยความลึกซึ้ง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด แน่นอนว่าหากจับเป็นไฉเสียนได้ ทุกอย่างก็จะยิ่งง่ายขึ้น”

เมืองหลวง สำนักโหราจารย์

หยางเชียนฮ่วนยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ชั้นสองของห้องโถงใหญ่ โดยหันหน้าไปทางหน้าต่าง และหันหลังให้กับทุกคน

ด้านหลังเขามีโหรกว่ายี่สิบคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหยางเชียนฮ่วน ซึ่งเหล่าสหายร่วมงานภายในสำนักโหราจารย์เรียกว่า ‘พรรคสมองส่วนหลัง’

เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อที่ไม่สุภาพและมีอารมณ์เหน็บแนมอยู่ในนั้น

แต่ฝ่ายอื่นก็ไม่ได้มีชื่อที่ไพเราะมากนัก อย่างเช่น ฝ่ายของซ่งชิง เรียกว่า ‘พรรคบ้า’ ฝ่ายของซุนเสวียนจีเรียกว่า ‘พรรคใบ้’ ฝ่ายของจงหลีเรียกว่า ‘พรรคอำมหิต’

เนื่องจากระดับของฉู่ไฉ่เวยค่อนข้างต่ำ นางจึงไม่มีคุณสมบัติรับลูกศิษย์ในนามของอาจารย์ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่มีฝ่ายหรือพรรค

แต่ปีหน้า นางก็จะมีคุณสมบัติในการสอบลูกศิษย์แล้ว

วกกลับเข้าประเด็นก่อนหน้านี้ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยความอึมครึมอย่างมาก สีหน้าของทุกคนต่างก็เคร่งขรึมและจริงจัง

“บอกว่าปิดร้านแล้วไม่ใช่รึ คนกลุ่มนี้จะจบเรื่องหรือยัง? จะปล่อยให้คนอื่นพักผ่อนหรือไม่”

“พาลหาเรื่องจริงๆ เลย คนกลุ่มนี้ต้องการอะไรจากสำนักโหราจารย์งั้นรึ”

“จริงๆ แล้วพวกเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ ระดมพลทหารราชวังมาปราบปรามเถอะ”

“แต่ถ้าทำเช่นนั้น คงกอบกู้ชื่อเสียงของศิษย์พี่หยางคืนมาไม่ได้”

“ถึงอย่างไรมันก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว…”

บรรดาโหรต่างก็ถกถึงปัญหาขึ้นมา สนทนากันหน้านิ่วคิ้วขมวด

ไม่นานมานี้ ศิษย์พี่หยางฉุกคิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน และได้วางแผนเปิดร้านค้าในเมืองหลวงเพื่อทำคุณงามความดี ไม่ว่าประชาชนในเมืองหลวงจะมีเรื่องเดือดร้อน เรื่องลำบากยากเข็ญหรือเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ก็สามารถมาหาวีรบุรุษหยางเชียนฮ่วนผู้รับใช้ประเทศและประชาชนให้ช่วยแก้ปัญหาได้

ในตอนแรก ประชาชนในเมืองหลวงไม่เชื่อว่าจะมีคนดีเช่นนี้อยู่บนโลก ไม่มีใครให้การต้อนรับ ‘สำนักแห่งคนดีวีรบุรุษหยางเชียนฮ่วน’ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับศิษย์พี่หยาง ผู้มีความสามารถและสติปัญญาอันล้ำเลิศ

วันหนึ่งเขาได้ต้อนรับผู้มาเยือน เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สามีนางติดการพนันเป็นชีวิตจิตใจ แม่สามีก็ป่วยติดเตียง ซ้ำยังไม่มีเงินรักษา เมื่ออับจนไม่มีทางออก นางจึงมาขอความช่วยเหลือที่สำนักหยางเชียนฮ่วน

ผู้ชายที่ตั้งปณิธานว่าจะเป็นราชาแห่งวีรบุรุษอย่างหยางเชียนฮ่วนจึงช่วยเหลือผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นโดยไม่ลังเล

ตั้งแต่นั้นมา ก็มีประชาชนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากหยางเชียนฮ่วนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนก็ได้รับความพึงพอใจกลับไป ชื่อเสียงของหยางเชียนฮ่วนแห่งสำนักโหราจารย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาได้กลายเป็นผู้มีคุณความดีที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

แต่ไม่นานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

บรรดาประชาชนกลายเป็นถ้ำที่ถมไม่เต็ม คนที่ถูกใช้ฟรีอย่างหยางเชียนฮ่วน เมื่อพึงพอใจก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรได้รับ แต่เมื่อไม่พอใจก็ตะโกนก่นด่า

หยางเชียนฮ่วนถูกใช้ฟรีไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าปณิธานอันยิ่งใหญ่สำเร็จได้ยาก เขาจึงปิดร้านด้วยความเศร้าใจ และแอบกลับไปที่สำนักโหราจารย์

แต่บรรดาประชาชนไม่ยอมปล่อยเขาไป และยังชุมนุมกันอยู่ที่สนามจัตุรัสด้านนอกหอดูดาวเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

เห็นกันอยู่ว่าเขาพูดแล้วว่าจะรับใช้ฟรีตราบชั่วนิรันดร์ เกิดเป็นคนก็ต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันตามสัญญา

หยางเชียนฮ่วนมองลงมาจากหน้าต่าง เห็นประชาชนกว่าร้อยคนกำลังชุมนุมกันอยู่ที่สนามจัตุรัสด้านนอกหอดูดาว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน จงอ่านให้ข้าฟัง”

น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ราวกับคนที่ถูกกระแสสังคมรุมเร้า ทั้งร่างล้วนเต็มไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชน

บรรดาโหรชุดขาวต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หนึ่งในนั้นหยิบกระดาษจดหมายปึกหนาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา คลี่กระดาษแผ่นแรกออกและอ่านออกเสียงว่า “ป้าจางอาศัยอยู่ที่ถนนกูลู่กล่าวว่า ตระกูลป้าหยางที่อาศัยอยู่เรือนข้างๆ มีหลานชายเพิ่มอีกคนแล้ว นางก็อยากมีหลานชายด้วย หวังว่าสำนักโหราจารย์จะคิดหาวิธีได้”

หยางเชียนฮ่วนพยักหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงแม้สำนักโหราจารย์จะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ แต่ยาเพียงห่อเดียว เขาย่อมสามารถให้ได้

“เช่นนั้นก็จ่ายยาบำรุงพลังหยางของไตให้ลูกชายนางเสีย” เขากล่าว

สีหน้าของโหรชุดขาวท่านนั้นแปลกประหลาดเล็กน้อย “แต่ป้าจางให้กำเนิดเพียงลูกสาวสามคน แล้วนางจะเอาลูกชายมาจากที่ใด?”

“…” หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงทุ้ม “ฉบับต่อไป”

“เถ้าแก่หวังถนนซิ่งฮวากล่าวว่า ร้านที่เปิดใหม่ข้างๆ แย่งส่วนแบ่งทางธุรกิจของเขาไป เขาหวังว่าสำนักโหราจารย์จะสามารถช่วยไล่อีกฝ่ายออกไปได้”

“ข้าไม่ทำเรื่องขัดต่อกฎหมาย ฉบับต่อไป”

“เสี่ยวชุ่ย สาวใช้จวนตระกูลเจ้าแห่งถนนผิงคังกล่าวว่า นางรู้สึกว่าตนเองมีรูปลักษณ์งดงามกว่าคุณหนู นิสัยก็ดีกว่าคุณหนู จึงไม่อยากเป็นทาสรับใช้ไปตลอดชีวิต ขอพวกเราช่วยให้นางกลายเป็นคุณหนูที่ร่ำรวยเงินทองและฐานะทางสังคม”

หยางเชียนฮ่วนลังเลอยู่นาน “ไปเกิดในครรภ์ที่ดีในชาติหน้าแล้วกัน ฉบับต่อไป”

“หลี่เอ้อร์จากหมู่บ้านตระกูลหลี่ ลูกสะใภ้ของนางกำลังจะคลอดลูกในอีกหกเดือนข้างหน้า ตระกูลหลี่อยากจะได้ทายาทเป็นผู้ชายสักคน นางอยากซื้อยาบำรุงครรภ์ให้ลูกสะใภ้ แต่ไม่มีเงิน ดังนั้นเขาจึงมาหาเราที่นี่”

หยางเชียนฮ่วนยังไม่ทันเปิดปากพูด โหรท่านนั้นก็กล่าวอย่างจำใจว่า “ยาบำรุงครรภ์นั้นมิใช่ปัญหา แต่ข้าคิดว่าสิ่งแรกที่หลี่เอ้อร์ต้องทำคือให้อภัยลูกสะใภ้นาง”

หยางเชียนฮ่วนโบกมืออย่างเหนื่อยล้า “ฉบับต่อไป”

“เหลียงซานหวังว่าจะหางานที่มีเงินไหลเข้ามาเป็นกอบเป็นกำได้ง่ายๆ หากเป็นไปได้ เขาหวังว่าสำนักโหราจารย์ของพวกเราจะส่งภูเขาทองให้เขาสักลูก”

หยางเชียนฮ่วนถอนหายใจ “ไม่มีภูเขาทอง งานที่มีเงินไหลเข้ามาเป็นกอบเป็นกำล้วนเขียนอยู่ในตำราของต้าฟ่ง ให้เขาไปเลือกงานที่ชอบด้วยตนเอง”

“โอ้ ฉบับนี้เป็นของนายหญิงตระกูลสวี่ จดหมายที่เขียนโดยอาสะใภ้ของฆ้องเงินสวี่” โหรชุดขาวกล่าวด้วยความตกตะลึง

น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนอ่อนลงเล็กน้อย “อ่านสิว่านางมีเรื่องอะไร ข้ารู้จักกับเจ้าสุนัขสวี่ชีอันดี ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองคำขอจากอาสะใภ้ของเขา”

โหรชุดขาวพยักหน้ากล่าวว่า “นางกล่าวว่า ลูกสาวคนเล็กของนางกินมากเกินไป ในจวนไม่กล้าแม้แต่จะเปิดหม้อ หากเป็นไปได้ นางก็อยากส่งลูกสาวคนเล็กไปร่ำเรียนที่สำนักโหราจารย์ และกินอยู่ที่สำนักโหราจารย์เสียเลย ลูกสาวคนเล็กของนางยังมีศิษย์พี่ด้วยคนหนึ่ง เป็นสาวน้อยซินเจียงตอนใต้ ทั้งสองจะมาร่ำเรียนด้วยกัน หวังว่าพวกเราจะไม่รังเกียจ”

…น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “นางโง่เกินกว่าจะเป็นโหร เว้นแต่ท่านโหราจารย์จะเป็นผู้สอนด้วยตนเอง”

ทั้งหมดนี่มันเรื่องวุ่นวายอะไรเช่นนี้!

ในระเบียงทางเดินอันเงียบสงบมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมา

จงหลีเดินมาที่หน้าประตู ชะโงกศีรษะมองเข้าไปในทางเดินอันมืดมิด พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หยาง ท่านกลับมาทำไม?”

หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า “โลกมนุษย์ช่างไร้ค่า ข้าวางแผนจะกลับมาพักผ่อนสักระยะ”

หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาก็กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์น้องจง ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่า ข้ามีความคิดดีมาก จะต้องยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”

จงหลีตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าเคยพูดรึ? ข้าจำไม่ได้”

“…”

จงหลีถามเสียงเบาว่า “กิจการของท่านคืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

หยางเชียนฮ่วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มว่า “ข้าคิดว่าปลงพระชนม์จักรพรรดิยังจะมั่นคงกว่านี้อีก”

เซียงโจว ตระกูลไฉ

ที่ศาลาหลังสวนดอกไม้ มู่หนานจือที่สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกคว้าเหยื่อปลาขึ้นมากำหนึ่งและโยนลงไปในบ่อ ดึงดูดให้ปลาคาร์ฟเข้ามาแย่งชิงอาหารจำนวนมาก

ที่โต๊ะหินด้านหลังนาง สวี่ชีอันโยนพืชมีพิษและผลไม้มีพิษลงไปในโถบดยาและทำการบดมัน จากนั้นก็ใช้ช้อนกระเบื้องขูดออกและกลืนลงไปในท้อง

เขาไม่เคยหยุดกินยาพิษเลย เขารู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่ตนได้พาเทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิดท่องเที่ยวไปในยุทธภพด้วยกัน บางช่วงเวลา เขาก็ได้กินพืชมีพิษและผลไม้มีพิษกลายพันธุ์คุณภาพสูง

และยังโชคดีที่ได้พาแม่ม้าน้อยออกมาด้วยกัน การมีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกับแม่ม้าน้อยช่วยบรรเทาผลที่ตามมาของซินกู่ได้ดียิ่งนัก

สำหรับผลที่ตามมาของซือกู่ สวี่ชีอันเพิ่งค้นพบวิธีการที่ยอดเยี่ยมเมื่อเร็วๆ นี้ นั่นก็คือควบคุมศพของเหิงอิน ทำให้เขาพูดและทำสิ่งต่างๆ จนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย ‘เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับศพ’

เหมือนกับตอนนี้…

หลี่หลิงซู่วิ่งมาด้วยความเร่งรีบ เหิงอินที่ยืนรออยู่นอกศาลาขัดขวางเขา พลางกล่าวเสียงทุ้มว่า “ประสก อย่าเป็นก้างขวางคอเลย”

หลี่หลิงซู่ชายตามองเขาด้วยความประหลาดใจ และขี้เกียจเกินกว่าจะครุ่นคิดว่าทำไมจู่ๆ ผีตายโหงนี่ถึงพูดได้ เขารีบเดินอ้อมและเข้าไปในศาลาริมน้ำ พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “มีบางอย่างผิดปกติ ข้าได้ยินพ่อบ้านที่ดูแลจวนบอกว่า เมื่อสักครู่มีภิกษุจำนวนหนึ่งมาที่นี่ ผู้นำมีนามว่าจิ้งซิน”

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด