ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 296 สองบทสนทนา

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 296 สองบทสนทนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 296 สองบทสนทนา

“ราชครู ราชครู”

หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าตะโกนเรียกสองสามครั้งและพบว่าลั่วอวี้เหิงมีสีหน้าตะลึงงัน สายตาล่องลอยเหมือนกับหยกงาม งดงาม แต่ไม่ปราดเปรื่อง

หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเอื้อมมือไปผลัก แต่ก็ถูกกำแพงปราณขวางไว้

เมืองชั้นนอก ลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง

แสงสลัวที่คนธรรมดาไม่อาจจับได้พุ่งลงมาและตกลงในลาน กลายเป็นหญิงงามที่สวมชุดคลุมเต๋าสีดำและมงกุฎดอกบัวบนศีรษะ

นางมีดวงตากลมโตและแก้มสีพีช ใบหน้างดงาม ผมสีดำสลวย ชุดคลุมเต๋าหลวมโคร่งก็ไม่อาจซ่อนเนินอกอันน่าภาคภูมิใจได้

ลั่วอวี้เหิงผลักประตูเข้าไป เห็นนักบวชเฒ่าผมหงอกขาวคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

นางรวบรวมสมาธิครู่หนึ่ง ยื่นมือเปล่าออกมาจากในชุดคลุมเต๋าหลวมโคร่งและคว้าไว้ในทันที

ไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างที่ลวงตาเล็กน้อยก็กลับมาจากที่ไกลๆ และถูกนางดูดเข้าไปในฝ่ามือ นางสะบัดแขนเสื้อและส่งเข้าไปในร่างเนื้อของนักบวชเฒ่า

นักบวชเต๋าจินเหลียนลืมตาขึ้น นั่งขัดสมาธิและเอ่ยอย่างจำใจ “ข้ากำลังเร่งรุดเดินทางกลับมา”

ขณะที่พูด นักบวชเต๋าจินเหลียนก็มองพินิจเรือนร่างสูงโค้งเว้าของลั่วอวี้เหิงและถามว่า “แม้แต่จิตหยางก็ถอด เร่งรีบเช่นนี้ ศิษย์น้องมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”

ลั่วอวี้เหิงไม่พูดจาไร้สาระและถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าได้ดูพิธีต้าวฮวดวันนี้หรือไม่”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า

“มีดแกะสลักของลัทธิขงจื๊อปรากฏขึ้น”

นักบวชเต๋าจินเหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าเล็กน้อย

“ข้าขอถามเจ้า สวี่ชีอันเป็นใครกันแน่” ลั่วอวี้เหิงก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของนางเป็นประกาย

“เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง” คำตอบของนักบวชเต๋าจินเหลียนลังเลเล็กน้อย

“คนธรรมดาสามารถใช้มีดแกะสลักของลัทธิขงจื๊อได้หรือ” ลั่วอวี้เหิงยิ้มเย็น

นักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร

หลังจากนั้นพักใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ตอนที่ข้าพบเขา ข้าเห็นว่าเขาเป็นคนดวงดีโชคหนัก จึงมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้เขา และหยิบยืมความโชคดีของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการตามรอยของจื่อเหลียน หลังจากนั้น ข้าก็ตรวจสอบตัวตนของเขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นหลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่น หรือคนอื่นๆ เมื่อข้ามอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้พวกเขา เกือบทุกคนก็มีพลังเพิ่มขึ้น มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่อยู่ระดับหลอมจิต ภูมิหลังครอบครัวของเขายิ่งธรรมดา เช่นนั้นความโชคดีมาจากที่ใด อา ความโชคดีต้องสร้างกุศลสะสมบุญหรือมีบรรพบุรุษให้พร ทว่าเขาไม่มีทั้งสองอย่าง”

ลั่วอวี้เหิงอดทนฟังโดยไม่ขัดจังหวะ

“หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ซึ่งทำให้ข้าตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของเขาผิดปกติ…ครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้เปิดเผยตัวตนในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาบอกว่าเขาเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน จึงต้องการทราบเหตุผล”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ลั่วอวี้เหิงก็อดพูดไม่ได้ “นี่ไม่ใช่ความโชคดี”

นักบวชเต๋าจินเหลียนจ้องมองนาง แววตาลุ่มลึกและสว่างไสว เขาเอ่ยคำต่อคำ “นี่คือโชคชะตา โชคชะตาที่ยิ่งใหญ่”

แม้จะเป็นการคาดเดา แต่เมื่อได้รับคำยืนยันของนักบวชเต๋าจินเหลียน รูม่านตาของลั่วอวี้เหิงก็หดลงทันที

สวี่ชีอันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะลำคอ เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับไฟแผดเผา

เขากลอกตาและกวาดตามองทิวทัศน์รอบๆ ม่านเตียงสีขาว ผ้าห่มที่ปักลายใบบัว เครื่องเรือนเรียบๆ แต่หรูหรา…ที่โต๊ะกลมในห้องโถงด้านนอกมีชายชราที่สวมชุดขงจื๊อคนหนึ่งนั่งอยู่

ผมหงอกขาวของชายชราในชุดขงจื๊อยุ่งเหยิงห้อยลงมา ชุดขงจื๊อหลวมโคร่ง หนวดเคราสีเทาก็ไม่ได้ตัดเล็มมาเป็นเวลานาน ทั่วทั้งร่างแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของ ‘ซากศพ’

ชายชราท่าท่างถากถางคนนี้เป็นใครกัน ความสงสัยผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน

“เจ้าตื่นแล้ว” ชายชราท่าท่างถากถางลุกขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่ นามจ้าวโส่ว”

เจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่…ฉือจิ้วเคยบอกว่า เจ้าสำนักของสำนักเป็นระดับก่อชะตาระดับสามแห่งลัทธิขงจื๊อ! สวี่ชีอันยืดตัวตรงทันทีและประสานมือคารวะ

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนัก กิริยาท่าทางของเจ้าสำนักไม่ธรรมดา ดูสง่างามและสงบเสงี่ยม เป็นผู้อาวสุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เหตุใดเจ้าสำนักถึงมาอยู่ในห้องของข้าขอรับ”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วไม่ได้ตอบ สายตาจับจ้องไปที่มือขวาของเขา สวี่ชีอันถึงพบว่าตัวเองถือมีดแกะสลักไว้ตลอดมา

เขาชะงักไปและคาดเดา มีดแกะสลักเล่มนี้เป็นของสำนักอวิ๋นลู่หรือ ใช่ นอกจากสำนักอวิ๋นลู่ ยังมีระบบอื่นที่สามารถเค้นความชอบธรรมออกมาได้อีกหรือ

“มีดแกะสลักเล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักข้า เจ้าถือมันไว้ในมือตลอดและไม่มีผู้ใดสามารถเอาไปได้ ข้าจึงต้องรอเจ้าตื่นอยู่ที่นี่และถามอะไรบางอย่างกับเจ้า”

เมื่อพูดจบ จ้าวโส่วก็มองมีดแกะสลักโบราณอีกครั้ง สายตานั้นราวกับกำลังพูดว่า ‘ยังจะถือไว้อีกหรือ คนหนุ่มช่างขลาดเขลานัก’

สวี่ชีอันยื่นให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

จ้าวโส่วไม่ได้รับ แต่มองไปที่โต๊ะ

สวี่ชีอันที่เข้าใจในทันทีโยนมีดแกะสลักลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงเคร้ง

จ้าวโส่วขมวดคิ้ว เขารีบโค้งคำนับและคำนับมีดแกะสลักสามครั้ง จากนั้นก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากในแขนเสื้อและเก็บมีดแกะสลักเข้าไป

“ใต้เท้าสวี่รู้หรือไม่ว่ามีดแกะสลักมีความเป็นมาอย่างไร” จ้าวโส่วยิ้ม

จิตใจของสวี่ชีอันหวั่นไหวเล็กน้อย เขาคาดเดาอย่างใจกล้า “มีดแกะสลักของรองปราชญ์เอกหรือขอรับ”

จ้าวโส่วส่ายหน้า “นี่เป็นมีดแกะสลักของปราชญ์”

มีดแกะสลักของปราชญ์…เป็นปราชญ์คนนั้นหรือ เป็นปราชญ์ที่อยู่เหนือระดับคนนั้นหรือ…เช่นนั้น ข้าขอสัมผัสมีดแกะสลักอีกสักนิดได้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้ถ่ายรูปส่งให้กลุ่มเพื่อนเลย…สวี่ชีอันอ้าปาก แต่ลำคอราวกับสูญเสียเสียง เขาจึงพูดไม่ออก

“ตั้งแต่รองปราชญ์เอกเสียชีวิต มีดแกะสลักเล่มนี้ก็สงบเงียบไปกว่าพันปี แม้ว่าคนรุ่นหลังจะสามารถใช้มันได้ แต่ก็ไม่อาจปลุกมันขึ้นมาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะทำลายกล่องออกมาเพื่อช่วยใต้เท้าสวี่”

จ้าวโส่วมองสวี่ชีอันอย่างตั้งใจและเอ่ยเสียงขรึม “มีบางสิ่งที่ข้าต้องเตือนใต้เท้าสวี่ต่อหน้า”

ใจของสวี่ชีอันหล่นตุบ ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง เขาลุกขึ้นจากเตียงและโค้งคำนับ “เจ้าสำนัก โปรดชี้แนะด้วย”

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”

ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้าไม่หยุด คิ้วเรียวยาวสองข้างขมวดแน่นและโต้กลับ

“ข้าเคยติดต่อกับเขาหลายครั้ง หากเขามีโชคชะตา เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่สังเกตเห็น นิกายมนุษย์ของข้าจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร”

นักบวชเต๋าจินเหลียนถามกลับ “หากถูกปิดกั้นความลับของสวรรค์ล่ะ เวลานี้ หากเจ้าไปมองดูสวี่ชีอันอีกครั้ง เจ้าก็จะไม่สังเกตเห็นว่าเขามีความผิดปกติใดๆ เช่นกัน”

“เจ้าจะบอกว่าท่านโหราจารย์หรือ” ลั่วอวี้เหิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ท่าทางที่ขมวดคิ้วสวยงามเกินกว่าจะจินตนาการ ระหว่างคิ้วย่นขึ้น แววตาแหลมคมราวกับมีด

“เจ้าเคยตรวจสอบสวี่ชีอันแล้วไม่ใช่หรือ เขาเป็นฆ้องเงินตัวเล็กๆ บรรพบุรุษก็ปราศจากคนที่มีพรสวรรค์ เขาจะรับผิดชอบโชคชะตาติดกายไหวได้อย่างไร”

“ขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่ได้คำนึงถึง” นักบวชเต๋าจินเหลียนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปนั่งที่โต๊ะ รินชาสองแก้วและส่งสัญญาณให้ลั่วอวี้เหิงนั่งลง

ราชครูหญิงไม่สนใจ

ตอนนี้นางมีอารมณ์ดื่มชาเสียที่ไหน

ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่นานและพลันเอ่ยขึ้น “หากโหรปิดกั้นความลับของสวรรค์ ตามหลักแล้ว เจ้าจะมองไม่เห็นความโชคดีของเขา แผนการของท่านโหราจารย์ไม่น่าทิ้งร่องรอยไว้ หากเขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ผู้อื่นก็จะไม่มีวันรู้ นี่คือโหรระดับหนึ่ง”

“เรื่องที่เจ้าคิด แน่นอนว่าข้าก็คิด” นักบวชเต๋าจินเหลียนดื่มชาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ช่วงก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าความโชคดีของเขาหายไป ข้าจึงตั้งใจจะไปดูเสียหน่อยและพบว่าเป็นท่านโหราจารย์ที่ปิดกั้นความลับสวรรค์และปกปิดความพิเศษของเขา ข้าจึงรู้ในตอนนั้นว่าเรื่องนี้ไม่ปกติและเบื้องหลังของสวี่ชีอันมีความลับมหาศาลซ่อนอยู่ วันนั้นเมื่อข้าออกจากจวนสกุลสวี่ ระหว่างที่ก้าวเดินก็เดินไปถึงแท่นแปดทิศของหอดูดาวและพบท่านโหราจารย์”

“เขาพูดว่าอะไร” ลั่วอวี้เหิงหรี่ดวงตาคู่งามลง

“ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยเสียงขรึม

หญิงงามลั่วที่มีร่างกายโค้งเว้าทรงเสน่ห์เงียบอยู่นาน นางกัดฟันแน่นและเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “โชคชะตาของราชวงศ์ลดลงอย่างมาก ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์เป็นแน่”

นักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

ในที่สุดลั่วอวี้เหิงก็นั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบถ้วยชาขึ้นมา ริมฝีปากแดงเรียวสวยเม้มที่ขอบถ้วย นางจิบชาไปอึกหนึ่งและพูดว่า “หลายปีก่อน เว่ยเยวียนมาที่อารามรัตนะ ชี้จมูกของข้าและตำหนิข้าว่านางนกต่อ เขาพูดว่ายี่สิบปีที่ฝ่าบาทฝึกเต๋ามานี้ อำนาจของต้าฟ่งลดลงทุกวัน เงินภาษีกับฉางข้าวของแต่ละเมืองมักจะเก็บไม่ได้ ประชาชนทุกข์ยาก เจ้าหน้าที่ทุจริตก็อาละวาด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะข้าชักจูงให้ฝ่าบาทฝึกเต๋า และทำให้ฝ่าบาทละเลยกิจการราชการเพื่อการฝึกตนของตัวเอง”

‘หรือว่าไม่ใช่’ นักบวชเต๋าจินเหลียนแอบก่นด่าในใจ

“ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ตระหนักได้ในทันทีว่าโชคชะตาของราชวงศ์เริ่มหมดลงและสายเกินกว่าจะแก้ไขได้ในท่วงที ทำให้ยากจะสังเกตเห็น หากไม่ใช่เพราะเว่ยเยวียนมีความสามารถในการปกครองประเทศ คุ้นเคยกับกิจการพลเรือน สังเกตเห็นเป็นคนแรกและตีแสกหน้าข้า เกรงว่าข้าคงต้องรออีกสองสามปีถึงจะพบเงื่อนงำ”

เมื่อฟังจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็พยักหน้าและเตือนว่า “อย่าพูดมากไป ที่นี่เป็นอาณาเขตของท่านโหราจารย์ ไม่แน่ว่าเนื้อหาบทสนทนาของพวกเราอาจจะถูกเขาฟังอยู่ตลอด”

“ไม่หรอก” ลั่วอวี้เหิงเบ้ปากและพูดอย่างค่อนข้างมั่นใจ “เขาไม่ได้ยิน”

‘นี่ไม่ใช่คำถามว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน นี่เป็นคำถามเพราะข้าไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องไร้สาระนี้…’ นักบวชเต๋าจินเหลียนเบี่ยงประเด็นอย่างปราดเปรื่อง

“หาก ข้าพูดว่าหาก สวี่ชีอันมีโชคชะตาติดกายจริงๆ เจ้าจะบำเพ็ญคู่กับเขาหรือไม่”

สีหน้าของลั่วอวี้เหิงแข็งค้างไปอีกครั้ง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดมีดแกะสลักของปราชญ์ถึงทำลายกล่องออกมา เหตุใดนอกจากรองปราชญ์เอก คนรุ่นหลังถึงทำได้เพียงใช้มัน แต่ไม่อาจปลุกมันได้” จ้าวโส่วถามสองคำถามติดต่อกัน

ข้าเป็นเพียงทหารที่หยาบกระด้าง เจ้าสำนัก…สวี่ชีอันส่ายหน้าเพื่อบ่งบอกว่าตัวเองไม่รู้

เจ้าสำนักไม่ได้เก็บงำและเอ่ยเสียงขรึม “โชคชะตาไม่เพียงพอ มีดแกะสลักเล่มนี้เป็นมีดที่ปราชญ์ใช้ ปราชญ์ใช้มันแกะสลักวสันตสารท แกะสลักพิธีกรรม ดนตรี คำพยากรณ์ และอื่นๆ ผู้ที่ควบแน่นโชคชะตาในโลกไม่ได้ไม่อาจใช้มันได้”

ในคำพูดของเจ้าสำนักไขความสงสัยที่รบกวนจิตใจสวี่ชีอันมาเป็นเวลานานในที่สุด โชคแปลกๆ ของเขา อันที่จริงก็คือโชคชะตา

การเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน นี่ไม่ใช่เด็กแห่งโชคชะตาหรือ…หนึ่งวันเก็บได้หนึ่งตำลึงและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนึ่งวันเก็บได้สามตำลึง หนึ่งวันเก็บได้ห้าตำลึง…ยังเป็นโชคชะตาที่เพิ่มขึ้นอีก ไม่ แทนที่จะบอกว่าเพิ่มขึ้น ต้องบอกว่ามันค่อยๆ ฟื้นฟูอยู่ภายในร่างกายของข้ามากกว่า…ใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง

เขาจะคิดเช่นนี้ก็มีเหตุผล เมื่อระดับของเขาเพิ่มขึ้น โชคก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มองแวบแรกดูเหมือนโชคกำลังเพิ่มขึ้น แต่สิ่งนี้จะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือโชคชะตาภายในร่างกายของเขากำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ

แต่ข้าเป็นเพียงลูกของคนธรรมดาในเมืองหลวงและบ้านสกุลสวี่ของข้าก็เป็นเพียงครอบครัวธรรมดา อารองกับพ่อผู้ให้กำเนิดก็เป็นทหารที่หยาบกระด้าง เป็นทหารคนหนึ่ง นอกเสียจากข้าจะไม่ใช่ลูกของบ้านสกุลสวี่

ความสงสัยนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะในพระราชวังมีมังกรเลีย…ขีดฆ่าไป มีมังกรวิญญาณ ซึ่งโปรดปรานเขามาก นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่า มังกรวิญญาณชอบเพียงแค่คนที่มีปราณม่วงติดกายเท่านั้น

เวลานี้สวี่ชีอันคิดในใจว่า โธ่เอ๊ย จบแล้วๆ ข้ายังคงคิดถึงความงามของฮว๋ายชิ่ง ข้าคงไม่ใช่ลูกนอกสมรสขององค์ชายคนใดในราชวงศ์กับสามัญชนหรอกนะ

แต่ใบหน้าก่อน ‘ทำศัลยกรรม’ ของสวี่ชีอันค่อนข้างคล้ายคลึงกับอารองสวี่ วิเคราะห์จากมุมมองทางพันธุกรรม ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

สวี่ชีอันเป็นลูกของบ้านสกุลสวี่และเป็นลูกชายของพี่ชายสวี่ผิงจื้อ แม้ว่าจะเป็นลูกนอกสมรสของสวี่ผิงจื้อ แต่เขาก็ยังคงเป็นลูกหลานของบ้านสกุลสวี่

เนื้อแท้ไม่เปลี่ยนแปลง

เช่นนั้น โชคชะตามาจากไหน

เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “โชคชะตานี้ลึกลับอย่างยิ่ง แต่ก็มีอยู่จริง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาในจิ่วโจวมีสามอย่าง หนึ่ง ลัทธิขงจื๊อ สอง โหร สาม จักรพรรดิแห่งแผ่นดิน อย่างที่สามไม่ได้จำกัดแค่ต้าฟ่ง สำนักพ่อมดกับสำนักพุทธแดนประจิมก็เช่นเดียวกัน ส่วนชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับทางใต้ ชนเผ่าทางเหนือกระจัดกระจายกันไปและไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน จำนวนคนในชนเผ่าทางใต้ก็เบาบางและไม่อาจควบแน่นโชคชะตาได้”

ลัทธิขงจื๊อกว่าครึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข้า มิเช่นนั้น เจ้าสำนักคงไม่บ่นเรื่องพวกนี้กับข้า…เช่นนั้นเหตุผลที่ข้ามีโชคชะตาติดกายก็มีเพียงสองเหตุผล ราชวงศ์กับสำนักโหราจารย์ หากข้าเป็นทายาทของราชวงศ์ นั่นก็จบสิ้นแล้ว หลินอันกับฮว๋ายชิ่งเป็นพี่สาวของข้าหรือญาติผู้พี่ แต่ท่าทีของมังกรวิญญาณแสดงให้เห็นว่าไม่มีทางที่ข้าจะเป็นทายาทของราชวงศ์ เมื่อเทียบกับลูกนอกสมรสที่ได้สามัญชนค้ำจุน องค์ชายกับองค์หญิงที่มีภูมิหลังครอบครัวดีก็สมควรกว่าไม่ใช่หรือ อีกอย่าง ข้าก็ไม่เห็นว่ายายตัวร้ายกับฮว๋ายชิ่งจะเก็บตำลึงเงินได้ทุกวัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของข้ากับหลินอันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์กับฮว๋ายชิ่งก็ไม่เลว แถมข้ายังได้เป็นท่านจื่ออีก ในอนาคตก็อาจเลื่อนจากท่านจื่อเป็นท่านป๋อ เท่านี้ข้าก็มีหวังได้แต่งงานกับองค์หญิงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับราชวงศ์ได้

เมื่อรวมกับท่าทีและสีหน้าของท่านโหราจารย์ก่อนหน้านี้ สวี่ชีอันสงสัยว่าเรื่องนี้กว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์ ไม่ เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์

เมื่อเห็นว่าเขาเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เจ้าสำนักจ้าวโส่วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”

มีอะไรอยากถามหรือ…อืม เจ้าสำนัก หอกของสวี่ชีอันจะไม่มีวันล้มลง…ท่านคิดว่าประโยคนี้มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ขอคำพูดที่เป็นไปได้ให้ข้าสักประโยคเถิด สวี่ชีอันคิดในใจ

ภายนอก เขาส่ายหัว “ไม่มีขอรับ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ไขข้อข้องใจให้ข้า”

จ้าวโส่วพยักหน้า “ขันทีในวังรออยู่ข้างนอกนานแล้ว เชิญเขาเข้ามาเถิด ฝ่าบาททรงมีเรื่องต้องการจะถามเจ้า”

ขันทีในวังหรือ

สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้จุดประสงค์ที่ขันทีมาหาเขา

ระหว่างพิธีต้าวฮวด เขาสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ถึงสองครั้งและทำลาย ‘ค่ายกลแปดทุกข์’ กับ ‘ค่ายกลระดับเพชร’ นี่คือการระเบิดที่เกินขีดจำกัดพลังของเขา

แม้ว่า ‘คนฉลาด’ บางคนจะคาดเดาได้ว่าท่านโหราจารย์แอบช่วย แต่คำถามตามธรรมเนียมเป็นสิ่งที่ไม่อาจสลัดได้

และ…สวี่ชีอันมองจ้าวโส่ว มีดสองเล่มแรกยังสามารถโยนให้ท่านโหราจารย์ได้ แต่มีดแกะสลักของสำนักปรากฏขึ้นและทำลายแดนพุทธ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านโหราจารย์จะควบคุมได้

จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นจักรพรรดิที่มีความกระหายอยากกำกับควบคุมอย่างแรงกล้า ฉะนั้นเขาคงไม่เมินเฉยต่อรายละเอียดเหล่านี้…หากตอบไม่ดี ข้าอาจจะมีปัญหาและเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยได้ ตัวอย่างเช่น…มีดแกะสลักถูกข้าเรียกมา

สวี่ชีอันสวมเสื้อผ้ากับหมวกให้เรียบร้อย แล้วไปที่ห้องโถงพร้อมกับเจ้าสำนักจ้าวโส่ว

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด