ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 384 ความโกรธ! (2)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 384 ความโกรธ! (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 384 ความโกรธ! (2)

บริเวณห้องโถงในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ในตัวเมือง

ที่โต๊ะหัวมุมสุด หลี่เมี่ยวเจินกำลังรับประทานอาหารอยู่กับหญิงม่าย ซึ่งนางรู้สึกไม่ชอบหญิงคนนี้เท่าใดนัก

ไม่ใช่ว่าหลี่เมี่ยวเจินวางท่าสั่งการบีบบังคับให้นางทำ แต่สองสามวันที่ผ่านมา หญิงงามระดับปานกลางคนนี้พัฒนาขึ้นมาก เรื่องที่นางสามารถทำได้ก็จัดการด้วยตนเองทั้งหมด

สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ชอบที่สุด คือความหยิ่งยโสและหลงตนเองในดวงตาคู่นั้นของนาง

ดูเหมือนในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนอื่นๆ ล้วนเหี่ยวเฉาแก่ก่อนวัย และนางเป็นหญิงงามเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงหญิงธรรมดาที่สุด ผู้ชายคนใดล้วนไม่ชายตามองหญิงเช่นนี้ เว้นแต่ก้นของนางที่ทั้งกลมทั้งใหญ่ และโดดเด่นออกมา เนื้อหน้าอกเหล่านั้นก็ดูอิ่มเอิบเต็มไม้เต็มมือ นางสวมเสื้อผ้าหลายชั้นก็ยังไม่สามารถปกปิดสัดส่วนเหล่านั้นได้…

‘อันที่จริงไม่มีอะไรต้องอิจฉา ก้อนเนื้อเหล่านั้นมีแต่จะเป็นตัวถ่วงในการขจัดความชั่วร้ายของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินบอกตนเองเช่นนี้

“ทำไมเขายังไม่มาหาข้าอีก” มู่หนานจือกล่าวกระซิบ

“หึ ดูเถิดๆ เจ้าก็เป็นหญิงที่แต่งงานมาแล้ว ยังจะคิดถึงชายอื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้อีกรึ” หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกไม่พอใจโดยไม่มีเหตุผล จึงกล่าวเยาะเย้ยด้วยความเย็นชา

“แค่รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับเจ้าแล้วช่างน่าเบื่อนัก” พระมเหสีเชิดคางขึ้นและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“…”

แล้วทัศนคติที่เย่อหยิ่งนี้มาได้อย่างไรกัน นี่นางไม่รู้สถานะของตนเองรึ

หลี่เมี่ยวเจินขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธ ช่วงสองสามวันมานี้ นางอารมณ์ไม่ดีมาก เพราะความล่าช้าในการพิสูจน์ความผิดของไหวอ๋อง และจนถึงวันนี้ นางก็รู้มาว่าเจิ้งซิงไหวติดคุกแล้ว

‘จะต้องมีสักวันที่ข้าถือดาบบุกเข้าไปในพระราชวัง และฆ่าหั่นศพจักรพรรดิหยวนจิ่ง’…หลี่เมี่ยวเจินหมายเลขสองคิดในใจด้วยความขุ่นเคือง

เวลานี้ ใครบางคนที่โต๊ะข้างๆ ก็กล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ เจิ้งซิ่งไหวตายแล้ว ที่แท้เขาก็เป็นผู้ร้ายที่สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน”

“อะไรกัน?!”

แขกที่รับประทานอาหารอยู่เต็มห้องโถง ต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกตะลึง

บุคคลนั้นพูดอย่างชัดเจนฉะฉาน “น้องชายข้าทำงานอยู่ที่ศาลต้าหลี่ วันนี้ข้าได้ยินมาเรื่องหนึ่ง เจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุก”

ภายในห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหลทันที

เรื่องราวกลับตาลปัตรเช่นนี้จริงรึ

บุคคลนั้นกล่าวต่อไปว่า “เจิ้งซิ่งไหวโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าไหวอ๋องผู้ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งต้าฟ่งของพวกเรา และยังสังหารผู้คนในเมืองฉู่โจวกว่าสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น เขาก็หลอกลวงคณะทูต เข้าเมืองหลวงมายื่นเรื่องร้องทุกข์ คิดดูสิว่าเขามีความเกลียดชังไหวอ๋องมากเพียงใด ข้าได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ฉู่โจว เขายักยอกกองทัพทหาร ทุจริตรับสินบน และถูกไหวอ๋องสั่งสอนอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงพะวงอยู่ในใจมาโดยตลอด เหตุผลที่เขาสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนครั้งนี้ ก็เป็นเพราะไหวอ๋องเก็บรวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของเขา และจะเปิดโปงเขาต่อราชสำนัก…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ บุคคลนั้นก็หลั่งน้ำตาและทอดถอนใจ “ถึงแม้ข้าจะเป็นคนธรรมดา แต่กลับไม่ยินดีที่จะกล่าวถึงคนประเภทนี้ น่าเสียดายไหวอ๋อง วีรบุรุษแห่งยุคต้องมามีจุดจบที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้”

แขกเหรื่อต่างก็ตกใจจนหน้าซีด และพูดคุยกันอย่างดุเดือด โดยไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกต่อไป

“เป็นไปไม่ได้ ข่าวการสังหารหมู่ของไหวอ๋อง เป็นเรื่องที่คณะทูตนำกลับมารายงาน และสวี่อวิ๋นหลัวก็เป็นคนนำกลับมารายงานด้วยตนเอง”

“จริงด้วย สวี่อวิ๋นหลัวพิพากษาคดีเฉียบขาดราวกับเทพเจ้า เขาจะใส่ร้ายไหวอ๋องได้อย่างไร”

“พวกเราไม่เชื่อ”

“หึ พวกเจ้าไม่เชื่อก็ตามใจ รอดูประกาศของราชสำนักพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”

“ถุย! เว้นแต่สวี่อวิ๋นหลัวจะพูดกับปากเขาเอง มิเช่นนั้น พวกเราไม่เชื่อ รอดูข่าวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ตะเกียบของหลี่เมี่ยวเจินหล่นลงมาดัง ‘เคร้ง’

สวี่ชีอัน…ใจของพระมเหสีหล่นไปที่ตาตุ่ม คนที่นางนึกถึงเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสวี่ชีอันที่น่ารำคาญคนนั้น

รู้สึกราวกับประโยคที่เขาเคยพูดยังดังก้องอยู่ที่ข้างหู ‘ข้าจะไปเมืองฉู่โจวเพื่อหยุดเขา หากเป็นไปได้ ข้าก็จะฆ่าเขา’…

วันนี้ข่าวสมุหเทศาภิบาลแห่งเมืองฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหวฆ่าตัวตายหนีความผิดแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คำพรรณนาของผู้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง มีใจความว่า เจิ้งซิ่งไหวสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน ฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือ สังหารประชาชนเมืองฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน หลังจากนั้น แทนที่จะยอมรับผิด กลับย้อนเล่นงานฝ่ายตรงข้าม โดยการโยนความผิดให้อ๋องสยบแดนเหนือ เพื่อทำลายชื่อเสียงเสาหลักแห่งต้าฟ่งจนป่นปี้

สำหรับข่าวลือเหล่านี้ บางคนประหลาดใจ บางคนไม่เชื่อ และบางคนก็สับสน…

ผู้คนในท้องตลาดไม่รู้เรื่องราวภายใน นับประสาอะไรกับกลอุบายที่ยุ่งยากในนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครเช่นนี้ โดยสัญชาตญาณคนธรรมดามักจะมองหาคนที่มีอำนาจในใจพวกเขา

คำแถลงของผู้มีอำนาจในจิตใจ ถึงจะเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเขายินดีจะเชื่อ

ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คนที่เรียกได้ว่ามีอำนาจกับชาวบ้านในท้องตลาด ดูเหมือนจะมีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น

แต่ตอนนี้เขาเพิ่งออกมาจากสำนักโหราจารย์

ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้พบเขา สวี่ชีอันก็ไม่ได้วางแผนจะพบท่านโหราจารย์ เขาเพียงแค่ฝากไฉ่เวยนำข้อความไปบอกท่านโหราจารย์เท่านั้น

เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่น กำลังรอเขาอยู่ที่นอกตึกสำนักโหราจารย์

นักดาบที่มีช่อผมขาวอยู่บริเวณหน้าผากยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “เจ้าอยากจะเดินตามข้าไปในยุทธภพหรือไม่”

สวี่ชีอันฉีกยิ้ม “การเต้นรำของหญิงงามดินแดนประจิมทิศกระชุ่มกระชวยหัวใจดีหรือไม่”

ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่เข้าใกล้หญิงงามมานานแล้ว”

สวี่ชีอันโบกมือปฏิเสธพวกเขา “ต้องมีสักวัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เขาเดินจากไปเพียงลำพัง

ก่อนพลบค่ำ สวี่เอ้อร์หลางและอารองสวี่พาหญิงสาวในตระกูลออกจากเมือง

การประชุมในเช้าวันรุ่งขึ้น!

เหล่าขุนนางหลั่งไหลเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เสด็จมา เขาดูเหมือนร้อนอกร้อนใจที่จะเข้าประชุมในเช้านี้มากเป็นพิเศษ

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งลงอย่างมั่นคง ขันทีชราก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวเสียงดังว่า “มีเรื่องใดให้กราบทูล ไม่มีเรื่องอันใดให้เลิกประชุม”

ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในขณะนี้ สายตาของคนในท้องพระโรงนับไม่ถ้วน ต่างก็จับจ้องไปที่หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จำต้องกัดฟันทำ เขาก้าวออกจากแถว และโค้งคำนับ “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

สำหรับคนที่เสียชีวิตในศาลต้าหลี่ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้เขาเป็นคนพูดเท่านั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุกยิ้มที่มุมปาก “จงพูดเถอะ”

หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว ฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุกตอนเที่ยงเมื่อวานนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ตำหนักกระดิ่งทองเงียบสงัดจนน่าขนลุก

รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิหยวนจิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ขุนนางทุกท่านคิดว่าควรสรุปคดีนี้อย่างไร”

เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยง ก้าวออกมาจากแถวและกล่าวว่า “ในเมื่อเขาฆ่าตัวตายหนีความผิด งั้นก็สามารถปิดคดีฉู่โจวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหว คนจางโจว รับวุฒิบัณฑิตขั้นสูงระดับสองเมื่ออายุสิบเก้าปี บุคคลนี้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชน สังหารอ๋องสยบแดนเหนือ และประชาชนชาวฉู่โจวสามแสนแปดหมื่นคน สมควรได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตร เจิ้งซิ่งไหวมีลูกชายคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่ชิงโจว ราชสำนักสามารถออกจดหมายรายงานข่าวให้สมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจวหยางกงจับกุมครอบครัวของเขา ตัดหัวประจานต่อสาธารณะ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ “มีใครจะคัดค้านหรือไม่”

ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ

จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะขึ้นมา ด้วยประโยชน์จากวิธีการถ่วงดุลอำนาจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขา ราชสำนักแบ่งเป็นพรรคพวกทั้งเล็กและใหญ่ ราวกับพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม ยากที่จะประสานสามัคคีกัน

ที่ผ่านมาเขาอยู่บนที่สูง และปล่อยให้คนเหล่านี้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่เมื่อจักรพรรดิอย่างตนเองลงสนาม สุดท้ายพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วมเหล่านี้ ก็ยังเป็นเพียงพวกกลุ่มที่ขาดซึ่งอุดมการณ์ร่วม

การตัดสินใจของเขาถือเป็นพระประสงค์สูงสุดของต้าฟ่ง

คนกลุ่มนี้อยากจะเหยียบย่ำหน้าราชวงศ์ไว้ใต้ฝ่าเท้าและทำให้คนใต้หล้าถูกทอดทิ้ง

ช่างน่าขัน

ในบรรดาขุนนาง เชวียหย่งซิวแทบจะควบคุมเสียงหัวเราะของตนเองไม่ได้ แม้กระทั่งความสุขบนใบหน้าของเขาก็ยากที่จะปิดมิด เว่ยเยวียนก็ดี สมุหราชเลขาธิการหวางก็ดี รวมทั้งขุนนางบุ๋นคนอื่นๆ ท้ายที่สุดก็เป็นแค่ข้าราชการคนหนึ่ง

ไม่ว่าวิธีการจะยอดเยี่ยมอย่างไร ในสายตาของจักรพรรดิ ก็ยังเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

หลังจากคดีนี้ เขาไม่เพียงใช้เวลาอย่างสงบสุข แต่ยังได้รางวัลตอบแทนที่ลงทุนลงแรงทำอีกด้วย ตำแหน่งฮู่กั๋วกงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในที่สุด ก็ฟื้นขึ้นในมือของตนเองอีกครั้ง

เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งขันทีชราตะโกนว่า “เลิกประชุม!”

เชวียหย่งซิวรู้ว่าเรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางก็ไร้ซึ่งอำนาจ

ทุกคนออกมาจากตำหนักกระดิ่งทอง และก้าวเดินด้วยความรีบร้อน ราวกับไม่อยากอยู่นานไปกว่านี้

“เฉากั๋วกง คืนนี้ไปผ่อนคลายที่สำนักสังคีตกันเถอะ อยู่แดนเหนือหลายปี ข้าเกือบลืมความงดงามสดใสของเหล่าหญิงงามในสำนักสังคีตไปแล้ว” เชวียหย่งซิวพูดคุยกับเฉากั๋วกงอย่างอารมณ์ดี

เฉากั๋วกงขมวดคิ้ว ด้วยสถานะของเขาเช่นนี้ย่อมไม่ควรค่าแก่การไปสำนักสังคีต หญิงงามราวกับดอกไม้ทั้งในจวนและนอกห้องมีมากมายนับไม่ถ้วน ตนเองโชคดีพอที่จะไม่ต้องไปแล้ว

แต่เมื่อเห็นสีหน้าสำเริงสำราญของเชวียหย่งซิว เฉากั๋วกงก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้!”

เมื่อกล่าวแล้ว เขากลับส่ายศีรษะอีกครั้ง “ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปข้างนอกจะดีกว่า อยู่ที่จวนเถอะ หากอยากนอนกับสาวงามในสำนักสังคีต ก็ให้นางไปที่จวนของฮู่กั๋วกงก็ได้ เจ้าจะไปด้วยตัวเองทำไมเล่า”

เชวียหย่งซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าที่เขาพูดก็สมเหตุสมผล “งั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงในจวน ชวนเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทมา เฉากั๋วกงต้องมาให้ได้”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว…”

ในขณะที่เฉากั๋วกงกำลังยิ้มแย้ม ก็สังเกตเห็นว่าเหล่าขุนนางบุ๋นที่อยู่เบื้องหน้าหยุดเดิน และรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูอู่เหมิน

เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี จึงกล่าวกระซิบว่า “ไป ไปดูกันเถอะ”

เชวียหย่งซิวงุนงงเล็กน้อย แต่ก็เดินตามเขาไปที่ประตูอู่เหมินด้วยกัน หลังจากฝ่าฝูงชนมาได้ ก็เห็นร่างของบุคคลหนึ่งยืนอยู่ที่นอกประตูอู่เหมิน

บุคคลนี้สวมชุดสามัญชน ร่างสูงตระหง่านยืนถือดาบอยู่นอกประตูอู่เหมิน ปิดกั้นทางเดินของเหล่าขุนนาง

บริเวณไม่ไกลจากเขามีบุคคลในชุดขาวและบุคคลในชุดแดงยืนอยู่

“สวี่ชีอัน เจ้าขวางประตูอู่เหมินอีกทำไมกัน ครั้งนี้เจ้าคิดจะทำอะไรอีก” เจ้ากรมอาญาซุนซ่างชูตะโกนออกไปตามหน้าที่

เหล่าขุนนางมองเขาด้วยความโกรธที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ ฉากเบื้องหน้าเป็นเหมือนการกระทำที่คุ้นเคย ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ถูกปลุกภาพทางจิตใจขึ้นมา

โดยเฉพาะซุนซ่างชู เขาเคยถูกนักแต่งกวีสกุลสวี่คนนี้ด่าถึงสองครั้งสองครา

สวี่ชีอัน? เขาคือสวี่ชีอันที่อยู่ตอนที่เกิดเหตุสังหารหมู่ที่เมืองฉู่โจว ได้ยินเฉากั๋วกงพูดว่าเขาคือผู้สนับสนุนของเจิ้งซิ่งไหว…

เชวียหย่งซิวขมวดคิ้ว คำพูดนั้นหมายความว่าอะไร คนผู้นี้เคยขวางประตูอู่เหมินมาครั้งหนึ่งแล้วงั้นรึ

สวี่ชีอันกวาดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ด้วยความสงบ “ผู้ใดคือเชวียหย่งซิว และเฉากั๋วกง พวกเจ้าทั้งสองจงก้าวออกมา” เฉากั๋วกงขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มชัดเจนมากขึ้น

“โอ้ ชายผู้นี้ช่างกล้าหาญชาญชัย นี่อยากจะด่าข้ารึ คิดว่ามีเว่ยเยวียนคอยหนุนหลังอยู่ คิดว่าเคยด่าขุนนางบุ๋นมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็เลยคิดว่าจะด่าข้าได้งั้นรึ”

ฮู่กั๋วกงเชวียหย่งซิวยิ้มเยาะด้วยสายตาเย็นชา “คิดว่าข้าเหมือนกับขุนนางบุ๋นเหล่านั้น ที่เอาแต่ขยับปากพูดงั้นรึ”

เฉากั๋วกงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฐานอบรมบ่มเพาะของบุคคลนี้ก็มิได้เสื่อมโทรม ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรเหมือนกัน”

เชวียหย่งซิวพ่นลมหายใจด้วยความดูถูก และกล่าวอย่างทันทีทันใด “เจ้าว่าถ้าข้าตัดหัวเขาที่นี่ ฝ่าบาทจะทรงตำหนิข้าหรือไม่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉากั๋วกงก็ยิ้มกว้าง “ตราบใดที่เจ้ายั่วยุให้เขาลงมือได้ เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย อืม เด็กนี่พึ่งพาการสนับสนุนของเว่ยเยวียน และโอ้อวดตนเองไปทั่วเมืองหลวงอย่างไร้ยางอาย”

“นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยพบข้า ข้าต่อสู้อยู่ในสนามรบมาหลายปี ชอบการทรมานด้วยหนามที่สุด”

เชวียหย่งซิวหัวเราะเยาะ และเดินเคียงบ่าเคียงไหล่พร้อมกับเฉากั๋วกงไปที่เบื้องหน้าเหล่าขุนนาง เขามองชายหนุ่มที่ยืนถือดาบ และกล่าวหยอกล้อว่า “ข้าคือคนที่เจ้าตามหา ทำไม จะด่ารึ ได้ยินมาว่าเจ้าสวี่ชีอันแต่งบทกวีเก่งมาก งั้นก็แต่งให้ข้าสักบท ชื่อเสียงอันดีของข้าคงได้จารึกลงในประวัติศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

เชวียหย่งซิวและเฉากั๋วกงระเบิดหัวเราะขึ้นมา

หลังจากกล่าวแล้ว ก็พบว่าชายหนุ่มที่ถือดาบยังคงนิ่งราวกับภูเขา เชวียหย่งซิวคิดว่ายังเติมเชื้อเพลิงไม่พอจึงกล่าวเยาะเย้ยต่อไป “เว่ยกง มาตรฐานในการอบรมสั่งสอนของเจ้ายังดีไม่พอ ดูเด็กที่ไร้กฎเกณฑ์นี่สิ บุกรุกประตูอู่เหมิน กำเริบเสิบสาน หากเจ้าอบรมสั่งสอนไม่ได้ เช่นนั้นให้ข้าสั่งสอนแทนเจ้าเป็นอย่างไร”

เว่ยเยวียนเงียบกริบและมองสวี่ชีอันโดยไม่พูดไม่จา

“วันนี้ข้าไม่ได้มาด่า” สวี่ชีอันถอนหายใจ “ข้ามาฆ่าคน”

สีหน้าของเฉากั๋วกงและขุนนางทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก

“ฮ่าๆๆ…” เชวียหย่งซิวกลับรู้สึกว่าตนเองได้ยินเรื่องตลกที่น่าขัน เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “เขาบอกว่าจะฆ่าคน พวกเจ้าจงฟังเขา เขาบอกว่าจะฆ่าคน ฆ่าคนที่หน้าประตูอู่เหมิน”

ในขณะที่กำลังหัวเราะร่า จู่ๆ เขาก็ตกตะลึงอย่างทันทีทันใด เมื่อหันไปมองด้วยความงุนงง ก็พบกว่าเหล่าขุนนางต่างเดินถอยหลังออกไปพร้อมๆ กัน

ในบรรดาคนเหล่านั้น มีเจ้ากรมหกชั้นศาล ขุนนางใกล้ชิดหกชั้นศาลและเหล่าสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน…

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวง แต่กลับหวาดกลัวฆ้องเงินเล็กๆ คนหนึ่งงั้นรึ

เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางไม่เคลื่อนไหวใดๆ และยังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

นี่…เชวียหย่งซิวตะลึงงัน ทันทีที่หันไปมองเฉากั๋วกง ก็พบว่าเขาแอบถอยหลังไปอย่างเงียบๆ มากกว่าสิบจั้งแล้ว

เขามองการแสดงออกของเหล่าขุนนางบุ๋นอีกครั้ง ในที่สุด เวลานี้เขาก็ค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ในสายตาของพวกเขามีความเกลียดชังเล็กน้อย ไม่พอใจเล็กน้อยและ…คาดหวังเล็กน้อย?!

“ทหารรักษาวังล่ะ ทหาร ทหาร จัดการไอ้หอกข้างแคร่คนนี้ให้ข้า” เชวียหย่งซิวตะโกนเสียงดัง

กองทัพทหารรักษาวังที่อยู่ไม่ไกลทยอยพุ่งตัวเข้ามาล้อมสวี่ชีอัน พลางชักดาบออกมาชี้เขา

เชวียหย่งซิวโบกมือด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ผู้ร้ายคนนี้ขู่จะฆ่าข้าในพระราชวัง รีบจัดการแล้วส่งมอบให้ฝ่าบาททรงลงโทษ”

ทหารรักษาวังไม่ไหวติง

“จัดการมันซะ คำสั่งของข้าไม่มีความหมายแล้วรึ” เชวียหย่งซิวโกรธจัด

เวลานี้เอง มีเสียงเตือนอย่างแผ่วเบาลอยออกมาจากฝูงชน “เขา…เขามีแผ่นเหล็กอักษรแดง…”

ดวงตาของเชวียหย่งซิวเบิกกว้างในทันใด เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงถอยหนี เข้าใจแล้วว่าทำไมทหารรักษาวังถึงไม่ลงมือ

ทหารรักษาวังคือกลุ่มทหารที่ปกป้องจักรพรรดิ เมื่อชีวิตของจักรพรรดิไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขาไม่สามารถสู้กับคนที่ครอบครองแผ่นเหล็กอักษรแดงอยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตายได้

‘แผ่นเหล็กอักษรแดงแล้วยังไง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือในพระราชวัง’…เชวียหย่งซิวไม่กลัว เขาเป็นยอดฝีมือระดับห้าด้วยตัวเขาเอง แม้ไม่ได้ถือดาบเข้าราชสำนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอำนาจสู้กลับ

เวลานี้เอง สวี่ชีอันก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและจุดไฟเผา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กักขัง!”

ร่างของเชวียหย่งซิวและเฉากั๋วกงแข็งทื่อชั่วขณะ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วครู่

สวี่ชีอันถือดาบและเดินไปทางพวกเขาทั้งสองทีละก้าว

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “สวี่ชีอัน อย่าทำร้ายตนเอง ฮู่กั๋วกงเป็นยุคสมัยแรกหลังจากวีรบุรุษก่อตั้งอาณาจักร หากมีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นกับเขา เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”

ผู้ตรวจการจางสิงอิงร้อนอกร้อนใจมาก “เว่ยกง รีบห้ามปรามเขาเถอะ”

เว่ยหยวนไม่เคลื่อนไหวใดๆ

สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว เหล่าขุนนางก็ถอยไปหนึ่งก้าว จนเหลือเพียงเฉากั๋วกงและผู้พิทักษ์ชาติที่โดดเด่นออกมา

‘กร๊อบ กร๊อบ…’

เขาชูฝักดาบขึ้น และทุบลงที่กระดูกหัวเข่าของผู้พิทักษ์ชาติและเฉากั๋วกง

ถึงแม้พวกเขาจะขยับตัวไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดกลับไม่ลดลงสักนิด สีหน้าของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงซีดเผือด พลางร้องคำรามเสียงดังสนั่น

เชวียหย่งซิวมองไปที่เหล่าขุนนาง และตะโกนขอความช่วยเหลือ

“พวกเจ้ารีบห้ามเขาเร็วเข้า รีบห้ามเขาเร็ว พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นขุนนางในราชวงศ์เดียวกัน เห็นคนใกล้ตาย พวกเจ้าไม่สามารถนิ่งเฉยได้ ทหารคนหนึ่งกล้าฆ่าคนที่นอกประตูอู่เหมิน แต่ทุกคนในราชสำนักไม่มีใครกล้าออกมาพูดสักคน พวกเจ้า…พวกเจ้าอยากถูกปัญญาชนใต้หล้าหัวเราะเยาะรึ”

ขุนนางหนุ่มหน้าใหม่ที่เพิ่งผ่านการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ถูกโน้มน้าวโดยคำพูดของเขา จึงก้าวออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อหยุดการจู่โจมของสวี่ชีอัน

แต่จู่ๆ เจ้ากรมอาญาที่อยู่ข้างเขาก็กวาดท่อนขาเตะเขากลับไปที่เดิม

เจ้ากรมหกชั้นศาล รองเจ้ากรม ขุนนางใกล้ชิดหกชั้นศาล ขุนนางเหล่านี้มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ท้องพระโรง แต่กลับพร้อมใจกันเลือกที่จะเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน

แม้แต่คนที่เกลียดชังสวี่ชีอันก็ยังไม่พูดอะไร

เชวียหย่งซิวเข้าใจแล้ว ปัญญาชนใจดำเหล่านี้ต้องการยืมดาบคนอื่นฆ่าคน

พวกเขาทั้งหมดอยากให้ตนเองตาย

สวี่ชีอันเก็บกระบี่กลับไปที่เอวตามเดิม ก่อนจะกวักมือไปบนท้องฟ้าทางด้านตะวันตก ไม่มีใครเข้าใจการกระทำและการเคลื่อนไหวของเขา

หลังจากนั้นสวี่ชีอันก็ลากคอเสื้อของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงเดินออกไป

………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด