ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 369 ล้อมเมือง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 369 ล้อมเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 369 ล้อมเมือง

เมืองฉู่โจว

บนกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน มีหอประตูเมืองขนาดใหญ่สูงสามชั้นตั้งอยู่ เมื่อยืนอยู่ชั้นบนสุดจะมองเห็นได้ไกลหลายสิบลี้

ในห้องโถงใหญ่ของชั้นบนสุด ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกุมดาบและนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่คลุมด้วยหนังเสือ

เขาสวมเกราะหนักที่หลอมจากเหล็กกล้าและเสื้อคลุมสีแดงเข้ม มีดวงตาเฉี่ยวที่เรียวยาวและลึกล้ำ ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา และมีความคล้ายคลึงกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง

คนคนนี้มีทั้งความฮึกเหิมเช่นนายพลในสนามรบและความเย่อหยิ่งอันน่าเกรงขามเช่นองค์รัชทายาท เขาเป็นผู้กุมอำนาจที่เกิดมาเพื่ออยู่ในตำแหน่งสูงส่ง บรรยากาศจึงไม่ธรรมดา

อ๋องสยบแดนเหนือแห่งต้าฟ่ง

ประสบการณ์ชีวิตขององค์ชายองค์นี้เรียกได้ว่าเป็นตำนาน เขามีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่ยังเด็ก ฉีกเสือกับเสือดาวเป็นชิ้นๆ ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ไร้ซึ่งสติปัญญา ในทางกลับกัน ไหวอ๋องมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมากกว่าพี่น้องทุกคน

ไหวอ๋องเก่งด้านการสังหารและหมกมุ่นอยู่กับเส้นทางแห่งวิทยายุทธ์ จักรพรรดิองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ว่า องค์ชายเจ็ดเป็นแม่ทัพสวรรค์ผู้ปกป้องประเทศที่เทพเจ้าประทานให้กับต้าฟ่ง ดังนั้น ตำแหน่งจักรพรรดิจึงไม่ถูกส่งต่อไปยังเขา

ไหวอ๋องเองก็ไม่สนใจเช่นกัน สำหรับเขา ขอเพียงสามารถไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางแห่งวิทยายุทธ์ได้ ย่อมได้มาซึ่งอำนาจอย่างแน่นอน สถานะขององค์ชายเป็นเพียงพลังช่วยเหลือในการก้าวไปสู่จุดสูงสุดบนเส้นทางแห่งวิทยายุทธ์ของเขา

บนโลกใบนี้บางคนหมกมุ่นอยู่กับความงาม บางคนหมกมุ่นอยู่กับเงิน บางคนหมกมุ่นอยู่กับอำนาจ บางคนหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน

ไหวอ๋องกำกับกองทัพเมื่ออายุสิบห้าปี ต่อสู้ทั่วเมืองหลวงอย่างไร้เทียมทานเมื่ออายุยี่สิบปี และประจำการอยู่ทางเหนือเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ตอนนี้ก็ยี่สิบหกปีแล้ว

ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือเมื่ออายุยี่สิบปี เขาออกไปทำสงครามกับเว่ยเยวียนและดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพ เขาจับกระบี่คุ้มเมืองตัดหัวยอดฝีมือของเผ่าอนารยชนทางเหนือและใต้นับไม่ถ้วน

เขาถูกประเมินในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้มีส่วนสำคัญอันดับสองในสงครามด่านซานไห่

“รายงาน!”

สายลับในชุดคลุมสีดำเดิมก้มหน้าเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็วและคุกเข่าลงในห้องโถง ในมือถือจดหมายลับไว้ปึกหนึ่ง

อ๋องสยบแดนเหนือยื่นมือออกไป จดหมายลับลอยเข้ามาในฝ่ามือโดยอัตโนมัติ เขาคลี่จดหมายลับอ่านทีละฉบับ

จดหมายลับฉบับแรกเป็นหนังสือสารภาพผิด เหล่าสายลับพยายามตามล่าตัวที่ชายแดนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของพระมเหสีกับผู้นำเผ่าอนารยชนสี่คนที่ลักพาตัวนางไป

จดหมายลับฉบับที่สองเกี่ยวกับสมุหเทศาภิบาลเจิ้งที่หนีรอดจากการสังหารหมู่ บนจดหมายระบุว่า จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหลี่เมี่ยวเจินติดต่อกับสมุหเทศาภิบาลเจิ้งได้สำเร็จ ระหว่างที่สายลับสกัดกั้น พวกเขาก็ถูกยอดฝีมือของสำนักพุทธขวางไว้ โชคไม่ดีทำให้หลี่เมี่ยวเจินหลบหนีไปได้

จดหมายลับฉบับที่สามกับฉบับสี่เกี่ยวกับสถานการณ์ทางทหาร ทหารม้าสองหมื่นนายของกลุ่มชิงเหยียนถูกส่งออกไปทั้งหมด โดยไม่ได้แบกเสบียงไปด้วย พวกเขาเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังเมืองฉู่โจวเพื่อเข่นฆ่า

ผู้นำของเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ จู๋จิ่วนำเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาลงไปทางใต้ ซึ่งชี้ไปทางเมืองฉู่โจว

ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้ปล้นสะดมประชาชน ไม่ได้พยายามโจมตีเมืองอื่น พุ่งตรงไปที่เมืองฉู่โจวด้วยจุดประสงค์ที่แข็งกล้า เมืองฉู่โจวอยู่ใกล้กับชายแดนมาก ก่อนพลบค่ำ ทหารม้าของกลุ่มชิงเหยียนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของจู๋จิ่วน่าจะเข้าประชิดเมือง

จดหมายลับในมือของอ๋องสยบแดนเหนือกลายเป็นผุยผง เขาโบกมือไล่สายลับและลุกจากเก้าอี้ตัวใหญ่ มองห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน ก่อนเอ่ยเสียงขรึม

“ปล่อยให้พวกเขาพบอีกแล้ว”

“นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย คนที่รู้เรื่องอิทธิฤทธิ์ของมู่หนานจือก็มีไม่น้อย ดวงตามากมายนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองเจ้า รอระดับการฝึกตนของเจ้าพัฒนาขึ้นและช่วงชิงวิญญาณของนางมา แม้ว่าหลายปีมานี้เจ้าจะซ่อนเร้นความสามารถ แต่คนที่สามารถประเมินระดับการฝึกตนของเจ้าได้ก็มีไม่น้อย พวกเราสังหารเมืองฉู่โจวและปกปิดมาได้นานกว่าหนึ่งเดือน นับเป็นแผนที่ประสบความสำเร็จมากแล้ว”

เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้องโถงเพื่อตอบรับอ๋องสยบแดนเหนือ

“อีกนานแค่ไหนถึงจะสำเร็จลุล่วง” ไหวอ๋องมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“สามชั่วยาม”

เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าก็น่าจะรู้ว่าแก่นแท้ชีวิตของมนุษย์ไร้ประโยชน์สำหรับเจ้า ต้องกลั่นพวกเขาเป็นเม็ดเลือด อา สามแสนแปดหมื่นคน เปลืองพลังและเวลามาก แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะยังต้องกลั่นเม็ดวิญญาณอีก อย่างเร็วที่สุดภายในสิบวัน เม็ดเลือดคงกลั่นได้สำเร็จ”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เสียงนั่นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากสูญเสียมู่หนานจือไป แม้ว่าเจ้าจะกินเม็ดเลือดก็ไม่อาจเลื่อนสู่ขั้นสองได้”

อ๋องสยบแดนเหนือเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเราคิดมาตรการชดเชยไว้แล้วไม่ใช่หรือ วางใจเถิด ข้าจะไม่ผิดคำพูด”

เสียงนั่นส่งเสียงหัวเราะอันแหบแห้งออกมา “ผลประโยชน์ร่วมทั้งสองฝ่าย…มีคนมา”

นอกประตูใหญ่มีเงาคนส่ายไปมา เจ้าอารักขาตาเดียวเชวียหย่งซิวเหน็บดาบยาวไว้ที่เอว เขากดด้ามดาบด้วยมือข้างเดียวและก้าวยาวๆ เข้ามา

“ไหวอ๋อง ยังคงไม่มีทราบอยู่ของเจิ้งซิ่งไหว” เชวียหย่งซิวเอ่ยเสียงขรึม

“หลังจากศึกครั้งนี้ หากข้าบรรลุสู่ขั้นสอง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความเป็นความตายของเขา หากข้าพ่ายแพ้ ข้าก็มีวิธีปกป้องเจ้า ไม่ต้องกังวลไป” อ๋องสยบแดนเหนือเอ่ยเสียงเรียบ

เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวถอนหายใจโล่งอกและกล่าวว่า “ศึกครั้งนี้มั่นใจหรือไม่”

อ๋องสยบแดนเหนือพยักหน้าช้าๆ

เชวียหย่งซิวเผยรอยยิ้มออกมาทันที เขานั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางผึ่งผายและหัวเราะ

“ต้าฟ่งของข้าควรมีขุนนางขั้นสองได้แล้ว หลายปีมานี้ คนป่าเถื่อนทางเหนือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจช่างยโสโอหัง ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา หลังจบศึกครั้งนี้ พวกเราจะทำลายภูเขาถัวเทียนนั่นให้ราบเป็นหน้ากลอง จากนั้นก็ถลกหนังของจู๋จิ่วจนเหลือแต่กระดูกและตุ๋นซุปให้พวกทหารดื่ม”

ใบหน้าอันเคร่งขรึมของอ๋องสยบแดนเหนือเผยรอยยิ้มออกมา

เชวียหย่งซิวเป็นสหายของเขาเมื่อเขายังเด็ก จากนั้นก็นำทัพด้วยกัน ตั้งแต่สงครามด่านซานไห่ไปจนถึงชายแดนทางเหนือ พวกเขาทำสงครามด้วยกันมาเกือบยี่สิบปี ความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ

มิเช่นนั้น เรื่องการสังหารหมู่ก็คงไม่มอบให้เขาจัดการ

พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก ทหารที่ยืนสังเกตการณ์บนกำแพงเมืองหรี่ตาลง เห็นฝุ่นคลุ้งขึ้นที่ขอบฟ้า ทหารม้านับไม่ถ้วนควบม้าเข้ามา ด้านหลังทหารม้า มียักษ์สีน้ำเงินสูงสองจั้งตนหนึ่ง

พวกเขามาแล้ว

‘ตึง ตึง ตึง!’

เสียงกลองศึกดังขึ้น สั่นสะเทือนไปสี่ทุ่ง เหล่าทหารบนกำแพงเมืองเคลื่อนไหวทันที พวกเขาเตรียมยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองตามระเบียบแบบแผน เช่น หินกลิ้ง น้ำมันก๊าด ท่อนซุง และอื่นๆ

ข่าวที่กองทัพเผ่าอนารยชนกำลังจะมาล้อมเมืองถูกส่งกลับมายังฉู่โจวนานแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่หรือทหารระดับล่างต่างก็ไม่ได้ตื่นตระหนก

ท่ามกลางเสียงกระทบของชุดเกราะ อ๋องสยบแดนเหนือถือดาบก้าวออกมา ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ของหอประตูเมืองและมองไปยังผู้นำของกลุ่มชิงเหยียน

ผู้แข็งแกร่งระดับสามสองคนมองหน้ากันโดยมีที่ราบอันกว้างขวางกั้นอยู่ พวกเขาเห็นสีหน้าและสายตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จี๋ลี่จือกู่ยิ้มอย่างสยดสยอง มุมปากของอ๋องสยบแดนเหนือกระตุกด้วยความเยาะเย้ยและดูแคลนเล็กน้อย

หลังจากที่มองหน้ากันครู่หนึ่ง จู่ๆ จี๋ลี่จือกู่ก็ก้มศีรษะลง แกว่งแขนและเริ่มวิ่งอย่างบ้าคลั่ง

‘ตึง ตึง ตึง…’

แผ่นดินสั่นสะเทือนราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิด ยักษ์สีน้ำเงินกลายเป็นเงา เสมือนอยากพุ่งชนกำแพงเมืองให้พังในทีเดียว

“ยิง!”

เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวคำราม

หน้าไม้ขนาดใหญ่กับปืนใหญ่บนกำแพงเมืองเล็งไปที่ยักษ์สีคราม

ทหารสี่นายร่วมแรงกันดึงสายธนูของหน้าไม้ ขณะที่สายธนูง้างออกช้าๆ อักขระมนตร์ที่จารึกอยู่บนโครงของหน้าไม้ก็สว่างขึ้นทีละอักขระ แสงสลัวที่อักขระมนตร์ปล่อยออกมาราวกับสายน้ำก็มาบรรจบกันที่ลูกศรหนักยาวสองเมตร

เมื่อสายธนูง้างออกจนสุด แสงสลัวทั้งหมดก็ควบแน่นกันบนลูกศรหนัก ลูกศรหนักยาวสองเมตรระเบิดแสงสว่างระยิบระยับออกมา ราวกับว่ามันก่อตัวขึ้นจากแสงบริสุทธิ์

‘ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!’

ลูกศรหนักยาวสองเมตรส่งเสียงร้องออกมาราวกับลำแสง ยิงตรงไปที่ยักษ์สีน้ำเงิน

‘ตูม! ตูม! ตูม!’

ในขณะเดียวกัน ปืนใหญ่ที่ได้รับพลังเสริมจากค่ายกลเช่นกันก็ยิงลูกไฟที่ลุกโชนออกมา ราวกับอุกกาบาตที่พร่างพราย

กองทัพของต้าฟ่ง พลังยุทธ์ด้อยกว่าเผ่าอนารยชน จำนวนก็น้อยกว่าสำนักพ่อมดที่ควบคุมซากศพได้ ด้านความคล่องตัวยังด้อยกว่ากองทัพของเผ่าพันธุ์กู่ที่ลวงโลกและรับมือยากอีก พลังต่อสู้ของระดับกลางถึงสูงยิ่งด้อยกว่าดินแดนพุทธ

แต่ทว่า ต้าฟ่งก็สามารถครอบครองที่ราบตอนกลางและครอบครองจิ่วโจวได้ โดยการพึ่งพาลัทธิขงจื๊อแต่ปางก่อน ตอนที่ลัทธิขงจื๊อปกครองท้องพระโรง ตำแหน่งผู้บัญชาการสามทัพและทหารทั้งหมดมักจะเป็นปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อมาดำรงตำแหน่ง

แม่ทัพขงจื๊อที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากสำนักอวิ๋นลู่

เหล่าแม่ทัพขงจื๊อไม่เพียงเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามและการบัญชาการทหารเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถออกไปต่อสู้ด้วยตัวเองได้ และคุยโวโอ้อวดจนฟ้าถล่มดินทลาย

หลังจากลัทธิขงจื๊อตกต่ำลง อาวุธเวทมนตร์ของสำนักโหราจารย์ก็รับหน้าที่สำคัญนี้ไป อาวุธเวทมนตร์กับอาวุธปืนที่สังหารได้อย่างหนักหน่วงจึงเป็นรากฐานที่ต้าฟ่งพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะตอนที่ปกป้องเมือง เรียกได้ว่าเป็นเครื่องบดเนื้อ

ลูกศรหนักที่เปล่งแสงสว่างแสบตากับลูกไฟที่เหมือนอุกกาบาต ระเบิดร่างของยักษ์สีน้ำเงินอย่างต่อเนื่อง

จี๋ลี่จือกู่แบกรับลูกศรหนักกับปืนใหญ่ที่สามารถสังหารทหารขั้นหกได้อย่างง่ายดายไว้ ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องแต่ละครั้ง ร่างกายของเขาจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย

แต่เขาก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ถึงขั้นต้อนรับการชำระล้างของลูกศรหนักกับปืนใหญ่ก่อน เขากวัดแกว่งดาบยักษ์เพื่อทำลายลูกศรกับอุกกาบาตอันน่าสะพรึงกลัว การโจมตีเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่จะนำหายนะมาสู่ทหารม้าที่อยู่เบื้องหลัง

ถึงกระนั้น หลังจากการกระหน่ำยิงหนึ่งรอบก็มีทหารม้าชั้นยอดกว่าร้อยนายที่ต้องสังเวยชีวิต

เมื่ออยู่ห่างจากเมืองฉู่โจวไม่ถึงสองร้อยเมตร เข่าทั้งสองข้างของจี๋ลี่จือกู่ก็ดิ่งลงอย่างแรง ขณะที่พื้นดินทรุดตัวลง เขาก็เอนตัวและพุ่งชนเข้ากับกำแพงเมือง

ลมแรงพัดหวือเข้ามา ร่างสีน้ำเงินสูงสองจั้งเค้นพลังปราณยิ่งใหญ่ออกมา ราวกับว่ามันสามารถทำลายภูเขาลูกหนึ่งได้

ไม่ มันสามารถทำลายภูเขาลูกหนึ่งได้จริงๆ

ในเวลานี้เอง อ๋องสยบแดนเหนือที่อยู่บนหอประตูเมืองก็เคลื่อนไหว ‘ปัง’ เขาทะยานขึ้นไปบนฟ้าท่ามกลางก้อนอิฐที่แตกละเอียด เสื้อคลุมสีแดงเข้มปลิวไสว เมื่อกระโดดไปถึงจุดที่สูงที่สุด เขาก็ชักดาบยาวออกมา แล้วเงื้อขึ้นสูง

จากนั้น อ๋องสยบแดนเหนือก็ถลาลงมา ก่อนจะฟันดาบยาวออกไป

แม้ว่าเขาจะอยู่คนเดียว แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันราวกับท้องฟ้าจะพลิกคว่ำ

ยักษ์สีครามต้องหยุดท่าพุ่งชนและทรงตัว ดาบยักษ์ตวัดกลับอย่างแรง ฟันอ๋องสยบแดนเหนือที่อยู่กลางอากาศ

‘ตูม!’

เสียงอึกทึกกึกก้องดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน

พลังปราณที่ราวกับกระแสน้ำกระเพื่อมเป็นทรงกลม ราวกับลูกปืนใหญ่หลายสิบนัดระเบิด คลื่นกระแทกแพร่กระจายไปกลางอากาศ

ทหารม้ากลุ่มชิงเหยียนที่อยู่ด้านล่างโชคดีหนีพ้น ทันใดนั้นอักขระมนตร์บนผนังของกำแพงเมืองก็สว่างขึ้น ก่อตัวเป็นปราการไร้รูป เพื่อป้องกันผลพวงของพลังปราณ

อ๋องสยบแดนเหนือบินขึ้นอีกครั้งและกลับมาที่หอประตูเมือง ในมือถือดาบยาวไว้ ดั่งภูเขาธารา

“อ๋องสยบแดนเหนือ เทพแห่งสงคราม!”

เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวยกอาวุธขึ้นสูงและตะโกน

“อ๋องสยบแดนเหนือ เทพแห่งสงคราม”

“อ๋องสยบแดนเหนือ เทพแห่งสงคราม…”

บนกำแพงเมือง เหล่าทหารต่างก็กู่ร้องอย่างสามัคคี เต็มไปด้วยความมั่นใจในอ๋องสยบแดนเหนือ เคารพเขาดั่งเทพเจ้า

ณ ประตูเมืองทางเหนือ ในถิ่นทุรกันดารที่ไร้ขอบเขตนอกเมือง สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายสุดขอบฟ้า ทั่วทั้งร่างของมันเป็นสีแดงก่ำ ไม่มีเกล็ด ดวงตาดวงเดียวบนหน้าผากราวกับตะวันฉายสีทอง

งูยักษ์สีแดงเข้มเลื้อยอยู่บนพื้น ม้วนลำไปมาจนฝุ่นตลบอย่างช้าๆ

ด้านหลังของมันเป็นกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจอันเนืองแน่น มีทั้งมังกร เสือยักษ์เกล็ดดำ กิ้งก่าเขาเดียวและลิง…

เหนือศีรษะของมัน กองทัพสัตว์ปีกสีดำทะมึนท่วมท้นไปทั่วฟ้าและบินโฉบอย่างรวดเร็ว

ทหารบนกําแพงเมืองไร้ความรู้สึก สีหน้าของพวกเขาทั้งไม่เกรงกลัวและไม่เป็นกังวล พวกเขายิงหน้าไม้กับปืนใหญ่หรือง้างธนูเพื่อโจมตีนกที่บินวนอยู่กลางอากาศ

นกที่ถูกลูกศรยิงตกเดิมทีตายไปแล้ว แต่ระหว่างที่ร่วงหล่นลงมา จู่ๆ มันก็ลืมตาสีแดงสดขึ้น กระพือปีกบินอีกครั้งและสังหารเพื่อนของมัน

กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ตายด้วยลูกปืนใหญ่กับลูกศรหน้าไม้ต่างก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งและกัดเพื่อนที่อยู่ข้างกาย แม้กระทั่งงูเหลือมยักษ์สีแดงเข้ม

กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจยังไม่ทันพุ่งเข้าไปประชิดเมืองก็เกิดความโกลาหลเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น

‘ปัง ปัง ปัง…’

ลูกศรหนักพุ่งออกไปและเมินเฉยกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจไปโดยอัตโนมัติ เป้าหมายเล็งไปที่งูเหลือมยักษ์สีแดงเข้ม พวกมันไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นโค้ง หวังโจมตีเป้าหมายเดียวกัน

ตรงจุดอ่อนของงูเหลือมยักษ์

ราวกับมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งกำลังขยับลูกศรหนักกับลูกปืนใหญ่ ทำให้พวกมันเล็งไปที่จุดอ่อน

งูเหลือมยักษ์มีร่างกายใหญ่โต ขณะเดียวกับที่นำมาซึ่งพลังอันล้นหลามก็เผยให้เห็นข้อเสียของความไม่คล่องตัวเช่นกัน จึงไม่อาจหลบเลี่ยงลูกศรหนักกับลูกปืนใหญ่ได้

แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตรงจุดอ่อนดูเหมือนจะถูกเข็มเหล็กฝังเข้าไปในเลือดเนื้อ มันจึงเจ็บปวดเกินจะทนไหว

“กร๊าซ…”

มันยกศีรษะขึ้นและอ้าปากกว้าง ราวกับหลุมดำสีแดงเข้ม ดวงตาดวงเดียวบนหน้าผากสั่นครั้งแล้วครั้งเล่าและยิงแสงสีทองออกมาปะทะกับกำแพงเมืองอย่างรุนแรง

ลวดลายบนผนังพลันสว่างขึ้น ปราการไร้รูปก็ปรากฏออกมา

แสงสีทองปะทะกับปราการจนเกิดประกายแสงเล็กๆ น้อยๆ และเสียง ‘เปรี๊ยะ’ บนผนัง ก่อนจะแตกออกเป็นรอยแตกเล็กๆ มากมายนับไม่ถ้วน

หลังจากสงครามด่านซานไห่ ชายแดนทางเหนือก็เผชิญกับสงครามใหญ่ครั้งแรก ยอดฝีมือขั้นสามที่เข้าร่วมสงครามมีทั้งหมดสามคนและยังมียอดฝีมือที่ไม่รู้จักซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่อีกหนึ่งคน

ภายในเมืองฉู่โจว ชาวยุทธภพหลายคนพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมและบ้าน พวกเขามองไปทางประตูเมืองอย่างประหลาดใจ

เสียงปืนใหญ่ที่ดังกึกก้อง เสียงสายธนูที่ดังชัดเสนาะหูของหน้าไม้ เสียงเกือกม้า เสียงคำรามของทหารรักษาการณ์ที่กำแพงเมือง…และความผันผวนของพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากผู้แข็งแกร่งระดับสูงประมือกัน

ชาวยุทธภพในเมืองได้ยินและรับรู้ถึงเสียงเหล่านี้อย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแค่อยากซ่อนตัวที่สั่นเทาอยู่ใต้เตียง

“เกิดอะไรขึ้น เผ่าอนารยชนโจมตีเมืองฉู่โจวแล้วหรือ”

“บัดซบ คนป่าเถื่อนพวกนี้กล้าโจมตีเมืองฉู่โจว พวกเขาอยากเปิดศึกรอบด้านกับต้าฟ่งหรือ”

“ไป พวกเราก็ไปที่กำแพงเมืองและปกป้องเมืองด้วยกัน”

ณ ประตูภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉู่โจว ชาวยุทธภพหลายคนต่างกระทืบเท้าและก่นด่า ในเวลานี้เอง พวกเขาก็เห็นเจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยมเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เห็นชาวเมืองในบ้านเรือนตามถนนเดินออกมาอย่างไร้ความรู้สึก ใบหน้าของพวกเขาซีดขาว สายตาว่างเปล่าและขาดสติสัมปชัญญะเหมือนกับศพเดินได้

คนเดินออกจากบ้านมาที่ถนนเยอะขึ้นเรื่อยๆ พวกเขามองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เหนือศีรษะของพวกเขามีแสงสีเลือดเส้นเล็กๆ หลั่งไหลออกมา ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นก้อนเลือดขนาดใหญ่

เงาสีดำก็ถูกดึงออกมาจากภายในร่างของพวกเขาและจมลงสู่พื้น ระหว่างนั้น เงาสีดำก็ดิ้นรนอย่างต่อเนื่องและส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา

“ที่แท้ข้าก็ตายแล้ว…”

“ข้าตายแล้วหรือ ข้าตายแล้วหรือ!”

“ไม่ยอม ไม่ยอม…”

ทุกแห่งในเมือง ประชาชนกับชาวยุทธภพที่เข้ามาในเมืองฉู่โจวหลังจากการสังหารหมู่เห็นฉากที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้กับตา ภายในใจเกิดความเย็นยะเยือก

‘คนในเมืองฉู่โจวตายหมดแล้วหรือ’

‘เช่นนั้นก่อนหน้านี้พวกเขาสนทนากับใคร พูดคุยกับใคร ใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนกับใคร’

‘ที่แท้พวกเราก็อาศัยอยู่ในเมืองผีมามากกว่าหนึ่งเดือน…’

ความหวาดกลัวมหาศาลปะทุขึ้นในใจของคนเป็นที่เหลืออยู่ไม่มาก

ในศาลาพักม้า

ทุกคนในคณะทูตเดินมาที่ถนนด้วยความหวาดหวั่น มองร่างมนุษย์ที่ขาวซีด ยืนนิ่งไร้ความรู้สึก เอาแต่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า

ปราณเลือดถูกดึงออกมาจากเหนือศีรษะของพวกเขาและพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ เงาสีดำหลุดออกจากร่างของพวกเขาและถูกดึงลงสู่ใต้ดิน

หยางเยี่ยนบ่นพึมพำ “ที่แท้ สถานที่สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ก็คือเมืองฉู่โจว”

“ชาติชั่ว!”

จู่ๆ เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็คำรามออกมาและคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาหลั่งริน

“ฉู่โจวมีประชากรสามแสนแปดหมื่นคน วิญญาณอาฆาตสามแสนแปดหมื่นดวง…ตลอดหกร้อยปีของต้าฟ่ง ไม่มีใครเคยทำเรื่องที่อำมหิตเช่นนี้มาก่อน ข้า ข้าต้องกลับเมืองหลวงไปฟ้องร้องไหวอ๋อง ถึงตายก็ต้องทำ”

เขากำหมัดทุบพื้นอย่างแรงและร้องไห้คร่ำครวญออกมา

ริมฝีปากของหลิวยวี่สื่อสั่น “เขากล้าดีอย่างไร เขากล้าดีอย่างไร…ในฐานะองค์ชายแห่งต้าฟ่ง เขาได้รับความรักและการสนับสนุนจากประชาชนในชายแดนทางเหนือ เหตุใดเขาถึงลงมือกับประชาชนผู้ไร้เดียงสาเหล่านี้ได้ ไหวอ๋องตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย…”

ดวงตาของหัวหน้ามือปราบเฉินแดงก่ำ มือที่ถือดาบสั่นไม่หยุด

หยางเยี่ยนมองพวกเขาและประทับใจเล็กน้อย

ขุนนางบุ๋นเหล่านี้หน้าซื่อใจคดและชอบปัดแข้งปัดขากันที่สุด แต่พวกเขาไม่ได้ไร้ศีลธรรมโดยสมบูรณ์ ภายในใจยังมียังมีความซับซ้อนที่หล่อหลอมจากหนังสือปราชญ์อีก

ทั้งร้ายและดี

หัวหน้ามือปราบเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไหวอ๋องคิดจะทำอะไรกันแน่”

หยางเยี่ยนครุ่นคิด “ข้าเดาว่า เขาอาจจะต้องการบรรลุสู่ขั้นสอง”

‘เลื่อนขั้นสู่ระดับสอง…’ เลขาธิการศาลต้าหลี่ ฝ่ายตรวจการสองคน และหัวหน้ามือปราบเฉินตกตะลึง

หาก หากไหวอ๋องถือโอกาสนี้เลื่อนสู่ขั้นสองจริงๆ เช่น เช่นนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเปิดเผยเรื่องนี้และเขียนจดหมายฟ้องร้อง ฝ่าบาทจะลงโทษหรือ

เหล่าขุนนางจะจัดการไหวอ๋องได้หรือ

ทหารขั้นสองนี่มันขนาดไหนกัน ต้าฟ่งไม่มีทหารขั้นสองมาสามร้อยปีแล้ว

เมื่อทอดสายตามองจิ่วโจว ทหารขั้นสองสาบสูญไปหมดแล้ว อย่างน้อยเผ่าอนารยชนทางเหนือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่มีขั้นสอง

หากไหวอ๋องสามารถเลื่อนสู่ขั้นสองได้ การสังหารหมู่นั่นจะเป็นอาชญากรรมหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นอาชญากรรม ใครจะสามารถลงโทษเขาได้

เกรงว่าฝ่าบาทกับขุนนางจะทำได้เพียงบีบจมูกยอมรับเท่านั้น และหากฝ่าบาทกับขุนนางประนีประนอม แม้ว่าจะเป็นท่านโหราจารย์ ก็ทำได้เพียงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น

ใช้ชีวิตของประชาชนสามแสนแปดหมื่นคนแลกกับขั้นสองหนึ่งคน คุ้มหรือไม่

แน่นอนว่าคุ้มมาก

หลิวยวี่สื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ “หากไหวอ๋องเลื่อนขั้นสู่ระดับสอง ข้าจะสาดเลือดไปให้ทั่วตำหนักกระดิ่งทองและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการตาย”

หัวหน้ามือปราบเฉินเอ่ยเสียงขรึม “ไม่มีใครขัดขวางเขาได้เลยหรือ ที่ชายแดนทางเหนือใครจะขัดขวางอ๋องสยบแดนเหนือได้…”

หยางเยี่ยนส่ายหน้า “ในชายแดนทางเหนือ ใครเล่าจะแข็งแกร่งกว่าอ๋องสยบแดนเหนือ”

ไม่มี

ไม่มีใครสามารถขัดขวางอ๋องสยบแดนเหนือได้ ในฉู่โจวเองก็ไม่มีใครสามารถเป็นอุปสรรคต่อการเลื่อนขั้นของอ๋องสยบแดนเหนือได้

ไม่มีใครทำได้ คณะทูตก็ทำไม่ได้ ทหารในยุทธภพก็ทำไม่ได้ พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนขั้นเท่านั้น

จู่ๆ หัวหน้ามือปราบเฉินก็พูดว่า “ข้ารู้สึกเสียดายที่สวี่ชีอันไม่แข็งแกร่งพอ…”

เมื่อทุกคนมองมา เขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ก่อนหน้านี้ข้าอิจฉาเขาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ อิจฉาเขาที่เอาชนะศิษย์ผู้โดดเด่นของลัทธิเต๋าในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์และอวดเก่งได้ แต่ตอนนี้ข้าแค่เกลียดที่เขาฝึกฝนไม่พอ เพราะหากเป็นเขา เขาจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ แน่นอน อย่างน้อยตอนนี้ เขาก็คงชักดาบใส่ไหวอ๋องแล้ว ใช่แล้ว หยางจินหลัว”

ทุกคนต่างมองไปทางหยางเยี่ยน

หยางเยี่ยนมึนงงเล็กน้อย ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมา เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจ “เว่ยกงเคยพูดว่า จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการอวดความกล้าหาญ ไม่ว่าจะเป็นฟันผู้บังคับบัญชาในตอนนั้นหรือขวางกองทัพกบฏที่อวิ๋นโจวเพียงลำพัง”

ใช่ ผู้ชายคนนั้นเป็นพวกหนังเหนียว เป็นก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง

เหล่าขุนนางบุ๋นที่เกลียดชังเขามักจะพูดว่า ‘ไม่ช้าก็เร็วชายคนนี้จะต้องชดใช้สิ่งที่เขาทำเพราะนิสัยของเขา’

แต่บางครั้ง คนเช่นนี้ก็กลายเป็น ‘พระผู้ช่วยให้รอด’ ในใจของพวกเขาและกลายเป็นคนที่พวกเขาหวังว่าจะปลุกระดมในบางครั้ง

หลิวยวี่สื่อบ่นพึมพำ “จักรพรรดิองค์ก่อนผิดแล้ว หากต้าฟ่งมีแม่ทัพสวรรค์ผู้ปกป้องประเทศจริงๆ ข้าคิดว่าเป็นสวี่ชีอัน ไม่ใช่ไหวอ๋อง”

น่าเสียดายที่เขายังเด็กนัก

เลขาธิการศาลต้าหลี่เผยสีหน้าชั่วร้ายออกมา “ตอนนี้ข้าปรารถนาเพียงให้เผ่าอนารยชนทำลายเมืองและตัดหัวอ๋องสยบแดนเหนือ หากต้าฟ่งไม่มีคนขัดขวางเขาได้ เช่นนั้นก็ให้เผ่าอนารยชนทำเสีย”

…………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด