ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 226-3 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (2)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 226-3 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 226 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (2)

“หยางเชียนฮ่วนล่ะ” ผู้ตรวจการจางเอ่ยถาม

“ไปแล้ว ข้ารั้งเขาไว้ไม่ได้” เจียงลวี่จงกล่าว

เขาโกรธหยางเชียนฮ่วนอยู่นิดหน่อย ตราบใดที่เขาจดจำการเสียสละตนของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามได้ เจียงลวี่จงก็จะรู้สึกโมโหเพราะไร้สามารถและโกรธเกลียดตัวเอง ทั้งยังพาลไปโกรธหยางเชียนฮ่วนด้วย

แม้ว่าหยางเชียนฮ่วนจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วก็ตาม

การตำหนิตนเองและความเศร้าเสียใจจะติดตามเขาไปอีกนาน จนกระทั่งกาลเวลาผันผ่านและได้คลี่คลายปมในใจ เขาถึงจะ ‘แย้มยิ้ม’ ให้กับตัวเองและปล่อยวางอดีตได้ในที่สุด

“เขามาที่อวิ๋นโจวด้วยเหตุใด” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว

เจียงลวี่จงส่ายหน้า

ทันใดนั้น หูของเจียงลวี่จงก็ขยับ เขาหันไปมองบรรยากาศค่ำคืนมืดมิดทันที หลี่เมี่ยวเจินช้ากว่าหนึ่งจังหวะ ทว่านางก็หันหน้าไปมองเช่นกัน

“มาแล้ว!” เจียงลวี่จงพูดเสียงขรึม

ทุกคนพุ่งออกไปจากป้อมแล้วไปยังกำแพงเมืองทันที ดวงตาเพ่งมองไปไกลๆ และได้เห็นแสงไฟสว่างติดต่อกันเป็นทอดๆ ปรากฏขึ้นกลางความมืดมิดที่อยู่ห่างไกล ลอยอยู่เอื่อยๆ ราวกับแม่น้ำที่กำลังไหลบ่า

‘กุบกับๆๆ…ตึงๆๆ…’

เสียงแตรและเสียงกลองศึกดึงขึ้นพร้อมกัน สะเทือนก้องค่ำคืนหนาวเหน็บอันเงียบสงัด

ทหารที่นอนหลับพิงอยู่กับกำแพงพากันตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอาวุธ หอก ธนู และโล่ที่อยู่ข้างตัว ก่อนเข้าสู่ภาวะพร้อมรบ

หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่บนกำแพงเมืองและหรี่ตามองไปที่ไกลๆ ทันใดนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ระวัง!”

เสียงตะโกนเพิ่งจะดังขึ้น แสงสีเงินก็ทะลวงอากาศเข้ามา ปลายหอกส่งเสียงหวีดแหลมอยู่กลางอากาศ

‘ทหารระดับสี่!’

‘ทั้งยังเป็นทหารระดับสี่ขั้นสูงสุดด้วย!’

หลี่เมี่ยวเจินตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายตึงเครียดขึ้นมา อวิ๋นโจวมียอดฝีมือขั้นสูงเช่นนี้ด้วยหรือ โจรภูเขามีจอมพลังระดับสี่เช่นนี้ด้วยหรือ?

ภาพต่อจากนั้นกลับทำให้นางตื่นตะลึงขึ้นมาจริงๆ เพราะเจียงลวี่จงเป็นฝ่ายบุกเข้าไปก่อน แล้วยื่นมือไปจับหอกเงินเอาไว้อย่างไม่ช้าไม่เร็ว ไม่มีความตึงเครียดและระมัดระวังอย่างที่ควรมีเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเลยแม้แต่นิด

และที่ทำให้นางคาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ หอกเงินที่คล้ายจะดุร้ายหาใดเปรียบกลับอ่อนยวบไร้กำลัง เป็นฝ่ายส่งตัวเองไปให้กับเจียงลวี่จง

หลี่เมี่ยวเจินเพ่งสายตามองไป นี่คือหอกเงินหนาหนักเล่มหนึ่ง สีเงินบนหัวหอกมีคราบสนิม บ่งบอกถึงความโชกโชนตามกาลเวลาของมัน แต่ประกายแสงเย็นเยียบที่ปลายหอกกลับน่าเกรงขาม ซ้ำยังมีรอยเลือดที่ยังไม่แห้งกรังติดอยู่

เมื่อเทียบกับหอกธรรมดาๆ ในมือของนางแล้ว หอกเล่มนี้ต่างหากที่เป็นอาวุธรบของจริง

อาวุธเจ้าชะตาของหลี่เมี่ยวเจินคือกระบี่บิน สาเหตุที่นางใช้หอกนั้น หลักๆ เป็นเพราะหลังจากเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว จะต้องมีอาวุธที่เหมาะสมกับฐานะ

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ร่างร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นหลายร้อยเมตรแล้วแล่นตัดผ่านอากาศสูง ก่อนพุ่งมาอยู่บนกำแพงเมือง

คนผู้นี้สวมใส่ชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสีดำ ปักลายฆ้องทองคำที่หน้าอก ใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างราวกับรูปสลัก

“เจ้ามาได้อย่างไร” เจียงลวี่จงทั้งดีใจทั้งคาดไม่ถึง เขาโยนหอกเงินคืนให้

“ท่านพ่อบุญธรรมสั่งให้มาปราบโจรที่อวิ๋นโจว” หยางเยี่ยนรับหอกยาวมาแล้วตอบนิ่งๆ

ผู้ตรวจการจางตะลึง คล้ายกับมั่นใจอะไรบางอย่างจึงเอ่ยถาม “เว่ยกงพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

“ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวว่าโจรภูเขาอวิ๋นโจวอาจก่อความวุ่นวาย จึงสั่งให้ข้ามาที่นี่อย่างลับๆ” หยางเยี่ยนกล่าว

“เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ลอบสืบดูกำลังทหารของหน่วยกองแต่ละแห่งของอวิ๋นโจวแล้ว เดิมทีตั้งใจจะจัดการพวกโจรภูเขาสักพัก นึกไม่ถึงว่าเช้าวันนี้จะมีโจรภูเขาสิบกว่าแห่งก่อความวุ่นวาย ข้าเพิ่งนำกองกำลังไปทำลายล้างเสร็จสิ้น และเดาได้ว่าเมืองไป๋ตี้อาจเกิดเรื่องจึงรีบเดินทางมา ข้าพบกองทัพทหารสองพันคนอยู่ที่นอกเมืองไป๋ตี้หกสิบลี้ เพิ่งจะสังหารเสร็จสิ้น”

หลี่เมี่ยวเจินกวาดตามองปลายหอก ลอบเอ่ยในใจว่า ‘มิน่าเล่า บนนั้นถึงยังมีรอยเลือดอยู่’

ผู้ตรวจการจางโล่งอก ‘ที่แท้พวกเราก็เป็นแค่หมากด้านสว่างนี่เอง เว่ยกงยังมีแผนในมุมลับอยู่’

หยางเยี่ยนกวาดสายตามองทุกคน เมื่อมองคนในกลุ่มดีแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สวี่ชีอันล่ะ”

สีหน้าของผู้ตรวจการจางพลันแข็งทื่อทันใด ความปีติยินดีในแววตาของเจียงลวี่จงค่อยๆ เลือนหาย

หยางเยี่ยนใจจมดิ่ง ใบหน้าที่เดิมเป็นอัมพาตยิ่งเย็นชามากขึ้น

“เขา…” แววตาของผู้ตรวจการจางเผยความโศกเศร้า กล่าว “เขา สู้จนตัวตายแล้ว”

หลี่เมี่ยวเจินก้มหน้าเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ

‘กึก…’ ก้อนอิฐที่อยู่ใต้เท้าของหยางเยี่ยนแตกออกทันใด พลังปราณสายหนึ่งแผ่ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ แสดงให้เห็นว่าฆ้องทองคำผู้นี้เสียการควบคุมอารมณ์แล้ว

แววตาของเขาคมกริบดุจใบมีด ใบหน้าที่แข็งกระด้างมาตลอดปีบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด เขากัดฟันเอ่ยถาม “ตายได้อย่างไร”

ผู้ตรวจการจางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หยางเยี่ยนฟังอย่างละเอียด สุดท้ายเมื่อกล่าวว่าสวี่ชีอันปกป้องทุกคน ต่อให้ตายก็ไม่ถอยออกมา ขอบตาของใต้เท้าผู้ตรวจการก็แดงก่ำ

“ร่างเขาถูกธนูยิงเข้าสามสิบเอ็ดดอก โดนดาบฟันหกสิบกว่าที่…ถึงตายเขาก็ยังยืนอยู่ บอกให้ถอยก็ไม่ยอม…หนึ่งสัญญามีค่าหนักเท่าทองพันชั่ง”

เจียงลวี่จงค่อยๆ ถอนหายใจออกมา เขามองท่าทางทุกข์ใจของผู้ตรวจการจางแล้วก็ทนไม่ได้ จึงเอ่ยเสียงขรึม

“เป็นเพราะข้าละเลยหน้าที่ ขออภัยขอรับ…”

หอกยาวในมือของหยางเยี่ยนกวาดเข้ามาโดยไม่มีการเตือน ตัวหอกบิดงอ ด้ามหอกคดโค้งแล้วกระแทกเข้ากับทรวงอกของเจียงลวี่จงอย่างแรง

‘ปัง!’

เสียงอึกทึกกึกก้องดังสนั่นฟ้าดิน

ร่างเจียงลวี่จงกระแทกเข้ากับกำแพงป้อมแล้วกระเด็นออกไป

หยางเยี่ยนทำลายป้อมบนกำแพงเมืองไปเสียครึ่งหนึ่งแล้วพุ่งขึ้นฟ้า เสียงร้องคำรามสะท้อนก้อง “เจียงลวี่จง เจ้าตัวสารเลว วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า”

จุดพักม้า ห้องโถงใหญ่

ร่างสวี่ชีอัน ศพของฆ้องเงินสามคน และฆ้องทองแดงหนึ่งคนถูกวางไว้กลางโถงใหญ่ บนร่างคลุมไว้ด้วยผ้าขาว

ลูกศรบนร่างของสวี่ชีอันถูกดึงออกไปแล้ว ใบหน้าที่เปื้อนเลือดก็ถูกเช็ดจนสะอาด ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่นอนไม่หลับพากันลงมาชั้นล่างเงียบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซ้ายขวาข้างกายสวี่ชีอัน

พวกเขาไม่พูดอะไร เพียงนั่งอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนกัน

ความโศกเศร้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเงียบงัน

ระหว่างนั้น ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอยู่สองประโยค “คิดเสียว่าเป็นการปกป้องวิญญาณของเจ้าแล้วกัน” และ “ชาติหน้าค่อยมาเป็นพี่น้องกันอีกนะ”

จูกว่างเสี้ยวเอ่ยหนึ่งประโยค “สุดท้ายแล้วก็เหลือแต่พวกเราสองคน”

เทียนค่อยๆ มอดไหม้จนสุดปลาย น้ำตาเทียนไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่าแล้วแข็งตัว ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้านี้ ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบๆ ดังมาจากด้านนอกจุดพักม้า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งมาถึงที่นี่ ผู้นำคือหยางเยี่ยน ฆ้องทองคำหยางคล้ายผ่านสมรภูมิหนักหน่วงมารอบหนึ่ง สภาพของเขากระเซอะกระเซิงยิ่งนัก

ด้านหลังมีฆ้องเงินสองสามคนที่ตามเขามายังอวิ๋นโจวด้วย ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างก็รู้จัก

สวี่ชีอันก็รู้จักเขาเช่นกัน ตัวอย่างเช่นหมิ่นซานและหยางเฟิงที่เคยสืบคดีซังผอด้วยกัน ตัวอย่างเช่น…หัวหน้าของพวกเขาทั้งสาม หลี่อวี้ชุน

หลี่อวี้ชุนในขณะนี้เหมือนกับศพเดินได้ เขาเดินไปหาสวี่ชีอันทีละก้าวๆ เดินได้ช้ายิ่งนัก เพียงก้าวสั้นๆ สิบก้าวก็ราวกับเต็มไปด้วยขวากหนาม เมื่อเหยียบลงไปก็เจ็บทรมานที่ใจทุกครา

หลี่อวี้ชุนยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมศพ…ร่างกายซวนเซ

“หัวหน้า”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรีบเข้าไปพยุง

หลี่อวี้ชุนก้มหน้ามองหน้าสวี่ชีอันพลางกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าหนิงเยี่ยนตายแล้ว แต่ตายอย่างไร รายละเอียดนั้นข้ายังไม่รู้ พวกเจ้าสองคนเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเป็นกังวล หัวหน้าสงบเกินไปแล้ว

ซ่งถิงเฟิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลี่อวี้ชุนฟัง หลี่อวี้ชุนฟังอย่างเงียบเชียบแล้วค่อยๆ พยักหน้า “สมแล้วที่เป็นฆ้องทองแดงที่ข้าสั่งสอนมา ทำได้ดีนัก ไม่ทำให้ข้าเสียหน้า เขาทำอะไรก็มักจะถูกใจข้าเสมอ เหมือนกับตอนนั้นก็ฟันเจ้าพันทางแซ่จู เขาไม่เคยโลภเงินทอง เรื่องนี้เขาดีกว่าพวกเจ้าทั้งสอง พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากเขาไว้ จุดเดียวที่เขาไม่ดีก็คือการฝึกตนนั้นหละหลวมเกินไป ทั้งยังมักจะแอบไปฟังดนตรีที่หอคณิกายามลาดตระเวนอีก มีคนมารายงานข้าตั้งหลายครั้ง”

เขาพูดพล่ามเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หวนนึกถึงเศษเสี้ยวของอดีต

ท่าทางยังนับว่าสงบนิ่งอยู่ ทำให้ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวถอนหายใจออกมา พวกเขารู้ว่าหัวหน้าให้ความสำคัญและชื่นชมสวี่ชีอันมาก ตอนแรกนั้นเป็นเพราะเรื่องฟันฆ้องเงิน เขาถึงขั้นกล้าหักหน้าเว่ยกงในที่สาธารณะ

แต่แล้วเมื่อเขาเลิกผ้าขาวออกและตรวจดูเสื้อผ้าของสวี่ชีอัน เขาก็ระเบิดน้ำเสียงออกมาทันที

“ไอ้ลูกสุนัขตัวไหนมันจัดเสื้อผ้าให้เขา ใครมันจัดเสื้อผ้าให้เขา ชุดไม่เรียบร้อยเลย ไม่เรียบร้อย…”

เขาอ้าปากตะโกนด่า ท่าทางโมโหจนแทบจะชักดาบออกมาฟันคนแล้ว ราวกับว่าขอเพียงมีท่าทีเช่นนี้ คนอื่นจึงจะเพิกเฉยต่อน้ำตาที่โหมซัดสาดของตน

“หัวหน้า” ซ่งถิงเฟิงตะโกน

“ชุดเขาไม่เรียบร้อย ชุดไม่เรียบร้อย” หลี่อวี้ชุนปิดหน้าด้วยมือสองข้าง ไหล่สั่นเทาอย่างไม่หยุดหย่อน…

หลี่เมี่ยวเจินกลับไปยังจวนในเมืองไป๋ตี้แล้ว นางนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องตำราคนเดียวเนิ่นนาน กระจกหยกถูกวางไว้ข้างๆ

นางอยากจะหยิบขึ้นมาอยู่หลายครั้งเพื่อบอกกล่าวให้ทุกคนทราบเรื่องการตายของหมายเลขสาม แต่ก็อดกลั้นเอาไว้

‘คิดเสียว่าเป็นการรักษาหน้าให้เขาครั้งสุดท้ายแล้วกัน….’ หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ สุดท้ายก็หยิบกระจกขึ้นมาส่งข้อความ

‘ท่านนักบวช ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว’

ดึกดื่นค่อนคืน จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาเพราะการแจ้งเตือนข้อความ สมาชิกพรรคฟ้าดินโมโหอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเนื้อหาที่หมายเลขสองส่งมาก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

อีกแล้วหรือ

หมายเลขเก้า ‘ข้าปิดกั้นคนอื่นๆ แล้ว’

หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวช เรื่องที่อวิ๋นโจวสงบลงแล้ว’

หมายเลขเก้า ‘นี่ถือเป็นเรื่องดี’

หมายเลขสอง ‘ข้ารู้แล้วว่าหมายเลขสามก็คือสวี่ชีอัน’

นักบวชเต๋าจินเหลียนเปล่งเสียงหัวเราะ หมายเลขเก้า ‘นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี’

หมายเลขสอง ‘แต่สวี่ชีอันสิ้นชีพในการรบแล้ว’

หมายเลขเก้า ‘???’

หมายเลขสอง ‘ข้าจะหาวิธีนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับไป หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าจะออกจากอวิ๋นโจวแล้วเข้าไปเมืองหลวงสักรอบ’

หมายเลขเก้า ‘เจ้าแน่ใจหรือว่าสวี่ชีอันตายแล้ว’

หมายเลขสอง ‘อืม’

หมายเลขเก้า ‘เป็นไปไม่ได้’

หมายเลขสอง ‘เหตุใดท่านกล่าวเช่นนี้’

หมายเลขเก้า ‘สวี่ชีอันเป็นคนดวงดีโชคหนัก ไม่มีทางอายุสั้น’

หมายเลขสอง ‘แต่เขาตายแล้วจริงๆ ข้าเห็นศพกับตา’

นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยถาม ‘แล้วมีจิตเดิมลอยออกมาหรือไม่’

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ‘ตอนที่ข้าไปถึง เขาก็ตายไปแล้ว อีกอย่าง เขายังไม่ใช่ระดับหลอมวิญญาณ จิตเดิมยังไม่แข็งแรงนัก เมื่อถูกโจมตีด้วยปราณพิเศษและปราณโลหิตก็มีโอกาสอย่างมากที่มันจะสลายไปทันที’

อีกอย่าง ด้วยระดับของเทพธิดานิกายสวรรค์อย่างนาง จะไม่รู้ได้หรือว่าศพนั้นมีพลังชีวิตอยู่หรือไม่

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ตอบกลับอยู่นาน ผ่านไปพักหนึ่งก็กล่าว ‘ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหรอก สวี่ชีอันตายหรือรอด ข้าจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง’

หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนกลับไม่เชื่อการตัดสินของนาง แต่นางก็ไม่มีอะไรจะค้าน ข่าวก็บอกไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของท่านนักบวช

แต่ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเป็นสมบัติของนิกายปฐพี หลี่เมี่ยวเจินคิดว่านักบวชเต๋าจินเหลียนออกจะจัดการเรื่องนี้ได้เอื่อยเฉื่อยเกินไป ไม่ให้ความสนใจมากพอ

เมื่อจบการปิดกั้น หมายเลขหนึ่งก็รีบส่งข้อความมา ‘หมายเลขสอง คดีที่อวิ๋นโจวจบสิ้นแล้วหรือ’

หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับ ‘หากเจ้าอยากรู้รายละเอียดสถานการณ์ สามารถใช้ข้อมูลที่มีค่าเท่ากันมาแลกเปลี่ยนได้’

หมายเลขหนึ่ง ‘ได้ ไม่มีปัญหา’

หมายเลขสอง ‘ผู้ที่คบค้าสมาคมกับสำนักพ่อมดตัวจริงและสนับสนุนโจรภูเขาก็คือสมุหเทศาภิบาล ซ่งฉางฝู่ หลังจากความลับแดงออกมา เขาก็ปิดเมืองไป๋ตี้ แล้วเรียกกองทัพกบฏมาสังหารผู้ตรวจการจาง แม้ว่าจะล้มเหลว แต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลับสูญเสียอย่างสาหัส

‘พวกเรา…สวี่ชีอันที่เรามักกล่าวถึงยามพูดคุยกันผู้นั้น ก็สิ้นแล้ว’ สุดท้ายนางก็ไม่ได้เปิดเผยว่าสวี่ชีอันคือหมายเลขสาม

‘หมายเลขสามจะไม่มีวันปรากฏตัวอีกแล้ว’ …หลี่เมี่ยวเจินเสริมอยู่ในใจ รู้สึกเศร้าสลด

‘สวี่ชีอันสิ้นแล้ว?’

ในพรรคฟ้าดิน ผู้ที่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดก็คือหมายเลขหกเหิงหย่วน รองลงมาคือหมายเลขสี่ แต่หมายเลขสี่นั้นเสียดายที่พรสวรรค์ล้วนๆ

ทว่าภิกษุเหิงหย่วนไม่เหมือนกัน เขาได้รับรู้ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่ศิษย์น้องเหิงฮุ่ยตายอีกครั้งแล้ว

หมายเลขสอง ‘หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะไปเมืองหลวงสักหน หมายเลขหนึ่ง ข้าอยากรู้ข้อมูลของศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดของนิกายมนุษย์’

หมายเลขหนึ่งไม่ตอบนางอีก

ตอนนี้ที่อวิ๋นโจวกำลังยุ่งเหยิง วงราชการของเมืองไป๋ตี้สับสนวุ่นวาย ผู้คนตื่นตระหนก

ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการที่ถูกส่งมาจากราชสำนัก ผู้ตรวจการจางจึงไปไหนไม่ได้ เขาได้เขียนฎีกาถวายเกี่ยวกับคดีของอวิ๋นโจวส่งให้กับราชสำนักแล้ว จากนั้นเขาก็อยู่คอยควบคุมสถานการณ์โดยรวมในอวิ๋นโจวต่อ รอคอยคำสั่งเรียกตัวจากราชสำนัก และรอให้สมุหเทศาภิบาลคนใหม่มาที่อวิ๋นโจวก่อน เขาถึงจะสามารถกลับเมืองหลวงได้

เจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนยังอยู่ปราบโจรที่อวิ๋นโจวต่อ รวมถึงคอยคุ้มกันความปลอดภัยของผู้ตรวจการจางด้วย

แต่ร่างของสวี่ชีอัน ศพของฆ้องเงินสามคน และฆ้องทองแดงหนึ่งคนต้องถูกส่งกลับไปเมืองหลวง พวกเขาเป็นผู้กล้า ไม่ควรฝังร่างไว้ไกลบ้านเกิด ในฤดูหนาวเดือนสิบสอง ถึงแม้ศพจะไม่เน่าเปื่อยในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่อาจทิ้งไว้ในอวิ๋นโจวนาน

และหน้าที่คุ้มกันศพทั้งสี่กลับสู่เมืองหลวงก็เป็นของฆ้องเงินหมิ่นซาน

พวกหลี่อวี้ชุนทั้งสามคนตัดสินใจอยู่ปราบโจรที่อวิ๋นโจว เพื่อระบายความโศกเศร้าซึ่งไร้ที่วาง ขณะเดียวกัน ส่วนลึกในใจของพวกเขาก็ไม่กล้านำศพของสวี่ชีอันกลับเมืองหลวงด้วย เพราะกลัวการเผชิญหน้ากับครอบครัวของเขา

ผู้ตรวจการจางได้เตรียมโลงศพเอาไว้ให้กับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้เสียสละทั้งห้า เขาโค้งคำนับสุดตัว เนิ่นนานแล้วก็ยังไม่ลุกขึ้นเสียที

เมื่อปิดฝาโลง ผู้ตรวจการจางก็วางจดหมายสี่ฉบับไว้ที่ทรวงอกของสวี่ชีอัน

วันที่สอง เดือนสอง เทศกาลไหว้วสันต์

โลกนี้ไม่มีตรุษจีน แต่มีเทศกาลหนึ่งที่คล้ายคลึงกับตรุษจีน มีชื่อว่าเทศกาลไหว้วสันต์

ในวันนี้ องค์จักรพรรดิจะนำขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายไปสักการะฟ้า และอธิษฐานขอให้ปีนี้มีสภาพอากาศเหมาะสมแก่การเก็บเกี่ยว ให้บ้านเมืองและประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นจึงเป็นวันที่สำคัญที่สุดของต้าฟ่ง

ทุกครัวเรือนจะร่วมกันบูชาสวรรค์ไปด้วยกัน พวกเขาจะล้มแกะฆ่าวัว ไม่ว่าผู้คนจะยุ่งกันสักแค่ไหนก็จะกลับบ้านในเทศกาลไหว้วสันต์เพื่อพบปะกับญาติพี่น้อง

ลมหนาวคราววสันต์ แผ่นน้ำแข็งบางๆ ลอยเอื่อยเหนือผิวน้ำ เรือหลวงค่อยๆ แล่นขึ้นเหนือ เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา

สวี่ชีอันฟื้นคืนชีพในวันไหว้วสันต์นี่เอง

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด