ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 374 ทบทวนความจำ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 374 ทบทวนความจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 374 ทบทวนความจำ

หลังจากทราบเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ทางตอนเหนือ ข้าก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงแปลงเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน เดินทางไปยังฉู่โจวอย่างลับๆ เผชิญความทุกข์ยากต่างๆ นานา จนในที่สุดก็ได้พบกับสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวที่โชคดีหลบหนีออกมาได้

ใครเลยจะรู้ว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็บุกเข้ามาหมายสังหารอาตมาและสมุหเทศาภิบาลเจิ้งเพื่อปิดปาก ที่แท้ศัตรูก็สะกดรอยตาม รอจังหวะซุ่มโจมตีตั้งแต่แรกแล้ว

ทว่าพวกมันต้องเจอกับกระบวนท่าโต้กลับอันดุเดือดของข้า ข้าคนเดียวสู้พวกมันร้อยคน ไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เช่นเดียวกับสวี่หนิงเยี่ยนเมื่อครั้งอวิ๋นโจว ในที่สุดก็จัดการสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือจนราบคาบ และยังได้ทราบเรื่องราวการสังหารหมู่ล้างเมืองโดยละเอียด

การโจมตีระลอกนี้ ข้าอยู่บนชั้นสิบ!

คำพูดข้างต้นเป็นบทละครที่หลี่เมี่ยวเจินครุ่งนคิดอยู่ในหัว นางคันปากอยากจะพูดเรื่องราวเหล่านี้ใจจะขาด แต่เพราะมีเหตุการณ์ที่สวี่ชีอันปราบกองทัพกบฏเรือนแสนคนอยู่ อีกทั้งเข็ดขยาดการได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของเหล่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วงหนึ่งที่เคยลำพองใจในความสำเร็จของตน ได้เกิดประวัติศาสตร์อันน่าอับอายขึ้นในตอนที่นางพูดต่อหน้าสวี่ชีอันว่า ‘แม่ทัพคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องการไขคดีมากเลยนะ’

หลี่เมี่ยวเจินผู้กระตือรือร้นในการคลี่คลายคดีอย่างไม่อาจหาใดเปรียบจึงกดข่มความอยากโอ้อวดของตนเอาไว้ และตอบไปตามความสัตย์จริง “ทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของฆ้องเงินสวี่”

ฆ้องเงินสวี่หรือ?!

ทุกคนในคณะทูตต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันตรงไหน

หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “เป็นสวี่ชีอันที่เชิญข้าไปสอบสวนคดีที่ฉู่โจว”

‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ลูบเคราของตน พลางพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ

“หลี่เต้าฉางช่างเป็นผู้ประเสริฐโดยแท้ ถึงแม้ว่าลัทธิเต๋านิกายสวรรค์จะฝึกตนเพื่อให้สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง เฉยเมยต่อทุกสิ่งจนเป็นปกติ ต่อให้วิถีของท่านจะไม่สนลาภยศสรรเสริญก็ตาม พวกข้าก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อคุณงามความดีของท่านในครั้งนี้ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้ฆ้องเงินสวี่ก็ได้”

ผู้ตรวจการหลิวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวสำทับ “คณะทูตจะรายงานสถานการณ์ต่อราชสำนัก และร้องขอความดีความชอบให้กับท่านอย่างแน่นอน”

ฆ้องเงินสวี่เชิญเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาสืบคดีที่ฉู่โจว ก็ไม่ได้แปลว่าความพยายามทั้งหมดที่นางกระทำในฉู่โจว จะตกเป็นผลงานของฆ้องเงินสวี่ทั้งหมด

‘พวกปัญญาชนช่างพูดจาเสนาะหูเสียจริง’ หลี่เมี่ยวเจินแอบปลื้มใจนิดๆ นางแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็ยังละอายใจหน่อยๆ จึงพูดต่อ

“จากนั้นข้าก็มาถึงฉู่โจว และพยายามเสาะหาเบาะแสจากทุกหนทุกแห่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว…”

ทุกคนในคณะทูตตั้งอกตั้งใจฟัง เพราะรู้ว่าคดีนี้ยากเย็นสาหัส พวกเขาสงสัยอย่างยิ่งว่าหลี่เมี่ยวเจินค้นพบจุดพลิกผันของคดี จนค้นพบความจริงของคดีสังหารหมู่ล้างเมืองได้อย่างไร

“แต่อันที่จริงก็ยังพอมีร่องรอยให้ตามสืบได้ ศพที่เปิดเผยเรื่องราวการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ เป็นศพที่ข้าพบข้างทางบนภูเขานอกเมืองหลวง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เหตุใดจึงกล้ามาร้องเรียนถึงเมืองหลวง เบื้องหลังอาจจะมีใครสักคนคอยบงการอยู่ก็เป็นได้ คนผู้นั้นเลือกที่จะไม่ส่งหนังสือรายงานหรือเอกสารใดมา แต่เลือกให้ชาวยุทธ์นำสาส์นมาส่ง ข้าเดาว่าเขาน่าจะทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง

“ดังนั้นข้าจึงไปเยือนฉู่โจวในฐานะจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน สังหารเผ่าอนารยชนผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน และช่วยเหลือทำทานให้ข้าวแก่ผู้คน ฮ่า ข้าก็พอมีชื่อเสียงในยุทธภพบ้างนะ คนจดจำข้าได้ก็มีไม่น้อย คนที่รู้จักข้าก็เพิ่มมากขึ้น…

“แล้วก็เป็นไปตามคาด อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนลอบตามหาข้าอย่างลับๆ โดยหวังให้ข้าออกตัวให้ความช่วยเหลือ”

ช่างอัศจรรย์!

ทุกคนในคณะทูตต่างพากันยกย่องสรรเสริญกึกก้อง “หลี่เต้าฉางช่างปราดเปรื่องเหลือเกิน สามารถหากุญแจคลี่คลายคดีจากจุดนี้ได้ ข้าขอยกย่องอย่างสุดหัวใจ”

หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวด้วยความละอาย “ข้าอยู่ในที่ทำการปกครองมาหลายปี ช่างเสียเวลาเปล่าโดยแท้ น่าละอาย น่าละอาย”

ผู้ตรวจการหลิวกล่าวด้วยความชื่นชม “เดิมทีข้าคิดว่าคดีนี้จะคลี่คลายได้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องรอดูฆ้องเงินสวี่ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เต้าฉางจะมีความสามารถเหนือกว่าถึงขั้นนี้”

ขุนนางบุ๋นไม่เคยตระหนี่ในคำยกยอปอปั้นของตน ครึ่งหนึ่งมาจากใจจริง ส่วนอีกครึ่งมาจากความเคยชินในพิธีรีตองในวงข้าราชการ

มุมปากของหลี่เมี่ยวเจินกระตุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เผยให้เห็นความพึงใจเล็กๆ จากนั้นนางก็กระแอมไอ และกล่าวว่า “ข้ามิได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด อันที่จริงก็เป็นเพราะข้าได้คำชี้แนะจากสวี่หนิงเยี่ยนทั้งสิ้น พวกเราติดต่อกันลับๆ มาโดยตลอด”

เสียงหัวเราะและคำชื่นชมหยุดชะงัก ราวกับว่ามีคนกดปุ่มหยุดชั่วคราว สีหน้าของเหล่าคณะทูตนิ่งค้าง มองเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ด้วยสายตามึนงง

เหตุใดหลี่เมี่ยวเจินจึงเอาเรื่องสำคัญที่สุดมาเล่าในตอนท้ายสุดด้วย

นี่เป็นนิสัยเสียของนางหรือ?

นี่มันชวนให้กระอักกระอ่วนใจอยู่นะ…

‘มิน่าเล่าฆ้องเงินสวี่ถึงได้ทิ้งคณะทูตไปกลางคัน และเดินทางขึ้นเหนืออย่างลับๆ ที่แท้ก็มีผู้ช่วยมือดีตั้งแต่แรกนี่เอง ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีรับสั่งแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลัก เขาก็ได้วางแผนทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว’ หัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญารู้ซึ้งความน่ากลัวของสวี่ชีอันจนสุดใจ

ความรู้สึกอับอายในความปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้ากรมซุน โทสะพวยพุ่งแต่ไม่อาจทำอะไรได้ หาใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลรองรับไม่ ‘เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ตั้งแต่คดีเงินภาษี คดีซังผอ คดีอวิ๋นโจว ตลอดจนคดีของพระสนมฝูในภายหลัง ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฆ้องเงินสวี่เป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน สุขุมรอบคอบ ไม่อาจปรามาสได้ ข้าอุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้จะสามารถฝังเขาให้จมดินได้แล้วแท้ๆ’

ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ยิ้มขื่นๆ และส่ายหน้า ‘ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการของฆ้องเงินสวี่ตั้งแต่ต้น เป็นข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไป’

‘สมแล้วที่เป็นใต้เท้าสวี่’ ผู้บังคับบัญชาการเฉินเซียวรู้สึกตื่นตะลึง ความชื่นชมแสดงผ่านสีหน้า

เหล่าทหารรักษาวังเองก็หัวเราะร่าอย่างมีชัย

หยางเยี่ยนพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด คล้ายจะคิดว่าก็สมเหตุสมผลดี

จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินก็รายงานเรื่องที่เจิ้งซิ่งไหวยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ผู้ตรวจการหลิวดีใจอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายังหลงเหลือพยานอยู่ แต่ยังมาจากสาเหตุที่ว่าเขาและเจิ้งซิ่งไหวมีความสัมพันธ์ฉันมิตรอันแน่นแฟ้น เมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ จึงดีใจไปโดยปริยาย

“สวี่หนิงเยี่ยนน่าจะอยู่ในระหว่างทางมายังเมืองฉู่โจว กระบี่บินของข้าเดินทางมาเร็วกว่าเขา” หลี่เมี่ยวเจินอธิบายเล็กน้อย ก็ถามขึ้นอีกว่า

“ยอดฝีมือลึกลับคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ”

หยางเยี่ยนระลึกความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยความตกใจ “ทิศทางที่เขาจากไป เป็นทางเดียวกับที่เผ่าอนารยชนหลบหนีไป”

ผู้ช่วยศาลต้าหลี่หัวใจสั่นสะท้าน ความคิดอันน่าเหลือเชื่อผุดขึ้นมาในหัว ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นในฉับพลัน “หรือว่า หรือว่า…”

ผู้ตรวจการหลิวตอบสนองโดยไม่มีรีรอ “หรือว่าเขาจะตามไปสังหารจี๋ลี่จือกู่ เขากลัวว่ากองกำลังทางเหนือจะเสียสมดุล เกรงว่าหลังจากสงครามครั้งนี้ ชาวเมืองฉู่โจวจะต้องทุกข์ทนกับการรุกรานของเผ่าอนารยชน ไม่มีใครคานกับอำนาจกับเผ่าอนารยชนอีกต่อไป”

หยางเยี่ยนและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากันและพูดขึ้นพร้อมกัน “ไปดูกันเลย”

ฝ่ายหลังกล่าวเสริม “ขึ้นมา”

หยางเยี่ยนกระโดดขึ้นไปบนสันดาบเบาๆ และยืนเอามือไพล่หลัง

แม้ว่าทหารขั้นสี่จะเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ความเร็ว ระดับความสูง และพลังของเขาไม่อาจเทียบได้กับวิชากระบี่บินของลัทธิเต๋า ถ้าจะให้อธิบาย ก็คงเหมือนมอเตอร์ไซค์กับรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างไรอย่างนั้น

แต่เปลี่ยนจากวิ่งบนพื้นดิน เป็นการบินอยู่บนอากาศ

ส่วนทหารจะเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม หากทางข้างหน้าเป็นพื้นที่ราบไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีภูเขาลำธารมาขวางกั้น

เมื่อบินไปทางเหนือเป็นเวลาหนึ่งเค่อ หลี่เมี่ยวเจินและหยางเหยี่ยนก็มองเห็นจี๋ลี่จือกู่ ซึ่งหาไม่ยากเย็นนัก เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่บนถนนสายหลัก

หลังจากการรบที่ด่านซานไห่ ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าอนารยชนก็หลงเหลือเพียงร่างผ่ายผอมเหี่ยวแห้ง

ศีรษะของเขาถูกกระชากออกมาอย่างโหดเหี้ยม โดยมีกระดูกสันหลังส่วนเล็กๆ ติดอยู่ และโยนทิ้งไว้ข้างถนน

หลี่เมี่ยวเจินหยุดและกวาดตามองรอบๆ จากมุมสูง พลางกล่าวพึมพำ “สงครามครั้งนี้ ทหารขั้นสามสองคนตกตาย เรื่องนี้จะเลื่องลือไปทั่วจิ่วโจว ต้องเกิดความปั่นป่วนขึ้นเป็นแน่”

หยางเยี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อย แท้จริงแล้วระดับขั้นที่เขาใฝ่ฝันจะไปถึง ในสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับสูงนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

ไม่ว่าจะระบบฝึกตนใด ใช้พลังแบบไหน ขั้นสามก็ถือว่าเป็นบุคคลระดับผู้นำ

หยางเยี่ยนกระโดดลงจากสันดาบ คว้ากระดูกสันหลัง และอุ้มศีรษะของหัวหน้ากลุ่มชิงเหยียนกลับไปที่เมืองฉู่โจว

เมื่อเขานำศีรษะกลับมายังเมืองฉู่โจว และแขวนไว้บนยอดกำแพงเมือง ทหารสองหมื่นนายมองขึ้นด้วยความเงียบงัน พลางหลั่งน้ำตา

ยอดฝีมือแห่งเผ่าอนารยชนที่ข่มเหงเมืองฉู่โจวมากว่ายี่สิบปี ในที่สุดก็ดับชีพลงเสียที

ในขณะเดียวกัน ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ตั้งคำถามในใจ ใครคือผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้น

ห่างจากเมืองฉู่โจวออกไปหลายร้อยลี้ สวี่ชีอันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนอย่างแผ่วเบาบนโขดหินยักษ์ที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะขอบมุมจนเกลี้ยงเกลา

หลังจากชิงแก่นแท้แห่งชีวิตของอ๋องสยบแดนเหนือและจี๋ลี่จือกู่มาแล้ว เสินซูก็เข้าสู่นิทราเนิ่นนาน คราวนี้คงไม่ตื่นขึ้นมาแล้วกระมัง

นอกเสียจากว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้อีกเหมือนตอนที่อยู่ในสุสานโบราณ แต่คงต้องใช้โชคช่วยอีกรอบ

พอไม่มีภิกษุกล้ามโตให้เป็นที่พึ่งก็ไม่อุ่นใจเลย…สวี่ชีอันสำรวจร่างกายของตนเอง เขาค้นพบว่าหลังจากที่เสินซูแสดงร่างธรรมแห่งความมืดแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

เปรียบเหมือนลำคลองที่ขยายกว้างออกเนื่องจากอุทกภัย แม้มวลน้ำจะไหลผ่านไปแล้ว แต่ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่อาจจางหายไป

หลู่ชู่เหรินผู้อาภัพน่าจะเคยกล่าวไว้ว่า เราแสดงความขอบคุณกับผู้สร้างอุโมงค์ก็จริง แต่เราจะกกกอดความเคารพอย่างสูงส่งต่อผู้ขยายอุโมงค์ตลอดไป …สวี่ชีอันทราบซึ้งในประโยคนี้ยิ่งขึ้น

“หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็เข้าใจการสลายแรงลึกซึ้งกว่าเคย ได้สัมผัสการต่อสู้ระหว่างทหารระดับสูง และวิถีการใช้พลังของพวกเขาด้วยตัวเอง สำหรับข้าแล้วมันช่างเป็นประสบการณ์ที่แสนล้ำค่า…”

เขารวบรวมสติ นั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ หลังจากครุ่นคิดอะไรในใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็เริ่มทบทวนความจำตามความเคยชินจากการทำงาน “คดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้

“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมืองด้วยจุดประสงค์สองประการ หนึ่ง เพื่อกลั่นยาโลหิต บรรลุความสมบูรณ์แบบ จากนั้นดูดกลืนวิญญาณของพระมเหสี และก้าวสู่ขั้นที่สองอย่างเป็นทางการ สอง เพื่อวางแผนไล่ล่าจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่ว

“การปรากฏของดาบสยบดินแดน แปลว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งรับรู้ถึงการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือเป็นอย่างดี และมีส่วนร่วมด้วย มิฉะนั้น ดาบสยบดินแดนก็ไม่อาจปรากฏที่ฉู่โจวได้”

เมื่อได้เห็นดาบสยบดินแดนปรากฏขึ้น สวี่ชีอันก็เดือดดาลจนสุดจะบรรยาย เพียงแต่ในเวลานั้นมีศัตรูคอยอยู่เบื้องหน้า ไม่มีเวลาให้คิดมาก

จักรพรรดิหยวนจิ่ง ไอ้จักรพรรดิชาติหมา…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกไป และบอกตัวเองให้ระงับโทสะเอาไว้

“ไอ้จักรพรรดิชาติหมารู้เรื่องนี้ด้วย อืม มันก็ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าไปได้อย่างหนึ่ง ว่าทหารที่เสียชีวิตอยู่นอกเมืองหลวงนั้น เป็นฝีมือจักรพรรดิหยวนจิ่งสั่งคนไปเก็บ มีแต่เขาเท่านั้นแหละ ที่สามารถหว่านแหดักตาข่าย คัดคนหาเป้าหมายรอบเมืองหลวงได้

“เพราะแบบนี้นี่เอง ถึงได้แต่งตั้งข้าเป็นผู้สืบสวนหลัก เหตุใดถึงไม่ยกให้ผู้ตรวจการเป็นคนทำ เรื่องพวกนี้สามารถอธิบายได้ทั้งหมดเลย…เนื่องจากพวกคณะทูตเดิมทีก็ทำงานกันแบบขอไปทีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้คนที่มีอำนาจล้นมืออย่างผู้ตรวจการไปคานอำนาจกับอ๋องสยบแดนเหนือ และหากถึงคราวสุดวิสัยจริงๆ อ๋องสยบแดนเหนือก็สามารถฆ่าปิดปากได้”

“นอกจากนี้ คณะทูตยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือการพาพระมเหสีเดินทางขึ้นเหนือ แม้ว่าจักรพรรดิชาติหมาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่เขาก็ยังเป็นพวกเฒ่าเหรียญปากผี แต่รู้สึกว่าเขาเชื่อใจและตามใจอ๋องสยบแดนเหนือเกินไปตลอดเลยแฮะ”

สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดต่อไปโดยอาศัยแนวคิดนี้

“จักรพรรดิหยวนจิ่งรับรู้เรื่องการสังหารหมู่ แล้วเว่ยกงรู้เห็นกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ดูจากการตอบรับตอนที่ข้าให้เศษซากวิญญาณกับเขา ก็คงจะไม่รู้… เอ๊ะ แต่เฒ่าเหรียญปากผีอย่างเว่ยกง สิ่งที่แสดงออกมาไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิกิริยาที่แท้จริง แต่เป็นปฏิกิริยาที่เขาต้องการแสดงให้ข้าเห็นก็ได้นี่

“สมมติว่าเว่ยกงรู้เรื่องนี้ เขาจะทำอย่างไร ด้วยนิสัยของเขา คงไม่อาจทนเฉยให้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมืองได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นสองเพียงหนึ่งเดียวของต้าฟ่งก็ตาม

“แต่จนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เห็นเบาะแสที่หลุดรอดออกมาจากเว่ยกงเลย อืม ขอย้อนกลับไปก่อน ถ้าสมมติว่าเว่ยกงรับรู้เรื่องนี้ ด้วยนิสัยของเขายังไงก็ต้องจัดการแน่”

แต่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารขั้นสาม ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง จะหยุดยั้งเขาอย่างไร หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่มียอดฝีมือระดับนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นคนที่จะหยุดยั้งอ๋องสยบแดนเหนือเมื่อครู่คงไม่ใช่ข้า

“แล้วจะหยุดอ๋องสยบแดนเหนือได้อย่างไร”

ประกายแสงวาบผ่านขึ้นในใจของสวี่ชีอัน เขาคิดถึงคำพูดหนึ่ง ‘ขี่เสือตะครุบหมาป่า’

ในแดนเหนือแห่งนี้ คนที่สามารถทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของอ๋องสยบแดนเหนือได้ มีเพียงจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วเท่านั้น หากเป็นข้า ข้าคงจะเปิดเผยสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือทำการสังหารหมู่ให้กับศัตรูของเขา

“แต่เว่ยกงรู้ได้อย่างไรว่าเกิดการสังหารหมู่ขึ้นที่ฉู่โจว” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงรายละเอียดที่ไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง

ก่อนออกจากเมืองหลวง เว่ยเยวียนบอกกับเขาว่าเนื่องจากโยกย้ายบุตรในเงามืดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด การรายงานสถานการณ์ของชายแดนทางเหนือจึงล่าช้า ทำให้เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้เลย

“ด้วยสติปัญญาของเว่ยกง ต่อให้โยกย้ายบุตรในเงามืด แต่ก็ไม่น่าจะย้ายทั้งหมดออกไปจากแดนเหนือ เขาจะต้องเหลือเบี้ยไว้ในเมืองที่สำคัญ มีมั่นคงสักสองถึงสามเมือง ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ใช่เว่ยชิงอีแล้ว”

เจอหลักฐานข้างเคียงซึ่งพิสูจน์ว่าเว่ยเยวียนปกปิดบางสิ่งบางอย่างอีกแล้ว

หลังจากแตกแขนงความคิดนี้ ความคิดของสวี่ชีอันก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น “เว่ยกงเจาะจงเรียกข้าไปพูดคุยด้วย และไถ่ถามว่าข้าวางแผนจะไขคดีอย่างไร ข้าจึงบอกเขาว่าจะไปจากคณะทูตระหว่างทาง แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือตามลำพัง”

จากนั้นเขาก็ให้ข้อมูลติดต่อแม่นางไฉ่เอ๋อร์มา ทันทีที่ได้พบนาง ข้าได้รับรู้ถึงสถานการณ์สำคัญของเขตซีโข่วจากปากนางทันที ทุกอย่างมันราบรื่นเกินไป

“นอกจากนี้เขตซีโข่วเพิ่งแยกตัวออกจากฉู่โจวพอดี ก็หมายความว่าเว่ยกงจงใจให้ข้อมูลเท็จกับข้า เพื่อส่งข้าไปทางทิศตะวันตก เขาไม่ต้องการให้ข้าเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้”

“หากเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าเขารู้สถานการณ์ในแดนเหนือเป็นอย่างดี”

เพียงเสี้ยวขณะ สวี่ชีอันก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะเล็กน้อย ความรู้สึกในใจสลับซับซ้อน มีทั้งความซาบซึ้งในบุณคุณ และสัญชาตญาณความหวาดกลัวต่อเฒ่าเหรียญปากผี

“หลังจากที่ไปรับพระมเหสีเข้าร่วมเดินทางกับคณะทูตแล้ว ข้าจะกลับไปที่ซานหวงอีกครั้ง”

รุ่งอรุณในวันต่อมา

สวี่ชีอันผู้หล่อเหลาจนสะเทือนไปถึงพรรครัฐบาล หล่อจนกู่เทียนเล่อในชาติที่แล้วยังต้องอับอาย เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม และเคาะประตูห้องของพระมเหสี

……………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด